วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ไฟชำระเป็นอย่างไร?

 


ไฟชำระไม่มีลักษณะทางกายภาพ แต่พระศาสนจักรได้อธิบายว่าเราจะได้พบเจออะไรที่นั่น
 
ไฟชำระเป็นสถานะที่ลึกลับ หลายคนมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น "ไฟชำระเป็นอย่างไร" 
 
ปัญหาของคำถามเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายนั้น เฉพาะผู้ที่เคยประสบกับมันเท่านั้นที่จะอธิบายลักษณะของมันได้ พวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์ใกล้ตายที่ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่กำลังรอเราอยู่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งพาสิ่งที่พระเจ้าบอกเราผ่านทางพระคัมภีร์และคำสอนอย่างเป็นทางการของพระศาสนจักร
 
หากพูดอย่างเคร่งขรึมสักหน่อย ไฟชำระคือประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นการนำไปสู่สวรรค์ โดยพื้นฐานแล้ว หลังจากที่เราตายและก่อนที่ร่างกายของเราจะฟื้นคืนชีพ พวกเราส่วนใหญ่จะได้สัมผัสกับไฟชำระ
 
เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าเราสามารถสัมผัสประสบการณ์บางอย่างได้อย่างไรโดยไม่มีร่างกายของเรา แต่เป็นความลึกลับที่เราจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อเราตายไปแล้วเท่านั้น
 
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกอธิบายเรื่องไฟชำระดังนี้ 
 
ทุกคนที่ตายในพระหรรษทานของพระเจ้าและในมิตรภาพกับพระองค์ แต่วิญญาณยังคงได้รับการชำระล้างไม่สมบูรณ์นั้น ย่อมมั่นใจได้ว่าจะได้รับความรอดนิรันดร แต่หลังจากความตาย พวกเขาจะได้รับการชำระล้างเพื่อให้ได้รับความศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นในการเข้าสู่ความชื่นชมยินดีในสวรรค์ (CCC 1030)
 
พระศาสนจักรเรียกการชำระล้างครั้งสุดท้ายของผู้ได้รับเลือกว่าไฟชำระ (CCC 1031)
 
สถานที่แห่งชำระล้างวิญญาณให้บริสุทธิ์
 
เหนือสิ่งอื่นใด ไฟชำระคือสถานที่ชำระล้างวิญญาณให้บริสุทธิ์ นักบุญบางองค์ได้รับภาพนิมิตเกี่ยวกับไฟชำระที่แตกต่างกันไป หลายภาพนิมิตมีความเจ็บปวดบางอย่างรวมอยู่ด้วย ไฟชำระเป็นความเจ็บปวดชั่วคราวและคงอยู่เพียงช่วงเวลาหนึ่ง(ระยะเวลาในการอยู่ในไฟชำระของแต่ละคนไม่เท่ากัน) จนกว่าวิญญาณจะบริสุทธิ์เพียงพอที่จะสามารถก้าวไปสู่สวรรค์ได้
 
C.S. Lewis (แม้ว่าจะไม่ใช่คาทอลิก) ได้อธิบายเกี่ยวกับไฟชำระอย่างลึกซึ้ง (และตลกขบขัน) ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงต้องการมัน ท่านเขียนไว้ในหนังสือ The Great Divorce ว่า
 
“จิตวิญญาณของเราต้องการไฟชำระไม่ใช่หรือ? มันจะไม่ทำให้หัวใจสลายหรือหากพระเจ้าตรัสกับเราว่า ‘จริงอยู่ ลูกเอ๋ย ลมหายใจของเจ้ามีกลิ่นเหม็น และเสื้อผ้าของเจ้าเปียกไปด้วยโคลนและเมือก แต่เราเป็นผู้ใจบุญที่นี่ และไม่มีใครตำหนิเจ้าด้วยสิ่งเหล่านี้ หรือถอยห่างจากเจ้า จงเข้ามาด้วยความยินดีเถิด’ เราจะไม่ตอบว่า ‘ด้วยความนอบน้อม พระองค์เจ้าข้า และหากไม่ทรงคัดค้าน ข้าพเจ้าขอชำระล้างร่างกายเสียก่อนดีกว่า’ ‘มันอาจจะเจ็บปวดนะ ลูกก็รู้ดี’—ถึงอย่างนั้นก็ตาม ลูกก็ขอชำระตนเองก่อน พระเจ้าข้า”
 
อาจกล่าวได้ว่าไฟชำระคือ “ห้องน้ำ” ก่อนที่จะเข้าไปในงานเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสของลูกแกะ อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบหรือตัวอย่างประกอบทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถเทียบได้กับไฟชำระตามที่เป็นจริงใน “สายตา” ของจิตวิญญาณของเรา เมื่อเราไปอยู่ที่นั่น
 
ข่าวดีสำหรับเราก็คือ เมื่อเราไปถึงไฟชำระแล้ว เราจะได้ไปสู่สวรรค์อย่างแน่นอน!
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

มารีโน ในสเปน

 

“ความเจ็บปวดนั้นหากดำรงชีวิตด้วยความรักก็จะเป็นการชำระล้างให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าหากไม่ดำรงชีวิตด้วยความรัก, ความเจ็บปวดนั้นก็จะทำให้เสื่อมทรามลง”
 
มารีโน เรสทรีโป(Marino Restrepo)พูดว่า “ผมได้เห็นด้วยตาตัวเองว่านรกเป็นความจริงที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตนี้»
 
ในการสัมภาษณ์มารีโน ผู้เป็นธรรมทูตฆราวาสชาวโคลอมเบียในโอกาสที่เขาไปเยือนสเปนในช่วงฤดูร้อนปี 2018 เพื่อประกาศการเป็นพยานในหลายเมือง มารีโนได้พบกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตระหว่างการถูกลักพาตัวโดยผู้ก่อการร้าย FARC ในโคลอมเบียและถูกกักขังไว้ในถ้ำเป็นเวลาหลายเดือน (5/09/19)
 
( Javier Navascués/InfoCatólica ) มารีโน เรสทรีโป กล่าวบรรยายในที่ประชุมระหว่างการเดินทางไปที่สเปนตลอดเดือนกรกฎาคม ในโอกาสนี้ เขาได้รับการสัมภาษณ์จาก Javier Navascués
 
เขาเกิดในเมืองเล็กๆ ที่ปลูกกาแฟในเทือกเขาแอนดิสของโคลอมเบีย ในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แต่เขาได้ห่างไปจากความเชื่อที่ได้รับมาในวัยเด็ก เนื่องจากชีวิตของเขาเน้นไปที่การเที่ยวกลางคืน เซ็กส์ และแอลกอฮอล์ เป็นชีวิตที่ว่างเปล่าไร้แก่นสารถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานผ่านดนตรี และทำงานในวงการภาพยนตร์ของฮอลลีวูด เขายังเติมเต็มชีวิตด้วยความเชื่องมงาย เช่น ไพ่ทาโรต์, cabalas, runes ซึ่งเป็นเรื่องทางเวทมนตร์และความเชื่องมงายต่างๆ จนกระทั่งในปี 1997 เขากลับไปที่บ้านของเขาในโคลอมเบียและถูกลักพาตัวโดยองค์กรก่อการร้าย FARC และได้พบกับประสบการณ์ที่น่าตกตะลึงกับพระเจ้า
 
