วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2568

ชีวิตนั้นสั้นนัก...

 


ทุกวันนี้ ผมไม่ค่อยได้รับสายโทรศัพท์จากใครมากนัก สายที่รับก็มาจากบุคคลในครอบครัวของผมเท่านั้น
 
พระแม่มารีย์ทรงเรียกผมบ่อยๆ ผ่านทางสาส์นของพระนางจากเมดจูกอเรจ์ พระแม่มารีย์ทรงเตือนผมอยู่เสมอว่าพระเจ้าก็ทรงพยายามติดต่อผมเช่นกัน ผมได้ตอบรับสายเหล่านี้เสมอหรือไม่? และมีใครตอบรับเสียงของพระเจ้าบ้างไหม?
 
บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่พระแม่มารีย์ทรงส่งสาสน์จากเมดจูกอเรจ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานาน ทรงเรียกเราไปหาพระนางและพระบุตร,พระเยซูอยู่เสมอ สาส์นเหล่านั้นต้องการการตอบรับ และพระแม่มารีย์ทรงเป็นยิ่งกว่ามารดาที่รอคอยเราด้วยความหวัง,พระนางจะทรงขอบคุณเราเสมอเมื่อเราตอบสนองสาส์นของพระนาง
 
ในโอกาสหนึ่ง,พระแม่มารีย์ทรงเตือนเราว่า เวลานั้นสั้น สำหรับผมแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าเวลาในหนึ่งวันไม่เพียงพอที่จะทำทุกสิ่งที่ผมต้องการให้เสร็จ ขณะที่อยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ผมรู้ดีว่าพระแม่มารีย์ทรงหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระนางตรัสว่า “ลูกทั้งหลายของแม่, ชีวิตนั้นสั้นนัก” เพื่อนและญาติหลายคนของผมจากโลกนี้ไปอย่างไม่คาดคิดในวัยที่น้อยกว่าผมมากในตอนนี้
 
สาส์นนี้จึงชัดเจนสำหรับผมมากว่า จงใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์ อย่าเสียเวลาไปกับการสิ่งไร้สาระ เติมน้ำมันให้ตะเกียงให้เต็มไว้เสมอ และบางครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและดูเหมือนจะทำอะไรได้ไม่มากนักในชีวิตนี้ มีแต่ต้องการสวดภาวนาอยู่เสมอ
 
มีหลายอย่างที่สามารถทำให้สำเร็จได้เพื่อสิ่งที่ดีด้วยการสวดภาวนา - เพื่อผู้อื่นและเพื่อตัวเราเอง การสวดภาวนาไม่เคยเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ - ไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปีหรือเหลืออยู่เพียงวันเดียวในชีวิตอันสั้นนี้ก็ตาม
 
“ลูกที่รักทั้งหลาย! จงสวดภาวนา เป็นพยานและชื่นชมยินดีพร้อมกับแม่เถิด เพราะองค์พระผู้สูงสุดยังคงส่งแม่มาเพื่อนำทางลูกบนเส้นทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ลูกน้อยทั้งหลาย, จงตระหนักว่าชีวิตนั้นสั้นนักและนิรันดรกำลังรอลูกอยู่เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยตัวลูกเองและพร้อมกับนักบุญทั้งหลาย ลูกน้อยทั้งหลาย, อย่ากังวลไปกับสิ่งของทางโลก แต่จงโหยหาสวรรค์ สวรรค์จะเป็นเป้าหมายของลูก และความปิติยินดีจะเริ่มครองราชย์ในใจของลูก แม่จะอยู่กับลูกและขออวยพรลูกทุกคนด้วยการอวยพรเยี่ยงมารดาของแม่ ขอขอบคุณที่ตอบสนองการเรียกของแม่”
 
สาส์นจากเมดจูกอเรจ์ 25 กันยายน 2021
 

 
************************
 

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2568

นักบุญพูดถึงเรื่องเงิน

 


หากคุณต้องการคำแนะนำในช่วงเทศกาลมหาพรต หรือคำแนะนำสำหรับช่วงเวลาใดก็ได้ของปี ให้ไปหานักบุญเทเรซาแห่งอาวิลลา โดยอ่านหนังสือเล่มคลาสสิกของเธอเรื่อง The Life of Teresa of Jesus
 
มันเป็นสาส์นที่สำคัญมากในช่วงเวลาที่หลายคนมุ่งมั่นและหมกมุ่นอยู่กับวัตถุสิ่งของของโลก นี่คือยุคของมหาเศรษฐีหลายพันล้าน ที่พวกเขาแต่ละคนใช้จ่ายและทำให้คนทั่วไปรู้สึกอิจฉาในความร่ำรวยของพวกเขา ทุกอย่างที่เขาทำล้วนเป็นที่สนใจ แต่พวกเขาร่ำรวยในอะไร?
 
เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาแห่งการละทิ้งความยึดติดในสิ่งที่ผิดๆที่ไม่ทำให้เราได้รับความรอดพ้น ได้แก่ เงิน ทรัพย์สมบัติภายนอก สิ่งของฝ่ายโลก ความพึงพอใจทางโลก ฯลฯ และเข้าสู่ทะเลทราย นั่นคือการเข้าไปในที่เงียบสงบ ใช้เวลาในการสวดภาวนา,พิจารณาไตร่ตรองชีวิต และอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าให้มากขึ้น มหาพรตเป็นช่วงเวลาแห่งการกลับใจ
 

“ฉันไม่เชื่อว่าฉันเคยต้องสารภาพว่ามีความโลภในเงินทอง” นักบุญเทเรซาเขียน “ถ้าฉันสามารถซื้อพระพรซึ่งฉันได้รับอยู่ในขณะนี้ได้ด้วยเงิน ฉันควรจะให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเงินนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าพระพรนั้นได้มาด้วยการละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
 
“มีสิ่งใดที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินอันเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา ? มีสิ่งใดที่มีค่า? มีสิ่งใดที่ยั่งยืน?
 
“ถ้าหากไม่มี เหตุใดเราจึงปรารถนามันเล่า?
 
“มันเป็นเพียงความสะดวกสบายที่น่าสังเวชที่มันมอบให้เรา และเป็นสิ่งที่มีราคาสูงมากสำหรับเรา บ่อยครั้งมันทำให้เราตกนรก มันซื้อไฟชั่วนิรันดร์และความทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุดให้เรา”
 
เราทราบดีถึงสำนวนที่ว่า “เงินไม่สามารถซื้อความสุขได้” และมันซื้อความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ด้วย ในความเป็นจริง มันถ่วงเราให้จมลงไปในทิศทางตรงกันข้าม
 
แต่เราพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะแยกตัวออกไปจากมัน
 
“วิญญาณมองเห็นความตาบอดในโลกที่เกี่ยวข้องกับความสุขชั่วนิรันดร์ และแม้แต่ความสุขในชีวิตนี้ มันซื้อได้เพียงการทดสอบและความไม่สงบ ความไม่สงบอะไรเช่นนี้! ช่างไม่น่าพอใจเสียนี่กระไร! การออกแรงที่ไร้ประโยชน์!
 
“โอ้” เทเรซากล่าว “ถ้าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นขยะแห่งความไร้เหตุผล โลกจะเจริญก้าวหน้าเพียงใด และการค้ามนุษย์จะน้อยลงเพียงใด! เราทุกคนจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันสักเพียงใด ถ้าหากไม่มีใครสนใจเงินทองและเกียรติยศ!
 
“ฉันเชื่อจริงๆ ว่านี่จะเป็นทางแก้ไขสำหรับทุกสิ่ง”
 
[แหล่งข้อมูล: ชีวประวัติของเทเรซาแห่งพระเยซูThe Life of Teresa of Jesus; แนะนำให้อ่านอย่างยิ่ง]
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2025 อุปมาเรื่องบิดาผู้ใจดี

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ลูกา 15:1-3, 11-32 
(1)บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า (2)ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า ‘คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา’ (3)พระองค์จึงตรัสเรื่องอุปมานี้ให้เขาฟัง
 (11)‘ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน (12)บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า “พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด” บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน (13) ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น (14)เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน (15)จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา (16)เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ (17)เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า “คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว (18)ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า “พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ (19)ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด” 20)เขาก็กลับไปหาบิดา
‘ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา (21)บุตรจึงพูดกับบิดาว่า “พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก” (22)แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า “เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ (23)จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด (24)เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น 
(25)‘ส่วนบุตรคนโตอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ (26)จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น (27)ผู้รับใช้บอกเขาว่า “น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย” (28)บุตรคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน บิดาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป (29)แต่เขาตอบบิดาว่า “ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ (30)แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย” (31)‘บิดาพูดว่า “ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก (32)แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก”’
******************
 
 
 
