วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ดร. กลอเรีย โปโล


ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล
 


ดร. กลอเรีย โปโล เป็นทันตแทพทย์ เธอถูกฟ้าผ่าและเสียชีวิตในวันที่ 5 พ.ค. 1995 ที่กรุงโบโกต้า ในประเทศโคลอมเบีย หลังจากเสียชีวิตเธอถูกพิพากษาและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เธอได้เล่าประสบการณ์ของเธอให้ประชาชนจำนวนมากรับรู้
      จากการบรรยายของ ดร. กลอเรีย โปโล
       วันที่ 5 พ.ค. 2005 กรุงคาราคัส ประเทศเวเนซูเอลา
           สวัสดีค่ะ ทุกๆท่าน เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์สำหรับดิฉันที่ได้มาอยู่ที่นี่ เพื่อแบ่งปันกับพวกคุณถึงพระพรอันสวยงามที่พระเยซูเจ้าทรงประทานให้แก่ดิฉัน
           ดิฉันกำลังเล่าเรื่องที่เกิดในวันที่ 5 พ.ค. 1995 ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติที่กรุงโบโกตา มันเริ่มต้นเมื่อเวลา 16.30 น.
 ดิฉันเป็นทันตแพทย์ ดิฉันและหลานชายอายุ 23 ปี ซึ่งเป็นทันตแพทย์เช่นเดียวกัน เรากำลังศึกษาเพื่อเป็นทันตแพทย์ผู้เชื่ยวชาญพิเศษ ในวันนั้นซึ่งเป็นวันศุกร์ เวลาประมาณ 16.30 น. เราทั้งสองกำลังเดินไปด้วยกันพร้อมกับสามีของดิฉันไปยังคณะทันตแพทย์ เพื่อไปหาหนังสือที่เราต้องการในห้องสมุคของมหาวิทยาลัย ดิฉันกับหลานชายเดินอยู่ใต้ร่มเล็กๆ ส่วนสามีดิฉันสวมชุดกันฝน เขาเดินไปหาที่หลบฝนจึงเดินใกล้กำแพงของห้องสมุดทั่วไป ส่วนดิฉันกับหลานเดินพลางกระโดดพลางเพื่อหลบน้ำที่นองอยู่ที่พื้นและขณะที่อยู่ใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ก็มีฟ้าผ่าลงมาที่เรา ทำให้เราทั้งสองไหม้เกรียม

หลานชายของดิฉันเสียชีวิตทันที ฟ้าผ่ามาทางด้านหลัง เผาร่างของเขาจากด้านในร่างกายลงมาถึงเท้า เขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาในศาสนามาก เขามีความศรัทธาต่อพระเยซูกุมารเป็นพิเศษและแขวนเหรียญพระรูปไว้ที่คอเสมอ เจ้าหน้าที่บอกว่าเพราะเหรียญนี้ที่ดึงดูดสายฟ้าให้ผ่าลงมาที่หลานของดิฉัน ฟ้าผ่าเข้าไปถึงหัวใจและอวัยวะอื่นๆ...หัวใจของเขาหยุดเต้น ไม่ตอบสนองต่อความพยายามปั๊มหัวใจของหมอ เขาเสียชีวิตตรงบริเวณนั้นเอง
ส่วนดิฉัน ฟ้าผ่าลงมาทางหัวไหล่ และเผาไหม้ทั่วร่างทั้งภายในและภายนอก เนื้อบางส่วนรวมทั้งบริเวณทรวงอกหายไปเลย โดยเฉพาะทางด้านซ้าย เหลือเป็นช่องโหว่ เนื้อที่บริเวณท้อง, ขา , ชายโครง ก็หายไปด้วย ตับ, ไต , ปอด และรังไข่ ไหม้เกรียม...ไฟฟ้าแล่นออกมาทางขาขวา
เป็นเพราะดิฉันใช่ห่วงคุมกำเนิดซึ่งวัสดุทำด้วยทองแดง มันจึงเป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้าที่ดี กระแสไฟฟ้าได้ทำให้รังไข่ทั้งสองไหม้เกรียม
