วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567

แม่พระปฏิสนธินิรมล

 
 


มีเรื่องราวจากนิทานพื้นบ้านของชนเผ่าอินเดียนในมอนทานา สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับอัศจรรย์จากแม่พระปฏิสนธินิรมล(Immaculata)ในปี 1841
 
ชนเผ่าเคยได้ยินเกี่ยวกับพระวรสารจากการที่คณะเยซูอิตเดินทางผ่านมา และบางคนรวมทั้งหัวหน้าเผ่าของพวกเขาด้วย,ได้ร้องขอไปยังสำนักงานใหญ่ของคณะเยซูอิตในเซนต์หลุยส์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อขอให้ส่งพระสงฆ์มาเผยแพร่พระวรสารแก่พวกเขาเพิ่มเติม
 
ทางคณะเยซูอิตเชื่อมั่นในความปรารถนาอันแรงกล้าของชนเผ่าอินเดียนแดงนี้ที่ต้องการจะได้รับคำสั่งสอน พระสงฆ์คือ Fr.Peter DeSmet จึงได้ออกเดินทางในปี 1840 ไปยังภูมิภาคเทือกเขาร็อคกี้ที่ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ และท่านได้รับการต้อนรับด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ในปีต่อมา คุณพ่อเริ่มก่อสร้างสำนักงานแพร่ธรรมในหมู่บ้านแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ Bitterroot และอุทิศให้กับพระนางมารีย์
 
เพื่อให้สมาชิกของชนเผ่าได้รับศีลล้างบาปเข้าสู่ความเชื่อคาทอลิก, จำเป็นสำหรับพวกเขาที่จะต้องเรียนรู้คำสอนแห่งความเชื่ออย่างละเอียดเสียก่อน และชนเผ่าหลายคนก็คาดหวังที่จะได้รับการสอน, ในจำนวนนั้นมีเด็กกำพร้าคนหนึ่งซึ่งมีความจำที่ไม่ดีจนแทบจะไม่สามารถเรียนรู้คำสอนได้เลย เขาอยากจะรับศีลล้างบาปเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่สามารถจดจำสิ่งที่ได้รับ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร เขาก็จำไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ในหลักคำสอนแห่งความเชื่อ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถรับศีลล้างบาปได้
 
แต่ไม่นานหลังจากนั้น, เด็กชายได้ขอให้ทดสอบความรู้ของเขาเกี่ยวกับหลักคำสอนอีกครั้ง และเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจว่าเขารู้ถึงหลักคำสอนนี้ได้ดีเพียงใด แม้ว่าเขาจะเคยมีประวัติที่ล้มเหลวมาก่อนก็ตาม
 
เรื่องนี้รู้ไปถึง Fr. DeSmet ซึ่งเป็นผู้บันทึกเรื่องราวของเด็กชายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เด็กชายเล่าถึงการที่เขาไปเยี่ยมบ้านของ Jean เพื่อนของเขาตามปกติในความพยายามที่จะเรียนรู้หลักคำสอนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเข้าไปในบ้าน,เขาเห็นหญิงสาวสวยงามอย่างยิ่งผู้หนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศและมีดาวอยู่เหนือศีรษะของเธอ และมีงูอยู่ใต้เท้าของเธอ ตอนแรกเขากลัวมาก แต่แล้วทันใดนั้น,เขาก็ตระหนักว่าเขารู้ถึงหลักคำสอนทั้งหมดได้อย่างอัศจรรย์ นี่คืออัศจรรย์ของเรื่องนี้ เด็กชายพูดอีกว่า สตรีผู้นั้นเคยมาเยี่ยมเขาหลายครั้งหลังจากวันนั้น และบอกเขาว่าเธอพอใจกับการอุทิศหมู่บ้านแพร่ธรรมเซนต์แมรี(Mission Village of St. Mary.)
 
เด็กชายถูกซักถามหลายครั้งเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็น และเขาก็เล่าให้ฟังเหมือนเดิมทุกครั้งโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยความช่วยเหลือของรูปภาพที่พระสงฆ์จัดเตรียมไว้, เห็นได้ชัดว่านิมิตที่เด็กชายเห็นนั้นแท้จริงแล้วคือแม่พระปฏิสนธินิรมล
 
ในวันคริสต์มาสปี 1841 เด็กชายได้รับศีลล้างบาปและเปลี่ยนชื่อเป็น "พอล(Paul)" แต่เนื่องจากหัวหน้าเผ่าได้ใช้ชื่อนั้นแล้ว เขาจึงเป็นที่รู้จักในชื่อ "พอลน้อย(Little Paul)" มีคนทั้งหมด 150 คนที่ได้รับศีลล้างบาปในวันนั้น
 
ด้วยเหตุนี้ เด็กชายจึงเป็นที่รู้จักในนาม "เทวดาแห่งชนเผ่า(The Angel of the Tribes)" ตาม บันทึกเหตุการณ์ของ Fr. DeSmet
 
พอลน้อยถูกเรียกให้รับรางวัลสวรรค์หลังจากอัศจรรย์เพียงสองปีและได้รับพระพรด้วยการตายอย่างสงบและได้รับศีลสุดท้ายของพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์
 
ที่มา: Knight of the Immaculata
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2567

พระนามของพระเจ้า

 


คุณรู้หรือไม่, พยัญชนะที่ใช้ในการสะกดพระนามศักดิ์สิทธิ์ YAHWEH นั้น อันที่จริงการออกเสียงพยัญชนะเหล่านี้อย่างถูกต้อง,จะไม่อนุญาตให้คุณใช้ริมฝีปากและลิ้นในการออกเสียง การออกเสียงพระนามศักดิ์สิทธิ์นี้ต้องเป็นความพยายามที่จะเลียนแบบการหายใจ นั่นคือ หายใจเข้าและหายใจออก (โดยปิดปาก) และในเพียงชั่ววินาที,ก็มีเสียงเบาๆในใจของเราเอ่ยพระนามอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เมื่อเราลองปฏิบัติตามวิธีดังกล่าว,ชีวิตของเราก็จะใกล้ชิดกับพระเจ้าขึ้นมา
 