พี่น้องครับ ธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ไม่ว่าจะใหม่เอี่ยมหรือยับยู่ยี่ก็ล้วนมีคุณค่าและเป็นที่ต้องการในสายตาของเราฉันใด ไม่ว่าคนดีเรียบร้อย หรือคนเลวป่าเถือน ขึ้นชื่อว่าคนแล้วก็ล้วนมีคุณค่าและเป็นที่รักในสายพระเนตรของพระเจ้าฉันนั้น
 
และจริงๆ แล้ว ต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครดีไปกว่ากัน นักบุญเปาโลบอกว่า “ไม่มีความแตกต่างใดๆ อีก ทุกคนกระทำบาปและขาดพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (รม3:23) นั่นคือทุกคนเท่าเสมอกันเพราะต่างก็เป็นคนบาปเหมือนกัน
 
พระวรสารวันนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่มีบุตรสองคน ตอนแรกดูเหมือนบุตรคนเล็กจะเลว ส่วนบุตรคนโตดูเหมือนจะดี แต่ลงท้ายทั้งคู่ก็ทำให้ครอบครัวไม่มีความรัก ไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เป็นบิดาต้องการอย่างยิ่ง
 
ปัญหาเริ่มที่บุตรคนเล็กไปขอส่วนแบ่งมรดกของตนทั้งๆ ที่บิดายังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ละทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบในครอบครัว ออกไปดำเนินชีวิตเหลวแหลกนอกบ้าน ผลาญเงินทองจนตกอับ จากลูกเศรษฐีมาเป็นยาจกตกต่ำสุดขีดจนต้องไปรับจ้างเลี้ยงหมู ซึ่งเป็นสัตว์มีมลทินสำหรับชาวยิว แถมยังคิดจะแย่งอาหารหมูกินซะอีก นี่แหละ บาปมันทำให้ชีวิตของเราตกอยู่ในสภาพไร้ยางอาย ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
 
กระนั้นก็ตาม แม้ว่าบาปมันจะทำให้บุตรคนเล็กต้องพลัดหลงและตะเลิดเปิดเปิงห่างไกลจากบ้านของบิดา แต่ยังดีที่เขาไม่หยิ่งจองหองเกินกว่าจะกลับบ้านเพื่อไปขอโทษบิดา
 
ขณะที่เขาเดินทางกลับบ้านด้วยหัวใจที่เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าบิดาจะยกโทษให้หรือไม่ แต่ “ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา” และยังไม่ทันที่เขาจะสารภาพผิดและขอโทษ บิดาผู้เปี่ยมล้นด้วยความยินดีก็สั่งผู้รับใช้ว่า “เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
 
มาถึงจุดนี้ เรื่องราวก็เผยให้เราเห็นข้อบกพร่องของบุตรคนโตซึ่งทีแรกคิดว่าเป็นคนดี เพราะแทนที่เขาจะยินดีที่ได้น้องผู้หลงผิดกลับคืนมา เขากลับโกรธบิดา ไม่ยอมเข้าบ้าน ไม่ยอมร่วมงานเลี้ยงฉลอง กล่าวหาบิดาว่าไม่แฟร์ ซึ่งเป็นคำที่บ่งบอกถึงความโกรธ ความไม่พอใจ และความคิดว่าตนเองถูก ตนเองดีกว่าคนอื่น และโดยวิธีคิดและวิธีทำแบบนี้นี่แหละ เขาก็เลยทำให้ครอบครัวของบิดาแตกแยกและนำความเสียใจใหญ่หลวงมาสู่ผู้เป็นพ่อ
 
ไม่ว่าจะเป็นบาปของบุตรคนเล็กที่ยังไม่ดีพอ หรือบาปของบุตรคนโตที่ดีเกิน ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคต่อความเป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัวของบิดาด้วยกันทั้งนั้น
 
ด้วยเหตุนี้แหละ นักบุญเปาโลจึงกล่าวว่า “ทุกคนกระทำบาปและขาดพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (รม 3:23) ซึ่งหมายความว่าเราทุกคนเป็นคนบาป ไม่ว่าบาปของเราจะเห็นได้ชัดเจนเหมือนบาปของบุตรคนเล็ก หรือซ่อนเร็นเหมือนบาปของบุตรคนโตก็ตามที
 
ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงจำเป็นต้องกลับใจ และกลับบ้านมาหาพระบิดาของเรา กลับมาคืนดีกับพระองค์
 