ดิฉันได้รับการปั๊มหัวใจ แต่ดิฉันก็เสียชีวิตแล้ว ร่างกายดิฉันกระตุกขณะที่ปั๊มหัวใจด้วยเครื่องปั๊มหัวใจไฟฟ้า
ร่างกายของดิฉันที่คุณเห็นอยู่ในเวลานี้ เป็นร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นผลจากพระเมตตาของพระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

โลกอื่น                    
            แต่นี่เป็นเพียงส่วนของร่างกายเท่านั้น....ขณะที่ร่างกายของดิฉันถูกเผาและนอนอยู่ที่พื้น ในชั่วขณะนั้นดิฉันพบว่าตัวเองอยู่ในช่องอุโมงค์แสงสีขาวที่สวยงาม แสงที่น่ามหัศจรรย์ซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกยินดี มีสันติและความสุขซึ่งไม่อาจหาคำใดมาบรรยายความยิ่งใหญ่ในเวลานั้นได้ มันเป็นของจริง ดิฉันมองดูข้างในและปลายอุโมงค์แล้วดิฉันก็เห็นแสงสีขาว เหมือนดวงอาทิตย์ เป็นแสงที่สวยงาม...เมื่อดิฉันพูดกับคุณเกี่ยวกับสี เราพูดถึงสีที่ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่บนโลกนี้ มันเป็นแสงที่วิเศษ ดิฉันรู้สึกถึงสันติสุขและความรักภายในแสงนั้น ของแสงนั้น
           เมื่อดิฉันเข้าไปในอุโมงค์และตรงไปยังแสง ดิฉันพูดกับตัวเองว่า คาแรมบา ฉันตายแล้วและดิฉันก็คิดถึงลูกๆ ดิฉันจึงสะอื้นพูดว่า แย่จริง พระเจ้าข้า ลูกๆของดิฉันยังเล็ก พวกเขาจะพูดว่าอย่างไร? แม่คนนี้ช่างเห็นแก่ตัวจริง เธอไม่มีเวลาให้กับพวกเขาเลย...ความจริง ทุกวันดิฉันจะออกจากบ้านตอนเช้าตรู่ และไม่กลับบ้านก่อนห้าทุ่มตอนกลางคืนเสมอ
ดิฉันได้มองเห็นความจริงในชีวิตของฉันและรู้สึกเศร้าใจมาก ดิฉันออกจากบ้านตั้งใจจะเอาชนะโลก แต่ได้อะไรเล่า....ฉันคิดถึงสองสถานที่คือบ้านและลูกๆ...ในเวลานั้นฉันคิดถึงลูกๆโดยไม่รู้สึกถึงร่างกายตนเอง หรือมิติของเวลาหรือสถานที่ ดิฉันเพ่งมองดู และได้เห็นบางอย่างที่สวยงามมาก ดิฉันเห็นคนทุกคนที่รู้จักในเวลาที่มีชีวิตอยู่...อย่างรวดเร็วเพียงชั่วขณะ....ทุกๆคนที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ดิฉันสามารถโอบกอดคุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่(ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว)....ทุกๆคน...มันเป็นเวลาที่เต็มเปี่ยมด้วยความยินดี น่ามหัศจรรย์ ดิฉันเริ่มเข้าใจว่าดิฉันได้หลอกตัวเองด้วยความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ - เคยมีคนบอกดิฉันว่า คุณย่าได้ไปเกิดใหม่แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าที่ไหน เพราะข้อมูลนี้ทำให้ดิฉันเสียเงินไปมากทีเดียว และดิฉันก็ไม่ได้ทำการค้นหาต่อไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าท่านไปอยู่กับใคร คุณทราบไหม ดิฉันเชื่อในทฤษฏีเรื่องการเกิดใหม่ และเวลานี้...ที่นั่น...ดิฉันได้กอดท่านทั้งสอง...