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้น่าอัศจรรย์ใจ เราจะได้รับพระเจ้าเข้ามาในตัวเราผ่านการหายใจของเราเอง พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา
 
YAHWEH มาจากคำในภาษาฮีบรู YHWH ซึ่งเป็นพระนามที่พระเจ้าทรงบอกแก่โมเสส,มีความหมายว่า “เราเป็น (I am)” เมื่อโมเสสถามพระเจ้าว่าจะให้บอกชาวอิสราแอลว่าใครเป็นผู้ส่งเขากลับมาที่อิยิปต์ พระเจ้าทรงตอบเขา (อพยพ 3:14-15) “และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราคือเราเป็น (I am who I am)” และพระองค์ตรัสว่า “ท่านจงบอกลูกหลานชาวอิสราแอลว่า “เราเป็น (I am)” ส่งข้าพเจ้ามายังพวกท่าน....นามนี้จะเป็นนามของเราตลอดไป”
 
เพราะเหตุนี้เมื่อพระเยซูตรัสกับพวกฟารีสีว่า “ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น(Yahweh)” ซึ่งหมายความว่า พระเยซูทรงเป็นอยู่ก่อนอับราฮัมจะเกิด พวกฟารีสีและชาวยิวจึงหยิบก้อนหินจะขว้างพระองค์ เพราะคำพูดของพระเยซูนี้เท่ากับประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และชาวยิวไม่พอใจคิดว่าพระเยซูยกตนเทียบเท่าพระเจ้า
 
ชาวยิวถือว่าพระนามของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์มากจนไม่สมควรที่จะเขียนหรือเปล่งเสียง ชาวยิวจะไม่เขียนคำ YAHWEH เลยแต่จะเลี่ยงไปใช้คำอื่นแทนเช่น Adonai ซึ่งแปลว่า เจ้านาย (Lord or Master)
 
พระนามพระเยซูมาจากคำภาษากรีก Yeshua ซึ่งแปลว่า  พระยาห์เวห์ผู้ช่วยให้รอด(Yahweh saves ดังนั้นพระยาห์เวห์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นจากบาปของพวกเขาและพระเยซูจะทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นจากบาปของพวกเขาในเวลาเดียวกัน ดังนั้นพระนามยาห์เวห์และพระนามพระเยซูก็เป็นพระนามเดียวกัน
 
เราสามารถพิจารณาไตร่ตรองถึงพระนาม Yahweh ซึ่งแปลว่า เราเป็น I am ได้ 10 ข้อดังนี้
 
1. พระเจ้าไม่มีจุดสิ้นสุด
 
2. พระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้น
 
3. พระองค์ทรงเป็นความจริง และไม่มีความจริงอื่นนอกพระองค์ เว้นแต่พระองค์ทรงปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นและสร้างสิ่งนั้น
 
4. พระเจ้าทรงสมบูรณ์ในทุกสิ่งในพระองค์เอง พระองค์ไม่ต้องการสิ่งใดมาสนับสนุน,แนะนำว่าพระองค์ต้องทำอะไร
 
5. ทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าจำเป็นต้องขึ้นกับพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
 
6. เมื่อเปรียบเทียบกับพระเจ้าแล้ว,จักรวาลทั้งมวลก็เท่ากับไม่มีไม่เป็นอะไรเลย
 
7. พระเจ้าทรงเป็นมาตรฐานที่แน่นอนของความจริง,ความดี,ความถูกต้อง,ความสวยงาม (เมื่อปีลาตถามพระเยซูเจ้าว่า “ความจริงคืออะไร?” แล้วเขาก็จ้องมองพระเยซูเจ้า)
 
8. พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ไม่ว่า อดีต,ปัจจุบัน,หรืออนาคต พระองค์ทรงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
 
9. พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งตามพระประสงค์ของพระองค์ ตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย และทุกสิ่งที่ทรงกระทำย่อมถูกต้องเสมอ,ดีงามเสมอและเป็นไปตามความจริง
 
10 พระเจ้าทรงสำคัญที่สุด,ทรงคุณค่าที่สุด พระองค์ทรงสมควรได้รับคำสรรเสริญ,ชื่นชมยินดี ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

ทำไมพระเยซูทรงพับผ้าพันพระเศียร?

 


เหตุใดพระเยซูทรงพับผ้าพันพระเศียรหลังจากทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์? เคยสังเกตเห็นสิ่งนี้หรือไม่?...
 
พระวรสารโดยนักบุญยอห์น (20:7) บอกเราว่าผ้าพันพระเศียรพระเยซูไม่ได้วางอยู่ที่พื้นเหมือนผ้าที่พันพระศพ พระคัมภีร์บอกเราว่าผ้าพันพระเศียรถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย และแยกออกจากผ้าพันพระศพ เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ ขณะที่ยังมืดอยู่ มารี มักดาเลนามาที่อุโมงค์และพบว่าก้อนหินถูกเลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว เธอจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรัก บอกว่า 'เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน!' เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา.. ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน
 
แล้วซีโมนเปโตรก็มาถึงและเข้าไปข้างใน นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ผ้าพันพระเศียรถูกพับแยกไว้อีกที่หนึ่ง
 
นั่นสำคัญหรือ? แน่นอน!
 