ครั้งหนึ่ง นักบุญเอากุสตินก็เคยเป็นเหมือนบุตรคนเล็กในพระวรสารวันนี้ ท่านเที่ยวเตร่แทบจะทุกซ่องในกรุงโรม แต่เมื่อกลับใจมาเป็นคริสตชน ทุกสิ่งในชีวิตของท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
 
วันหนึ่งขณะเดินผ่านซ่อง โสเภณีคนหนึ่งจำท่านได้ จึงร้องเรียกว่า “เอากุสติน เอากุสติน นี่ฉันเอง!” แต่นักบุญเอากุสติน กลับวิ่งหนี พร้อมกับบอกตนเองว่า “นี่ไม่ใช่ฉัน! นี่ไม่ใช่ฉัน!” คือท่านไม่ใช่เอากุสติน คนเดิมอีกแล้ว
 
นักบุญเปาโลจึงบอกเราในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว” (2 คร 5:17)
 
พี่น้องครับ เราคริสตชนได้รับศีลล้างบาปแล้ว ได้ชื่อว่ากลับใจและคืนดีกับพระเจ้าและเป็นสิ่งสร้างใหม่แล้ว จึงจำเป็นที่เราจะต้องดำเนินชีวิตให้สมกับสภาพใหม่เช่นเดียวกับนักบุญเอากุสตินด้วย
 
อนึ่ง การคืนดีกับพระเจ้านั้นเป็นเสมือนเหรียญ 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นอดีต นั่นคือพระเจ้าทรงอภัยบาปของเราและทำให้เรากลับมาเป็นบุตรของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นอนาคต กล่าวคือเราต้องแบ่งปันข่าวดีเรื่องความรักและการให้อภัยของพระเจ้าแก่คนอื่นด้วย ดังที่นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สองว่า “พระเจ้าทรงมอบภารกิจการคืนดีนี้ให้กับเรา ทรงมอบให้เราประกาศสารแห่งการคืนดีนี้” เราจึงเป็น “ทูตแทนพระคริสตเจ้า พระองค์ทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด”
 
พี่น้องครับ จดหมายของนักบุญเปาโลมีถึงชาวโครินธ์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้นำของพระศาสนจักร การเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้าเพื่อเชิญชวนผู้อื่นให้ยอมคืนดีกับพระเจ้าจึงเป็นหน้าที่ของเราคริสตชนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้นำของพระศาสนจักรหรือผู้รับศีลบวชเท่านั้น
 
เราจึงไม่เป็นเพียงผู้ที่จะต้องคืนดีกับพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่จะต้องทำให้ผู้อื่นคืนดีกับพระเจ้าด้วย !!!
 
พี่น้องครับ ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องลูกล้างผลาญ จริงอยู่ผู้ที่ต้องทนทุกข์มากที่สุดก็คือวัวขุนตัวนั้นที่ถูกนำไปฆ่าเพื่อเลี้ยงฉลอง แต่ผู้ที่ทนทุกข์รองลงมาก็คือบุตรคนโตที่คิดว่าตนดีแล้วนั่นเอง เขาอดลิ้มรสเนื้อขุนที่เขาลงทุนลงแรงเลี้ยงมากับมือของเขาเอง
 
เพราะฉะนั้น เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุตรคนโตหรือคนเล็ก จงคืนดีกับพระเจ้า โดยเฉพาะในเทศกาลมหาพรตนี้เถิด
 
***************************


วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2568

เราจะมีประสบการณ์อะไรในสวรรค์?

 


จากข้อความในพระคัมภีร์ ดูซิว่าเราจะมีประสบการณ์อะไรบ้างในสวรรค์
 
มีเหตุการณ์ 9 อย่างที่เราจะได้รับรู้ในเวลาที่เราตายและอยู่ในสวรรค์
 
1. เราจะอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าในทันที 2 โครินทร์ 5:10 “เราทุกคนจะต้องปรากฏเฉพาะพระบัลลังก์ของพระคริสตเจ้า”
 
2. เราจะไม่มีความเจ็บปวด,ความทุกข์เศร้าโศก,ความเจ็บป่วยหรือความตายอีก วิวรณ์ 21:4 “พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากนัยน์ตาของเขา จะไม่มีความตายอีกต่อไป จะไม่มีการไว้ทุกข์ การร้องไห้ และความทุกข์อีกต่อไป เพราะโลกเดิมผ่านพ้นไปแล้ว”
 
3. เราจะได้เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า 1ยอห์น 3:2 “เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น” และ ยอห์น 14:3 “เมื่อเราไปและเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย”
 