ขณะที่ถูกคุมข้งอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งเป็นเวลาเกือบสามเดือน,เขาได้เห็นนรกชั่วนิรันดร์ที่รอเขาอยู่ พระเยซูเจ้าทรงให้โอกาสแก่เขาอีกครั้ง และปัจจุบัน เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อสั่งสอนความจริงของความเชื่อ นรกมีอยู่จริงและถ้าหากคุณใช้ชีวิตในบาปก็มีแนวโน้มสูงมากที่คุณจะตกอยู่ในนั้นและถูกลงโทษชั่วนิรันดร
 
เขาได้ก่อตั้งสมาคม "ผู้แสวงบุญแห่งความรัก(Pilgrims of Love)" ซึ่งได้รับการรับรองจากอาร์ชบิชอปแห่งโบโกตา และมุ่งเน้นเป็นพิเศษที่การเผยแพร่ศาสนารูปแบบใหม่
 
คำถาม - คุณสามารถมีความสุขโดยปราศจากพระเจ้าได้หรือไม่?
 
มารีโน - มนุษย์ในโลกแสร้งทำเป็นมีความสุขโดยปราศจากพระองค์ จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ผมพบว่าหลังจากที่ใช้ชีวิตโดยปราศจากพระองค์มา 33 ปี ผมไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่อายุ 14 ผมหันหลังให้กับพระองค์และรู้สึกไม่มีความสุขเลย
 
ทุกวันนี้ ผมสามารถพูดได้ว่าผมรู้สึกถึงความยินดีที่พระจิตทรงประทานให้ และผมเข้าใจถึงความโดดเดี่ยวและความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นโดยปราศจากพระเจ้า มนุษย์ออกแบบความสุขให้ดูสมจริงแบบมหัศจรรย์เพื่อความสบายใจของตนเองโดยทำให้ตัวเองเชื่อในสิ่งไร้แก่นสารเหล่านี้ด้วยการสร้างสภาพชีวิตที่เป็นเท็จ
 
โลกเสนอช่องทางมากมายเพื่อให้มนุษย์ครอบครองและทำให้เขาเชื่อว่าเขาใช้ชีวิตอิสระได้อย่างเต็มที่ แต่การทดลองและความยากลำบากของชีวิตนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างอื่น และหลายคนลงเอยด้วยการแสวงหาพระเจ้า
 
คำถาม - ความสุขที่ไร้ระเบียบนั้นตอบสนองความต้องการของเนื้อหนังได้จริงหรือ?
 
มารีโน - ความสุขที่ไร้ระเบียบนั้นตอบสนองความต้องการของเนื้อหนังและบรรลุถึงความพึงพอใจชั่วครั้งชั่วคราว (ซึ่งไม่เคยตอบสนองได้) และก่อให้เกิดนิสัยที่คนเราใช้ชีวิตด้วยความปรารถนาชั่วครั้งชั่วคราว
 
ชีวิตนี้ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งหมดเหล่านี้ บริโภคนิยมและลัทธิสัมพันธ์นิยมเป็นธงสองผืนที่ถูกยกขึ้นสำหรับการดำรงอยู่ของลัทธิวัตถุนิยม
 
คำถาม - ทำไมความชั่วร้ายจึงไม่สามารถตอบสนองความปรารถนาในความสุขได้?
 
มารีโน - ความสุขของคริสตชนคือการพบกับความปีติยินดีอย่างเต็มเปี่ยมในพระเยซูคริสต์ ไม่มีความชั่วร้ายใดที่จะให้สิ่งนี้ได้ ผลของความชั่วร้ายอาจพูดได้ว่า: ความชั่วร้ายทำลายมนุษย์
 
คำถาม - พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบคุณได้อย่างไร?
 
มารีโน - พระเยซูเจ้าทรงปรากฏกายให้ผมเห็นระหว่างประสบการณ์ลึกลับขณะที่ผมเป็นนักโทษของกองโจรโคลอมเบีย ท่ามกลางประสบการณ์นั้น ทุกสิ่งที่ถูกสอนให้ผมรู้ในพระศาสนจักรคาทอลิก,ตั้งแต่เวลาที่ผมรับศีลมหาสนิทครั้งแรกจนถึงอายุ 14 ปีเมื่อผมอยู่ในพระศาสนจักร ทั้งหมดถูกเปิดเผยให้ผมเห็น ประสบการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตของผมและเปลี่ยนไม่เพียงแต่เป็นผู้เชื่อในความจริงเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังเป็นธรรมทูตคาทอลิกอีกด้วย
 
ประสบการณ์ที่เจ็บปวดแต่จำเป็น.....
 
ทรงกระทำการอย่างลึกลับ และสิ่งที่ดูไร้สาระในเหตุผลของมนุษย์ที่น่าสงสารของเรากลับกลายเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบในพระประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ความเจ็บปวดนั้น หากเราดำเนินชีวิตด้วยความรัก, ก็จะเป็นการชำระล้างให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าหากเราไม่ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความเจ็บปวดก็จะทำให้เราเสื่อมทรามลง ขอบคุณพระเจ้าที่ผมได้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก
 
ช่วยอธิบายประสบการณ์ของคุณให้ฟังหน่อย
 
มารีโน – มันเกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในญาณแห่งความปิติ ผมได้รับการส่องสว่างในจิตสำนึกของผมก่อน จากนั้นพระเยซูเจ้าก็ตรัสกับผมและเปิดเผยความจริงในพระศาสนจักรคาทอลิกให้ผมรู้ จากนั้นผมก็ปรากฏตัวในทะเลสาบที่ผมสามารถมองเห็นบาปทั้งหมดของผม และทางด้านซ้ายของทะเลสาบ ผมสามารถมองเห็นนรก และทางด้านขวาเป็นไฟชำระ พระเยซูทรงปรากฏให้ผมเห็นพระองค์ประทับยืนบนก้อนหินที่อยู่หน้าทะเลสาบ
 
มีความรู้สึกอย่างไรในการได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากนรก?
 
พระเมตตาของพระเจ้า มนุษย์,ในระหว่างการเดินทางผ่านการเนรเทศบนโลกนี้,ไม่เข้าใจถึงอันตรายที่พวกเขากำลังเผชิญ หากเรารู้ว่าซาตานเกลียดชังเรา เราก็จะเตรียมตัวในช่วงเวลาแห่งความตายได้เป็นอย่างดี ประสบการณ์ของผมได้แสดงให้ผมเห็นความเศร้าโศกของความมืดบอดทางจิตวิญญาณที่มนุษยชาติต้องเผชิญ
 
บอกเราหน่อยเกี่ยวกับความร้ายแรงของการถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์...
 