มันสำคัญจริงๆหรือ? .....ใช่!
 
เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของการพับผ้าพันพระเศียร คุณต้องเข้าใจประเพณีของชาวฮีบรูในช่วงเวลานั้นสักเล็กน้อย ผ้าพันพระเศียรที่พับไว้เกี่ยวข้องกับเจ้านายและผู้รับใช้, และเด็กชายชาวยิวทุกคนก็รู้จักประเพณีนี้
 
เมื่อคนรับใช้จัดโต๊ะอาหารให้เจ้านาย เขาต้องแน่ใจว่าได้ทำให้เป็นไปตามที่นายต้องการอย่างแน่นอน...
 
โต๊ะได้รับการจัดวางอย่างลงตัว จากนั้นคนใช้ก็จะรอจนนายกินอาหารเสร็จ และคนรับใช้จะไม่กล้าแตะโต๊ะนั้นจนกว่านายจะรับประทานเสร็จ ถ้านายกินอาหารเสร็จแล้ว,เขาจะลุกจากโต๊ะใช้ผ้าผืนหนึ่งเช็ดนิ้ว,ปาก, ทำความสะอาดใบหน้า,หนวดเครา และจะหยิบผ้าผืนนั้นโยนลงบนโต๊ะ
 
คนรับใช้ก็จะรู้ว่าจะต้องเคลียร์โต๊ะ เพราะในสมัยนั้นผ้าที่ไม่ได้พับไว้หมายความว่า 'เสร็จแล้ว'
 
แต่ถ้านายลุกจากโต๊ะพับผ้าเช็ดปากวางไว้ข้างจาน คนรับใช้ก็ไม่กล้าแตะต้องโต๊ะ เพราะ.......... ผ้าที่พับไว้นั้นหมายความว่า 'ฉัน' 'กำลังจะกลับมา!'
 
ดังนั้นผ้าพันพระเศียรของพระเยซูที่พับไว้จึงมีความหมายว่า
 
พระเยซูกำลังจะกลับมา!
 
ถ้าข้อมูลนี้ถูกใจคุณ ขอให้ส่งต่อให้ผู้อื่น และสรรเสริญพระนามพระเยซู!
 
#HeIsComingBack
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2567

เราคือการปฏิสนธินิรมล

 
 

เมื่อ 180 ปีที่แล้ว แบร์นาเด็ตต์ยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่งเกิดในเมืองห่างไกลในเทือกเขาพิเรนีส เธอถูกเลี้ยงดูโดยอาศัยอยู่ในห้องใต้ดิน มันไม่ได้ถูกใช้เป็นคุกขังอาชญากรอีกต่อไปแล้ว เพราะมันไม่เหมาะกับจุดประสงค์นั้นอีกต่อไป แต่พ่อแม่ของเธอ ฟรังซัว(Francois) และ หลุยส์ ซูบีรุส(Louise Soubirous) มีชีวิตบนขอบของความยากจนข้นแค้น และที่พักแบบห้องเดียวนี้ก็เพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะจ่ายได้. ถ้าหากชาลส์ ดิคเกนส์,นักเขียนนวนิยายซึ่งอยู่ในช่วงรุ่งเรืองในเวลานั้น ได้เห็นที่อยู่ซอมซ่อที่ครอบครัวซูบีรุสอาศัยอยู่, เขาจะเขียนนวนิยายเกี่ยวกับครอบครัวนี้แน่ เมื่อบิดามารดาอุ้มลูกน้อย แบร์นาแด็ต,พวกเขาไม่รู้เลยว่าเธอจะมีชื่อเสียงในภายหน้า แต่แม้จะยากจนและถูกดูถูกมาก,แบร์นาแด็ตน้อยก็ยังคงปรารถนาที่จะถูกขังอยู่ในห้องของเธอเองเพื่อมีความสงบสุข
 
แบร์นาเด็ตต์เป็นลูกคนโตในจำนวน 9 คน ตอนที่เธอยังเป็นเด็กวัยหัดเดิน, เธอติดเชื้ออหิวาตกโรค ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ร่างกายขาดน้ำและทำให้ปากแห้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำลายความงามของแบร์นาแด็ต และดวงตาของเธอดูลึกล้ำในขณะที่ใบหน้ารูปไข่ของเธอเปล่งประกายด้วยความน่ารัก เธอเติบโตและสูงเพียง 4 ฟุต 7 นิ้วเท่านั้น ตัวเล็กกว่าโจนออฟอาร์ก(Joan of Arc) เสียด้วยซ้ำ เธอได้รับการศึกษาน้อย และเมื่ออายุ 14 ปี เธอยังไม่สามารถอ่าน, เขียน, หรือพูดภาษาฝรั่งเศสได้
 
ภาษาแม่ของเธอคือภาษาอ็อกซิตัน(Occitan)ซึ่งมีน้ำเสียงแบบห้วนๆและเป็นส่วนผสมของภาษาท้องถิ่นของประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป็นภาษานี้ที่พระมารดาของพระเจ้าพูดกับแบร์นาเด็ต ด้วยเหตุนี้จึงเป็นคำพูดที่บริสุทธิ์ซึ่งคนดูถูกเหยียดหยาม ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ถึง 16 กรกฎาคม 1858, พระแม่มารีย์ปรากฏต่อแบร์นาเด็ตรวม 18 ครั้งที่ริมฝั่งแม่น้ำ กาฟ(Gave) แบร์นาเด็ตรู้สึกตะลึงกับความงามเปล่งประกายของแม่พระ พระนางทรงสวมชุดสีขาวไร้ที่ติและเสื้อคลุมพร้อมผ้าคาดเอวสีฟ้า, กุหลาบสีทองประดับเท้าเปล่าของพระนาง แบร์นาเด็ตกล่าวในภายหลังว่างานประติมากรรมของแม่พระไม่สามารถเทียบได้กับความงามของแม่พระจริงๆได้เลย สิ่งนี้รับประกันได้ว่าความงดงามน่ารักของแม่พระนั้นพิเศษมาก
 
