วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2564

อัศจรรย์ศีลมหาสนิทและพระสันตปาปาเกรโกรี่

 



 
เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งหัวเราะเยาะศีลมหาสนิทโดยคิดว่าเป็นเพียงขนมปังธรรมดา นักบุญเกรโกรีได้สวดภาวนาและแผ่นศีลก็กลายเป็นเนื้อมนุษย์
 
พระศาสนจักรคาทอลิกสอนว่าหลังจากการถวายแผ่นปังในพิธีมิสซา แผ่นศีลที่ได้รับการเสกจากพระสงฆ์แล้วจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นพระกาย,พระโลหิต,พระวิญญาณ,และพระเทวภาพของพระเยซูคริสต์ ซึ่งหมายความว่าแม้รูปลักษณ์ของขนมปังและเหล้าองุ่นจะยังคงเหมือนเดิม แต่สสารก็ได้เปลี่ยนแปลงไป (โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า) เป็นพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์อย่างสมบูรณ์
 
สิ่งนี้เป็นความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักร แต่ในบางครั้ง พระเจ้าได้ทรงยกผ้าคลุมขึ้นและทรงกระทำให้แม้แต่รูปลักษณ์ทางกายภาพก็เปลี่ยนไปด้วย!
 
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ในเรื่องราวจากหนังสือ ตำนานทองคำ(Golden Legend )เล่าถึงนักบุญพระสันตปาปาเกรโกรีมหาราช(St. Gregory the Great)
 
ตามเรื่องราวเล่าว่า นักบุญเกรโกรีกำลังจะให้ศีลมหาสนิทกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีหน้าที่ทำแผ่นปังที่ใช้ในพิธีมิสซา ด้วยความประหลาดใจ,ผู้หญิงคนนั้นเริ่มหัวเราะ เพราะเธอคิดว่ามันไร้สาระที่คิดว่าแผ่นปังที่เธอเป็นผู้ทำนั้นเป็นพระกายของพระเยซูเจ้า
 
หญิงม่ายคนหนึ่งนำแผ่นศีลที่เธอทำขึ้นมาให้โบสถ์ทุกวันอาทิตย์ [สำหรับให้พระสงฆ์ใช้] ในพิธีมิสซา … เมื่อนักบุญเกรโกรี [กำลังจะ] ให้แผ่นศีลอันศักดิ์สิทธิ์แก่เธอ [พร้อมกับกล่าวว่า] ขอให้พระกายขององค์พระเยซูคริสตเจ้านำท่านเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ … ผู้หญิงคนนี้เริ่มหัวเราะเยาะนักบุญเกรโกรี ท่านนักบุญจึงหยุดมือของท่านและนำแผ่นศีลนั้นไปวางไว้บนแท่นบูชาแทน และท่านนักบุญถามเธอต่อหน้าผู้คนว่าทำไมเธอถึงหัวเราะ เธอตอบว่า: เพราะแผ่นปังนี้เป็นแผ่นปังที่ดิฉันทำด้วยมือของฉันเอง แล้วท่านกลับเรียกว่าเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์,องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
 
นักบุญเกรโกรีได้สวดภาวนาร่วมกับประชาชนที่นั่น เพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ต่อจากนี้ พระองค์จะทรงสำแดงพระหรรษทานของพระองค์เพื่อยืนยันความเชื่อของเรา และเมื่อพวกเขาสวดภาวนาเสร็จเรียบร้อย นักบุญเกรโกรีได้เห็นแผ่นศีลที่เสกแล้วปรากฏในรูปของชิ้นเนื้อมีขนาดใหญ่เท่านิ้วก้อยของมือ และด้วยคำอธิษฐานภาวนาของนักบุญเกรโกรี ชิ้นเนื้อของศีลมหาสนิทก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นแผ่นปังเหมือนเดิม ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้ให้ศีลมหาสนิทแก่สตรีผู้นั้น ซึ่งต่อมาเธอได้กลายเป็นผู้มีความศรัทธามากขึ้น และประชาชนก็มีความศรัทธามั่นคงมากขึ้นด้วยเช่นกัน
 
เรื่องที่เล่ามานี้ก็คล้ายกับอัศจรรย์ศีลมหาสนิทที่เกิดขึ้นในที่อื่นๆ ที่ซึ่งความเชื่อของบุคคลหรือแม้แต่พระสงฆ์กำลังล้มเหลว และพวกเขาได้รับหมายสำคัญถึงการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
 
พระเจ้าทรงประทานอัศจรรย์เช่นนี้เพื่อทำให้ความเชื่อของทุกคนมีชีวิตชีวาขึ้น และทำให้เราเชื่อมั่นในความจริงที่ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่จริงในศีลมหาสนิทที่ได้ถวายในพิธีมิสซา เป็นพระกาย,พระโลหิต,พระวิญญาณ,และพระเทวภาพของพระองค์อย่างแท้จริง
 
-------------------------------
 

อัศจรรย์ศีลมหาสนิทและพระสันตปาปาฟรังซิส
 
นิตยสารโปแลนด์ฉบับหนึ่งเล่าถึงพระคาร์ดินัลฮอร์เก้ เบอร์โกกลิโอ และเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นในกรุงบัวโนสไอเรส,ประเทศอาร์เจนตินา
 
