วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กระแสเรียกของพะรสงฆ์



โดย – คุณพ่อ เจย์ สก๊อต นิวแมน (Father Jay Scott Newman is the pastor of St. Mary’s Catholic Church in Greenville. S.C.)
ในวันครบรอบ 25 ปีของการบวชเป็นพระสงฆ์ ท่านได้เล่าถึงการละทิ้งความเชื่อเรื่องไม่มีพระเจ้ามาสู่ความเชื่อคาทอลิก (พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งของข้าพเจ้า)
หมายเหตุบรรณาธิการ: ข้อความต่อไปนี้นำมาจากการเทศน์ของท่านที่ให้ไว้เมื่อวันอาทิตย์ต้นเดือน ก.ค. 2018
****************


แน่นอนว่าไม่มีพระเจ้า ความคิดนี้แล่นเข้ามาในสมองของผมอย่างชัดเจนและแรงมากประมาณ 11.00 น. ของวันจันทร์เดือนมิถุนายน 1976 เวลานั้นผมมีอายุ 13 ปีและกำลังฟังอาจารย์พูดกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่รวมตัวกันที่ค่ายฤดูร้อนทางวิชาการซึ่งจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเด็กนักเรียนให้มีความสนใจอยากรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง อาจารย์ผู้นี้เป็นผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และเมื่อผมฟังท่านอธิบายว่าทำไมท่านจึงแน่ใจว่าทุกศาสนาในโลกนี้เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ยุคก่อนที่ไม่มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์พยายามที่จะเข้าใจจักรวาล มันเป็นเหมือนกับกุญแจที่ปิดล็อคอยู่ได้ถูกเปิดออกและทำให้จิตใจของผมเข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ: - แน่นอนไม่มีพระเจ้า

สิ่งที่อาจารย์ได้พูดในวันนั้นช่วยให้ผมรวบรวมสัญชาตญาณและการรับรู้ที่กระจัดกระจายในมุมมองของโลกให้ประสานสอดคล้องกัน ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นผมจึงกลายเป็นคนที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าและเป็นนักวัตถุนิยมทางวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อมั่นอย่างจริงใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลสามารถสังเกตได้ วัดปริมาณได้และสามารถเข้าใจได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่าง เดียวเท่านั้น ผมเป็นคนที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้ามาตลอด จนกระทั่งถึงเดือนตุลาคม 1981 เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงยึดกุมชีวิตของผมไว้  

การกลับใจของผมมาสู่พระเยซูคริสต์เกิดขึ้นจากอิทธิพลของเพื่อน ๆ ในวิทยาลัยของผมเสียเป็นส่วนใหญ่ ในพวกเขามีเพียงไม่กี่คนที่แก่กว่าและฉลาดกว่าผม ผมถูกดึงดูดมาสู่องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างอ่อนโยนแต่มั่นคง โดยอาศัยการเป็นประจักษ์พยานในชีวิตของพวกเขา โดยอาศัยหนังสือที่พวกเขาแนะนำ โดยอาศัยความรักของหญิงสาวคนหนึ่ง โดยอาศัยการตายของเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง และโดยการเผชิญหน้ากับการปรากฏของพระเจ้าภายในโบสถ์กอธิคอันงดงามของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และท้ายที่สุดโดยการอธิษฐานภาวนาและการศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลภายใต้การแนะนำของเพื่อนที่ได้เรียนรู้พระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งสมัยวัยเยาว์ของเขา

ในช่วงเดือนกันยายนและต้นเดือนตุลาคมปี 1981 ในช่วงที่เกิดการตายก่อนวัยอันควรของเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนๆ ของผมที่โรงเรียนเริ่มพูดกับผมโดยตรงเกี่ยวกับมิตรภาพของพวกเขากับพระเยซูคริสต์และเกี่ยวกับชีวิตใหม่แห่งพระหรรษทานที่พระองค์ทรงเรียกเราทุกคน ผมใช้เวลากับผู้ที่มีใจศรัทธาทั้งหลาย ทั้งกับคนที่เป็นศาสนาจารย์โปรเตสแตนต์และผู้แพร่ธรรมคาทอลิกที่อดทนตอบคำถามของผมและพูดกับผมด้วยความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความจริงของพระวรสาร ความจริงของจิตวิญญาณอมตะ ความงามของชีวิตภายใน ความหวังแห่งพระสิริรุ่งโรจน์นิรันดร และวิธีการที่พระหรรษทานนำเรามาสู่การกลับใจ , การนบนอบเชื่อฟัง, ความศรัทธาและชีวิตแห่งคุณธรรม