พระสงฆ์ประจำถิ่นได้พูดกดดันแบร์นาเด็ตต์ให้ถามชื่อของสตรีที่ประจักษ์มา และแม่พระได้ตทรงบอกพระนามของพระนางในวันฉลองแม่พระทรงรับสาส์นว่า "เราคือการปฏิสนธินิรมล" 4 ปีก่อนที่แม่พระจะประจักษ์แก่แบร์นาแด็ต, ทางวาติกันได้ประกาศข้อความเชื่อเรื่องการปฏิสนธินิรมลของพระแม่มารีย์ และในซอกเล็กๆบนไหล่เขาซึ่งแม่พระประจักษ์แก่แบร์นาแด็ต,พระนางทรงเปิดเผยต่อแบร์นาแด็ตถึงความจริงแห่งข้อความเชื่อนี้ พระนางทรงขจัดความสงสัยการบังเกิดโดยปราศจากบาปของพระนาง,ทรงปราศจากตำหนิอันเนื่องมาจากบาป,ทั้งบาปกำเนิดและบาปใดๆไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ตาม และองค์ราชินีแห่งสวรรค์ทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเราให้ได้รับความรอด
 
การประจักษ์ของแม่พระต่อแบร์นาเด็ตเป็นการพิสูจน์ข้อความเชื่อเรื่องปฏิสนธินิรมล ลูร์ดเป็นของขวัญสำหรับมนุษยชาติและเป็นรางวัลสำหรับพระศาสนจักรที่แต่งตั้งพระสันตปาปาปิโอที่ 9 ผู้ทรงประกาศอย่างเป็นทางการว่าแม่พระทรงปฏิสนธิในครรภ์มารดาโดยปราศจากบาปกำเนิด ลูร์ดกลายเป็นศูนย์กลางของการเยียวยาเรักษาโรคอันน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความสงบสุขอย่างลึกซึ้งและการยกระดับจิตใจของผู้แสวงบุญที่ไปที่นั่น เป็นแหล่งแห่งความยินดีสำหรับผู้ซื่อสัตย์ที่ศรัทธาในการวิงวอนต่อพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล ลองนึกภาพสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นถ้าทุกคนตั้งแต่พวกเราไปจนถึงพระสงฆ์ในลำดับชั้นของพระศาสนจักรได้ทำสิ่งที่แม่พระทรงต้องการตลอดเวลา
 
พวกเราที่รู้สึกเสียใจที่ราชินีแห่งสวรรค์มักถูกละเลยหรือถูกดูหมิ่น,จำเป็นต้องทำให้ตัวอย่างของแบร์นาเด็ตเป็นที่รู้จักมากขึ้น ถ้าเพียงแต่พระสังฆราชของเราจะเป็นเหมือนเธอมากกว่านี้! แบร์นาเด็ตเป็นคนเรียบง่ายและมีนิสัยนบนอบเชื่อฟังเหมือนเด็ก ความซื่อสัตย์ของเธอหมายความว่าเธอพยายามทำตามที่แม่พระทรงร้องขอโดยไม่คำนึงว่าจะต้องเสียสละเท่าไร และบางทีที่สำคัญที่สุดคือเธอไม่สนใจชื่อเสียงของเธอเองที่อาจถูกดูหมิ่น มีความพยายามที่จะทำให้เธอปฏิเสธการประจักษ์นี้ เธอยอมเสียสละตนเองอย่างเต็มที่ในการพลีกรรมเพื่อทำให้คนบาปกลับใจ แบร์นาเด็ตไม่ใช่ปัญญาชนที่มีความคิดซับซ้อน – การขาดความฉลาดของเธอทำให้หลายคนดูถูกเธอ แต่อันที่จริง,ดูเหมือนพวกเขาจะอิจฉาเธอมากกว่า นี่คือเด็กสาวที่องค์ราชินีแห่งสวรรค์ทรงเลือกให้เป็นทูตพิเศษของพระนาง
 
ความอ่อนน้อมถ่อมตนของแบร์นาเด็ตต์นั้นยิ่งใหญ่ เธอถูกชุบเลี้ยงมาในคุกร้าง และไม่เคยรู้สึกว่าถูกบังคับโดยเจ้าหน้าที่เมื่อพวกเขาขู่ว่าจะขังเธอไว้ เธอบอกว่าเธอค่อนข้างจะสนุกกับมัน โรคหอบหืดที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม,แต่เธอไม่เคยยอมแพ้ เมื่อเธอเห็นคนอื่นๆได้รับการรักษาอย่างน่าอัศจรรย์ แต่เธอก็ยอมรับโดยดุษฎีว่าเธอปรารถนาเป็นดังที่แม่พระตรัสไว้ว่าเธออาจไม่มีความสุขในชีวิตนี้ แต่ในชีวิตหน้านั้นแน่นอน
 
โดยส่วนตัวแล้ว, ฉันเชื่อว่าพิธีมิสซาแม่พระแห่งลูร์ดมีพลังมหาศาลในการละลายหัวใจของผู้คนและเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นอาสาสมัครที่เต็มใจของพระนางเช่นเดียวกับแบร์นาเด็ต มีบทความ,มีรูปภาพมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจในการทำสมาธิ เพื่อที่เราจะได้มีบางอย่างที่คล้ายกับความรู้สึกของแบร์นาเด็ต,เมื่อเธอเห็นแม่พระผู้งดงามและน่ารักที่สุดในบรรดาสตรีทั้งหลาย พระมารดาแห่งองค์พระเมสสิยาห์ "เสด็จลงมาจากสวรรค์,แต่งตัวราวกับเจ้าสาว" บทสดุดีนี้อาจเป็นคำอธิบายสำหรับการประจักษ์นี้ “จงลุกขึ้นเถิด ที่รักของฉัน ผู้งดงามของฉัน และมาเถิด นกพิราบของฉัน อยู่ที่ซอกหิน ในที่ว่างของกำแพง”
 