4. เราจะได้ยินเสียงดังสรรเสริญพระเจ้าจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน วิวรณ์ 7:9-10 ประชาชนมากมายเหลือคณานับ...กำลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ...ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า “ความรอดพ้นเป็นของพระเจ้าของเราผู้ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ และเป็นของลูกแกะ”
 
5. เราจะมีประสบการณ์พระหรรษทานของพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน เอเฟซัส 2:7 “โปรดให้เรามีที่นั่งในสวรรค์พร้อมกับพระคริสต์ เพื่อจะทรงแสดงพระหรรษทานอันอุดมเหลือล้นขององค์แก่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยในอนาคต โดยทรงพระกรุณาต่อเราในพระคริสตเยซู”
 
6. ไม่มีความมืดอีกต่อไป วิวรณ์ 21:23 “นครนี้ไม่ต้องการดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์เพื่อส่องสว่างเพราะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าจะส่องแสงเหนือนคร”
 
7. เราจะได้เห็นความสวยงามเหนือคำบรรยายของสวรรค์ วิวรณ์ 21:18-21 “แล้วข้าพเจ้าได้เห็นฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่”
 
8. เราจะเต็มเปี่ยมด้วยความยินดีในพระเจ้า สดุดี 16:11 “ข้าพเจ้าจะยินดีอย่างเต็มเปี่ยมเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์ ข้าพเจ้าจะมีความสุขตลอดไปเมื่ออยู่เบื้องขวาของพระองค์”
 
9. เราจะตระหนักว่าทุกสิ่งที่เราประสบนั้นจะคงอยู่ตลอดนิรันดร สดุดี 145:2 “ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ทุกวัน จะสรรเสริญพระนามของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์”
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2568

ความช่วยเหลือจากวิญญาณในไฟชำระ

 


สถาปนิกชาวไอริช Pat Murnahan กำลังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และโชคดีอย่างสมควร ในช่วงกลางทศวรรษที่ 90 เขากำลังบินกลับบ้านที่ไอร์แลนด์หลังจากเดินทางไปทำธุรกิจที่นิวยอร์กที่ประสบความสำเร็จด้วยดี เครื่องบินมีเสียงดังมากเนื่องจากผู้โดยสารพูดคุยและเก็บสัมภาระกัน แต่ Pat ก็สามารถนอนหลับได้ ทันใดนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาและพบว่าทั้งห้องโดยสารเงียบสงัด Pat พบว่าความเงียบนั้นน่าตกใจ อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็เห็นนักบุญผู้สงบนิ่งที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้: แม่ชีเทเรซาเดินขึ้นไปตามทางเดินพร้อมกับซิสเตอร์อีกคนที่ไปด้วย ทั้งสองคนสวมผ้าส่าหรีสีขาวที่มีแถบสีน้ำเงิน และการมาของพวกเขาทำให้ทั้งเครื่องบินเงียบสงบเพื่อเป็นการให้เกียรติ
 
ดูสิ คุณแม่เทเรซานั่งลงข้างๆ Pat และเขารู้สึกถ่อมตนลง พระผู้เป็นเจ้าทรงนำพวกเขาให้นั่งเคียงข้างกันบนเครื่องบินที่กำลังบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก จากนั้นเขาก็เห็นคุณแม่นำสายประคำที่แปลกประหลาดดังภาพด้านล่างออกมา สายประคำมีสีที่แตกต่างกันไปในแต่ละทศ สายประคำนั้นเป็นสายประคำสำหรับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ เฉดสีเหล่านี้เป็นสิ่งเตือนใจเชิงเปรียบเทียบว่าเฉดสีเหล่านี้ได้เคลื่อนตัวจากความมืดมิดไปสู่แสงสว่างของพระเจ้า คุณแม่เทเรซาสวดสายประคำ 3 สายแล้วจึงถามแพทว่าเขาเป็นคนไอริชหรือเปล่า แพทตอบรับทันที และคุณแม่เทเรซาก็รู้สึกชอบเขาเช่นกัน คุณแม่เคยไปที่กรุงดับลินตอนอายุ 18 ปีในปี 1928 คุณแม่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ ในช่วงเวลาที่สมัครเป็นโปสตูลันต์และเมื่อครั้งเป็นแม่ชีสาวในย่านชานเมืองที่ร่มรื่นของราธฟาร์นัม
 