ในตอนเย็นของวันที่ 15 ตุลาคม 1981 ผมทานอาหารเย็นกับเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง หลังจากนั้นเรากลับไปที่ห้องของผมเพื่อพูดคุยกันต่อ เราได้ร่วมกันศึกษาจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัส ผมรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่งในคำพูดของนักบุญเปาโลที่กล่าวถึงแผนการแห่งความรอดของพระบิดานิรันดรที่ได้รับการเปิดเผยผ่านทางชีวิต , ความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

เราได้พูดคุยวิพากย์กันเป็นเวลานานในเย็นวันนั้น เพื่อนของผมถามผมว่าผมเชื่อในสิ่งที่นักบุญเปาโลเขียนไว้หรือไม่ ผมรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของตัวเองที่บอกไป ผมบอกว่า ผมหวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นความจริง แต่ผมไม่รู้วิธีว่าจะเชื่ออย่างไร? . เขาจึงถามผมว่าผมจะอธิษฐานภาวนากับเขาได้ไหม ผมนิ่งอึ้งไปเพราะผมไม่ได้อธิษฐานภาวนามานานหลายปีแล้ว แต่ในขณะนั้นผมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาคุกเข่าลงบนพื้นและส่งสัญญาณให้ผมทำแบบเดียวกัน แล้วเขาก็เริ่มอธิษฐานภาวนา เริ่มแรกเพื่อนของผมขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้าในความดี, ความจริงและความงามของพระองค์ จากนั้นเขาก็สวดวอนขอพระพรแห่งความศรัทธาสำหรับผม

เหมือนมีไฟที่เผาไหม้ในหัวใจของผม และไฟก็ไม่ได้ไหม้อยู่เพียงภายในเท่านั้น แต่ได้ลุกลามครอบคลุมตัวผมทั้งหมด - เป็นความสว่างที่เปล่งประกายและแปรเปลี่ยนเป็นความรักของพระเจ้า - ไฟที่เปิดใจและหัวใจของผมไปสู่ความจริงที่ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ผมไม่รู้ว่าประสบการณ์นี้กินเวลานานแค่สองวินาที , สองนาทีหรือสองชั่วโมง แต่เมื่อผมรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมก็เช็ดน้ำตาแห่งการกลับใจที่หลั่งออกมา ผมบังเกิดความรู้อย่างชัดเจนในความจริงแห่งพระวรสาร ในที่สุดผมก็ได้รับคำตอบในความไม่เชื่อของผมในฤดูร้อนของปี 1976: แน่นอนว่ามีพระเจ้า คือพระเจ้าของอับราฮัม, อิสอัคและยาโคบ พระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงพระชนม์ ผู้ทรงสรรพานุภาพและพระเจ้าผู้ทรงทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจากความว่างเปล่าและค้ำจุนสรรพสิ่งที่ทรงสร้างด้วยพระฤทธานุภาพแห่งองค์พระวจนาตถ์ที่ทรงสถิตนิรันดร พระวจนาตถ์ผู้เสด็จมารับเนื้อหนังในกาลเวลาจากพระนางพรหมจารีย์มารีย์ ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า

แต่ในคืนที่ผมกลับใจและผมรู้สึกว่ามีไฟรุ่มร้อนในหัวใจ คำถามแรกของผมก็คือ: ผมจะรับการล้างบาปที่ไหน? ในทันทีนั้นผมก็ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องการแบ่งแยกในคริสต์ศาสนา ทำไมไม่เป็นที่คริสตจักรลูเธอรัน Presbyterians? ทำไมไม่เป็นนิกายแองกลิกัน? และดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นพ้องกันคือพวกเขาจะไม่เป็นชาวคาทอลิก?