ศีลมหาสนิทถือว่าเป็นบ่อน้ำพุที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้นึกถึงน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองลูร์ด ในพิธีมิสซา,หลังจากรับศีลแล้วให้เราสวดภาวนาเพื่อตัวเราเอง ราวกับว่าในชีวิตนี้เรากำลังอยู่ในการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตราย และต้องการพระหรรษทานจากพิธีมิสซาศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปสู่สวรรค์ ในที่นี้, เราเป็นหนึ่งเดียวกับผู้แสวงบุญที่แท้จริงทุกคนที่ไปเมืองลูร์ดเพื่ออยู่เบื้องหน้าภูเขาที่แม่พระทรงประทับยืนอยู่ ณ ธรณีประตูสวรรค์ เชิญชวนเราทุกคนให้เข้ามาหาพระนางพร้อมกัน
 
ขอความสุขจงมีแด่ทุกท่านเนื่องในวันฉลองแม่พระทรงรับสาส์น
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2567

แม่ในสวรรค์ช่วยเหลือลูกชาย

 



พระสงฆ์ท่านหนึ่งที่อยู่ในเลบานอนได้เล่าเรื่องราวนี้
 
ตามที่เรารู้กัน,เลบานอนเป็นประเทศที่ได้รับความทุกข์จากสงครามกลางเมืองเป็นเวลาหลายปี วันหนึ่งขณะที่พระสงฆ์ท่านนั้นกำลังอยู่ในที่ทำงานของโบสถ์,มีเสียงเคาะประตู ท่านไปเปิดประตูและพบกับหญิงชราผู้หนึ่ง หญิงชราพูดกับท่านว่า “คุณพ่อโปรดไปยังบ้านหลังนี้ด้วย” แล้วเธอก็ส่งกระดาษให้พระสงฆ์ซึ่งมีที่อยู่ของบ้านเขียนไว้ พร้อมกับพูดว่า “กรุณาไปที่นี่ด้วยนะคะ,เพราะมีคนกำลังจะตายและเขาต้องการได้รับการโปรดศีลครั้งสุดท้าย”
 
พระสงฆ์ขี่จักรยานของท่านไปยังสถานที่ซึ่งระบุไว้ในกระดาษนั้น มันเป็นตึกอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง พระสงฆ์ไปยังห้องซึ่งเลขที่ตรงกับในกระดาษ ท่านเคาะประตูห้องและพบกับชายหนุ่มที่มาเปิดประตู อายุของเขาประมาณ 20 ปี ชายหนุ่มพูดว่า “มีอะไรให้ผมช่วยครับ,คุณพ่อ?” พระสงฆ์ก็บอกว่า “พ่อได้รับแจ้งว่ามีบางคนที่นี่กำลังจะตายใช่ไหม?” ชายหนุ่มพูดว่า”ไม่มีนี่ครับ ผมอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว จะมีคนตายได้อย่างไร” พระสงฆ์พูดว่า “มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพ่อ และบอกกับพ่อพร้อมทั้งให้กระดาษเขียนสถานที่ไว้ด้วย นี่อย่างไรล่ะ” ท่านยื่นกระดาษให้เขาดู ชายหนุ่มพูดว่า “บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจสับสนกับเลขที่ห้องของอพาร์ทเมนต์ ผมจะช่วยคุณพ่อหานะครับ” แล้วชายหนุ่มก็ไปกับพระสงฆ์ ไปเคาะประตูห้องทุกห้องในอพาร์ทเมนต์นั้น แต่พวกเขาก็ไม่พบว่ามีใครกำลังจะตายเลย ชายหนุ่มจึงพูดกับพระสงฆ์ว่า “ทำไมคุณพ่อไม่เข้ามาที่ห้องของผม เพื่อพักผ่อนและดิ่มน้ำชาสักถ้วยละครับ เพราะเสียเวลาไปหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจหมายถึงอพาร์ทเมนต์แห่งอื่นก็ได้ เพราะแถวนี้มีอพาร์ทเมนต์หลายตึก เราคงไม่สามารถไปเคาะประตูอพาร์ทเมนต์ทั้งหมดได้หรอกครับ”
 
