ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของทุกคน
ทุกคนต้องเคยมีความสงสัยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความสงสัยอาจทำให้คนเราเริ่มต้นที่จะเรียนรู้
ความสงสัย
เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน ทุกวัย และกับทุกเรื่อง เมื่อคนเรายังไม่รู้ความจริง เขาก็จะสงสัยและพยายามแสวงหาความจริง
การที่เรารับฟังอะไรโดยไม่สงสัยและตรวจสอบก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้
เช่น ความเข้าใจผิดต่อกัน ความโกรธ ความเกลียดชัง การติฉินนินทา การดูถูกดูแคลน
ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ฯลฯ
“ความสงสัย”
จึงมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของเรา เพราะทำให้เราได้ “ค้นหาความจริง” และจากการค้นหาทำให้เราได้รับความรู้ที่ถูกต้อง ความสงสัยยังเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการแสวงหาความเชื่อและความศรัทธาอีกด้วย
ความเชื่อในพระเจ้า
การผ่านพ้นความสงสัยมาสู่ความเชื่อในพระเจ้า
อาจจะต้องผ่านกระบวนการทางจิตใจบางอย่าง อาทิเช่น เขาอาจใช้ชีวิตไปในหนทางที่ผิดพลาดมาก่อน
หรือมีเหตุที่ทำให้หลงทางไป ฯลฯ เขาได้เรียนรู้ว่าหนทางที่เขาเดินอยู่นั้นไม่ถูกต้องทำให้เขามีความทุกข์ใจ
และด้วยพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าและมโนธรรมที่ยังมีอยู่ในตัวของเขาได้ทำให้เขาหลุดพ้นจากหนทางชีวิตที่ผิดพลาดนั้นมาสู่ชีวิตที่ถูกต้อง
ความเชื่อจึงเป็นพระพรที่มาจากพระเป็นเจ้าผู้ทรงประทานให้แก่ผู้ที่แสวงหาความจริง
มีคำพูดที่น่าคิดมากประโยคหนึ่ง นั่นคือ
“สำหรับผู้ที่มีความเชื่อก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ
ถึงจะอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ”
ผู้มีความเชื่อ หมายถึง
ผู้ที่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งพระองค์เป็นองค์ความจริง
เชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงไถ่บาปของมนุษย์และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าด้วย เชื่อในพระวาจาของพระเจ้าที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เชื่อในความช่วยเหลือของพระเจ้า เชื่อในพระเมตตาและความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์
ความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่สงสัย
ในพระคัมภีร์มีหลายตอนที่บอกให้เรามีความเชื่อและไม่สงสัยในพระเป็นเจ้า
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. ยน. 20:19-31
ยังมีข้อความในพระคัมภีร์ที่เขียนไว้อีกมากเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่สงสัย ขอให้คุณลองไปอ่านดู
พระเยซูผู้ทรงกลับฟื้นคืนชีพได้ตรัสกับโทมัสว่า จงเอานิ้วมาที่นี่ และดูมือของเราเถิด
จงเอามือมาที่นี่ คลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไปเลย แต่จงเชื่อเถิด” พระเยซูเจ้าประทานคำสอนที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งให้แก่เราคือ “โทมัสเจ้าเชื่อเพราะว่าได้เห็นเรา เป็นบุญของผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นเรา”
2. มท. 14:31
ขณะที่อัครสาวกทั้งสิบสองลงเรือข้ามทะเลสาบ
เรือแล่นโต้คลื่นอย่างหนักและอยู่ห่างจากฝั่งหลายร้อยเมตร พระเยซูเจ้าทรงดำเนินบนทะเลมาหาพวกเขา เปโตรขอให้พระองค์สั่งให้เขาเดินไปหาพระองค์ และเขาก็เดินบนทะเลไป
แต่เมื่อลมแรงพัดมาก็รู้สึกกลัวและจมลง เปโตรร้องขอให้พระเยซูเจ้าทรงช่วย
พระเยซูเจ้าจึงทรงยื่นพระหัตถ์ไปจับมือของเขาตรัสว่า“โอ คนความเชื่อน้อย
สงสัยทำไม” และนำเขาขึ้นไปบนเรือ
3. มท. 21:21
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านมีความเชื่อโดยไม่สงสัย ท่านจะทำได้ทุกสิ่ง
ไม่เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับต้นมะเดื่อเทศต้นนี้เท่านั้น ถ้าท่านบอกภูเขาลูกหนึ่งว่า
จงยกตัวขึ้นและทิ้งตัวลงไปในทะเล ก็จะเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานภาวนา
วอนขอด้วยความเชื่อ ท่านก็จะได้รับ”
4. จดหมายนักบุญยากอบเขียนไว้ว่า
“ท่านจงอธิษฐานวอนขอด้วยความเชื่อโดยไม่สงสัย
เพราะผู้ที่สงสัยนั้นเปรียบเสมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปซัดมา
เขาจะไม่ได้รับอะไรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” ยังมีข้อความในพระคัมภีร์ที่เขียนไว้อีกมากเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่สงสัย ขอให้คุณลองไปอ่านดู
จงมีความเชื่อในพระเจ้าโดยไม่สงสัย แต่จงสงสัยในสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า
พระคัมภีร์ได้เตือนเราให้ระวังสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเป็นเจ้า
ดังเช่นใน ปฐมกาล 3 ซาตานได้ล่อลวงเอวา พระเป็นเจ้าตรัสอย่างชัดเจนห้ามอาดัมและเอวารับประทานผลไม้ที่อยู่กลางสวนเอเดน
(ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วและต้นไม้แห่งชีวิต)
ทั้งยังบอกให้พวกเขารู้ถึงโทษที่จะได้รับ
ซาตานนำความสงสัยเข้าสู่จิตใจของเอวาโดยพูดว่า “พระเจ้าตรัสจริงหรือว่าอย่ากินผลไม้ทุกต้นในสวนนี้?”