เพื่อนร่วมชั้นที่เสียชีวิตในฤดูร้อนของปี 1981 นับถือโปรแตสแตนท์นิกายอิปิสโคปัล(episcopalian) และอนุศาสนาจารย์ของนิกายนี้ก็เป็นนักบวชองค์เดียวที่ผมรู้จักมักคุ้นในมหาวิทยาลัย ดังนั้นผมจึงไปหาเขาพร้อมกับความสงสัยของผม เขายอมรับด้วยความเศร้าใจเกี่ยวกับความแตกแยกในหมู่ชาวคริสต์ แต่ยืนยันกับผมว่าผมไม่จำเป็นต้องสนใจกับปัญหาความแตกแยกที่เกิดในสมัยโบราณ เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว , ความเชื่อหนึ่งเดียว , การรับบัพติสมาเดียว และหลังจากสองเดือนในการเตรียมตัวผมก็รับบัพติศมาในโบสถ์แห่งอิปิสโคปัล

ก่อนที่จะรับบัพติศมา ผมได้พยายามศึกษาทำความเข้าใจในธรรมชาติของคริสตจักรนี้และสาเหตุของการแบ่งแยกในคริสตศาสนา ในฤดูร้อนของปี 1982 หลังจากหลายเดือนของการศึกษาอย่างขมักขเม้นและหลายชั่วโมงของการสนทนา ผมก็ได้ข้อสรุปว่าผมไม่ได้รู้สึกประท้วงอะไรเกี่ยวกับข้อคำสอนหรือการนมัสการของคริสตจักรยุคโบราณ หรือในศาสนจักรสากลและผมก็ไม่จำเป็นต้องเป็นโปรเตสแตนต์ก็ได้ ในขณะนั้นผมไม่เคยพบพระสงฆ์คาทอลิกเลย ผมเคยเข้าไปในโบสถ์คาทอลกเพียงสองแห่งเท่านั้น โบสถ์แรกคือมหาวิหารเซนต์แพททริคในนิวยอร์ก แต่ผมรู้ว่าผมจะต้องทำอะไร ดังนั้นผมจึงขอให้เพื่อนคนหนึ่งช่วยแนะนำพระสงฆ์สักท่านหนึ่งที่สามารถช่วยผมให้เป็นคาทอลิกได้

บนเส้นทางชีวิตของผมมาสู่พระแท่นบูชา ผมยังคงมีความรู้สึกประทับใจกับคณะนักบวชที่ยิ่งใหญ่สามคณะของพระศาสนจักรคาทอลิก อันได้แก่ คณะเบเนดิกติน คณะโดมินิกัน และคณะเยซูอิต 
 
ในระหว่างการพบกันครั้งแรกของผมกับพระสงฆ์คาทอลิก ท่านได้ให้หนังสือสองเล่มแก่ผม และในตอนท้ายของการพบกันครั้งที่สอง ท่านถามผมว่าผมมีข้อสงสัยใด ๆอีกหรือไม่ ผมรู้สึกลังเลใจชั่วครู่แล้วเริ่มพูดว่า "คุณพ่อครับ ผมไม่แน่ใจว่าจะพูดอย่างไร...แต่... . " เมื่อผมแสดงท่าทีลังเลออกมา ท่านจึงต่อคำพูดให้ผม " แต่คุณต้องการเป็นพระสงฆ์ " ผมรู้สึกเหมือนถูกชก! ท่านรู้ได้อย่างไร? ท่านจะรู้ได้อย่างไรทั้งๆที่ผมเองก็ยังไม่รู้ถึงความรู้สึกของตัวเอง? เป็นไปได้หรือไม่ที่ผมรู้สึกอยากเป็นพระสงฆ์ก่อนที่ผมจะเป็นคาทอลิก? และมันก็เป็นเช่นนั้น

แม่ของผมรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น เมื่อผมเขียนจดหมายไปบอกท่านว่า ผมกำลังจะไปเข้าร่วมในพระศาสนจักรคาทอลิก ท่านเขียนตอบกลับมาด้วยความทุกข์ใจอย่างมากในการตัดสินใจของผม ผมจึงโทรไปหาท่านเพื่อยืนยันกับท่านว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้ชีวิตของผมเสียหาย ผมพูดว่า "ผมไม่ได้จะโกนศีรษะและกลายเป็นนักพรตหรือเป็นพระสงฆ์หรือเป็นอะไรสักอย่าง" และท่านตอบว่า "โอ ใช่มันจะเป็น เพราะถ้าลูกเข้าไปอยู่ในนั้นทั้งครบ ลูกก็จะได้ทั้งครบ " และมันก็เป็นเช่นนั้น

