“เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่า ถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง 8อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก ดังนั้นท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้
‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์
โปรดประทานอาหารประจำวันeแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้
โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า*
เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ
แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’”
(มัทธิว 6 : 7-13)
เหล่าสาวกของพระเยซูขอให้พระองค์สอนพวกเขาอธิษฐานภาวนา พระองค์ตอบด้วยบทสวดข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบทภาวนาที่พระเยซูเองก็ทรงสวดด้วยเช่นกัน ในบทภาวนานี้ได้รวมเนื้อหาคำสอนของพระองค์ไว้ เนื้อหานั้นแสดงถึงความสนิทสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า เพราะพระองค์ให้เราเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา เราจึงเป็นบุตรของพระเจ้าที่กำลังพูดกับพระบิดาของเราในสวรรค์ บทภาวนานี้ไม่ใช่เป็นการวอนขอสิ่งต่างๆ แต่เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ของเราในฐานะบุตรธิดาและพระเจ้าในฐานะพระบิดา
พระเยซูทรงสอนบรรดาสาวก – และพวกเราด้วย – ให้ถ่อมตนในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราต้องคงความเป็นเด็กไว้ เราต้องตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความเล็กน้อยของเรา หากเราปรารถนาจะเข้าใกล้พระเจ้าด้วยการอธิษฐานภาวนา เราจะไม่สามารถมีความคิดที่เกินจริงเกี่ยวกับตัวเราเองได้ เราไม่ควรเรียกร้องให้พระเจ้าทรงกระทำการใดๆ แต่เราควรวางความต้องการของเราไว้กับพระองค์ด้วยความเคารพ และวางใจในความดีและแผนการของพระองค์ ดังคำพูดในบทสวดนี้ “พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์”
เราสามารถวางความกังวลของเราไว้กับพระองค์ได้โดยปราศจากความวิตกกังวล โดยไม่ต้องต่อรองหรือเรียกร้องสิ่งใด การสนทนาอย่างถ่อมตนกับพระบิดาผู้ทรงรักคือแก่นแท้ของการอธิษฐานภาวนาแบบคริสตชน
************************

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น