ดิฉันโอบกอดท่าน และคนอื่นๆที่ดิฉันรู้จักเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่มีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว และเป็นเวลาเพียงชั่วครู่เดียว ลูกสาวซึ่งดิฉันได้โอบกอดไว้ รู้สึกตกใจ เธออายุ 9 ขวบ และเธอรู้สึกถึงการโอบกอดนี้ เพราะดิฉันสามารถโอบกอดคนที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วย (แต่โดยปกติเราจะไม่รู้สึกถึงการโอบกอดนี้)
ดิฉันไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปในชั่วขณะนั้นซึ่งงดงามอย่างยิ่ง ดิฉันไม่มีร่างกายอีกแล้ว มันช่างเหลือเชื่อที่ได้เห็นผู้คนด้วยวิธีใหม่ ดิฉันรู้ว่าแต่ละคนมีลักษณะอย่างไร (อ้วน ผอม น่าเกลียด สวยงาม ฯลฯ)
เมื่อดิฉันกอดพวกเขา ดิฉันมองเห็นเขาจากภายในด้วย และมันช่างสวยงาม...ดิฉันเห็นความคิดของเขา อารมณ์ความรู้สึกของเขา
ดิฉันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อ เต็มไปด้วยสันติและความสุข ยิ่งดิฉันไปไกลเพียงใด ดิฉันยิ่งเห็นสิ่งที่สวยงามมากขึ้น ทางด้านล่างดิฉันเห็นสระน้ำที่สวยงาม...ใช่แล้ว สระน้ำที่สวยงามบรรเจิดเพริศแพร้ว ต้นไม้ที่สวยงาม สวยและมหัศจรรย์จริงๆ....และมีดอกไม้ที่สวยงามยิ่งนัก มีทุกสีและกลิ่นหอม แตกต่างจากดอกไม้บนโลกของเรา...ทุกอย่างสวยงามเหลือเกินในสวนอันวิเศษ น่ามหัศจรรย์นี้...คำพูดไม่สามารถบรรยายได้ ทุกอย่างคือความรัก
มีต้นไม้สองต้นอยู่ด้านข้าง เป็นลักษณะบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นทางเข้า มันไม่เหมือนกับสิ่งใดที่เรารู้จัก คุณไม่สามารถหาสิ่งใดบนโลกที่มีสีแบบนี้ บนนี้ทุกอย่างสวยงามยิ่งนัก...ในเวลานั้นเองหลานชายของดิฉันก็เข้าไปในสวนอันมหัศจรรย์
...แต่ดิฉันรู้สึก ดิฉันรู้ว่า ดิฉันต้องไม่เข้าไปที่นั่น
     การกลับมาครั้งแรก
ในชั่วขณะนั้นดิฉันได้ยินเสียงสามีของดิฉัน เขาร้องไห้คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า เขาร้องว่า กลอเรีย กลอเรีย ได้โปรด อย่าทิ้งผมไป มองดูลูกๆของเราสิ ลูกของคุณต้องการคุณ กลอเรีย กลับมา กลับมา อย่าอยู่เฉย กลับมา
ดิฉันได้ยินทุกอย่าง เห็นเขาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด..อนิจจา ขณะนั้น พระเป็นเจ้าของเราทรงอนุญาตให้ดิฉันจากไป....แต่ดิฉันไม่ต้องการกลับมา สันติสุขเช่นนั้น ซึ่งห่อหุ้มดิฉัน ทำให้ดิฉันหลงใหล แต่อย่างช้าๆดิฉันเริ่มเข้าใกล้ร่างกายซึ่งปราศจากชีวิต ดิฉันเห็นร่างที่ปราศ จากชีวิตนอนเหยียดยาวอยู่ในห้องพยาบาลของมหาวิทยาลัย ดิฉันเห็นหมอที่กำลังช็อกด้วยไฟฟ้าที่ร่างของดิฉัน เพื่อทำให้หัวใจเต้น ดิฉันและหลานชายนอนอยู่บนพื้นนานสองชั่วโมงขณะที่ถูกช็อกด้วยไฟฟ้า พวกเขาพยายามยื้อชีวิตของเรา