ฉันยังจำได้ด้วยว่าตอนที่ฉันเติบโตขึ้นในไอร์แลนด์ แม้ว่าจะไม่ใช่สถานที่ที่มีศีลธรรมและมีการสวดภาวนามากที่สุด แต่ก็มีผู้คนที่ไปที่กัลกัตตาเป็นประจำเพื่อช่วยเหลือคุณแม่เทเรซาและทำทุกวิถีทางเพื่อคุณแม่โดยไม่ขอเงินสักเพนนีหรือรูปีตอบแทน มีบางคนเหมือนกันที่อิจฉาชื่อเสียงของคุณแม่เทเรซาและได้พูดวิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรมต่อคุณแม่ให้ฉันฟัง เพราะพวกเขารู้สึกว่ามีคนชื่นชอบคุณแม่เทเรซาเป็นจำนวนมาก
 
แต่คุณแม่เทเรซาไม่ยอมให้คนใจร้ายไม่กี่คนมาวางยาท่านให้มีความรู้สึกต่อต้านชาวไอริช และคุณแม่พูดกับแพต(Pat)ว่า "คุณเป็นชาวไอริช แน่นอนว่าคุณต้องเป็นคาทอลิกและสวดภาวนามาก" สิ่งนี้ทำให้แพตรู้สึกอาย เขาละทิ้งความเชื่อไประยะหนึ่ง แต่เขาไม่ได้บอกคุณแม่ว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด แพตหน้าแดง จากนั้นคุณแม่เทเรซาได้เชิญชวนเขาให้สวดสายประคำตามความตั้งใจของเขา และคุณแม่ถามเขาว่า “มีใครที่คุณอยากสวดภาวนาเป็นพิเศษไหม” แพทบอกว่าคุณยายของเขาป่วยหนักมาก พวกเขาจึงสวดวันทามารีย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อคุณยาย คุณแม่เทเรซาได้อธิบายถึงประสิทธิภาพอันยิ่งใหญ่ของการสวดภาวนาเพื่อผู้ล่วงลับว่า “เมื่อคุณสวดภาวนาเพื่อวิญญาณในไฟชำระ พระเจ้าจะทรงพอพระทัยกับการสวดภาวนาที่ไม่เห็นแก่ตัวของคุณสำหรับคนที่คุณไม่รู้จักด้วยซ้ำ พระองค์จะประทานแก่คุณตามความปรารถนาอันสูงสุดของคุณ” จากนั้นคุณแม่ก็ได้มอบสายประคำเป็นของขวัญให้กับเขา
 
แพทอาจจะประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น วันรุ่งขึ้น คุณยายของเขาก็หายเป็นปกติและลุกจากเตียงได้ อัศจรรย์อีกอย่างเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนสนิทของเขาถูกพบว่าเป็นมะเร็งร้ายและมีเวลาเพียงเล็กน้อยที่จะมีชีวิตอยู่ แพทได้มอบสายประคำที่คุณแม่เทเรซาให้เขา และเชิญให้เธอสวดภาวนาเพื่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เธอไม่ใช่คาทอลิก แต่ผู้คนได้สวดภาวนาให้เนื้องอกของเธอหายไป เมื่อเธอได้วอนขอให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระช่วยวิงวอนเพื่อเธอ เนื้องอกก็หายไปอย่างอธิบายไม่ถูก จากนั้นเธอก็หันมานับถือคริสตศาสนาโรมันคาธอลิก
 
มีอัศจรรย์แห่งการเยียวยารักษาที่อาจได้รับโดยผ่านการวิงวอนของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ การเยียวยารักษาความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจทุกประเภทสามารถทำได้หากมีการสวดภวานาเพื่อพวกเขาและถ้าหากพวกเขาสวดภาวนาวอนขอเพื่อเรา จำเป็นต้องพูดซ้ำอีกครั้งว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระไม่สามารถสวดภาวนาเพื่อตนเองได้ ความรักที่พวกเขากระทำในชีวิตนี้เมื่อพวกเขายังเป็นเนื้อหนังและเลือดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นใบเบิกทางไปสู่ไฟชำระของพวกเขา หากไม่มีความรัก เราก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้ และพวกเขามีหัวใจสำหรับเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเราเข้าใจได้ยาก เพราะเราไม่เหมือนพวกเขา เราไม่เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังม่าน แต่พวกเขาทำได้
 