ระหว่างการเข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิกและได้รับการบวชเป็นสังฆานุกรในระหว่างช่วงเวลาสิบปีนั้นมีการเริ่มต้นที่ผิดพลาดในหลายสิ่ง เช่น การเดินในหนทางที่ไม่ถูกต้อง การหันกลับที่ผิดพลาด การกลับใจของผมมาสู่พระคริสต์และการรับศีลกำลังในพระศาสนจักรเป็นเพียงการเริ่มต้นของการเดินทาง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมต้องเรียนรู้และหลายสิ่งที่ผมได้ปล่อยให้ผ่านเลยไป ตามเส้นทางนั้น พระเจ้าทรงประทานมิตรแท้ให้แก่ผมหลายคน เป็นเพื่อนร่วมทางที่คอยช่วยสอนวิธีที่จะสำนึกผิดในบาปของผม และช่วยให้ผมมีความเชื่อในพระวรสาร พวกเขาหลายคนยังคงมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ขอบคุณมาก , เพื่อน.

บนเส้นทางของผมมาสู่พระแท่นบูชา ผมยังคงรู้สึกประทับใจกับคณะนักบวชที่ยิ่งใหญ่สามคณะของพระศาสนจักร อันได้แก่ คณะเบเนดิกติน คณะโดมินิกัน และคณะเยซูอิต จากคณะเบเนดิกติน ผมได้รู้จักกับ โอปุสเดอิ และผมก็ชอบมาก เพราะรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสงบในการนมัสการพระเจ้า และยังมีรูปแบบของชุมชนศิษย์พระคริสต์ในโรงเรียนแห่งการรับใช้พระเจ้า จากคณะโดมินิกันผมได้เรียนรู้วิธีการพิจารณาไตร่ตรองทางด้านเทววิทยา เรียนรู้ในการสวดภาวนาอย่างลึกซึ้ง และรู้วิธีที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นในสิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากการสวดภาวนาและการศึกษา จากคณะเยซูอิต . . ผมเรียนรู้ที่จะไว้วางใจ คณะเบเนดิกตินและคณะโดมินิกัน

ในที่สุด ผมก็ได้รับการบวชให้เป็นพระสงฆ์ในมหาวิหารเซนต์จอห์นแบ็พทิสต์เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 1993 ท่านชาร์ลสตันเป็นผู้ประกอบพิธีบวชในวันนั้นซึ่งร้อนและชื้นจนเกินกว่าที่คนเราจะทนได้ แต่ในความเงียบสงบของพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผมได้รับ จากพระคริสตเยซูและจากพระศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ โดยการวางมือบนศีรษะและโดยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า พระพรแห่งการถวายตนเองแด่พระเจ้าได้หลั่งไหลลงมา เวลานี้ในอีก 25 ปีต่อมา ผมยังคงรู้สึกกตัญญูเกินที่จะบรรยายได้ ในการที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เป็นเครื่องมือแห่งพระหรรษทานสำหรับผู้อื่นและช่วยพวกเขาให้มารู้จัก , รัก และรับใช้พระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าของเรา

พระเยซูเจ้าทรงทรงมอบหมายภารกิจแก่บรรดาสาวกของพระองค์ ในการสั่งสอน การชำระให้บริสุทธิ์และการปกครองพระศาสนจักรของพระองค์ และหน้าที่เหล่านี้ถูกส่งมอบจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลาสองพันปีผ่านทางพระสันตะปาปาผู้สืบทอดต่อๆกันมา