ดิฉันมองดูและยืนด้วยเท้าของวิญญาณ (วิญญาณมีรูปแบบของมนุษย์) ศีรษะของดิฉันมีประ กายไฟฟ้าอย่างรุนแรงและดิฉันก็เข้าไป ดูเหมือนร่างกายจะดูดดิฉันให้เข้าไป มีความเจ็บปวดมากในการเข้าไป ประกายไฟเกิดในทุกส่วนและดิฉันรู้สึกตัวว่าไปประกบกับบางสิ่งที่เล็กมาก(ร่างกายของดิฉัน) เหมือนกับร่างกายเข้าไปในเสื้อผ้าของเด็กเล็กๆที่ทำด้วยเหล็กอย่างรวดเร็วทันทีทันใดและรุนแรง ดิฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งจากเนื้อที่ถูกเผาไหม้ ร่างกายถูกเผาทั้งหมด มีความเจ็บปวดอย่างที่สุด มีควันและไอคุกรุ่นออกมา...ดิฉันได้ยินเสียงหมอร้องออกมาว่า เธอกลับมาแล้ว เธอกลับมาแล้ว
พวกเขาดีใจและมีความสุขมาก แต่ความเจ็บปวดของดิฉันมากจนสุดบรรยาย ขาดำเป็นถ่าน มีเนื้อที่ยังดีอยู่ที่แขนและร่างกายบางส่วน พวกเขาคิดว่าอาจเป็นไปได้ที่ดิฉันจะเดินไม่ได้อีก
..แต่สำหรับดิฉันยังมีความเจ็บปวดสาหัสอีกอย่างหนึ่ง ความรู้สีกว่าไร้ความสามารถ สูญเสียความสามารถบางอย่าง...ต้องเป็นทาสของร่างกาย ความสวยงาม แฟชั่น ดิฉันเคยใช้เวลาสี่ชั่วโมงในการเต้นแอโรบิกเพื่อจะได้มีร่างกายที่สวย ไปนวดตัว อดอาหาร ฉีดยา...ทำทุกอย่างที่ทำได้ นี่เป็นชีวิตของดิฉัน เป็นทาสของกิจกรรมประจำวันเพื่อที่จะมีร่างกายที่สวย
ดิฉันเคยพูดกับตัวเองว่า ถ้าฉันมีทรวงอกที่สวย ทำไมต้องปกปิดไว้
เช่นเดียวกับขาของดิฉัน เพราะดิฉันรู้ว่าดิฉันมีขาที่เรียวงาม มีกล้ามเนื้อท้องที่สวย...แต่ในชั่วขณะนั้น ดิฉันเห็นว่าชีวิตทั้งหมดของดิฉันช่างไร้ค่าเมื่อไปสนใจกับการดูแลรูปร่าง....เพราะความรักในรูปร่างของตัวเองเป็นทุกสิ่งในชีวิตของดิฉัน และตอนนี้ดิฉันไม่มีมันอีกแล้ว ทรวงอกของดิฉันเป็นช่องโหว่ โดยเฉพาะด้านซ้าย ขาหักและไม่มีเนื้อ...ดำเป็นถ่าน 
        ที่โรงพยาบาล                      
           พวกเขานำฉันไปที่ โซเชียล เซกูโร” (Social Seguro) และทำการผ่าตัดทันที เพื่อเอาเนื้อเยื่อที่ถูกเผาออก เขาวางยาสลบฉัน ฉันได้ออกจากร่างกายอีกครั้งหนึ่ง มีความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับขาของฉัน ทุกอย่างเกิดขึ้นทันทีทันใดในเวลาเดียวกัน มันน่ากลัวมาก
           สิ่งแรกที่ฉันต้องบอกกับพวกคุณก็คือ ฉันเป็น คาทอลิกที่เฉื่อยชา มาตลอดชีวิต เพราะความสัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้ามีเพียง 25 นาทีในมิสซาวันอาทิตย์เท่านั้น มีเพียงเท่านั้น ฉันไปร่วมพิธีมิสซาที่พระสงฆ์เทศน์เพียงสั้นๆ เพราะฉันเริ่มเบื่อโบสถ์ที่พระสงฆ์เทศน์นานๆ นี่คือความสัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้า กระแสของโลกดึงดูดฉันออกมา ฉันไม่มีสิ่งปกป้องชีวิตฝ่ายจิต ซึ่งได้แก่การสวดภาวนาอย่างดีด้วยความเชื่อ แม้แต่เวลาที่ฉันร่วมพิธีมิสซาของวันหนึ่ง ขณะนั้นฉันกำลังศึกษาเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ฉันได้ยินพระสงฆ์องค์หนึ่งพูดว่าไม่มีนรก หรือแม้แต่ปีศาจก็ไม่มีด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ฉันอยากได้ยิน ฉันเริ่มคิดกับตัวเอง ถ้าปีศาจไม่มีและนรกก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเราทุกคนก็ไปสวรรค์ แล้วเราจะต้องกลัวอะไรเล่า?