คำว่าชั่วนิรันดร์อธิบายทุกสิ่งได้ ถ้าเพียงแต่เราสามารถพินิจใคร่ครวญบ่อยๆเกี่ยวกับความหมายของคำว่านิรันดร: ไม่มีที่สิ้นสุด, ไม่วันหมดสิ้น คำเหล่านี้มีความรุนแรงและเหนือโลกอย่างมาก มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่พระศาสนจักรโรมันคาทอลิกจะต้องมีการสอนคำสอนที่ชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์
 
คุณจะพูดอะไรกับผู้คนที่ดำเนินชีวิตในบาปอย่างต่อเนื่อง?
 
พวกเขาจะถูกสาปแช่งได้ ผมเห็นด้วยตาฝ่ายวิญญาณของผมเองว่านรกเป็นความจริงที่สามารถปรากฏตัวมันเองให้เห็นในตอนท้ายของชีวิตนี้ในฐานะจุดหมายปลายทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ที่ปฏิเสธที่จะดำเนินชีวิตตามความเชื่อฟังพระเจ้าและเลือกที่จะทำตามความต้องการของมนุษย์ในเส้นทางของบาป
 
หลังจากกลับใจแล้วมีความจำเป็นต้องแก้ไขบาปความผิดด้วย....
 
มนุษย์มีสองทางเลือก: ใช้ชีวิตอย่างดีหรือใช้ชีวิตที่ไม่ดี หากเขาใช้ชีวิตอย่างดี เขาจะต้องอยู่ในสถานะของการกลับใจอย่างถาวรและการชดเชยใช้โทษบาปอย่างถาวร เป็นเรื่องปกติมากในพระศาสนจักรคาทอลิกในปัจจุบันที่จะพบว่า ผู้คนจำนวนมากไม่มีความกระตือรือร้นที่จะดำเนินชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกเขาไม่หลุดพ้นจากบาป เพราะพวกเขาสารภาพโดยไม่สำนึกผิดอย่างจริงใจและไม่มีความพยายามในการชดเชยใช้โทษบาป พวกเขาดำเนินชีวิตทางศาสนาโดยไม่มีการกลับใจ
 
บอกเราเกี่ยวกับความจำเป็นในการอุทิศชีวิตของเราเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า....
 
การดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์ ผมค้นพบว่าไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากสิ่งนี้ หากเราไม่ใช่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เราจะเข้าสวรรค์ไม่ได้ ผมนึกไม่ออกว่าคนที่บอกว่าเป็นคาทอลิกและยืนยันความเชื่อของตนจะแสวงหาอะไรอื่น
 
เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยชีวิตของเรา เราต้องตระหนักว่าการยอมจำนนต่อการเชื่อฟัง, การเชื่อฟังพระเจ้า, เป็นสิ่งสำคัญ
 
ความสำคัญของการสวดภาวนาเพื่อความรอดของวิญญาณ....
 
มันเป็นการเป็นหนึ่งเดียวกันของเหล่านักบุญ เราเป็นหนึ่งเดียวกันในการสวดภาวนาเพื่อกันและกัน พระศาสนจักรสอนเราอย่างชัดเจน และผมได้เห็นสิ่งนี้ระหว่างประสบการณ์ลึกลับของผมว่า การตระหนักถึงการสวดภาวนาเพื่อวอนขอพรเป็นสิ่งสำคัญมาก เราต้องสวดภาวนาเสมอเพื่อการกลับใจของคนบาปทุกคน ผมเชื่อว่านี่คือบทภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงโปรดปราน เพราะพระองค์เสด็จมาถูกตรึงกางเขนเพื่อช่วยให้คนบาปทุกคนได้รับความรอดพ้น
 
มีความจำเป็นต้องกลับใจอย่างต่อเนื่อง เพราะแม้ว่าเราจะมีประสบการณ์กับพระเจ้า แต่โลกก็ยังคงโจมตีเราอยู่....
 
เราต้องดำเนินชีวิตในความศักดิ์สิทธิ์และสวดภาวนาเพื่อให้มีกำลังเพียงพอที่จะปกป้องตนเองจากจุดอ่อนและสิ่งล่อลวงต่างๆ ของความชั่วร้าย
 
ทำไมคุณถึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องเป็นพยานต่อโลก?
 
เพราะนั่นเป็นกระแสเรียกจากพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงปรากฏแก่ผมสองปีหลังจากที่ผมได้รับการปลดปล่อยจากการลักพาตัว,ในโบสถ์แห่งหนึ่งในโบโกตา ระหว่างพิธีมิสซาปาล์มซันเดย์(พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า หรือวันแห่ใบลาน)
 
มันจะใช้เวลานานเกินไปในการจะเล่ารายละเอียดประสบการณ์นี้ แต่พระองค์ทรงแสดงให้ผมเห็นว่าผมเกิดมาเพื่อภารกิจนี้ และมันจะพาผมไปทั่วโลก
 
แน่นอนว่าสถานการณ์ของพระศาสนจักรในปัจจุบันนั้นละเอียดอ่อน เพราะมีความสับสนมากมาย...
 
เราไม่สามารถช่วยพระศาสนจักรทั้งหมดหรือทั้งโลกได้ เราแต่ละคนต้องแน่ใจว่าเราชำระตัวให้บริสุทธิ์แล้ว นี่คือการมีส่วนร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา ชีวิตประจำวันของเราคือการมีส่วนร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเป็นโอกาสที่จะใช้ชีวิตเป็นพยาน
 
จะทำอย่างไรในเมื่อผู้เลี้ยงแกะไม่ทำหน้าที่ดังกล่าว...
 
เราต้องเป็นพยานที่ดีขึ้นในชีวิตส่วนตัวของเรา เพื่อที่เราจะแก้ไขข้อผิดพลาดของพวกเขาได้ เราอาศัยอยู่ในโลกที่ขาดความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณของพระสงฆ์จำนวนมาก เรื่องอื้อฉาวของพระสงฆ์ในพระศาสนจักรในยุคนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งนี้ แต่ยังไม่สูญเสียทุกอย่าง ความชั่วร้ายเป็นเรื่องอื้อฉาวมาก แต่ปีศาจจะไม่สามารถเอาชนะพระศาสนจักรได้ จะมีพระสงฆ์อยู่เสมอ ชีวิตนักบวชและฆราวาสที่ประกอบด้วยผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่เพื่อค้ำจุนพระศาสนจักรแม้ในยามที่พายุรุนแรงในยุคนี้
 
คำบรรยายเป็นพยานของ Marino Restrepo ในสเปน ฤดูร้อนปี 2018
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วิญญาณในไฟชำระ

 


วันที่ 2 พฤศจิกายน วันระลึกถึงวิญญาณในไฟชำระ
 
บทความ - Purgatory, โดย Fr. F. X. Schouppe, S.J.
 