เมื่อเอวาอธิบายถึงคำสั่งของพระเป็นเจ้า ซาตานก็ตอบว่า “เจ้าจะไม่ตายหรอก”
ความสงสัยเป็นเครื่องมือที่ซาตานใช้ล่อลวงมนุษย์
มันทำให้มนุษย์สงสัยในพระวาจาของพระเป็นเจ้าและการตัดสินลงโทษของพระองค์
บางทีเราคงพิจารณาโทษไปที่ซาตานเป็นต้นเหตุ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป บางครั้งตัวเราเองก็เป็นผู้ทำผิดเสียเอง
ตัวอย่างเรื่องนี้มีอยู่ในพระคัมภีร์
ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ประจักษ์แก่เซคาริยาห์ และบอกกับท่านว่า ท่านจะมีบุตรชายคนหนึ่ง (ลก. 1:11-17) เซคาริยาห์สงสัยในคำพูดของทูตสวรรค์ เขาคิดว่าตัวเขาและภรรยาก็ชรามากแล้ว
จะมีลูกได้อย่างไร? เขาบอกความสงสัยของเขา ทูตสวรรค์จึงลงโทษโดยทำให้เขาเป็นใบ้จนกว่าเหตุการณ์จะเป็นจริง
ดังนั้นเราจึงต้องมีความเชื่อในพระเป็นเจ้าโดยไม่สงสัย เพราะพระเป็นเจ้าเป็นองค์ความสัจจริง และในทางกลับกันเราควรสงสัยในสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเป็นเจ้า
เพราะสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระเป็นเจ้าผู้เป็นองค์ความสัจจริง
ก็ย่อมมีที่มาจากความเท็จหรือมาจากปีศาจและมนุษย์ที่หลงผิดไป ตัวอย่างเช่นนี้มีอยู่มากมายในสังคม
ในข่าวต่างๆ ซึ่งถ้าหากเราสังเกตเราก็จะพบได้โดยไม่ยาก เพราะความจริงจะคงอยู่ถาวรไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความเท็จจะต้องเสื่อมสิ้นสูญไปในไม่ช้า
ใครที่ไม่เคยสงสัยเลยก็นับว่าเป็นบุญ
แต่บุคคลที่สงสัยและสามารถเอาชนะความสงสัยได้ บุคคลนั้นจะเป็นผู้ที่มีความเชื่อที่เข้มแข็งยิ่งนัก
เหตุผลช่วยทำให้ความเชื่อเข้มแข็งได้
แต่ความเชื่อไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลแต่อย่างเดียว
ความเชื่อเป็นเรื่องที่อยู่เหนือเหตุผล เราสามารถแสวงหาความเชื่อได้ด้วยหลายวิธีด้วยกัน
ป่วยการที่จะพิสูจน์ความเชื่อด้วยเหตุผล
หรือด้วยสำนวนโวหาร
แต่ให้ชีวิตของเราเป็นการพิสูจน์ถึงความเชื่อที่อยู่ในหัวใจของเราจะดีกว่า
จดหมายของนักบุญยากอบบอกเราว่า “พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์ใดหากผู้หนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ ความเชื่อเช่นนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่ม และไม่มีอาหารประจำวัน แล้วท่านคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “จงไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” แต่มิได้ให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกายแก่เขา จะมีประโยชน์ใดเล่า ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว” (ยก 2:14-17)
จดหมายของนักบุญยากอบบอกเราว่า “พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์ใดหากผู้หนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ ความเชื่อเช่นนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่ม และไม่มีอาหารประจำวัน แล้วท่านคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “จงไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” แต่มิได้ให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกายแก่เขา จะมีประโยชน์ใดเล่า ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว” (ยก 2:14-17)
-----------------------------
อ้างอิงจากคำสอนดีดีดอทคอม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น