* * *
 
โพสต์นี้ได้รับข้อมูลจาก In the Friendship of God ของ Val Conlon Divine Mercy Publications, Dublin, 2009, หน้า 131 - 141 Pat Murnahan เป็นเพื่อนของ Val และเล่าเรื่องราวของเขาให้เธอฟัง 
 
รูปภาพข้างบน - Gustave Doré เป็นผู้วาดภาพ Purgatorio ของ Dante และภาพวาดดังกล่าวอยู่ในโดเมนสาธารณะ
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2568

เปลี่ยนการทำงานให้เป็นการสวดภาวนา

 


แม้ว่านักบุญคัทเธอรีนแห่งเซียนนาจะมีชื่อเสียงในเรื่องการได้เห็นนิมิตและการอยู่ในสัมพันธญาณ แต่การสวดภาวนาที่ทรงพลังของเธอบางครั้งเกิดขึ้นขณะเธอทำงานบ้าน
 
นักบุญคัทเธอรีนแห่งเซียนนาเป็นสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อุทิศชีวิตให้กับพระเจ้า มอบทุกสิ่งที่เธอมีให้กับพระองค์
 
แม้จะดูเหมือนว่าเธอเป็นคนศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าจะเอื้อมถึงได้ แต่ที่จริงแล้ว เธอใช้กิจกรรมธรรมดาๆ หลายอย่างเพื่อเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น
 
เธอเปลี่ยนเรื่องเล็กน้อย เช่น การทำอาหาร ให้กลายเป็นคำภาวนาที่ลึกซึ้งและเข้มข้นต่อพระบิดาบนสวรรค์ของเธอ การสวดภาวนาในห้องครัว
 
โดยปกติแล้ว เราคิดว่าการสวดภาวนาคือการสวดบทภาวนาชุดหนึ่ง เช่น สวดสายประคำ ดังนั้น หากเราต้องการสวดภาวนาในครัว เราจำเป็นต้องสวดสายประคำหรือสวดภาวนาอื่นๆ ที่กำหนดไว้แล้ว
 
อย่างไรก็ตาม นักบุญคัทเธอรีนแห่งเซียนนาสามารถสวดภาวนาในครัวได้โดยไม่ต้องพูดคำใดๆออกมาเลย
 
นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ เล่าถึงสิ่งที่เธอทำในหนังสือ Introduction to the Devout Life ว่า:
 
ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลยว่าเธอ(นักบุญคัทเธอรียแห่งเซียนนา) “สร้างความประทับใจ” แก่ดวงพระทัยของเจ้าบ่าวของเธอด้วยดวงตาแห่งการพิจารณาไตร่ตรองนี้ แต่ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่าได้มองดูเธอด้วยความยินดีไม่น้อยขณะที่เธออยู่ในห้องครัวของบิดาของเธอ เธอ ก่อไฟ, ย่างไม้เสียบ, อบขนมปัง, ทำอาหาร, และทำหน้าที่ที่ต่ำต้อยที่สุดด้วยจิตวิญญาณแห่งความรักซึ่งมองทุกสิ่งอย่างตรงไปยังพระเจ้า
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักบุญคัทเธอรีนแห่งเซียนนาคิดถึงงานของเธอในห้องครัวราวกับว่าเธออยู่ในห้องครัวของพระบิดาบนสวรรค์:
 
การพินิจไตร่ตรองของเธอจะเป็นไปในลักษณะของการจินตนาการว่าทุกสิ่งที่เธอเตรียมไว้ให้บิดาของเธอก็เตรียมไว้สำหรับพระเยซูเจ้าเช่นกัน ดังเช่นที่มาร์ธาได้กระทำ แม่ของเธอเป็นสัญลักษณ์ของพระแม่มารีย์ พี่น้องของเธอเป็นอัครสาวก และด้วยเหตุนี้, คัทเธอรีนจึงทำหน้าที่รับใช้ในสวรรค์ด้วยจิตวิญญาณ ทำหน้าที่อันต่ำต้อยของเธอด้วยความอ่อนหวานอย่างยิ่ง เพราะเธอมองเห็นพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่ง บางครั้งเราอาจรู้สึกหงุดหงิดกับสมาชิกในครอบครัวที่หิวและอยากกินอาหารทันที เมื่อเราทำอาหารให้พวกเขา เราทำด้วยจิตวิญญาณแห่งหน้าที่ มากกว่าด้วยจิตวิญญาณแห่งความรัก
 
หากเราทำตามแนวทางของนักบุญคัทเธอรีนแห่งเซียนนา เราจะมองการทำอาหารในครัวในแง่ดีมากขึ้น โดยมองว่าเป็นการกระทำเพื่อการบริการและการสวดภาวนาต่อพระเจ้า
 
