วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

An Exorcist Tells His Story 2/3


คุณพ่อกาเบรียล เอมอร์ท Fr Gabriele Amorth เป็นพระสงฆ์ผู้พิธีขับไล่ปีศาจแห่งกรุงโรม  ท่านเคยทำพิธีนับร้อยครั้งในหลายปีที่ผ่านมา  ท่านเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีชื่อ An Exorcist Tells His Story  และ An Exorcist: More Stories.  บทความข้างล่างนี้กล่าวถึง “อำนาจของซาตาน” โดยนำมาจากหนังสือ An Exorcist Tells His Story (pages 25-36)









ซาตานซึ่งถูกปราบลงโดยพระคริสตเจ้า  ยังคงต่อสู้กับผู้ที่ติดตามพระคริสตเจ้า  สงครามต่อสู้กับจิตที่ชั่วร้าย “เริ่มต้นตั้งแต่จุดกำเนิดของโลก  และจะดำเนินต่อไปจนถึงวันสุดท้าย เพราะพระเป็นเจ้าทรงยืนยัน” (no. 37).  ในช่วงเวลานี้  มนุษย์ทุกคนต้องตื่นตัวเสมอและสำนึกว่ากำลังอยู่ในสงคราม  เพราะชีวิตบนโลกนี้นั้นเป็นการทดสอบความซื่อสัตย์ต่อพระเป็นเจ้า  “เพราะฉะนั้น เราจึงพยายามทำให้พระเป็นเจ้าพอพระทัยในทุกสิ่ง” (cf 2 Cor 5:9).  เราต้องสวมเสื้อเกราะของพระเป็นเจ้าเพื่อที่จะได้ต้านทานและต่อสู้กับเล่ห์กลของปีศาจได้  เราจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในวันแห่งความชั่วร้าย....เพราะก่อนที่เราจะได้ปกครองพร้อมกับพระคริสตเจ้าในสิริรุ่งโรจน์  เราทุกคนจะถูกนำไปอยู่เบื้องหน้าการพิพากษาของพระคริสตเจ้า  เพื่อที่แต่ละคนจะได้รับรางวัลในชัยชนะของเขาที่มีต่อร่างกาย  ตามผลงานของเขา  ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่ว” (2 Cor 5: 10)" (Lumen Gentium, no. 48).

สงครามต่อสู้กับซาตานนี้เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกคนและดำเนินอยู่ตลอดเวลา  อำนาจของซาตานนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆในประวัติศาสตร์  เมื่อบาปของสังคมเกิดขึ้นอย่างมากมาย  ตัวอย่างเช่น  เมื่อพ่อมองไปยังอาณาจักรโรมัน  พ่อสามารถเห็นถึงความเสื่อมทางจิตใจของมนุษย์ในสมัยนั้นจากประวัติศาสตร์  เวลานี้เราก็อยู่ในสถานะไม่แตกต่างจากสมัยนั้นมากนัก  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราใช้สื่อสารมวลชนในทางที่ผิด (สื่อสารมวลชนไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดในตัวของมันเอง)  และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะลัทธิบริโภคนิยมและวัตถุนิยมจากทางตะวันตก  ซึ่งเป็นพิษภัยแก่สังคมโลกของเรา

พ่อเชื่อว่าพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ได้รับคำทำนายจากนิมิตของพระองค์  ซึ่งเตือนให้รู้ถึงการโจมตีของปีศาจในยุคสมัยของพวกเรานี้  ปีศาจต่อสู้กับพระเป็นเจ้าและองค์พระผู้ไถ่ของเราอย่างไรหรือ?  ก็โดยการทำให้มนุษย์บูชามันเป็นพระเจ้าและโดยการทำให้สถาบันคริสตศาสนาเป็นที่ดูหมิ่นเยาะเย้ย  เพราะฉะนั้น  มันจึงเป็นปรปักษ์พระคริสต์ และ เป็นปรปักษ์ของพระศาสนจักร  ซาตานใช้เซ็กส์ให้เป็นเหมือนการบูชารูปเคารพ  ซึ่งเป็นการลดคุณค่าร่างกายของมนุษย์ ทำให้ร่างกายมนุษย์เป็นเครื่องมือในการทำบาป  มันต่อสู้กับการบังเกิดขององค์พระวจนาตถ์ผู้ทรงไถ่กู้มนุษย์และเสด็จมาเป็นมนุษย์  ซาตานใช้โบสถ์ของมัน  เวทมนตร์คุณไสยต่างๆ  ใช้ผู้ที่ศรัทธาในมันและเคารพบูชามัน  ใช้ผู้ที่ติดตามคำสัญญาของมัน  ในการดูหมิ่น การนมัสการพระเป็นเจ้า  เหมือนเช่นที่พระคริสตเจ้าทรงประทานอำนาจแก่อัครสาวกและผู้ติดตามอื่นๆในการช่วยทำให้เกิดความดีต่อร่างกายและวิญญาณของมนุษย์  ดังนั้นซาตานจึงมอบอำนาจของมันแก่ผู้ที่ติดตามมัน  เพื่อทำลายร่างกายและวิญญาณของมนุษย์  เราจะอธิบายเรื่องนี้เป็นพิเศษเมื่อพูดต่อไปในเรื่องของพ่อมดหมอผี

