พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เคยทำนายอนาคตของพระศาสนจักร
ในปี 1969 สถานีวิทยุได้สัมภาษณ์คุณพ่อโยเซฟ รัธซิงเกอร์ (พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เวลานั้นพระองค์ยังเป็นพระสงฆ์และเป็นอาจารย์ทางเทววิทยา) และท่านได้พูดถึงอนาคตของพระศาสนจักรไว้ว่า
"จากวิกฤตการณ์ในวันนี้ พระศาสนจักรของวันพรุ่งนี้จะปรากฏออกมา พระศาสนจักรที่ได้สูญเสียไปมากแล้ว พระศาสนจักรจะเล็กลงและจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเหมือนในระยะเริ่มแรก พระศาสนจักรจะไม่สามารถอาศัยอยู่ในอาคารที่สร้างขึ้นจากความมั่งคั่งที่เคยมีอยู่มากมายในอดีต เนื่องจากจำนวนผู้มีความเชื่อที่ติดตามพระศาสนจักรจะลดน้อยลง ดังนั้นจึงสูญเสียสิทธิพิเศษทางสังคมจำนวนมากไป ในทางตรงกันข้ามกับยุคก่อนหน้านี้ จะเห็นว่าพระศาสนจักรจะเป็นสังคมที่มีผู้อาสาสมัครมากขึ้นโดยการตัดสินใจอย่างอิสระ ในการที่พระศาสนจักรมีขนาดเล็กลง จะทำให้ความต้องการของสมาชิกแต่ละคนมีมากขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระศาสนจักรจะพบรูปแบบใหม่ของการอภิบาล จะมีการบวชพระสงฆ์จากคริสตชนที่ได้รับการรับรองแล้วจากสาขาอาชีพบางอย่าง ในชุมชนหรือหมู่คณะที่มีขนาดเล็ก การอภิบาลจะกระทำในลักษณะนี้ และควบคู่กันไป การอภิบาลแบบเต็มเวลาของพระสงฆ์ซึ่งมีความจำเป็นก็จะยังคงกระทำในลักษณะเช่นเดิม การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นสิ่งที่บางคนคาดเดาไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น พระศาสนจักรจะได้พบความสดชื่นและมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในสิ่งที่เป็นศูนย์กลางของพระศาสนจักรเสมอ นั่นคือ ความเชื่อในพระตรีเอกภาพ เชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงมากลายเป็นมนุษย์ ร่วมกับพระจิตเจ้า จวบจนสิ้นสุดพิภพ ในความเชื่อและการสวดภาวนา พระศาสนจักรจะรับรู้ถึงศีลศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งในฐานะเป็นการนมัสการพระเจ้าไม่ใช่เป็นเพียงแค่พิธีกรรมขั้นสูงเท่านั้น
"พระศาสนจักรจะเป็นพระศาสนจักรฝ่ายจิตมากขึ้น โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา พระศาสนจักรจะมีความยากลำบากมากขึ้น ต้องใช้พละกำลังมากขึ้นในการทำงานแพร่ธรรม พระศาสนจักรจะยากจนลงแต่จะกลายเป็นพระศาสนจักรที่อ่อนโยน กระบวนการนี้จะยากลำบากมากเพราะต้องสละความเคยชินกับอดีตของความคิดที่คับแคบและขาดความกระตือรือร้น อาจมีบางคนที่คาดการณ์ไว้แล้วว่าทั้งหมดนี้จะใช้เวลาที่ยาวนานและเหน็ดเหนื่อย เหมือนกับเหตุการณ์ของกลุ่มหัวก้าวหน้าที่ได้ทำผิดพลาดไปในระยะก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส เพื่อที่จะฟื้นฟูศตวรรษที่สิบเก้าขึ้นเสียใหม่ พระสังฆราชในยุคนั้นคิดว่าเป็นการฉลาดที่จะอธิบายหลักคำสอนทางศาสนาด้วยความคิดของตนเองและแม้แต่การบอกว่าพระเจ้าอาจไม่ได้ดำรงอยู่ก็เป็นได้ – แต่เมื่อการประจญทดลองครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้ว อำนาจอันยิ่งใหญ่จะหลั่งไหลออกมาจากพระศาสนจักรที่เป็นฝ่ายจิตและเรียบง่ายมากขึ้น มนุษย์ผู้อยู่ในโลกที่มีการออกแบบไว้จะพบว่าตนเองไม่อาจอยู่เพียงลำพังได้ พวกเขาเริ่มตระหนักว่าหากพวกเขาไม่ได้อยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าตลอดเวลา พวกเขาจะรู้สึกสลดใจในความยากจนของตนเอง และแล้วพวกเขาจะได้พบกับฝูงแกะเล็กๆของบรรดาผู้มีความเชื่อที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ทั้งหมด พวกเขาจะค้นพบว่าสิ่งนี้เป็นความหวังที่มีไว้สำหรับพวกเขา เป็นคำตอบที่ซ่อนเร้นที่พวกเขาค้นหาอยู่เสมอ
"และด้วยเหตุนี้ สำหรับผมดูเหมือนจะมั่นใจว่าพระศาสนจักรกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก วิกฤติการณ์ที่แท้จริงยังไม่ได้เริ่มขึ้น เราคงจะต้องรอให้ความวุ่นวายเกิดขึ้นเสียก่อน แต่ผมก็มีความมั่นใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในตอนท้าย: สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ใช่พระศาสนจักรของลัทธิทางการเมืองซึ่งตายไปแล้ว แต่เป็นพระศาสนจักรแห่งความเชื่อ ซึ่งจะดีกว่าการมีอำนาจทางสังคมอย่างที่เคยมีมาก่อนจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ พระศาสนจักรจะชื่นชมยินดีกับการผลิบานขึ้นมาใหม่และได้รับการพิจารณาว่าเป็นบ้านของมนุษย์ที่เขาจะได้พบกับชีวิตและความหวังที่เหนือกว่าความตาย "
************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น