วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

เชื่อโดยไม่สงสัย

                        
ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของทุกคน ทุกคนต้องเคยมีความสงสัยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความสงสัยอาจทำให้คนเราเริ่มต้นที่จะเรียนรู้
 
ความสงสัย เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน ทุกวัย และกับทุกเรื่อง เมื่อคนเรายังไม่รู้ความจริง   เขาก็จะสงสัยและพยายามแสวงหาความจริง
 
 การที่เรารับฟังอะไรโดยไม่สงสัยและตรวจสอบก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้ เช่น ความเข้าใจผิดต่อกัน ความโกรธ ความเกลียดชัง การติฉินนินทา การดูถูกดูแคลน ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ฯลฯ
 
 ความสงสัย จึงมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของเรา เพราะทำให้เราได้ ค้นหาความจริง และจากการค้นหาทำให้เราได้รับความรู้ที่ถูกต้อง ความสงสัยยังเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแสวงหาความเชื่อและความศรัทธาอีกด้วย
 
ความเชื่อในพระเจ้า    
 
การผ่านพ้นความสงสัยมาสู่ความเชื่อในพระเจ้า อาจจะต้องผ่านกระบวนการทางจิตใจบางอย่าง อาทิเช่น เขาอาจใช้ชีวิตไปในหนทางที่ผิดพลาดมาก่อน หรือมีเหตุที่ทำให้หลงทางไป ฯลฯ เขาได้เรียนรู้ว่าหนทางที่เขาเดินอยู่นั้นไม่ถูกต้องทำให้เขามีความทุกข์ใจ และด้วยพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าและมโนธรรมที่ยังมีอยู่ในตัวของเขาได้ทำให้เขาหลุดพ้นจากหนทางชีวิตที่ผิดพลาดนั้นมาสู่ชีวิตที่ถูกต้อง  ความเชื่อจึงเป็นพระพรที่มาจากพระเป็นเจ้าผู้ทรงประทานให้แก่ผู้ที่แสวงหาความจริง   
 
   มีคำพูดที่น่าคิดมากประโยคหนึ่ง  นั่นคือ  “สำหรับผู้ที่มีความเชื่อก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ ถึงจะอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ”


     ผู้มีความเชื่อ หมายถึง ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งพระองค์เป็นองค์ความจริง เชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงไถ่บาปของมนุษย์และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าด้วย เชื่อในพระวาจาของพระเจ้าที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์  เชื่อในความช่วยเหลือของพระเจ้า  เชื่อในพระเมตตาและความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์

      ความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่สงสัย 

     ในพระคัมภีร์มีหลายตอนที่บอกให้เรามีความเชื่อและไม่สงสัยในพระเป็นเจ้า ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1.       ยน. 20:19-31
             พระเยซูผู้ทรงกลับฟื้นคืนชีพได้ตรัสกับโทมัสว่า  จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไปเลย แต่จงเชื่อเถิดพระเยซูเจ้าประทานคำสอนที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งให้แก่เราคือ โทมัสเจ้าเชื่อเพราะว่าได้เห็นเรา เป็นบุญของผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นเรา”
2.       มท. 14:31 
     ขณะที่อัครสาวกทั้งสิบสองลงเรือข้ามทะเลสาบ เรือแล่นโต้คลื่นอย่างหนักและอยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตร พระเยซูเจ้าทรงดำเนินบนทะเลมาหาพวกเขา  เปโตรขอให้พระองค์สั่งให้เขาเดินไปหาพระองค์ และเขาก็เดินบนทะเลไป แต่เมื่อลมแรงพัดมาก็รู้สึกกลัวและจมลง เปโตรร้องขอให้พระเยซูเจ้าทรงช่วย พระเยซูเจ้าจึงทรงยื่นพระหัตถ์ไปจับมือของเขาตรัสว่า“โอ คนความเชื่อน้อย สงสัยทำไม” และนำเขาขึ้นไปบนเรือ
3.       มท. 21:21 
      พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อโดยไม่สงสัย ท่านจะทำได้ทุกสิ่ง ไม่เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับต้นมะเดื่อเทศต้นนี้เท่านั้น  ถ้าท่านบอกภูเขาลูกหนึ่งว่า จงยกตัวขึ้นและทิ้งตัวลงไปในทะเล ก็จะเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานภาวนา วอนขอด้วยความเชื่อ ท่านก็จะได้รับ”
4.      จดหมายนักบุญยากอบเขียนไว้ว่า “ท่านจงอธิษฐานวอนขอด้วยความเชื่อโดยไม่สงสัย เพราะผู้ที่สงสัยนั้นเปรียบเสมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปซัดมา เขาจะไม่ได้รับอะไรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”