นักบุญลิดวินาแห่งชีดัม(St. Lidwina of Schiedam)เป็นนักบุญและมิสติก(mystic- ผู้ได้รับพระพรพิเศษบางอย่าง)ชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 15 เมื่อเป็นวัยรุ่น เธอประสบอุบัติเหตุจากการเล่นสเก็ตน้ำแข็ง ทำให้เธอต้องพิการไปตลอดชีวิต ชายผู้ทำบาปคนหนึ่งกลับใจด้วยคำภาวนาและคำเตือนของเธอ และสามารถสารภาพบาปกับพระสงฆ์ได้สำเร็จ แต่ไม่นานเขาก็เสียชีวิตลง เนื่องจากไม่สามารถชดเชยใช้โทษบาปได้มากนัก หลังจากนั้นไม่นาน เธอถามทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ของเธอว่าเขายังอยู่ในไฟชำระหรือไม่ และเธอก็เห็นนิมิตดังนี้
 
เธอเข้าใจผิดคิดว่าไฟชำระคือนรก
 
“‘เขาอยู่ที่นั่น’ ทูตสวรรค์ของเธอกล่าว ‘และเขาต้องทนทุกข์ทรมานมาก เธอยินดีที่จะทนทุกข์ทรมานเล็กน้อยเพื่อลดความทุกข์ทรมานของเขาหรือไม่?’ แน่นอน’ ลิดวินาตอบ ‘ฉันพร้อมที่จะทนทุกข์ทรมานทุกอย่างเพื่อช่วยเขา’ ทันใดนั้น ทูตสวรรค์ของเธอก็พาเธอไปยังสถานที่ทรมานอันน่าสะพรึงกลัว ‘ที่นี่คือนรกหรือคะ พี่ชายของฉัน’ เธอถามด้วยความหวาดกลัว ‘ไม่ใช่หรอก น้องสาว’ ทูตสวรรค์ตอบ ‘แต่ส่วนนี้คือชายขอบของไฟชำระที่อยู่ติดกับนรก’
 
ความน่าสะพรึงกลัวของไฟชำระ
 
“เมื่อมองไปรอบๆ จะเห็นสิ่งที่ดูเหมือนคุกขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยกำแพงที่สูงตระหง่าน ความมืดมิดของกำแพงนั้นเมื่อรวมกับหินขนาดมหึมาก็ทำให้เธอรู้สึกกลัว เมื่อเข้าใกล้บริเวณที่มืดมิดนี้ เธอได้ยินเสียงคร่ำครวญสับสน เสียงร้องด้วยความโกรธ เสียงโซ่ อุปกรณ์ทรมาน เสียงทุบตีอย่างรุนแรงที่เพชฌฆาตใช้ตีเหยื่อ เสียงนี้ดังจนเสียงวุ่นวายทั้งหมดในโลก ไม่ว่าจะในพายุหรือในสนามรบ ก็ไม่สามารถเทียบได้กับเสียงนั้น “แล้วสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวนั้นคืออะไร” นักบุญลิดวินาถามทูตสวรรค์ผู้ใจดีของเธอ “เธอต้องการให้เราแสดงให้เห็นหรือไม่” “ไม่ ฉันขอร้องท่าน” เธอกล่าวพร้อมกับถอยหนีด้วยความหวาดกลัว “เสียงที่ฉันได้ยินนั้นน่ากลัวมากจนฉันทนไม่ไหวแล้ว แล้วฉันจะทนเห็นความน่ากลัวเหล่านั้นได้อย่างไร”
 
“ขณะที่เธอเดินต่อไปตามทางลึกลับ เธอก็เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งนั่งเศร้าโศกอยู่บนขอบบ่อน้ำ “ทูตสวรรค์คนนั้นเป็นใคร” เธอถามผู้นำทางของเธอ เขาตอบว่า “เป็นทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์คนบาปที่เธอสนใจ วิญญาณของเขาอยู่ในบ่อน้ำนี้ ซึ่งเป็นไฟชำระพิเศษ”
 
วิญญาณที่ลุกเป็นไฟ
 
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ลิดวินาจึงมองดูทูตสวรรค์ของเธอด้วยความสงสัย เธอปรารถนาที่จะเห็นวิญญาณที่เธอรักและพยายามจะปลดปล่อยเขาออกจากหลุมที่น่ากลัวนั้น ทูตสวรรค์ของเธอซึ่งเข้าใจเธอ ได้เปิดฝาบ่อน้ำออก ก็มีกลุ่มเปลวเพลิงพุ่งออกมา พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่สุด "เธอยังจำเสียงนั้นได้ไหม?" ทูตสวรรค์พูดกับเธอ "ใด้ค่ะ" ลิดวินาตอบ "เธออยากเห็นวิญญาณนั้นไหม?" ทูตสวรรค์กล่าวต่อ เมื่อเธอตอบรับ ทูตสวรรค์ก็เรียกชื่อของเขา และทันใดนั้น ลิวินาก็เห็นวิญญาณที่ลุกเป็นไฟปรากฏที่ปากหลุม คล้ายกับโลหะที่ลุกเป็นไฟ ซึ่งพูดกับเธอด้วยเสียงที่แทบไม่ได้ยินว่า "โอ ลิดวินา ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ที่สามารถทำให้ฉันได้เพ่งพิจพระพักตร์ของพระผู้สูงสุด"
 
“เมื่อเห็นวิญญาณที่ตกเป็นเหยื่อของความทรมานอันแสนสาหัสจากไฟ นักบุญของเราก็ตกใจจนผ้าคาดเอวที่สวมอยู่รอบกายขาดเป็นสองท่อน เธอไม่อาจทนเห็นมันได้อีกต่อไป จึงตื่นจากภวังค์ในทันที ผู้ที่อยู่ที่นั่น รับรู้ถึงความกลัวของเธอ จึงถามเธอว่ากิดอะไรขึ้น เธอตอบว่า “อนิจจา คุกแห่งไฟชำระช่างน่ากลัวเหลือเกิน! เพื่อช่วยเหลือวิญญาณ,ฉันยินยอมที่จะลงไปที่นั่น หากปราศจากแรงจูงใจนี้, หากโลกทั้งมวลถูกมอบให้ฉัน ฉันคงไม่ต้องประสบกับความหวาดกลัวของภาพอันน่าสะพรึงกลัวนั้น”
 
“ไม่กี่วันต่อมา ทูตสวรรค์องค์เดียวกับที่เธอเห็นว่ากำลังนั่งเศร้าโศกก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอด้วยใบหน้าที่เบิกบาน เขาบอกเธอว่าวิญญาณของผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาได้ออกจากหลุมแล้วและไปสู่ไฟชำระชั้นธรรมดา การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เพียงบางส่วนนี้ยังไม่เพียงพอต่อความเมตตาของลิดวินา เธอยังคงสวดภาวนาเพื่อวิญญาณของชายที่น่าสงสารคนนั้น และอุทิศบุญกุศลที่เธอได้รับจากความทุกข์ทรมานของเธอให้แก่เขา จนกระทั่งเธอเห็นว่าประตูสวรรค์เปิดให้เขา”
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2024 สมโภชนักบุญทั้งหลาย