พ่อจะพูดบางเรื่องที่เกี่ยวกับหัวข้อนี้  เช่นเดียวกับความผิดพลาดในการปฏิเสธการมีอยู่จริงของซาตาน  เป็นความผิดพลาดด้วยเช่นกันที่ยอมรับความคิดซึ่งแพร่หลายไปทั่วที่ว่ามีจิตวิญญาณอื่นซึ่งไม่ได้มีระบุไว้ในพระคัมภีร์  มีการประดิษฐ์จิตวิญญาณใหม่ขึ้นมา  โดยผู้ที่นิยมเวทมนคร์ หรือโดยผู้ที่มีจินตนาการซึ่งเชื่อเรื่อง “วิญญาณเร่ร่อน” (เช่นมนุษย์หมาป่า  แวมไพร์ กระสือ  กระหัง ฯลฯ) ไม่มีจิตวิญญาณที่ดีอื่นอีกนอกจากเทวดาในสวรรค์  และไม่มีจิตวิญญาณที่เลวอื่นอีกนอกจากปีศาจ  สังคายนาสองครั้งของพระศาสนจักร (ที่ลียอง และ ฟลอเรนส์)  บอกเราว่า วิญญาณของผู้ตายจะไปสวรรค์ทันทีหรือไปนรก  หรือไปไฟชำระ  วิญญาณของคนตายที่ปรากฏในร่างทรง  หรือวิญญาณคนตายที่สิงในร่างคนที่มีชีวิตเพื่อทรมานเขานั้น  มิใช่อะไรอื่นแต่เป็นปีศาจ  การที่พระเป็นเจ้าทรงอนุญาตให้วิญญาณกลับมายังโลกนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก  ยกเว้นบางกรณี  แต่เราต้องตระหนักว่ายังมีบางเรื่องที่เราไม่รู้  คุณพ่อ La Grua ได้พยายามอธิบายประสพการณ์ของท่านเกี่ยวกับบางคนที่ถูกปีศาจสิง  แต่พ่อขอย้ำว่าเรื่องนี้ยังต้องมีการศึกษากันต่อไป  และพ่อจะพูดถึงเรื่องนี้ในหนังสือเล่มอื่นของพ่อ

บางคนรู้สึกอัศจรรย์ใจในความสามารถของปีศาจในการล่อลวงมนุษย์หรือการเข้าครอบครองร่างกาย (แต่มันไม่สามารถเข้าสิงร่างกายได้เว้นแต่มนุษย์จะยินยอม)  ด้วยการเข้าสิงและทรมานผู้ที่มันเข้าสิง  เราต้องจำไว้ว่ามีเขียนในพระคัมภีร์วิวรณ์ว่า (12:7, etc.): “เกิดสงครามในสวรรค์  มีคาแอลและเทวดาของท่านสู้รบกับมังกร  มังกรกับพรรคพวกของมันก็ต่อสู้ด้วย  แต่พวกมันพ่ายแพ้และไม่มีที่อยู่ต่อไปในสวรรค์  แล้วมังกรใหญ่ถูกโยนลงไป   เจ้างูโบราณ ซึ่งถูกเรียกว่าปีศาจและซาตาน  เป็นผู้ล่อลวงโลกทั้งมวล  มันถูกโยนลงไปบนแผ่นดินโลก  พรรคพวกของมันก็ถูกโยนลงไปพร้อมกับมันด้วย...และเมื่อมังกรเห็นว่ามันถูกโยนลงมาบนโลก  มันจึงไล่ติดตามหญิงนั้น”  ซึ่ง “ทรงอาภรณ์เหมือนดวงอาทิตย์”  ผู้ทรงให้กำเนิดพระเยซูเจ้า (แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงแม่พระ)  เมื่อมังกรตระหนักว่าความพยายามของมันล้มเหลว  “มันจึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธ์ทั้งหลายของหญิงนั้น  คือผู้ที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าและเป็นพยานของพระคริสตเจ้า”