ดังนั้นพระสงฆ์ก็ไปที่ห้องของชายหนุ่มและพวกเขาก็พูดคุยกัน ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวของเขาให้พระสงฆ์ฟัง เขาบอกว่า เขาเป็นคาทอลิก แม่ของเขาเป็นคนที่ศรัทธามากและท่านมักพาเขาไปโบสถ์เสมอ แต่ท่านตายไปหลายปีแล้ว ส่วนตัวของเขาก็ห่างเหินไปจากความเชื่อ ชายหนุ่มเล่าให้พระสงฆ์ฟังหลายเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเขา พระสงฆ์ได้ฟังแล้วก็พูดกับเขาว่า “ตอนนี้คุณได้เล่าเรื่องราวของคุณแล้ว ทำไมคุณไม่พูดกับพระเจ้าด้วย คุณต้องการสารภาพบาปไหม?” ชายหนุ่มตอบรับ แล้วเขาก็สารภาพบาปและพระสงฆ์ก็โปรดศีลอภัยบาปให้เขา พระสงฆ์บอกชายหนุ่มว่าถ้ามีเวลาก็มาที่โบสถ์และช่วยเหลือที่โบสถ์บ้าง และขอให้เขาเริ่มต้นชีวิตคริสตชนอีกครั้ง แล้วพระสงฆ์ก็บอกลา,ท่านขี่จักรยานมุ่งหน้าจะไปที่โบสถ์ แต่เสียงไซเรนก็ดังขึ้นเตือนประชาชนว่าจะมีระเบิดลง พระสงฆ์จึงแอบเข้าไปอยู่ในตึกใกล้ๆ,หลบอยู่ด้านล่างสุดของอาคาร หลังจากสิ้นสุดการระเบิดแล้ว,พระสงฆ์ออกมาจากอาคาร อาคารที่ท่านหลบนั้นถูกระเบิดด้วย พระสงฆ์พร้อมด้วยประชาชนอื่นๆพยายามค้นหาผู้รอดชีวิต แล้วพวกเขาก็พบร่างของชายหนุ่มผู้ซึ่งพระสงฆ์ได้อยู่กับเขา ชายหนุ่มเสียชีวิตจากการระเบิดครั้งนั้น ที่บริเวณคอของชายหนุ่มมีสร้อยคอที่มีล็อกเก็ต พระสงฆ์ได้เปิดล็อกเก็ต,มีอักษรเขียนไว้ว่า “คุณแม่สุดที่รักของผม” และรูปภาพในล็อกเก็ตคือรูปของหญิงชราที่มาเคาะประตูเพื่อพบกับพระสงฆ์
 
เรื่องนี้มีความหมายว่าอย่างไร? ผู้หญิงคนนั้นเวลานี้อาจอยู่ในไฟชำระหรืออาจอยู่ในสวรรค์แล้วก็ได้ และเธอได้สวดภาวนาเพื่อบุตรชายของเธอ พระเจ้าทรงทราบว่าใกล้เวลาที่ลูกชายของเธอจะต้องเสียชีวิต พระองค์จึงทรงอนุญาติให้เธอไปเคาะประตูและขอให้พระสงฆ์ไปพบกับลูกชายของเธอเพื่อโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นสำหรับเขา
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2024 พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ยอห์น 10:11-18 
(11)เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน (12)ลูกจ้างที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะและไม่เป็นเจ้าของแกะ เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามาก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไป สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็กระจัดกระจายไป (13)ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย (14)เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา(15)พระบิดาทรงรู้จักเราฉันใด เราก็รู้จักพระบิดาฉันนั้น เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา (16)เรายังมีแกะอื่น ๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เราต้องนำหน้าแกะเหล่านี้ด้วย แกะจะฟังเสียงของเรา 
จะมีแกะเพียงฝูงเดียวและผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว (17)พระบิดาทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก (18)ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เราเองสมัครใจสละชีวิตนั้น 
เรามีอำนาจที่จะสละชีวิตของเรา และมีอำนาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก นี่คือพระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา
******************
 
 
 
แม้นักบุญเปโตรจะปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึง 3 ครั้ง แต่พระองค์ก็ทรงให้อภัยหมดทุกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งในความรักที่พระองค์ทรงมีต่อท่าน ท่านจึงยืนยันต่อหน้าผู้ปกครอง ต่อหน้าประชาชน และต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสของชาวยิวซึ่งกำลังสอบสวนท่านว่า ท่านรักษาโรคไม่ใช่ด้วยฤทธิ์อำนาจของท่านเอง แต่ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขน และใต้ฟ้านี้พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นใดแก่มนุษย์นอกจากนามนี้ คือ “เยซู” ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้ นี่คือสิ่งที่บทอ่านที่หนึ่งวันนี้บอกเรา
 
ส่วนในบทอ่านที่สอง นักบุญยอห์นบอกว่าพระเจ้าทรงรักเรามาก ถึงกับทรงทำให้เราเป็นบุตรของพระองค์
 
เหตุที่นักบุญยอห์นเขียนเช่นนี้ก็เพราะขณะนั้นคริสตชนถูกชาวโรมันเบียดเบียนอย่างหนักเพราะไม่ยอมรับซีซาร์เป็นพระเจ้า ชาวโรมันเชื่อว่าซีซาร์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นบุตรของพระเจ้า และเมื่อตายไปแล้วก็กลายเป็นพระเจ้า แต่นักบุญยอห์นถือว่านี่เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของซีซาร์เอง ตรงกันข้ามกับคริสตชนที่มิได้อ้างตนเป็นบุตรของพระเจ้า แต่เป็นพระเจ้าเองที่ทรงทำให้เราเป็นบุตรของพระองค์ และเราก็เป็นบุตรของพระองค์จริงๆ ที่โลกไม่รู้ว่าเราเป็นบุตรของพระองค์ ก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแท้จริง
 
พี่น้องครับ เมื่อนักบุญเปโตรได้รับความรักและการอภัยจากพระเจ้า ท่านประกาศพระนามของพระเยซูเจ้าอย่างแข็งขันชนิดไม่เห็นความตายอยู่ในสายตา แล้วเราล่ะ เราคริสตชนทุกคนต่างก็ได้รับความรักจากพระเจ้ามากกว่าเปโตรเสียอีก เพราะนอกจากเราจะได้รับการอภัยมากมายหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้ว พระองค์ยังทรงทำให้เราเป็นบุตรของพระองค์โดยผ่านทางพระเยซูเจ้าอีกด้วย
 
แล้วเราควรจะตอบสนองความรักของพระองค์อย่างไร ?
 
ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงแสดงความปรารถนาของพระองค์ออกมาตรงๆ ชัดๆ เลยว่า “เรายังมีแกะอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ในคอกนี้ เราต้องนำหน้าแกะเหล่านี้ด้วย จะมีแกะเพียงฝูงเดียว และผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว”
 
นี่คือความคาดหวัง นี่คือความใฝ่ฝัน นี่คือวิสัยทัศน์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งทำให้เราได้ข้อคิด 2 ประการด้วยกัน
 
ข้อคิดแรกก็คือ โลกจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็โดยอาศัยพระเยซูเจ้าเท่านั้น เพราะพระองค์ทรงเป็น “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” !
 
โดยทั่วไปคนเลี้ยงแกะต้องรับผิดชอบแกะที่ตนเลี้ยงแบบยอมตายถวายหัวอยู่แล้ว แต่ใช่ว่าคนเลี้ยงแกะจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเหมือนกันหมด มีคนเลี้ยงแกะจำนวนมากที่พร้อมจะละทิ้งแกะเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตนเอง !
 
ความแตกต่างระหว่างคนเลี้ยงแกะสองประเภทอยู่ตรงที่คนเลี้ยงแกะจริงๆ เกิดมาเพื่อเลี้ยงแกะโดยเฉพาะ เมื่อมีอายุพอสมควร พวกเขาจะออกไปอยู่กับฝูงแกะและคลุกคลีอยู่กับแกะ จนกระทั่งแกะกลายเป็นเพื่อนและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขา
 
ส่วนคนเลี้ยงแกะที่เป็นลูกจ้างนั้น พวกเขาไม่ได้มีกระแสเรียกเป็นคนเลี้ยงแกะตั้งแต่เริ่มแรก สาเหตุเดียวที่ทำให้พวกเขาเข้าสู่วงการเลี้ยงแกะคือความต้องการ “งานและเงิน” พวกเขาจึงขาดสำนึกและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ หากสุนัขป่าเข้าโจมตีฝูงแกะ ลูกจ้างเลี้ยงแกะจะลืมหมดทุกอย่างนอกจากวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
 
แต่พระเยซูเจ้าบอกเราในพระวรสารวันนี้ว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา... เรายอมสละชีวิตเพื่อแกะของเรา”
 
ใช่ พระองค์ไม่เพียงรู้จักและรักเราเท่านั้น แต่ทรงสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อเราจริงๆ พระองค์ทรงเป็น “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” อย่างแท้จริง !
 
ในเมื่อเรามีผู้เลี้ยงแกะที่ดีเช่นนี้ หากเราทุกคนฟังเสียงของพระองค์และติดตามพระองค์ โลกก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะต่างก็เป็นฝูงแกะเดียวกันของพระองค์ หาไม่แล้วโลกจะแบ่งแยกเป็นชาติต่างๆ และในชาติเดียวกันยังแบ่งเป็นเผ่า เป็นก๊ก เป็นพรรค เป็นพวก เป็นอำมาตย์ เป็นไพร่ และก็ต้องคอยปลดแอกกันไม่มีวันจบสิ้น
 
ข้อคิดประการที่สองก็คือ เราจะตอบแทนพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ได้อย่างไร ?
 
คำตอบก็คือช่วยกันทำให้วิสัยทัศน์ของพระองค์ที่ปรารถนาจะเห็น “แกะเพียงฝูงเดียวและผู้เลี้ยงเพียงคนเดียว” เป็นจริง
 
นักบุญเปาโลบอกว่า มนุษย์จะได้ยินข่าวดีได้อย่างไรหากไม่มีผู้ประกาศ (เทียบ รม 10:14) และแกะจะเป็นฝูงเดียวกันได้อย่างไรหากไม่มีคนออกไปต้อนมันมารวมกัน
 
นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ของพระศาสนจักรเท่านั้น แต่เป็นภารกิจของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันพาผู้ที่ยังไม่ได้เป็นฝูงแกะของพระเยซูเจ้า ให้มารู้จักพระองค์ มาสู้อ้อมกอดอันอบอุ่นของพระองค์
 
เป็นหน้าที่ของเราจริงๆ ที่จะช่วยกันทำให้วิสัยทัศน์ของพระองค์ที่ประสงค์จะเห็นแกะฝูงเดียวโดยมีพระองค์เป็นผู้เลี้ยง เป็นจริงขึ้นมา !
 
อย่าลืมว่า เมื่อรับศีลล้างบาป เราได้รับหน้าที่เป็นสงฆ์ เป็นประกาศก และเป็นกษัตริย์ เราทุกคนได้รับเรียกให้มาประกาศพระนามของพระองค์อยู่แล้ว
 
และนอกจากจะต้องสำนึกถึงกระแสเรียกที่จะต้องประกาศพระนาม “เยซู” ซึ่งเป็นเพียงนามเดียวที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้แล้ว ให้เราภาวนาเพื่อบรรดาเยาวชนชายหญิงจะได้ตระหนักถึงกระแสเรียกให้พวกเขาติดตามรับใช้พระเยซูเจ้าเป็นพิเศษในฐานะพระสงฆ์และนักบวชทั้งชายและหญิงด้วย
 
และเช่นกัน ให้เราภาวนาเพื่อบรรดาพระสงฆ์และนักบวชชายหญิง ให้ทุกท่านเป็น “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” ตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่เป็นเพียง “ลูกจ้างเลี้ยงแกะ” เท่านั้น
 
ทั้งนี้ เพื่อให้ความใฝ่ฝันของพระเยซูเจ้าเป็นจริง และโลก รวมทั้งบ้านเมืองของเราและครอบครัวของเรา จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันและมีสันติสุข โดยเฉพาะในวันนี้ที่เป็น “วันคุ้มครองโลก” ด้วยเทอญ
 
***************************


ในที่สุดจอห์นก็ยอมสวมเหรียญอัศจรรย์

 