          สิ่งที่ทำให้ฉันเศร้าใจในเวลานี้ และต้องสารภาพต่อพวกคุณด้วยความอับอายอย่างยิ่ง ก็คือ สิ่งที่ทำให้ฉันยังคงยึดติดกับศาสนาคาทอลิกก็คือความกลัวปีศาจ เมื่อฉันได้ยินว่าไม่มีนรก ฉันพูดทันทีว่า ดีจริงๆ ถ้าเราทุกคนไปสวรรค์ ก็ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นอะไรหรือจะทำอะไร
          เรื่องนี้เป็นเหตุทำให้ฉันยิ่งอยู่ห่างไกลจากพระเป็นเจ้า ฉันเริ่มทำตัวห่างจากโบสถ์และพูดคำหยาบ ฯลฯ ฉันไม่กลัวบาปอีกต่อไป และเริ่มทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพระเป็นเจ้า ฉันบอกทุกคนว่าไม่มีปีศาจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระสงฆ์สร้างขึ้นมา และทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในคำสอนของพระศาสนจักร ในที่สุด.....ฉันก็มาถึงจุดที่ได้บอกกับเพื่อนๆในมหาวิทยาลัยว่าพระเป็นเจ้าไม่มีอยู่จริง และพวกเราเป็นผลผลิตของวิวัฒนาการ ฯลฯ ฯลฯ...และหลายคนก็เชื่อตามฉัน
กลับมาพูดถึงการผ่าตัดต่อ เมื่อฉันเห็นตัวเองในสภาพเช่นนั้น มันช่างน่ากลัวจริงๆ ในที่สุดฉันก็ได้เห็นว่าปีศาจมีอยู่จริง พวกมันมาตามหาฉัน พวกมันมาเพื่อให้ฉันดูรายการบาปทั้งหลาย ที่ฉันยอมรับจากการนำเสนอของมัน และการเสนอของมันไม่ใช่เป็นของฟรี ต้องมีการจ่าย บาปของฉันก็เป็นเช่นนั้นด้วย
           ในตอนนั้น ฉันเริ่มเห็นบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกำแพงห้องผ่าตัด มันคือวิญญาณของหลายคนที่ดูคุ้นๆ พวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง โหดร้าย น่ากลัว ทำให้วิญญาณของฉันสั่นเทา ฉันเริ่มรู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับปีศาจอยู่ ฉันรับรู้อย่างพิเศษ ให้มีความเข้าใจว่า พวกมันแต่ละตัวนั้นเป็นเจ้าหนี้บาปใดบาปหนึ่งของฉัน บาปซึ่งไม่ใช่ของฟรี และนั่นเป็นหลักการโกหกของปีศาจที่บอกว่าพวกมันไม่มีอยู่จริง นี่เป็นกลยุทธที่ยอดเยี่ยมในการทำงานของมันในการล่อ ลวงพวกเรา ฉันตระหนักทันที ใช่แล้วมันมีอยู่จริง และมันมาอยู่รอบตัวฉัน มาหาฉัน คิดดูเถอะ ฉันจะตกใจกลัวมากสักเพียงไร
          ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ฉันหนีไปรอบๆห้อง พยายามกลับเข้าไปในร่างของฉัน แต่เนื้อหนังไม่ยอมรับฉันแล้ว ฉันจึงพยายามหนีให้เร็วที่สุด ฉันผ่านกำแพงห้องผ่าตัดออกไป ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร หวังว่าจะหลบซ่อนในระเบียงของโรงพยาบาล แต่เมื่อผ่านกำแพงห้อง.....ก็ร่วงหล่นลง ฉันกระโดดไปยังความว่างเปล่า....ฉันมุ่งหน้าไปยังอุโมงค์หลายอุโมงค์ซึ่งเป็นทางลงมาเบื้องล่าง ในตอนแรกยังมีแสงน้อยๆอยู่บ้าง เหมือนรังผึ้งซึ่งมีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ วัยรุ่น คนชรา ผู้ชาย ผู้หญิง กำลังร้องไห้และส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว พวกเขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน...ส่วนฉัน ยิ่งตกใจกลัวมากขึ้น และพยายามหาทางออกข้างบน ในที่สุดแสงก็เริ่มหายไป....ฉันยังวนเวียนอยู่ในอุโมงค์ ในความมืดที่น่าสะพรึงกลัว จนในที่สุดมาถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนและไม่สามารถเปรียบเทียบกับสถานที่ใดๆได้......พูดได้แต่เพียงว่า แม้แต่สถานที่มืดมิดที่สุดในโลกก็ยังเปรียบเหมือนแสงสว่างกระจ่างจ้าในตอนเที่ยงวันสำหรับที่นี่ ข้างล่างนี้เป็นความมืดที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ความหวาดกลัว ความอับอาย และปวดระบมที่สุด มันเป็นความมืดที่มีชีวิต ใช่ มันมีชีวิต สถานที่นั้นจิต สำนึกจะตายหรือเฉื่อยชาไป ฉันพยายามจนที่สุด วิ่งหนีไปตามอุโมงค์ทุกแห่ง ฉันมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ด้วยความตั้งใจอย่างหนักแน่นที่จะออกไปจากที่นี่ให้ได้ เป็นความตั้งใจที่จะมีชีวิต แต่ตอนนี้ฉันช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว เพราะฉันติดอยู่ที่นี่และต้องอยู่ที่นี่....และแล้วถึงจุดหนึ่ง ฉันเห็นพื้นเปิดออกเหมือนปากขนาดใหญ่ ใหญ่มหึมา มันมีชีวิต ฉันรู้สึกตัวเองว่างเปล่าไร้ค่า และในตัวฉันเป็นห้วงสมุทรแห่งความหวาดกลัวจนทำให้ตัวเย็นแข็ง ที่ข้างล่างนี้ คุณจะไม่รู้สึกถึงความรักของพระเป็นเจ้าเลย ไม่มีสักหยดหนึ่งของความหวัง หุบเหวนั้นดึงดูดฉันให้เข้าไป ฉันร้องกรีดออกมาเหมือนคนบ้า เต็มไปด้วยความกลัวที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากการร่วงหล่นลงไป....ฉันรู้ว่าถ้าฉันหล่นเข้าไปในนั้นแล้ว ฉันจะไม่สามารถกลับขึ้นไปอีกได้เลย ฉันจะต้องอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล มันเป็นความตายของวิญญาณของฉัน