ระหว่างวันที่ 24 พ.ค. 1987  พ่อได้ไปเยี่ยมอาสนวิหารนักบุญมีคาแอล  พระสันตปาปายอห์นปอลที่ 2 เคยตรัสว่า “สงครามต่อสู้กับปีศาจ  เป็นงานหลักของนักบุญมีคาแอล  และยังคงมีการต่อสู้กันอยู่ในทุกวันนี้  เพราะปีศาจยังคงมีชีวิตอยู่และมันทำงานอย่างหนักในโลก  ความชั่วร้ายอยู่ล้อมรอบพวกเราในทุกวันนี้  ความไม่เป็นระเบียบแพร่ระบาดไปในสังคมของเรา  จิตใจมนุษย์ไม่มีความมั่นคงและแตกสลายไม่ใช่เพราะผลสืบเนื่องจากบาปกำเนิดเท่านั้น  แต่เป็นผลมาจากการทำงานของพลพรรคซาตานและความมืดมิดด้วย”

คำพูดประโยคหลังนี้อ้างถึงอย่างแน่ชัดในคำสาปแช่งของพระเป็นเจ้าต่องูร้าย Genesis (3:15): “เราจะทำให้เกิดความเป็นศัตรูกันระหว่างเจ้ากับหญิงนั้น  ระหว่างพงศ์พันธ์ของเจ้าและพงศ์พันธ์ของนางด้วย  บุตรของนางจะเหยียบหัวของเจ้าและเจ้าจะขบส้นเท้าของเขา”  ซาตานยังอยู่ในนรกหรือเปล่า?  สงครามระหว่างเทวดาและปีศาจเกิดขึ้นเมื่อไร?  เราไม่สามารถให้คำตอบนี้ได้  เว้นแต่เราจะจำไว้ว่า นรกเป็นสถานะทางจิตมากกว่าเป็นสถานที่  สถานที่และเวลาเป็นมุมมองที่แตกต่างกันสำหรับจิตวิญญาณ

พระคัมภีร์วิวรณ์บอกเราว่า ปีศาจถูกโยนลงมาบนโลก  เพราะฉะนั้น การสาปแช่งของพวกมันได้บังเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและไม่อาจถอนกลับคืนได้   หมายความว่าพวกมันยังคงมีอำนาจซึ่งพระเป็นเจ้าทรงประทานให้แก่พวกมัน แต่ “เพียงช่วงเวลาสั้นๆ”  ด้วยเหตุนี้มันจึงถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์เสด็จมาเพื่อทรมานพวกเราก่อนถึงเวลาหรือ? (มท. 8:29)  พระคริสต์จะทรงพิพากษา  พระองค์จะทรงรวบรวมมนุษย์ให้เข้ามาสู่พระกายทิพย์ของพระองค์  และนี่จะเป็นการอธิบายความหมายคำพูดของนักบุญเปาโลในบทจดหมายถึงชาวโครินทร์ “เพราะเราต้องพิพากษาเทวดา (ตกสวรรค์)เหล่านั้น”   (I Cor 6:3).  เมื่อ “กองทัพ” ของปีศาจเข้าสิงชายที่เกราซา  มันวิงวอนต่อพระเยซูเจ้าว่า “โปรดอย่าสั่งให้พวกเราไปยังขุมนรกเลย” (ลก. 8:23-32)  พวกมันต้องการรักษาอำนาจของพวกมันไว้  สำหรับปีศาจ  ในการละจากผู้ที่มันสิง  หมายถึงมันจะต้องไปอยู่ในนรกและถือเป็นคำพิพากษาให้ไปสู่ความตายที่ไม่อาจถอนกลับคืนได้  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ปีศาจพยายามดิ้นรนจนวินาทีสุดท้าย  อย่างไรก็ตาม  ความเจ็บปวดทรมานก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นสัดส่วนกับความเจ็บปวดที่มันทรมานมนุษย์บนโลกนี้ด้วยเช่นกัน  น.เปโตรบอกกับเราว่า ปีศาจยังไม่ได้ถูกพิพากษาในขั้นสุดท้าย “เมื่อเทวดาทำบาป  พระเป็นเจ้ายังมิได้ทรงลงโทษพวกมันทันที  พระองค์ทรงส่งพวกมันไปยังใต้พื้นพิภพ  และกักขังมันไว้ในถ้ำที่มืดมิดใต้แผ่นดินโลก  จนกว่าจะถึงวันแห่งการพิพากษา”  (2 Pet 2:4).  ศักดิ์ศรีอันรุ่งโรจน์ของเทวดาที่ดีก็จะเพิ่มมากขึ้นจากการกระทำดีของท่านด้วยเช่นกัน  เพราะฉะนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่เราจะขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น