หลังจากที่ทาง Aleteia ได้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับอัศจรรย์ศีลมหาสนิทปี 2013 ที่โปแลนด์ซึ่งเพิ่งได้รับการรับรองไปแล้ว ผู้อ่านคนหนึ่งได้ส่งบทความที่น่าสนใจมาให้เรา (เขียนในปี 2010 ระหว่างรัชสมัยของพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 16) เป็นเรื่องที่นำมาจากนิตยสารโปแลนด์ Milujcie sie! (จงรักซึ่งกันและกัน). เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการอัศจรรย์ศีลมหาสนิทที่เกิดขึ้นในอีกที่หนึ่ง และเกี่ยวข้องกับชายผู้ซึ่งจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งพระสันตปาปาแทนพระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่ 16:
 
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1996 ขณะที่คุณพ่อ Alejandro Pezet กำลังสิ้นสุดพิธีมิสซาที่โบสถ์ Santa Maria y Caballito Almagro ผู้หญิงคนหนึ่งรายงานต่อคุณพ่อว่า มีแผ่นศีลแผ่นหนึ่งอยู่บนเชิงเทียนที่อยู่ด้านหลังโบสถ์ Fr. Pezet จึงได้ไปนำแผ่นศีลมาที่พระแท่น แต่เพราะไม่สามารถกินแผ่นศีลดังกล่าวได้,ท่านจึงหย่อนแผ่นศีลลงในจานน้ำและเก็บไว้ในตู้ศีล
 
วันจันทร์ถัดมา Fr. Pezet เปิดตู้ศีลและพบว่าแผ่นศีลดูเหมือนจะมีรอยเลือดปรากฏอยู่:
 
Fr. Pezet แจ้งต่อพระคาร์ดินัลฮอร์เก้ แบร์โกกลิโอ(ต่อมาคือพระสันตปาปาฟรังซิส) ผู้ให้คำแนะนำว่าควรถ่ายภาพแผ่นศีลนั้นโดยช่างภาพมืออาชีพ ภาพถ่ายถูกถ่ายเมื่อวันที่ 6 กันยายน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าศีลมหาสนิทซึ่งกลายเป็นเศษเลือดเนื้อนั้นมีขนาดโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นเวลาหลายปีที่แผ่นศีลยังคงอยู่ในตู้ศีล เรื่องทั้งหมดถูกเก็บเป็นความลับ เนื่องจากแผ่นศีลไม่แสดงให้เห็นว่ามีการสลายตัวและละลายไปในน้ำแต่อย่างใด พระคาร์ดินัลฮอร์เก้ แบร์โกกลิโอจึงตัดสินใจทำการตรวจวิเคราะห์แผ่นศีลด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นในวันที่ 5 ตุลาคม 1999,ต่อหน้าผู้แทนของพระคาร์ดินัล,นักวิทยาศาสตร์ ดร. ริคาร์โด กัสตานอน โกเมซ* ได้นำตัวอย่างชิ้นส่วนของแผ่นศีลที่มีรอยเปื้อนเลือดส่งไปยังนิวยอร์กเพื่อทำการวิเคราะห์ เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะไม่ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนต่อการตรวจวิเคราะห์ครั้งนี้ เขาจึงตั้งใจที่จะไม่แจ้งให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ทราบถึงที่มาของชิ้นตัวอย่างของแผ่นศีลนี้ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้คือ Dr. Frederic Zugiba แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและนิติเวชที่มีชื่อเสียง เขาได้ตรวจสอบและพบว่าชิ้นส่วนที่วิเคราะห์นั้นเป็นเนื้อและเลือดอย่างแท้จริงที่มี DNA ของมนุษย์อยู่ Dr. Frederic Zugiba รายงานว่า "วัสดุที่วิเคราะห์คือชิ้นส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจที่พบในผนังของช่องซ้ายใกล้กับลิ้นหัวใจ กล้ามเนื้อนี้มีหน้าที่ในการหดตัวของหัวใจ ต้องทราบว่าหัวใจห้องล่างซ้ายทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังทุกส่วนของร่างกาย กล้ามเนื้อหัวใจมีอาการอักเสบและมีเซลล์เม็ดเลือดขาวจำนวนมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าหัวใจยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เก็บตัวอย่าง ข้าพเจ้าขอย้ำว่าหัวใจยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวตายนอกอวัยวะซึ่งมีชีวิต เม็ดเลือดขาวจำเป็นต้องอาศัยอวัยวะที่มีชีวิตเพื่อค้ำจุนพวกมัน ดังนั้นการมีอยู่ของพวกมันจึงบ่งชี้ว่าหัวใจยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เก็บตัวอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น เซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้ได้แทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อ ซึ่งบ่งบอกว่าหัวใจได้รับความเครียดอย่างรุนแรง ราวกับว่าเจ้าของชิ้นตัวอย่างนี้ถูกทุบตีที่หน้าอกอย่างรุนแรง”
 
คุณสามารถอ่านบทความทั้งหมดที่เขียนโดยคุณพ่อ M. Piotrowski, SChr
 
ความเชื่อไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัศจรรย์ และปรากฏการณ์เหล่านี้จะไม่มีวันอธิบายได้อย่างน่าพอใจ แต่สามารถทำหน้าที่ย้ำเตือนจิตใจของเราในเวลาที่ความเชื่อถดถอยได้ และเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่าไม่ว่าเราจะคิดว่าเรามีความรู้มากเพียงใด เราก็ไม่สามารถเข้าใกล้วิถีหรือพระประสงค์ของพระเจ้า ดังที่นักบุญโทมัส อไควนัสกล่าวไว้หลังจากีที่ได้รับนิมิตที่ทำให้ท่านต้องวางปากกาลง: “ข้าพเจ้าไม่สามารถเขียนได้อีกต่อไป ข้าพเจ้าได้เห็นสิ่งที่ทำให้งานเขียนของข้าพเจ้าเป็นเหมือนเศษฟางเท่านั้น”
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น