ในการบวชเมื่อ 25 ปีก่อนของผม ดูเหมือนว่าทั้งพระศาสนจักรและโลกกำลังมุ่งไปข้างหน้าด้วยกระแสลมที่ยุติธรรมไปตามท้องทะเล พระสันตะปาปายอห์นปอลที่สอง ผู้ยิ่งใหญ่ทรงฟื้นฟูความเป็นระเบียบให้แก่พระศาสนจักรและปลดปล่อยพลังแห่งเทววิทยามากมายที่ช่วยเสริมส่งการแพร่ธรรมตลอดไป ขณะที่ชัยชนะของโลกทางตะวันตกในสงครามเย็นได้ให้ความหวังต่อสันติภาพและความรุ่งโรจน์ในอนาคตของโลก ที่จะนำไปสู่การจัดระเบียบใหม่ที่มีเสรีภาพและประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม ช่วงสี่ศตวรรษผ่านไป คำสัญญาแห่งความหวังของวันนั้นส่วนใหญ่ดูเหมือนล้มเหลว เกิดความวุ่นวายอีกครั้งหนึ่งในพระศาสนจักรในหลายวิถีทาง และโลกก็เดือดระอุด้วย ปฏิบัติการของความรุนแรง, การปกครองแบบเผด็จการ , ความเสื่อมทางวัฒนธรรมและการต่อต้านพระศาสนจักร จากการทำสงครามของฝ่ายอิสลาม และการทำสงครามของผู้พยายามฟื้นฟูลัทธิความเชื่อนอกรีตนอกรอย คริสตชนหลายล้านคนในหลายส่วนของโลกดำรงชีวิตอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะต้องพลีชีพเป็นมรณะสักขี และประเทศตะวันตกที่ถือว่ามีเสรีภาพในทางทฤษฏี ก็ใช้วิธีแบบเผด็จการในรูปแบบของลัทธิสัมพัทธนิยม relativism กดดันอย่างหนักต่อพวกเราด้วยวัตถุประสงค์ที่ไม่เป็นมิตร มันจะเจริญเติบโตและรวมตัวกันมากขึ้นในอีกขวบปีข้างหน้า ในขณะเดียวกัน ลัทธิสุญนิยม (ไม่เชื่อในความคิดใดๆ) และกลุ่มรูปแบบใหม่ neo-gnostic พยายามทำลายล้างความนึกคิดทางวัฒนธรรมที่เราอาศัยอยู่ และทำให้ศาสนาที่แท้จริงกลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับผู้ที่นับถือรูปเคารพของการยึดถือตนเอง พูดอีกนัยหนึ่ง จะไม่มีช่วงเวลาดีๆหรือง่ายๆสำหรับพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้าอีกต่อไป

พระเยซูเจ้าทรงทรงมอบหมายภารกิจแก่บรรดาสาวกของพระองค์ ในการสั่งสอน การชำระให้บริสุทธิ์และการปกครองพระศาสนจักรของพระองค์ และหน้าที่เหล่านี้ถูกส่งมอบจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลาสองพันปีผ่านทางพระสันตะปาปาผู้สืบทอดต่อๆกันมา เพื่อประกาศและอธิบายพระวาจาของพระเจ้า เพื่อเฉลิมฉลองพระธรรมล้ำลึกแห่งพันธสัญญาใหม่อันนิรันดร และเพื่อนำทางและปกป้องฝูงแกะ: งานเหล่านี้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ทุกคนตามที่แต่ละท่านสังกัดอยู่ เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ของผมซึ่งเป็นเพียงผู้รับใช้ที่ไม่คู่ควรแม้ว่าผมจะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้

เมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้วในความเย่อหยิ่งแห่งเยาว์วัย ผมคิดว่าผมกำลังจะช่วยปฏิรูปศาสนจักร แต่ต่อมาผมได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังปฏิรูปไม่ได้ ดังนั้นงานที่อยู่ในมือก็ไม่สูงส่งถ้ามีความยากลำบกน้อยลง: ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้าผมจะพยายามที่จะสัตย์ซื่อต่อคำสัญญาทั้งของศีลล้างบาปและศีลบรรพชาของผม และผมจะทำเช่นนี้ได้ก็ด้วยการเดินร่วมไปกับผู้อื่นในทางแห่งไม้กางเขน สำหรับหลาย ๆ อย่างที่ผมไม่ได้กระทำแม้แต่น้อย ผมวอนขอการให้อภัยจากพระเจ้าสำหรับตัวผมเองและสำหรับท่านด้วย และถ้าการรับใช้ของผมจะเป็นประโยชน์แก่ท่านแล้วขอให้พระเจ้าทรงได้รับการสรรเสริญสำหรับพระเมตตาอันอ่อนโยนของพระองค์

