วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

ประตูนรกไม่มีวันชนะพระศาสนจักรนี้ได้


พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า “เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” มัทธิว 16:13-20

นโปเลียน มีภาพลักษณ์ทั้งในทางบวกและในทางลบต่อพระศาสนจักรคาทอลิก

ในตอนที่เขามีอำนาจสูงสุด มีนายพลของเขาคนหนึ่งถามเขาว่า ช่วงเวลาไหนในชีวิตที่เขามีความสุขมากที่สุด นโปเลียนตอบว่า “วันที่ผมได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก เป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต.....”  และนโปเลียนพูดว่า “ผมจะขอตายในความเชื่อของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งได้โอบกอดผมมาตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้มากกว่าห้าสิบปีแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ชีวิตส่วนใหญ่ของนโปเลียนกลับเป็นการทำร้ายผู้ใหญ่ทางฝ่ายศาสนา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่ให้ความเคารพนับถือต่อพระสันตะปาปา  ในปี 1804 นโปเลียนได้บังคับให้พระสันตปาปาปีโอที่7 ให้เสด็จมาที่ปารีสเพื่อสวมมงกุฎจักรพรรดิให้แก่เขา  และเมื่อพระสันตปาปาเสด็จมาถึง นโปเลียนได้ทำการดูหมิ่นพระสันตะปาปาหลายวิธี  อย่างเช่นในระหว่างพิธีสวมมงกุฏ  นโปเลียนถือวิสาสะดึงมงกุฎจากมือของพระสันตะปาปามาสวมศีรษะด้วยตัวเอง  และหลังจากนั้นเขาก็พยายามหาเรื่องให้พระสันตปาปาย้ายมาอยู่ที่ปารีส  เพื่อที่เขาจะได้มีอำนาจเหนือพระศาสนจักร  แต่พระสันตะปาปาปฏิเสธนโปเลียน พระองค์ตรัสว่า “เจ้าแสดงตลกได้ดีนี่”  ทำให้นโปเลียนโกรธมาก  เขาดึงเอารูปภาพของนักบุญเปโตรลงมาและฉีกรูปภาพเป็นชิ้นๆ  พร้อมทั้งประกาศว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าจะทำกับพระศาสนจักร—ข้าจะทำให้มันแหลกเป็นจุญ”  คราวนี้พระสันตะปาปาตรัสว่า “ตอนนี้เจ้าแสดงบทโหดเสียแล้ว”

ไม่กี่ปีต่อมา  ในปี 1809 นโปเลียนก็ส่งกองทัพเข้ายึดรัฐของพระสันตะปาปาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของอิตาลี  ตั้งแต่บัดนั้นคลื่นความเสียหายก็พัดกระหน่ำโจมตีนโปเลียน  เพียงสี่วันต่อมา เขาก็ได้ข่าวว่านายพลของเขาได้พ่ายแพ้ในสงคราม  และประเทศต่างๆในยุโรปก็รวมตัวกันได้ทำให้ความเป็นไปได้ของแผนที่นโปเลียนวางไว้ที่จะพิชิตยุโรปหมดสิ้นไป  ต่อมานโปเลียนก็ถูกจับกุม  และพระสันตะปาปาก็ทรงบัพชนียกรรมนโปเลียน (ขับออกจากพระศาสนจักร)  นโปเลียนกลับพูดเย้ยหยันว่า “พระองค์คิดว่าจะทำให้อาวุธหลุดจากมือทหารของผมได้หรือ?”  แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  ทหารของนโปเลียนที่ยกไปโจมตีรัสเซีย  ต้องเผชิญกับภาวะอากาศที่หนาวโหดร้ายที่สุดของรัสเซีย  และแผนการรบของรัสเซียคือการตั้งรับไม่ต่อสู้กับทหารของนโปเลียนเลย  รัสเซียใช้วิธีทิ้งเมือง ขนเสบียงอาหารและทรัพย์สมบัติทั้งหมดไป  และเผาเมือง แม้ทหารฝ่ายนโปเลียนจะเข้าเมืองได้แต่ก็พบแต่ซากของบ้านเรือนและไม่มีอาหารกิน ทหารจำนวนมากอ่อนแอหรือไม่ก็หนาวจนไม่มีแรงจะถือปืน  นโปเลียนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงและถูกเนรเทศไปอยู่เกาะเอลบาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน    ต่อมานโปเลียนหลบหนีจากเกาะเอลบาไปยังเกาะเซนต์เฮเลนาซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอตแลนติก 

เวลานั้นมีบางครั้งนโปเลียนได้ส่งจดหมายไปยังพระศาสนจักรที่กรุงโรมและพูดว่าไม่มีศาสนาใดดีกว่าคาทอลิก เขาขอร้องพระสันตะปาปาให้ส่งพระสงฆ์มาดูแลเขา และยังสรรเสริญพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้  นโปเลียนพูดว่า “ประเทศต่างๆในโลกนี้จะผ่านพ้นไป และบัลลังก์ของพวกเขาจะสูญสิ้นไป แต่พระศาสนจักรเท่านั้นที่จะคงอยู่”  นโปเลียนเรียนรู้จากผลกรรมและความทุกข์เวทนาที่ได้รับว่าพระสัญญาของพระเยซูเจ้าต่อนักบุญเปโตรนั้นเป็นความจริง  ไม่มีผู้ใดและไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำลายพระศาสนจักรได้

ในจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรมัน(11:33-36) นักบุญเปาโลกล่าวถึง “พระปรีชาและความรอบรู้อันลึกล้ำของพระเจ้า”   ท่านสอนเราว่าการพิพากษาของพระเจ้านั้นอยู่เหนือความเข้าใจของเรา  และพระฤทธานุภาพของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ไม่อาจจินตานาการได้  ดังนั้นไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างใด ให้เราวางใจในพระเยซูเจ้าและปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์เสมอ  ในหนังสืออิสยาห์(22:19-23) เชตนาห์ ผู้เคยปกครองอิสราแอลเมื่อ 700 ปีก่อนพระเยซูเจ้า  ก็เคยทำเช่นเดียวกับนโปเลียน  และเขาก็ถูกพระเจ้าถอดถอนจากตำแหน่ง พระเจ้าทรงแต่งตั้งเอลีอาคิมขึ้นมาแทน  เอลีอาคิมผู้มีใจถ่อมตนและเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าและของประชาชนของเขา  เขาได้รับอำนาจและหน้าที่การปกครอง  และเขาก็ทำได้เป็นอย่างดี  แสดงให้เห็นว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นได้มาจากการเชื่อฟังพระเจ้า

นักบุญเปโตรเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่อง  ถึงแม้ท่านจะผิดพลาดหลายครั้ง มีความอ่อนแอ  ใจร้อน ดื้อดึง และเข้าใจช้า  แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงเลือกเปโตรให้เป็นหัวหน้าอัครสาวก  ท่านทำผิดพลาดโดยปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึงสามครั้ง  แต่ท่านก็ถ่อมตนยอมรับความผิดและวอนขออภัย  ท่านวางใจในพระหรรษทานของพระเจ้า

โดยอาศัยพระฤทธานุภาพของพระจิตเจ้า  นักบุญเปโตร  บรรดาอัครสาวกคนอื่นๆ และผู้สืบทอดตำแหน่งต่อๆมา ได้ปฏิบัติภารกิจที่พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายไว้ได้สำเร็จ และสำเร็จมากกว่าที่พวกท่านคาดคิดได้เสียอีก

 “แล้วพวกเราล่ะ  มีกี่คนที่อ่อนแอและทำบาป?” คำตอบก็คือ “ทุกคน”

“และมีกี่คนที่พระเจ้าจะสามารถใช้ให้ไปช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง?” คำตอบก็คือ “เราทุกคน”

พระหรรษทานของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าบาปของพวกเรา  และพละกำลังของพระองค์ก็แข็งแกร่งกว่าความอ่อนแอของพวกเรา

ประวัติของพระศาสนจักรได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้  มีหลายครั้งในประวัติศาสตร์ และมีหลายคน ตั้งแต่พระสันตะปาปา พระคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวช และผู้มีความเชื่อมากมายในอดีต  และแม้แต่ในปัจจุบันนี้ที่กระทำสิ่งไม่ถูกต้อง  ทำความเสื่อมเสีย  และกระทำการทรยศ  ซึ่งถ้าเป็นสถาบันอื่นก็อาจต้องล่มสลายไปนานแล้ว  แต่พระศาสนจักรยังคงอยู่มาได้ก็เพราะพระเยซูเจ้าทรงอยู่กับพระศาสนจักร  โดยพระองค์พระศาสนจักรยังคงเป็นเครื่องหมายแห่งความรอดพ้นและพระหรรษทานของพระเจ้า  และนี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวให้เราเย่อหยิ่งและหยุดแก้ไขสิ่งผิดพลาดของเรา หรือไม่พยายามชนะใจของตัวเองที่จะไม่ทำบาป  แต่นี่ต้องเป็นเหตุทำให้เรามีความหวังและมีความเชื่อในพระเยซูเจ้ามากยิ่งขึ้น

บางคนอาจพูดว่า “ฉันไม่ใช่คนพิเศษ  พระเจ้าจะทรงใช้ฉันได้อย่างไร? ฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา จะทำอะไรได้?”  คำตอบต่อคำพูดนี้ก็คือ  จงเป็นตัวของตัวเองเถิด  เป็นคนดีที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ จงสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก แล้วสิ่งอื่นๆก็จะตามมาเอง  พยายามมองเห็นพระเยซูเจ้าในตัวของผู้อื่น  ทำสิ่งดีๆเพื่อทำให้ผู้อื่นมองเห็นพระเยซูเจ้าในตัวคุณ ยอมรับบาปที่คุณทำและขออภัยต่อพระเจ้า  ยอมรับความอ่อนแอของคุณและวอนขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือ  เมื่อเห็นผู้อื่นทำสิ่งที่ดีจงสรรเสริญเขาและสนับสนุนเขา เมื่อเห็นคนอื่นอ่อนแอจงช่วยเหลือเขาและให้กำลังใจแก่เขา เมื่อมีคนขอให้คุณช่วยเหลือ  ถ้าคุณสามารถทำได้ก็จงช่วยเหลือเขาตามความสามารถ  สวดภาวนาเพื่อผู้อื่น มองเห็นสิ่งดีๆในตัวของผู้อื่น จงรวดเร็วในการสรรเสริญและชักช้าในการวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิ 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของสิ่งที่เราสามารถทำได้ถึงแม้เราจะมีความอ่อนแอหรือมีบาป  นี่เป็นวิธีที่จะติดตามพระเยซูเจ้าและมีส่วนร่วมกับภารกิจของพระศาสนจักรของพระองค์  ทั้งยังเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อผู้สืบอำนาจต่อจะนักบุญเปโตรและบรรดาอัครสาวก  ดังเช่นที่นโปเลียนได้รับบทเรียนมาอย่างยากเย็น  “ไม่มีอำนาจใดของโลกที่จะเอาชนะพระศาสนจักรได้”  เมื่อเราได้ปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างดีในฐานะผู้มีความเชื่อคาทอลิก  เราก็จะสามารถต่อสู้กับความชั่วและมีชัยชนะในชีวิตนี้ และเราจะได้มีส่วนในชัยชนะนิรันดรของพระเยซูคริสตเจ้า

-----------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น