           ความตายของวิญญาณของฉัน ฉันจะสูญเสียไปตลอดนิรันดร..แต่ในขณะที่เต็มไปด้วยความกลัวอันยิ่งใหญ่นี้ พูดให้ถูกก็คือขณะที่ฉันกำลังจะเข้าไปในปากเหว นักบุญอัครเทวดามีคาแอลได้จับขาของฉันไว้....ร่างกายของฉันเข้าไปในห้วงเหวนั้นแล้ว แต่เท้าของฉันยังอยู่ข้างบน มันเป็นช่วงเวลาที่น่าหวาดหวั่นและเจ็บปวดอย่างสาหัส ขณะที่ตัวของฉันเข้าไปอยู่ข้างในนั้น แสงสว่างที่ยังคงเหลืออยู่ในวิญญาณของฉันได้รบกวนปีศาจเหล่านั้น เจ้าสิ่งมีชีวิตแสนสกปรกในนั้นเข้ามาโจมตีฉันทันที พวกมันเหมือนหนอนดูดเลือด ซึ่งพยายามจะดับแสงสว่างของฉัน คิดดูเถอะว่ามันน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไรที่เห็นตัวเองถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งมีชีวิตพวกนั้น....ฉันหวีดร้องออกมาเหมือนคนบ้า พวกมันกำลังถูกเผา พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำมืด เป็นความเกลียดชังที่ถูกเผาไหม้ ทำให้เราสั่นกลัว ทำให้เราอับอาย ไม่มีคำพูดใดมาบรรยายความน่ากลัวนี้ได้       
      วิญญาณในไฟชำระ           
            ขอบอกให้ทราบก่อนว่า ฉันเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าไม่นับถือศาสนา แต่ในที่นั้นฉันก็เริ่มร้องเสียงดังว่า วิญญาณในไฟชำระ โปรดช่วยฉันให้ออกไปจากที่นี่ด้วย ฉันขอวิงวอน โปรดช่วยฉันด้วย
            ขณะที่ร้อง ฉันก็ได้ยินเสียงร้องของคนนับพันพัน ...เป็นวัยรุ่น ใช่ทั้งหมดเป็นวัยรุ่น ที่มีความทุกข์แสนสาหัส ฉันรับรู้ได้ว่า ที่นั่น สถานที่น่ากลัวนั้น ในปลักโคลนแห่งความเกลียดชังและความทุกข์นั้น พวกเขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ส่งเสียงโอดครวญร่ำไห้ซึ่งทำให้ฉันเป็นทุกข์อย่างยิ่งจนฉันไม่อาจลืมได้เลย...(10 ปีผ่านไปแล้ว ฉันยังคงร้องไห้และเป็นทุกข์เมื่อระลึกถึงความทุกข์ของคนพวกนั้น)....ฉันกำลังจะบอกว่า ในที่ที่นั้น คนพวกนั้นเป็นคนที่ฆ่าตัวตายเพราะความสิ้นหวัง....ตอนนี้พวกเขากำลังถูกทรมานด้วยสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบตัวพวกเขา พวกปีศาจได้ทรมานพวกเขา แต่สิ่งที่ทรมานมากที่สุดคือการที่ขาดพระเป็นเจ้า เพราะที่นั่นไม่มีใครที่รู้สึกถึงพระเป็นเจ้าเลย คนพวกนั้นจะต้องอยู่ที่นั่นจนกว่าระยะเวลาที่เขาควรจะใช้ชีวิตบนโลกที่เหลืออยู่จะผ่านพ้นไป เพราะคนที่ปลิดชีวิตตนเอง พวกเขาอยู่นอกพระการุณย์อันศักดิ์สิทธิ์ คนพวกนั้นที่น่าสงสาร หลาย หลาย หลาย คนเป็นวัยรุ่น...ฉันร้องไห้และเป็นทุกข์มาก...ถ้ามนุษย์จะรู้สึกถึงความทุกข์นั้นได้ จะไม่มีใครที่จะตัดสินใจปลิดชีวิตตนเองเลย
           คุณรู้ไหมว่าการทรมานยิ่งใหญ่ที่สุดในนั้นคืออะไร?