มีหลายคนในทุกวันนี้ที่ถือว่าสังฆภาพเป็นเรื่องล้าสมัยหรือเป็นการสิ้นเปลืองชีวิตของมนุษย์ แม้แต่ในบรรดาผู้ที่รู้สึกขอบคุณต่อการอภิบาลของพระสงฆ์ก็ตาม หลายคนคิดว่าสังฆภาพเป็นพระพรที่หาได้ยากที่จะประทานให้แก่บางคนที่พิเศษเท่านั้น แต่มิตรทั้งหลาย, สังฆภาพไม่ใช่เป็นสิ่งพิเศษหรือชีวิตที่พิเศษสำหรับคนที่พิเศษแต่อย่างใด อันที่จริง มันเป็นสิ่งปกติธรรมดาของชีวิตคริสตชนสำหรับคริสตชนธรรมดา ความพิเศษที่แท้จริงก็คือการเป็นคริสตชนนั่นแหละ

"เวลาได้มาถึงแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว จงกลับใจและเชื่อพระวรสารเถิด" ตั้งแต่เริ่มต้นภารกิจเปิดเผยจนถึงบัดนี้ของพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงเรียกมนุษย์ทุกชาติพันธุ์ให้มารับความเชื่อและรับอิสรภาพในการเป็นบุตรของพระเจ้า พระพรที่เราได้รับคือการได้บังเกิดใหม่ในศีลล้างบาปอันศักดิ์สิทธิ์ โดยอาศัยน้ำและพระจิตเจ้า คุณธรรมแห่งความเชื่อ, ความหวังและความรักได้หลั่งไหลมาสู่เรา นำความโปรดปรานของการเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้าและความชอบธรรมสำหรับชีวิตที่ดีงามและมีอิสระภายในจิตใจอย่างแท้จริง เป็นชีวิตที่ซึ่งถ้าเราร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้า เราจะสามารถทำกิจการที่ดีงามของชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งนำไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์ในการเป็นสิ่งสร้างใหม่ของพระเจ้า เมื่อมีความเข้าใจในความศักดิ์สิทธิ์ของศีลล้างบาปอย่างดีถูกต้องแล้ว วิถีชีวิตของคริสตชน อันได้แก่ การแต่งงาน กิจปฏิบัติทางศาสนา และความศักดิ์สิทธิ์แห่งสังฆภาพ จะดำรงอยู่ในพระศาสนจักรและในชีวิตคริสตชนทั้งมวล

มีการพูดกันว่าเวลานี้มีปัญหาการขาดแคลนกระแสเรียกในพระศาสนจักร ถ้ามีจริง การขาดแคลนนั้นก็พบได้เฉพาะในบรรดาผู้ที่เข้าใจถึงความยากลำบากและยอมรับคุณค่าในการเป็นศิษย์ที่แท้จริง  ด้วยเหตุนี้จึงมีพระสงฆ์จำนวนน้อยและมีคู่สมรสที่น้อยมากที่เปิดรับพระพรของเด็ก การขาดกระแสเรียกนี้ แน่นอนว่าเกิดจากการแพร่กระจายของวิถึชีวิตที่เปลี่ยนไปที่เคยมีความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นอำนาจของพระเจ้าที่ประทานความรอดแก่ทุกคนที่มีความเชื่อ ความเชื่อจะแพร่กระจายไปเมื่อพระวรสารถูกประกาศโดยผู้ที่เป็นทั้งครูคำสอนและเป็นพยานยืนยันด้วยชีวิต ความเข้มแข็งในการเป็นครูคำสอนและเป็นพยานนั้นมาจากพระหรรษทานของพระเจ้าที่ประทานให้แก่เราในพระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขนและทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์

ผู้ที่มาเป็นคริสตชนคาทอลิกเมื่อเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับผม ถูกเรียกว่าเป็นคริสตชนยืน และผู้ที่เป็นคาทอลิกตั้งแต่วัยเด็กถูกเรียกว่าเป็นคริสตชนนอน คำเรียกนี้อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะไม่มีใครที่เป็นคริสตชนตั้งแต่เกิด