ทุกสิ่งที่เราทำสามารถมอบให้เจ้าบ่าวได้ แม้กระทั่งการทำมักกะโรนีอบชีสให้ลูกๆ หรือหลานๆ ของเรา
 
************************
 

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2568

พี่น้องฝาแฝด

 


 
แม่ถวายลูกฝาแฝดแด่แม่พระตั้งแต่ยังเป็นทารก
 
และทั้งสองได้กลายเป็นพระสงฆ์และแม่ชี
 
มอนิกา(Monica)และคริสเตียน โมยา(Cristian Moya) เป็นทารกฝาแฝด ทั้งสองอยู่ในอันตรายของความตายตั้งแต่เป็นทารก แต่หลังจากที่แม่ของพวกเขาถวายพวกเขาแด่แม่พระ อาการโรคนิวโมเนีย(ปอดอักเสบ)ของทารกก็หายเป็นปกติ
 
ทุกวันนี้ คริสเตียน โมยาเป็นพระสงฆ์ และมอนิกา โมยา ได้ปฏิญาณตนครั้งสุดท้ายเป็นนักบวชหญิงในคณะบุตรสาวของพระนางมารีย์แห่งพระญาณเอื้ออาทร ซึ่งก่อตั้งโดยนักบุญ Luis Guanella
 
ทารกฝาแฝดเกิดในวันที่ 15 มกราคม 1974ที่จังหวัด ซานอันโตนิโอในเขตValparaiso ประเทศชิลี พวกเขาติดเชื้อ นิวมอเนียอย่างร้ายแรงในขณะที่เป็นทารก และอาการอยู่ในขั้นวิกฤตที่โรงพยาบาล ซิสเตอร์มอนิกาได้เล่าให้ฟังว่า “หมอบอกกับพ่อแม่ว่า “การถ่ายเลือดเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะทำกับพวกเรา”
 
แม่ของพวกเขาซึ่งเคยเสียลูกคนแรกไปแล้วตั้งแต่อายุ 1 ขวบจากภาวะของหัวใจ,จึงตัดสินใจถวายลูกฝาแฝดแด่พระนางมารีย์ ภายใต้พระนามว่า Neustra Senora Purisima of Lo Vasquez (พระนางมารีย์พรหมจารีย์ผู้ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง) ซึ่งเป็นที่รู้จักและเคารพนับถือมากในประเทศชิลี
 
ซิสเตอร์พูดว่า “แม่ของฉันบอกว่าสิ่งเดียวที่มาอยู่ในความคิดของเธอก็คือถวายพวกเราให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระนางมารีย์พรหมจารีย์ หลังจากนั้นการหายจากโรคก็เกิดขึ้น”
 
“บางทีคุณอาจจะคิดว่าสิ่งนี้เป็นเหตุการณ์บังเอิญธรรมดา แต่ในตอนนี้ลูกของเธอคนหนึ่งได้เป็นพระสงฆ์และอีกคนหนึ่งได้เป็นแม่ชี” ซิสเตอร์พูด
 
ซิสเตอร์มอนิกาบอกว่า”การถวายลูกของแม่ของเธอแด่แม่พระ เป็นสิ่งประทับใจฉันมาก และทำให้ฉันคิดว่า พระเจ้าทรงเรียกฉันด้วยวิธีนี้ ซึ่งพ่อแม่ฉันได้กระทำโดยผ่านทางการสวดภาวนาด้วย”
 
พ่อแม่ของเธอเป็นคริสตชนใจศรัทธาและเป็นคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันในโบสถ์
 
ซิสเตอร์เข้าใจว่ากระแสเรียกของเธอเป็น”ของขวัญและเป็นอัศจรรย์” มันเป็นบางสิ่งที่เหนือกว่าทุกสิ่งที่ความคิดของฉันจะเข้าใจได้ มันเป็นพระหรรษทานที่พิเศษมากที่ทำให้ฉันตอบรับว่า “ได้ค่ะ”ในทุกวัน
 
ถึงแม้ว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พระสังฆราชจะเป็นผู้ประกอบพิธีมิสซาสำหรับการปฏิญาณตนครั้งสุดท้าย แต่ซิสเตอร์มอนิกาก็ได้รับอนุญาติให้น้องชายของเธอซึ่งเป็นพระสงฆ์มาเป็นประธานในพิธิมิสซาครั้งนี้
 
************************