ขณะที่จอห์นฟังเรื่องราวที่เล่าว่าโซอี แคทเธอรีน ลาบูเร(Zoe Catherine Laboure)ขณะที่อยู่ในวัยยี่สิบสามปี, ด้วยความช่วยเหลือของพี่ชายของเธอและภรรยาของเขา ในที่สุดก็สามารถชนะใจพ่อของเธอที่จะให้เธอเข้าสู่คณะนักบวช ธิดาเมตตาธรรม(Daughter of Charity) จอห์นรู้สึกมีความสะเทือนใจ และเห็นใจในตัวเองอย่างที่ไม่เคยประสบมาหลายปีแล้ว
 
“ซิสเตอร์ครับ . . ” เขาเริ่มพูด,แล้วก็เงียบไป การถามคำถามจะมีประโยชน์อะไร? ดูเหมือนซิสเตอร์แคทเธอรีนจะอ่านความคิดเหล่านี้ได้ “จอห์น พระเจ้าผู้แสนดีทรงรักเราแต่ละคน---โอ้ รักมากจริงๆ!---ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่ทำให้พระองค์ขุ่นเคืองก็ตาม” "แต่ผมไม่เข้าใจ . . " "ฟังนะ จอห์น เธออยากได้อะไรมากที่สุดในโลกนี้" “เธออยากมีความสุขใช่ไหม “ช -ใช่” “แล้วเธอคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้!” “โอ้ ไม่ใช่สำหรับคุณนะซิสเตอร์ คุณใจดีและมีความดีโดยธรรมชาติ แต่สำหรับผม . . "
 
“จอห์น เป็นเรื่องจริงที่ฉันได้รับพระหรรษทานมากกว่าเธอเพื่อช่วยให้ฉันมีความสุข แต่นั่นไม่ใช่เพราะฉันใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการขอสิ่งเหล่านั้น!” “บอกฉันซิว่า เธอรักพระเจ้าจริงๆหรือเปล่า?” “ไม่ครับ ซิสเตอร์ ผมเกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น” “แล้วเธอเคยขอให้พระองค์ช่วยให้เธอรักพระองค์บ้างไหม?” "ไม่ครับ." "และทำไมไม่ล่ะ?"
 
ทันใดนั้นซิสเตอร์แคทเธอรีนเริ่มพูดอย่างเป็นธรรมชาติและมั่นใจเกี่ยวกับความปรารถนาของพระเจ้าที่จะได้รับความรัก แม้จะโดยวิญญาณที่บาปและท้อแท้ที่สุด จนจอห์นรู้สึกประทับใจทั้งๆที่คิดไปเองว่า ผู้คนถูกกำหนดให้มีความสุข,แม้ในโลกนี้, วิธีเดียวที่จะบรรลุเป้าหมายนี้คือรักพระเจ้าและพูดว่า "ตกลง" กับสิ่งที่พระองค์ต้องการ ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความซื่อสัตย์ ไม่บ่น และให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน มากไปกว่านั้น.
 
ความโศกเศร้าและความไม่พอใจนั้นมีอยู่ในโลกส่วนใหญ่เป็นเพราะคนไม่พร้อมที่จะมีความสุข พวกเขาไม่เคยพยายามที่จะรู้จักพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะรักและรับใช้พระองค์อย่างเหมาะสม แต่พวกเขากลับพยายามที่จะรู้จักและรักสิ่งอื่นๆแทน แต่เขาต้องผิดหวังเพราะได้รับแต่ความว่างเปล่า
 
ทุกคนไม่ว่าจะยากจนหรือทำบาปมากเพียงใดก็ตามสามารถเตรียมพร้อมสำหรับความสุขที่แท้จริงและสันติในจิตใจ ด้วยการสวดภาวนาที่ร้อนรนและต่อเนื่องเพื่อจะได้รู้จักและรักพระเจ้า เพื่อที่คนๆหนึ่งจะได้รับใช้พระองค์อย่างเหมาะสม คำภาวนาที่ดีจะได้รับคำตอบเสมอ ครั้นแล้ว มีผู้หนึ่งมาถึง ณ ธรณีประตูแห่งความยินดี
 
“จอห์น หากเธอต้องการเรียนรู้วิธีรักพระเจ้าอย่างมาก และมีความสุขในการรับใช้พระองค์ ทำไมไม่ขอให้แม่พระช่วยเธอล่ะ ทำไมไม่สวมเหรียญเล็กๆนี้ไว้ที่คอของเธอล่ะ” “ต-แต่ . . . ” “ฉันสัญญากับเธออย่างหนึ่ง หากเธอสวมเหรียญแม่พระและสวดภาวนาเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันว่า ข้าแต่พระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล โปรดภาวนาเพื่อเราผู้เดินตามพระแม่, แล้วสิ่งอัศจรรย์จะเกิดขึ้น"
 
จอห์นยิ้ม,อย่างเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพระเจ้าจะทรงห่วงใยผมมากขนาดนี้นะครับซิสเตอร์---ไม่ว่าผมจะมีความสุขหรือไม่ก็ตาม แต่เพื่อให้ซิสเตอร์พอใจ---เพราะซิสเตอร์ดีต่อผม---ดีกว่าใครๆรอบๆบริเวณนี้ . . . "
 
“เธอจะสวมเหรียญหรือ?” "ใช่ครับ." “แล้วสวดภาวนาด้วยมั้ย?” "เอ่อ . . . " "ได้โปรดจอห์น! นั่นสำคัญมากนะ!" “ตกลง, ผมจะสวดภาวนาด้วย” "สวดทุกวัน?" "ทุกวันครับ"
 
ที่มา: The Miraculous Medal
 
************************