วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความสุขในอาณาจักรสวรรค์เปิดเผยโดยนักบุญโฟสตินา

 
นักบุญโฟสตินาเป็นหนึ่งในนักบุญที่ยิ่งใหญ่ของศตวรรษที่ 20 และบางทีอาจเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ในพระศาสนจักรด้วย

เราเคยเล่าว่า น.โฟสตินา เคยเห็นนิมิตของนรก และ ไฟชำระ  แต่เธอยังได้เห็นนิมิตของสวรรค์ด้วย  เธอเขียนในสมุดไดอารี่วันที่ 27 พ.ย. 1936 ว่า

“วันนี้ดิฉันไปอยู่ในสวรรค์ฝ่ายจิตวิญญาณ  และดิฉันได้เห็นความสวยงามจนไม่อาจพรรณนาได้  รวมทั้งความสุขที่กำลังรอคอยเราอยู่หลังจากการเสียชีวิต

นิมิตของ น.โฟสตินา ถือว่าเป็น “การเผยแสดงส่วนบุคคล” ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของคาทอลิกโดยตรง  การเปิดเผยโดยส่วนรวมนั้นมีอยู่ในพระคัมภีร์และธรรมประเพณีเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม  นิมิตเหล่านี้ก็ช่วยเพิ่มความเชื่อของเรามากขึ้น

และน.โฟสตินาได้บรรยายสิ่งที่เธอเห็นดังนี้

“ดิฉันได้เห็นสิ่งสร้างทั้งมวลนมัสการสรรเสริญพระเป็นเจ้าอย่างไม่หยุดหย่อน  ดิฉันได้เห็นว่าความสุขในพระเป็นเจ้าของท่านเหล่านั้นช่างยิ่งใหญมากล้นสักเพียงไร  ความสุขในพระเป็นเจ้าแผ่กระจายไปยังสิ่งสร้างทั้งมวล  ทำให้พวกเขามีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้  คำสรรเสริญพระเป็นเจ้าของพวกเขาบังเกิดขึ้นจากความอิ่มเอมใจในความสุขที่พวกเขาได้รับ  ซึ่งได้สะท้อนกลับไปยังแหล่งที่มาแห่งความสุขนั้น  และพวกเขาได้เข้าไปยังส่วนลึกของพระเป็นเจ้า  พวกเขาเพ่งพินิจชีวิตภายในของพระเป็นเจ้า  องค์พระบิดา พระบุตร  และพระจิต  พระผู้ซึ่งพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ครบถ้วน

“แหล่งที่มาแห่งความสุขนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  แต่ใหม่อยู่เสมอ เป็นสัจจะธรรม  นำมาซึ่งความสุขให้แก่สิ่งสร้างทั้งมวล  บัดนี้ดิฉันจึงเข้าใจแล้วว่า ทำไมนักบุญเปาโลจึงกล่าวว่า “สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น  และหูไม่เคยได้ยิน  และจิตใจของมนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ถึงสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่รักพระองค์”

สิ่งที่มีค่ามากที่สุดของพระเป็นเจ้า

 “และพระเป็นเจ้าทรงประทานความเข้าใจแก่ดิฉันว่า  มีเพียงสิ่งเดียวที่ทรงคุณค่านิรันดรในสายพระเนตรของพระองค์  และนั่นคือความรักของพระเป็นเจ้า  ความรัก  ความรัก และอีกครั้ง  ความรัก  ไม่มีอะไรจะมาเปรียบเทียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้า  โอ  ความรักความพอพระทัยอันมิอาจเปรียบประมาณได้อันใดหนอ  ที่พระเป็นเจ้าจะทรงประทานแก่ผู้ที่รักพระองค์อย่างจริงใจ”

 “โอ  ช่างมีความสุขยิ่งกระไรหนอที่วิญญาณซึ่งอยู่ในโลกนี้จะยินดีในความรักความพอพระทัยเป็นพิเศษของพระองค์  และวิญญาณนั้นย่อมเป็นวิญญาณที่ถ่อมตนและถือว่าตนเองนั้นเล็กน้อยยิ่งนัก”

การได้เห็นพระเป็นเจ้าในสวรรค์ไม่ทำให้กลัว แต่เป็นความยินดี

“การได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรพานุภาพนี้  ทำให้ดิฉันบังเกิดความเข้าใจอย่างแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น  พระองค์ทรงได้รับการนมัสการสรรเสริญโดยบรรดาจิตวิญญาณทั้งหลายในสวรรค์ตามระดับแห่งพระหรรษทานของพวกท่าน  และตามระดับฐานันดรต่างๆที่พวกท่านได้รับการจัดสรร  ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้วิญญาณของดิฉันบังเกิดความตระหนกตกใจหรือหวาดกลัว  ไม่ ไม่เลย”

 “จิตวิญญาณของดิฉันเต็มเปี่ยมด้วยสันติสุขและความรัก  และยิ่งดิฉันได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า  ยิ่งทำให้ดิฉันยินดีปรีดาที่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นดังที่พระองค์ทรงเป็น  ดิฉันมีความชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้นในความยิ่งใหญ่ของพระองค์  และดิฉันดีใจยิ่งนักที่ดิฉันเป็นแต่เพียงผู้ต่ำต้อย  เพราะการที่ดิฉันเป็นเพียงผู้ต่ำต้อย  พระองค์จึงทรงโอบอุ้มดิฉันไว้ในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์  ทรงกระชับดิฉันไว้แนบแน่นดวงหทัยของพระองค์”

เธอกล่าวว่า ประสบการณ์ทั้งหมดที่เธอได้รับนี้ทำให้เธอรู้สึกสงสารคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์

“โอ  องค์พระผู้เป็นเจ้าของดิฉัน  ช่างน่าสงสารยิ่งนัก  คนที่ไม่เชื่อในชีวิตนิรันดร  ดิฉันสวดภาวนาเพื่อพวกเขาเป็นอันมาก  เพื่อที่แสงรังสีแห่งพระเมตตาจะโอบล้อมพวกเขาไว้ด้วย  และเพื่อที่พระเป็นเจ้าจะทรงโอบกอดพวกเขาเอาไว้ในพระอุระของพระองค์”

 “โอ ความรัก  โอ องค์ราชินี  ความรักไม่รู้จักความกลัว  มันเดินผ่านหมู่มวลนิกรเทวดาที่ยืนเฝ้ายามเบื้องพระบัลลังก์ของพระเป็นเจ้า  มันจะไม่กลัวผู้ใด  มันไปถึงพระเป็นเจ้าและอยู่ใกล้ชิดพระองค์เหมือนขุมทรัพย์ฝ่ายจิต  เครูบิมที่เฝ้าปกปักรักษาสวรรค์ด้วยดาบไฟ  ไม่มีอำนาจเหนือความรัก  โอ ความรักอันบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้า  พระองค์ช่างทรงยิ่งใหญ่หามีผู้ใดเทียบได้”

“โอ ถ้าเพียงแต่วิญญาณจะรู้ถึงอำนาจของความรัก” (จากไดอารี่  พระเมตตาในวิญญาณของดิฉัน, หน้า 777-781)
--------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น