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มัทธิว 5:1-12 
(1) พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมาย จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ (2) พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า 
(3) “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา 
(4) ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน 
(5) ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก 
(6) ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม 
(7) ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา 
(8) ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า 
(9) ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า 
(10) ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา  (11) ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่าง ๆ นานาเพราะเรา (12) จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก”
******************
 
 
 
วันนี้พระศาสนจักรทั่วโลกร่วมใจ กันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ซึ่งหนังสือวิวรณ์ระบุว่ามีจำนวนมากมายเหลือคณานับ จากทุกชาติ ทุกเผ่า และทุกภาษา
 
เมื่อปี 1983 (38 ปีมาแล้ว) นักบุญยอห์น ปอลที่ 2 พระสันตะปาปา ได้ปรับปรุงขั้นตอนในการแต่งตั้งนักบุญไว้ 3 ขั้นตอนด้วยกัน
 
ขั้นตอนแรก จะเริ่มหลังจากคาทอลิกที่ประชาชนเชื่อว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เสียชีวิตไปแล้วหลายปี ทั้งนี้เพื่อจะได้รู้เรื่องราวของผู้ที่น่าจะได้รับการเสนอชื่อเป็นนักบุญชัดเจนยิ่งขึ้น โดยพระสังฆราชท้องถิ่นจะเป็นผู้ดำเนินการสอบสวน พร้อมทั้งเขียนรายงานเสนอชีวประวัติ คุณธรรม ความกล้าหาญ และความเที่ยงตรงของคำสอนไปที่วาติกัน จากนั้นคณะกรรมการที่วาติกันจะทำการประเมินคุณค่าของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากสมณกระทรวงว่าด้วยการแต่งตั้งนักบุญ ผู้นั้นก็จะได้รับการประกาศให้เป็น Venerable คือเป็น “ผู้ที่มีคุณธรรมควรค่าแก่การยกย่อง”
 
ขั้นตอนที่สอง เพื่อจะได้รับการแต่งตั้งเป็น “บุญราศี” จะต้องมีอัศจรรย์รองรับหนึ่งอย่าง และต้องเป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นหลังจากผู้นั้นเสียชีวิตแล้วด้วย เพื่อจะได้พิสูจน์ว่าผู้นั้นอยู่ในสวรรค์และสามารถอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อเราได้ (ยกเว้นกรณีที่เป็นมรณสักขี ไม่ต้องมีอัศจรรย์รองรับในขั้นตอนที่สองนี้) และเมื่อพระสันตะปาปาประกาศให้ผู้นี้เป็นบุญราศี ผู้คนในท้องถิ่นนั้นก็สามารถแสดงความเคารพต่อบุญราศีองค์นั้นได้
 
ขั้นตอนสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นมรณสักขีหรือไม่ก็ตาม ต้องมีอัศจรรย์รองรับอีกหนึ่งครั้ง พระสันตะปาปาจึงจะประกาศแต่งตั้งเป็น “นักบุญ” ซึ่งจะได้รับการยกย่องทั่วพระศาสนจักรสากล
 
เนื่องจากการแต่งตั้งนักบุญเป็นสิ่งที่จะผิดพลาดหรือจะถอนคืนไม่ได้ ขั้นตอนต่างๆ จึงต้องใช้เวลานานและต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้จึงใช่ว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญทุกคน อันที่จริง เราอาจจะได้พบหรือเคยเดินชนไหล่กับ “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” ที่สมควรจะเป็นนักบุญหลายคนแล้ว และตัวเราเองก็ได้รับเรียกจากพระเจ้าให้มาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ด้วย
 
วันสมโภชนักบุญทั้งหลายจึงเป็นการเฉลิมฉลองบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้รับการประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญอย่างเป็นทางการจากพระศาสนจักร
 
นอกจากนั้นวันสมโภชนี้ ยังเป็นการปลุกความหวังของเราให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะบรรดานักบุญทั้งที่ได้รับการแต่งตั้งและไม่ได้รับการแต่งตั้ง ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เป็นมนุษย์ชายหญิง เป็นเด็กเป็นวัยรุ่นเหมือนกับเรา ที่ที่เราอยู่ในโลกตอนนี้ พวกเขาก็เคยอยู่ และที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ เราก็หวังว่าจะได้ไปอยู่ด้วยสักวันหนึ่ง
 
เพียงแต่ว่าการจะมีชีวิตแบบนักบุญนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้น มิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้” (มธ 7:21)
 
และในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าก็ทรงให้หนทางเพื่อที่เราจะได้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าพระบิดาไว้ 8 หนทางด้วยกัน
 
หนทางแรก ให้เรามีใจยากจน เพราะอย่างที่เรารู้กันดี คนยากจนจะไม่มีอิทธิพล จะถูกคนอื่นดูหมิ่นและกดขี่ข่มเหงต่างๆ นานาจนหาที่พึ่งพิงในโลกนี้ไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเราไม่มีที่พึงพิงในโลกนี้เราก็จะหันมาพึ่งพิงพระเจ้า และมอบความวางใจทั้งหมดไว้ในพระองค์ และเมื่อวางใจในพระองค์ เราก็พร้อมและเต็มใจที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ ซึ่งจะทำให้เราคิดเหมือนพระองค์ รักเหมือนพระองค์ และดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์ ซึ่งเป็นชีวิตเดียวกันกับที่นักบุญยอห์นบอกเราในบทอ่านที่สองว่า “ในภายภาคหน้า เราจะเป็นเหมือนพระองค์” และเราจะได้พระอาณาจักรสวรรค์เป็นมรดก
 
หนทางที่สอง ให้เราสงสารและร่วมทุกข์กับผู้ที่เป็นทุกข์โศกเศร้า เพราะนี่คือการดำเนินชีวิตตามรอยพระบาทของพระเยซูเจ้าผู้ทรงสงสารและเยียวยาช่วยเหลือความทุกข์ยากของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย (มธ 14:14) คนหิวโหย (มธ 14:13-21) คนตาบอด (มธ 20:29-34) คนโรคเรื้อน (มก 1:40-45) คนง่อย ฯลฯ
 
หนทางที่สาม ให้เรามีใจอ่อนโยนและสุภาพถ่อมตน ซึ่งจะทำให้เรามีศาสนาอยู่ในหัวใจอย่างแท้จริง เพราะเราจะตระหนักถึงบาปและความอ่อนแอของเรา และเราจะต้องการพระเจ้าด้วยจริงใจและสิ้นสุดจิตใจ
 
หนทางที่สี่ ให้เรามุ่งมั่นแสวงหาความชอบธรรมดุจเดียวกับคนใกล้อดตายอยากได้อาหาร หรือคนหิวน้ำใกล้ตายอยากได้น้ำ และต้องเป็นความชอบธรรมทั้งครบด้วย คือดีทุกอย่าง ไม่ใช่ดีอย่างเสียหลายอย่าง แล้วเราจะได้รับความชอบธรรมอย่างอิ่มหนำจริงๆ
 
หนทางที่ห้า ให้เรามีจิตใจเมตตาต่อผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วเราจะกลายเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า ก็ทรงทำเช่นเดียวกันนี้
 