    ยังมีข้อความในพระคัมภีร์ที่เขียนไว้อีกมากเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่สงสัย ขอให้คุณลองไปอ่านดู

จงมีความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่สงสัย  แต่จงสงสัยในสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า

พระคัมภีร์ได้เตือนเราให้ระวังสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเป็นเจ้า ดังเช่นใน ปฐมกาล 3 ซาตานได้ล่อลวงเอวา พระเป็นเจ้าตรัสอย่างชัดเจนห้ามอาดัมและเอวารับประทานผลไม้ที่อยู่กลางสวนเอเดน (ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วและต้นไม้แห่งชีวิต) ทั้งยังบอกให้พวกเขารู้ถึงโทษที่จะได้รับ  ซาตานนำความสงสัยเข้าสู่จิตใจของเอวาโดยพูดว่า “พระเจ้าตรัสจริงหรือว่าอย่ากินผลไม้ทุกต้นในสวนนี้?” เมื่อเอวาอธิบายถึงคำสั่งของพระเป็นเจ้า ซาตานก็ตอบว่า “เจ้าจะไม่ตายหรอก” ความสงสัยเป็นเครื่องมือที่ซาตานใช้ล่อลวงมนุษย์  มันทำให้มนุษย์สงสัยในพระวาจาของพระเป็นเจ้าและการตัดสินลงโทษของพระองค์

บางทีเราคงพิจารณาโทษไปที่ซาตานเป็นต้นเหตุ  แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป  บางครั้งตัวเราเองก็เป็นผู้ทำผิดเสียเอง ตัวอย่างเรื่องนี้มีอยู่ในพระคัมภีร์  ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ประจักษ์แก่เซคาริยาห์ และบอกกับท่านว่า  ท่านจะมีบุตรชายคนหนึ่ง (ลก. 1:11-17) เซคาริยาห์สงสัยในคำพูดของทูตสวรรค์  เขาคิดว่าตัวเขาและภรรยาก็ชรามากแล้ว จะมีลูกได้อย่างไร? เขาบอกความสงสัยของเขา ทูตสวรรค์จึงลงโทษโดยทำให้เขาเป็นใบ้จนกว่าเหตุการณ์จะเป็นจริง

ดังนั้นเราจึงต้องมีความเชื่อในพระเป็นเจ้าโดยไม่สงสัย  เพราะพระเป็นเจ้าเป็นองค์ความสัจจริง  และในทางกลับกันเราควรสงสัยในสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเป็นเจ้า  เพราะสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเป็นเจ้าผู้เป็นองค์ความสัจจริง ก็ย่อมมีที่มาจากความเท็จหรือมาจากปีศาจและมนุษย์ที่หลงผิดไป  ตัวอย่างเช่นนี้มีอยู่มากมายในสังคม ในข่าวต่างๆ ซึ่งถ้าหากเราสังเกตเราก็จะพบได้โดยไม่ยาก  เพราะความจริงจะคงอยู่ถาวรไม่เปลี่ยนแปลง  แต่ความเท็จจะต้องเสื่อมสิ้นสูญไปในไม่ช้า

ใครที่ไม่เคยสงสัยเลยก็นับว่าเป็นบุญ แต่บุคคลที่สงสัยและสามารถเอาชนะความสงสัยได้ บุคคลนั้นจะเป็นผู้ที่มีความเชื่อที่เข้มแข็งยิ่งนัก

เหตุผลช่วยทำให้ความเชื่อเข้มแข็งได้ แต่ความเชื่อไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลแต่อย่างเดียว ความเชื่อเป็นเรื่องที่อยู่เหนือเหตุผล เราสามารถแสวงหาความเชื่อได้ด้วยหลายวิธีด้วยกัน

ป่วยการที่จะพิสูจน์ความเชื่อด้วยเหตุผล หรือด้วยสำนวนโวหาร แต่ให้ชีวิตของเราเป็นการพิสูจน์ถึงความเชื่อที่อยู่ในหัวใจของเราจะดีกว่า
          จดหมายของนักบุญยากอบบอกเราว่า “พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์ใดหากผู้หนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ ความเชื่อเช่นนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ  ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่ม และไม่มีอาหารประจำวัน  แล้วท่านคนหนึ่งพูดกับเขาว่า จงไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิดแต่มิได้ให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกายแก่เขา จะมีประโยชน์ใดเล่า  ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว” (ยก 2:14-17)

-----------------------------



อ้างอิงจากคำสอนดีดีดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น