ในส่วนที่เกี่ยวกับการกลับใจของผมนั้น เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญมาก ในตอนเย็นของวันที่ 13 พฤษภาคม 1981 ในเวลานั้นผมยังเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า หนังสือพิมพ์ในมหาวิทยาลัยลงข่าวพิเศษที่มาจากกรุงโรม: สมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ถูกลอบยิงในจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ เวลานั้นผมยังไม่รู้ว่าพระศาสนจักรคาทอลิกคืออะไร พระสันตะปาปาคืออะไร หรือยอห์นปอลที่2 คือใคร แต่ผมพอจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่จะมีบางคนพยายามฆ่าพระสงฆ์ในชุดสีขาวผู้นี้

ในวันนั้นในเดือนพฤษภาคม ความพยายามในการลอบสังหารได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผม เช่นเดียวกับที่อาจารย์ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้นั้นในค่ายฤดูร้อนในปี 1976 เคยทำให้ผมรู้สึกมาแล้ว การรับรู้เพียงแวบเดียวที่ผมได้รับเกี่ยวกับพระศาสนจักรคาทอลิกจากแหล่งข่าวในหนังสือพิมพ์ทำให้ผมวุ่นวายใจ มันมาจากการเป็นพยานยืนยันของบุคคลผู้หนึ่งที่อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับการสั่งสอนพระวรสารของพระเยซูคริสต์ ผมเริ่มแสวงหาความเข้าใจที่จะเปลี่ยนชีวิตของผมเอง ผมเรียนรู้ว่าการอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวด้วย และเวลานี้ผมก็อยู่ในสถานะนี้แล้ว ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับ 25 ปีแห่งการรับใช้ในฐานะพระสงฆ์ และผมสวดภาวนาให้มากขึ้นอีก 25 ครั้งเพื่อที่จะมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ให้สำเร็จ

เพื่อที่จะได้เป็นศิษย์ของพระเยซูคริสต์และดำรงชีวิตในฐานะสมาชิกของพระศาสนจักรของพระองค์ คนนั้นต้องบังเกิดใหม่ด้วยน้ำและพระจิต และแม้ว่าจะได้รับศีลล้างบาปตั้งแต่วัยเด็กเล็กซึ่งเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความเชื่อ คริสตชนคาทอลิกส่วนใหญ่อาจไม่ได้รับการกลับใจอย่างฉับพลันเหมือนที่ผมได้รับ แต่เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีการกลับใจอย่างต่อเนื่องในชีวิตของคริสตชนทุกคน สิ่งนี้จะเป็นไปได้ก็โดยการรับข่าวดีด้วยความนบนอบเชื่อฟังและดำเนินชีวิตในมิตรภาพกับพระเยซูคริสต์ด้วยการติดตามพระองค์ในหนทางแห่งกางเขน การตัดสินใจเช่นนี้จะเป็นจุดสิ้นสุดของคาทอลิกแห่งวัฒนธรรมและเป็นจุดเริ่มต้นของคาทอลิกแห่งการแพร่ธรรม โดยอาศัยการกลับใจอย่างจริงจัง , ความจงรักภักดีอันลึกซึ้ง , การเป็นศิษย์ที่ร่าเริงและการประกาศพระวรสารอย่างกล้าหาญ และผู้ที่ต้องการรับพระวาจาแห่งพระหรรษทานและความจริงมากที่สุดจะไม่ได้ยินสิ่งที่นำพวกเขาไปพบกับพระเยซูคริสต์ จนกว่าคุณจะทำเช่นเดียวกับเพื่อนที่วิทยาลัยของผมได้ทำเพื่อผมเมื่อสี่สิบปีก่อน

บทเทศน์ตอนเย็นวันนี้ นำมาจากบทจดหมายฉบับที่สองของนักบุญเปาโลถึงชาวเธสะโลนิกา และในวันนี้ผมขอพูดถึงถ้อยคำของท่านอัครสาวกด้วยถ้อยคำของผมเองต่อท่านทั้งหลายว่า "เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ พี่น้องที่รักในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกคุณเป็นผลแรกในบรรดาผู้เลือกสรรของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้สำหรับความรอด ในความศักดิ์สิทธิ์แห่งจิตวิญญาณและความซื่อสัตย์ต่อความจริง พระองค์ทรงเรียกพวกคุณมาโดยอาศัยการประกาศพระวรสารของเราเพื่อที่พวกคุณจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา"
อาแมน โปรดเสด็จมาเถิดพระเยซูเจ้าข้า!

 
*******************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น