หนทางที่หก ให้เรามีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง แล้วเราจะสามารถมองเห็นพระเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์ความบริสุทธิ์ได้
 
หนทางที่เจ็ด ให้เราเป็นผู้ลงมือสร้างสันติ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รักสันติ คือได้แต่พูดแต่ไม่ลงมือทำ
 
หนทางที่แปด ให้เรายอมรับการถูกดูหมิ่น ข่มเหง หรือเบียดเบียน อันเกิดจากการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า เพราะรางวัลในสวรรค์ของเรายิ่งใหญ่นัก บรรดานักบุญมากมายก็เคยผ่านหนทางนี้มาแล้ว
 
พี่น้องครับ วันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้า โปรดให้เรามีความเชื่อและความกล้าหาญที่จะเดินตามหนทางของบรรดานักบุญทั้งหลายที่เราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้ ซึ่งก็คือหนทางของความสุขแท้จริงทั้ง 8 ประการ เพื่อว่าเมื่อชีวิตของเรา ในโลกนี้จบสิ้นลง เราจะได้ไปอยู่ร่วมกับบรรดานักบุญในสวรรค์ และได้ฟังพระสุรเสียงอันอ่อนโยนของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด” (มธ 25:21)
 
***************************


วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ถวายความทุกข์เพื่อผู้อื่น

 


ไดอารี่ของนักบุญโฟสตินา - ย่อหน้า 309 - 311 - การถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาเพื่อคนบาป
 
309 เบื้องหน้าสวรรค์และโลก เบื้องหน้าเหล่าทูตสวรรค์คณะขับร้องประสานเสียง เบื้องหน้าพระแม่มารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เบื้องหน้าพลังอำนาจทั้งมวลของสวรรค์ ดิฉันขอประกาศต่อพระตรีเอกภาพองค์เดียวว่า วันนี้, ในความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์, พระผู้ไถ่วิญญาณให้รอด, ดิฉันถวายตนเองด้วยความสมัครใจเพื่อให้บรรดาคนบาปกลับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิญญาณเหล่านั้นที่สูญเสียความหวังในพระเมตตาของพระเจ้า การถวายนี้ประกอบด้วยการยอมรับความทุกข์ ยอมรับความกลัวและความหวาดหวั่นทั้งหมดที่คนบาปต้องเผชิญ และยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ดิฉันขออุทิศแก่พวกเขาด้วยความสุขทั้งหมดที่วิญญาณของดิฉันได้รับจากการมีส่วนร่วมกับพระเยซูเจ้าในความทุกข์ กล่าวโดยสรุป ดิฉันขอถวายทุกสิ่งเพื่อพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพิธีมิสซา พิธีศีลมหาสนิท การชดเชยใช้โทษบาป การสวดภาวนา ดิฉันไม่กลัวการถูกโจมตี จากความยุติธรรมของพระเจ้า เพราะดิฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า โอ้พระเจ้าของลูก ด้วยวิธีนี้ ลูกต้องการชดใช้ต่อพระองค์สำหรับวิญญาณที่ไม่วางใจในความดีของพระองค์ ลูกหวังในมหาสมุทรแห่งพระเมตตาของพระองค์อย่างสุดความสามารถ พระเจ้าของลูก ลูกขอมอบทุกสิ่งนี้แด่พระองค์ตลอดไป ลูกไม่ได้ถวายเครื่องบูชาด้วยกำลังของลูกเอง แต่ถวายด้วยกำลังที่มาจากคุณความดีของพระเยซูคริสต์
 
310 - เรากำลังมอบส่วนแบ่งการไถ่บาปมนุษยชาติให้กับลูก ลูกคือความปลอบประโลมใจของเราในยามที่เรากำลังจะตาย
 
311 เมื่อดิฉันได้รับอนุญาตจากคุณพ่อผู้ฟังสารภาพบาปของดิฉัน [คุณพ่อโซปอคโค] ให้ทำการถวายตนเองเป็นเครื่องบูชา ดิฉันก็ได้เรียนรู้ในไม่ช้าว่าการถวายตนเองเป็นเครื่องบูชานี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เพราะดิฉันเริ่มสัมผัสได้ถึงผลที่ตามมาในทันที ชั่วพริบตาเดียว จิตวิญญาณของดิฉันก็กลายเป็นเหมือนก้อนหินที่แห้งผาก เต็มไปด้วยความทรมานและความไม่สงบ คำดูหมิ่นและคำสาปแช่งทุกประเภทก็วนเวียนอยู่ในหูของดิฉัน ความไม่ไว้วางใจและความสิ้นหวังเข้ามารุกรานใจของดิฉัน นี่คือสภาพของคนที่น่าสงสารซึ่งดิฉันได้ประสบ ในตอนแรก ดิฉันกลัวมากกับสิ่งน่ากลัวเหล่านี้ แต่ในระหว่างการสารภาพบาปครั้งแรก [ที่มีโอกาส] ดิฉํนรู้สึกสงบ ดิฉันจะทำการถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาซ้ำทุกวันโดยสวดภาวนาต่อไปนี้ ซึ่งพระเยซูทรงสอนดิฉันเอง พระเยซูตรัสสอนว่า: "โอ้พระโลหิตและน้ำที่ไหลออกมาจากพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าเป็นท่อธารแห่งพระเมตตาเพื่อเราทั้งหลาย ลูกวางใจในพระองค์!"
 
พวกเราไม่ได้เป็นเพียงผู้รับพระเมตตาของพระคริสต์เท่านั้น เมื่อได้รับพระเมตตาของพระองค์ เราก็ได้มีส่วนร่วมในการไถ่บาปของผู้อื่นด้วย ดังที่นักบุญโฟสตินาได้แสดงให้เห็นในการถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาในวรรคที่ 309 “ดิฉันเชื่อว่าชีวิตของนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราสามารถเป็นบทเรียนสำหรับพวกเราผู้ซึ่งเป็นนักบุญที่ต่ำต้อยกว่าได้" ดังนั้น หากนักบุญโฟสตินาสามารถทำสิ่งนี้ได้ เราก็สามารถทำได้ในระดับที่เล็กกว่า เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการไถ่บาปของมนุษยชาติได้ และด้วยวิธีที่ลึกลับที่ไม่ใช่ทางโลก เราก็สามารถกลายเป็นผู้ปลอบประโลมของพระคริสต์ในช่วงเวลาแห่งการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์เมื่อสองพันปีที่แล้ว เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ได้อธิบายแก่นักบุญโฟสตินา
 