        มันคือการที่ได้เห็นพ่อแม่ของเราเอง หรือ ญาติพี่น้อง ซึ่งมีชีวิตอยู่ กำลังร้องไห้และเป็นทุกข์ด้วยความรู้สึกผิดว่า ถ้าฉันไม่ทำโทษเขา หรือ ถ้าฉันพูดกับเขา หรือ ถ้าฉันไม่พูดกับเขา ถ้าฉันทำอย่างนี้ หรือทำอย่างนั้น....ในที่สุด ความเสียใจนั้นจะเป็นเช่นนี้ มันเป็นนรกสำหรับผู้ที่เขารักซึ่งยังอยู่บนโลก...นี่เป็นความทรมานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา และปีศาจก็แสดงภาพเหล่านี้ให้พวกเขาเห็น
          “ดูแม่ของแกร้องไห้สิ เขาเป็นทุกข์สักเพียงไร ดูพ่อของแกสิ พวกเขาคร่ำครวญเพราะแก พวกเขาตำหนิตัวเองและกล่าวหากันและกัน ดูความทุกข์ทั้งหมดที่แกเป็นต้นเหตุสิ พวกเขาต่อว่าพระเป็นเจ้า ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแกทั้งสิ้น
สิ่งที่คนที่น่าสงสารพวกนั้นต้องการก็คือ ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้กลับใจ เปลี่ยนชีวิตของตนเอง ทำกิจกุศล ไปเยี่ยมคนเจ็บป่วย...และขอมิสซาอุทิศแก่วิญญาณของผู้เสียชีวิตแล้ว วิญญาณเหล่านี้ได้รับประโยชน์มากมายจากกิจการเหล่านี้ วิญญาณที่อยู่ในไฟชำระไม่สามารถช่วย เหลือตัวเองได้เลย แต่พระเป็นเจ้าทรงช่วยได้ ใช่แล้ว โดยผ่านทางพิธีมิสซาอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกเราต้องช่วยพวกเขาด้วยวิธีนี้
ฉันเข้าใจว่าวิญญาณที่น่าสงสารนั้นไม่สามารถช่วยฉันได้ ในความทุกข์ ความเศร้าใจนี้ ฉันเริ่มส่งเสียงร้องอีก ต้องมีความผิดพลาดที่นี่ ดูสิฉันเป็นนักบุญนะ ฉันไม่เคยขโมย ไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยทำความชั่วให้ใคร ตรงกันข้าม ก่อนที่ธุรกิจของฉันจะล้มเหลว ฉันนำเข้าสินค้าที่ดีจากสวิสเซอร์แลนด์เพื่อใช้ในการถอนฟันและจัดฟัน หลายครั้งฉันไม่ได้เรียกร้องเงินจากลูกค้า ถ้าเขาไม่สามารถจ่ายได้ ฉันเคยนำสิ่งของไปให้คนยากจน แล้วทำไมฉันจึงมาอยู่ที่นี่?”
ฉันร้องเรียกความยุติธรรม ฉัน ซึ่งเป็นคนดีมาก น่าจะตรงไปสวรรค์ ฉันทำอะไรจึงมาอยู่ที่นี่? ฉันไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่ได้สนใจฟังเทศน์ของพระสงฆ์ แต่ฉันก็ไม่ขาดมิสซา ถ้าหากฉันขาดมิสซาเพียงห้าครั้งตลอดชีวิตของฉันก็ถือเป็นเรื่องใหญ่โตมาก แล้วฉันได้ทำอะไรจึงได้มาอยู่ที่นี่เล่า?
เอาฉันออกไปจากที่นี่ เอาฉันออกไปฉันร้องตะโกนด้วยความกลัว
ฉันเป็นคาทอลิก ฉันเป็นคาทอลิก ได้โปรด เอาฉันออกไปจากที่นี่

เห็นพ่อแม่ของฉัน
(
To be continued )

 

2 ความคิดเห็น:

  1. น่าสนใจมาก พระเจ้านั้นมีจริง อาโดนาย ขอทรงโปรดฟื้นฟูประเทศไทยด้วย พระเจ้าข้า

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณที่นำเรื่องราวน่าคิด เตือนใจ และสอนใจผู้คน มาแบ่งปันให้ทุกคนค่ะ ขอนำไปแบ่งปันให้คนอื่นๆต่อนะคะ

    ตอบลบ