นักบุญโฟสตินาเป็นผู้ที่ได้รับพระพรพิเศษที่แท้จริง ผมคิดว่าเธอมักจะรู้สึกไม่สบายใจในโลกแห่งวัตถุมากกว่าในโลกแห่งจิตวิญญาณ ผมเชื่อว่านี่คือสาเหตุที่การถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาของเธอทำให้เกิดการทรมานทางจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วตามที่บรรยายไว้ในย่อหน้าที่ 311 ซึ่งก็คือการต้องรับ “ความทุกข์ ความกลัว และความหวาดหวั่นทั้งหมดที่คนบาปต้องได้รับ” เธอสวดภาวนาขอให้รับความทุกข์เหล่านั้นเพื่อคนบาปเหมือนกับที่พระคริสต์ทรงรับเพื่อคนบาปอย่างครบถ้วนบนไม้กางเขน และในระดับหนึ่ง คำอธิษฐานนี้ได้รับและยืนยันโดยพระคริสต์ในย่อหน้าที่ 310 ความทุกข์เพื่อการไถ่บาปเป็นความจริงของชีวิตคริสตชน ไม่เพียงแต่ปรากฏในชีวิตของนักบุญโฟสตินาเท่านั้น แต่ปรากฏในพระคัมภีร์ด้วย
 
ข้อความจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้
 
โคโลสี 1:24 บัดนี้ข้าพเจ้ายินดีที่ได้รับทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ความทรมานของพระคริสตเจ้ายังขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าก็เสริมให้สมบูรณ์ด้วยการทรมานในกายของข้าพเจ้า เพื่อพระกายของพระองค์คือพระศาสนจักร
 
เราถูกเรียกให้ทนทุกข์ในพระคริสต์เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่ในระดับของพระเจ้าหรือระดับจิตวิญญาณในระดับสูงเหมือนของนักบุญโฟสตินา แต่ในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งยังคงปลดปล่อยความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ในระดับหนึ่งเข้าสู่ชีวิตของผู้อื่นผ่านตัวเรา กิจกุศลเป็นช่องทางหนึ่งที่เราใช้ได้ แต่พวกเราแทบไม่มีใครที่เพิ่มความทุกข์ทรมานด้วยการเสียสละให้กับกิจกุศลนั้น เช่น การพลีกรรมอดอาหารเพื่อเป็นเครื่องบูชาทางจิตวิญญาณ ขณะเดียวกันก็จัดหาอาหารเย็นให้คนไร้บ้านอันเป็นกิจกุศลทางวัตถุ ซึ่งอาจฟังดูอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยจากมุมมองทางโลก แต่ในมุมมองทางจิตวิญญาณที่เหนือโลก เมื่อพระคริสต์สัมผัสเรา อาจช่วยให้เราสัมผัสทั้งผู้อื่นและพระคริสต์ในเวลาเดียวกัน
 
ข้อความจากพระคัมภีร์
 
1 โครินธ์ 12:26 ถ้าอวัยวะหนึ่งเป็นทุกข์ อวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมยินดีด้วยเช่นเดียวกัน
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567

โรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมาน

 

ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้ามักจะอ้างถึงการมีอยู่ของโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมานของมนุษย์,ว่าเป็นหลักฐานที่ขัดแย้งกับแนวคิดที่บอกว่าพระเจ้า,เป็นพระผู้สร้างผู้ทรงปรีชาฉลาดและทรงเมตตากรุณา
 
อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของคาทอลิก ความทุกข์ทรมานรวมถึงความเจ็บป่วยไม่ได้ขัดแย้งกับแผนการของพระเจ้า แต่สามารถเข้าใจได้ในกรอบที่กว้างขึ้นของความเชื่อ, การไถ่บาป, และความลึกลับในแผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ
 
1. บทบาทของจิตใจอิสระและการตกต่ำของมนุษย์
 
เทววิทยาคาทอลิกเริ่มต้นด้วยความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกให้มีแต่ความดี แต่ด้วยจิตใจอิสระของมนุษย์ก็เกิดความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะล้มเหลวทางศีลธรรม ตามหลักคำสอนเรื่อง *บาปกำเนิด* การไม่เชื่อฟังครั้งแรกของมนุษย์ได้นำความวุ่นวายไร้ระเบียบมาสู่โลก ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการสร้างสรรค์ทั้งหมดด้วย (ปฐมกาล 3:17-19) การมีอยู่ของโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมานในรูปแบบอื่นๆ ถือได้ว่าเป็นผลที่ตามมาจากความวุ่นวายไร้ระเบียบตั้งแต่มนุษย์คู่แรกไม่เชื่อฟังพระเจ้า
 
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าความวุ่นวายไร้ระเบียบนี้ไม่ใช่สิ่งบ่งชี้ถึงแผนการที่ผิดพลาด แต่เป็นการสะท้อนถึงวิธีที่พระเจ้าเคารพจิตใจอิสระของมนุษย์ หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์มีความสามารถที่จะเลือกทำสิ่งดีหรือชั่วร้ายได้ จิตใจอิสระเองก็จะไม่เป็นจริง ในมุมมองนี้ โรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมานเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตในโลกที่ตกต่ำ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกับแผนการดั้งเดิมหรือความดีของพระเจ้า
 
2. ความทุกข์เป็นหนทางสู่การไถ่บาป
 
คาทอลิกถือว่าความทุกข์, รวมทั้งความทุกข์ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ใช่เป็นเพียงการลงโทษหรืออุบัติการณ์ที่ไร้ความหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับการเติบโตฝ่ายจิตและการมีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งการไถ่บาปของพระคริสต์ด้วย พระเยซูเองทรงประสบกับความทุกข์ทรมานและความตายอย่างแสนสาหัส ซึ่งทางคาทอลิกเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นส่วนจำเป็นในแผนการของพระเจ้าเพื่อความรอดของมนุษยชาติ ไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์และความตาย ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการฟื้นคืนชีพ
 
ในทำนองเดียวกัน ความทุกข์ส่วนตัว รวมทั้งความเจ็บป่วย สามารถรวมเข้ากับความทุกข์ของพระคริสต์ได้ โดยเป็นหนทางให้ผู้มีความเชื่อเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์, เติบโตในความอ่อนน้อมถ่อมตน, และในความมีใจเมตตากรุณา พระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงเน้นย้ำในสมณลิขิตของพระองค์ *Salvifici Doloris* ว่าความทุกข์มีคุณสมบัติในการไถ่บาปเมื่อรวมเข้ากับความทุกข์ของพระคริสต์เอง พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ได้ยกย่องความทุกข์ แต่เห็นว่าเป็นหนทางสู่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเป็นหนทางที่พระหรรษทานของพระเจ้าจะสามารถทำงานได้
 
3. ความลึกลับของพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า
 
ปัญหาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์มักถูกมองผ่านมุมมองแห่งพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงการทรงดูแลและชี้แนะอย่างต่อเนื่องของพระเจ้าสำหรับสิ่งสร้างทั้งหมด คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกอธิบายว่า ขณะที่ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของสภาวะมนุษย์ แต่ก็ไม่อยู่เกินขอบเขตพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า พระเจ้าสามารถทำให้เกิดสิ่งดีๆออกมาจากความทุกข์ได้ แม้ว่าสาเหตุของความทุกข์นั้นจะไม่ชัดเจนในทันทีก็ตาม (CCC 309-314)
 
ตัวอย่างสำคัญประการหนึ่งในพระคัมภีร์คือเรื่องราวของโยบ ชายผู้ชอบธรรมที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ถีงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม ความทุกข์ของโยบทำให้เขาตั้งคำถามถึงความยุติธรรมของพระเจ้า แต่สุดท้ายแล้ว พระเจ้าไม่ได้ให้คำอธิบายโดยตรงแก่โยบเกี่ยวกับความทุกข์ของเขา ในทางกลับกัน โยบได้รับคำเชิญชวนให้วางใจในพระปรีชาญาณของพระเจ้าและความลึกลับของแผนการของพระองค์ เรื่องราวนี้เน้นว่า,จากมุมมองของคาทอลิก, มนุษย์อาจไม่เข้าใจเหตุผลของความทุกข์เสมอไป แต่พวกเขาถูกเรียกร้องให้วางใจในความดีและการออกแบบขั้นสูงสุดของพระเจ้า
 
4. วิทยาศาสตร์, การแพทย์, และความร่วมมือของมนุษย์กับพระปรีชาญาณอันศักดิ์สิทธิ์
 
พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ ในทางตรงกันข้าม,พระศาสนจักรยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของพระพรแห่งเหตุผลและความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้ การพัฒนายาและเทคโนโลยีถือเป็นการมีส่วนร่วมในพลังสร้างสรรค์ของพระเจ้า แทนที่จะมองว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแผนการของพระเจ้า มุมมองของพระศาสนจักรคาทอลิกสนับสนุนให้ผู้มีความเชื่อทำงานอย่างแข็งขันเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมาน, เพื่อค้นพบการรักษาและการบำบัดรักษาใหม่ๆ, ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องให้รักและรับใช้ซึ่งกันและกัน
 
อันที่จริง ความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหลายๆอย่างเริ่มต้นโดยสถาบันของพระศาสนจักรคาทอลิก ตัวอย่างเช่น พระศาสนจักรดำเนินกิจการโรงพยาบาลและคลินิกหลายแห่งทั่วโลก และในประวัติศาสตร์ คณะสงฆ์หลายแห่ง เช่น คณะภคินีแห่งพระเมตตาหรือคณะภราดาอเล็กเซียน ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลคนป่วย ตัวอย่างของนักบุญเช่นนักบุญดาเมียนแห่งโมโลไก ซึ่งเคยดูแลคนโรคเรื้อน และนักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา ซึ่งดูแลคนยากจนและคนใกล้ตาย เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของพระศาสนจักรคาทอลิกในการบรรเทาทุกข์ผ่านการดูแลด้วยความเมตตาและการช่วยเหลือทางการแพทย์
 
5. แผนการสูงสุดของพระเจ้าคือ: ชีวิตนิรันดร
 
พระศาสนจักรคาทอลิกสอนว่าความทุกข์และโรคภัยที่ประสบในชีวิตนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและต้องเข้าใจในแง่ของชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าสัญญาไว้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ความเจ็บปวดและข้อจำกัดของโลกปัจจุบันไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวนี้ ดังที่นักบุญเปาโลเขียนไว้ในจดหมายถึงชาวโรมว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ทรมานในเวลานี้เทียบไม่ได้กับความรุ่งโรจน์ที่จะเปิดเผยแก่เรา” (โรม 8:18)
 
ความหวังในชีวิตนิรันดร์นี้มีพื้นฐานอยู่ที่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระศาสนจักรคาทอลิกมองว่าเป็นคำตอบขั้นสุดท้ายสำหรับความทุกข์ทรมานของมนุษย์ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ทำให้ผู้มีความเชื่อมั่นใจได้ว่าความตายและโรคภัยไข้เจ็บไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แม้ว่าความทุกข์ทรมานจะเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดและเกิดขึ้นจริงของมนุษย์ แต่ก็เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และในท้ายที่สุด ความทุกข์ทรมานจะถูกเปลี่ยนให้เป็นความรุ่งโรจน์ ความหวังนี้ทำให้ชาวคาทอลิกสามารถเผชิญกับความทุกข์ทรมานด้วยความกล้าหาญและไว้วางใจในแผนการของพระเจ้า แม้ว่าแผนการนั้นจะยังคงเป็นความลึกลับสำหรับเราก็ตาม
 
6. แบบอย่างของนักบุญที่ยอมรับความทุกข์
 
ตลอดประวัติศาสตร์ นักบุญหลายคนได้ให้แบบอย่างของการที่คริสตชนคาทอลิกถูกเรียกร้องให้พิจารณาความทุกข์ในลักษณะที่เป็นแผนการของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น นักบุญเทเรซาแห่งลิซีเออร์ ป่วยเป็นวัณโรคและเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มาก อย่างไรก็ตาม เธอถือว่าความเจ็บป่วยของเธอเป็นหนทางที่จะรวมตัวเธอเองเข้ากับความทุกข์ของพระคริสต์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมอบความเจ็บปวดของเธอเพื่อการไถ่บาปของวิญญาณ นักบุญพระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 ซึ่งป่วยด้วยโรคพาร์กินสันในช่วงบั้นปลายชีวิต มักพูดถึงการที่ความทุกข์ของพระองค์เองทำให้พระองค์เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นและเห็นอกเห็นใจความทุกข์ของผู้อื่น
 
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความทุกข์ รวมทั้งความเจ็บป่วย สามารถมีจุดประสงค์ได้เมื่อเรายอมรับด้วยความเชื่อ ความทุกข์ไม่ใช่หลักฐานที่ขัดแย้งกับแผนการอันปรีชาฉลาดของพระเจ้า แต่มันเป็นประสบการณ์อันล้ำลึกของความรักและการไถ่บาปของพระคริสตเจ้า
 
บทสรุป:
 
ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า
 
จากมุมมองของคาทอลิก โรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมานไม่ได้เป็นการหักล้างแผนการอันปรีชาฉลาดของพระเจ้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของการไถ่กู้ของพระคริสต์สำหรับโลกที่ตกต่ำ ความทุกข์ทรมานของมนุษย์สามารถนำไปสู่การเติบโตฝ่ายจิต ทำให้เรามีความไว้วางใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า และทำให้เรารวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริงกับพระองค์ในชีวิตนิรันดร์ แม้ว่าผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอาจมองว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นหลักฐานของจักรวาลที่วุ่นวายไร้ระเบียบหรือปราศจากจุดประสงค์ แต่ฝ่ายคาทอลิกกลับมองว่าความทุกข์ทรมานเป็นเส้นทางสู่พระหรรษทานของพระเจ้า ซึ่งถูกกำหนดโดยความรักและแผนการนิรันดร์ของพระองค์ โดยอาศัยวิทยาศาสตร์, ยา, และการดูแลเอาใจใส่ด้วยความเมตตา ผู้มีความเชื่อร่วมมือกับพระปรีชาญาณของพระเจ้าเพื่อบรรเทาทุกข์ โดยเฝ้ารอวันที่ความเจ็บปวดทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในการกลับฟื้นคืนชีพเสมอ
 
************************