วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ฟาติมา สิ่งที่ซ่อนอยู่

 


วันที่ 13 ตุลาคม เป็นวันครบรอบ 107 ปีของการประจักษ์ที่ฟาติมาและอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์
 
หลายคนยังไม่รู้เรื่องราวที่น่าสนใจและซ่อนเร้นเกี่ยวกับฟาติมา แม้ว่าจะมีการพูดถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งจนดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้นก็ตาม
 
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่ามีปรากฏการณ์ลึกลับเกิดขึ้นที่ฟาติมา รวมถึงเมืองใกล้เคียง (รวมถึงการประจักษ์ของอัครทูตสวรรค์มีคาแอล) ก่อนที่พระแม่มารีย์จะประจักษ์มาในปี 1917
 
(ตัวอย่างหนึ่งก็คือ: ในช่วงปี 1400 ก่อนการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมา,เด็กหญิงหูหนวกคนหนึ่งจากหมู่บ้านใกล้เคียงอีกแห่งชื่อ Casal Santa Maria ซึ่งอยู่ห่างจากฟาติมาประมาณหนึ่งไมล์ครึ่ง ได้เห็นพระแม่มารีย์เหนือพุ่มไม้ Ortiga แม่พระทรงยิ้มและขอร้องเด็กหญิงเรื่องหนึ่ง พระนางทรงถามเด็กหญิงที่ได้ยินในทันทีว่าพระนางทรงต้องการลูกแกะตัวหนึ่งของเธอ นั่นเป็นการทดสอบการเชื่อฟัง ทันใดนั้น เด็กหญิงก็พูดได้ราวกับว่าเธอไม่เคยหูหนวกมาก่อน )
 
และหลายคนคงไม่ทราบว่ามีน้ำพุอัศจรรย์ที่เกี่ยวข้องกับฟาติมาด้วย ไม่ เราไม่ได้กำลังสับสนกับที่ลูร์ด
 
โซลต์ อาราดี เขียนไว้ในหนังสือของเขา Understanding Miracles ว่า "มิสซาครั้งแรกที่โควา ดา อีเรีย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 1921 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1921 น้ำพุเริ่มไหลที่บริเวณที่แม่พระทรงประจักษ์" ปัจจุบันมีการเก็บรวบรวมน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่น้ำพุ
 
ในศตวรรษที่ 14 ประมาณปี 1380 พบน้ำพุอัศจรรย์อีกแห่งใกล้กับอัลจูบาโรตา Aljubarrota [ห่างจากฟาติมาประมาณ 15 ไมล์] และเกี่ยวข้องกับหญิงยากจนชื่อคาทารินา อาเนส Catarina Anes ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ วันหนึ่งแคทารินาได้ไปที่ป่าบนภูเขาแห่งหนึ่งชื่อ Valle de Deus เพื่อหาฟืน และเมื่อได้ยินเสียงนั้น ซึ่งเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เสนอตัวจะช่วยเหลือเธอ ต่อมาเมื่อแคทารินาขึ้นไปบนยอดเขาตามคำสั่งของเสียงนั้นและขุดหลุม ก็ปรากฏน้ำพุใสราวกับคริสตัล “จงไปบอกชาวบ้านในหมู่บ้านของลูกว่าที่นี่พวกเขาจะพบยารักษาโรคทั้งหมด” หญิงผู้นั้นกล่าว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นพระแม่มารีย์ (จากหนังสือ The Last Secret)
 
แต่อัศจรรย์ที่สำคัญที่สุดก็คือวันที่ 13 ตุลาคม 1917 “เป็นอัศจรรย์ที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดจนไม่มีอัศจรรย์ใดที่มีบันทึกไว้เทียบได้ตั้งแต่โบราณมา” หนังสือดังกล่าวบอกว่า “มีผู้คนนับหมื่นในทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ความเชื่อหรือไม่มีความเชื่อก็ตาม ปรากฏตัวที่นั่นทั้งหมด 70,000 คน พวกเขาได้ยินเสียงฟ้าร้อง เห็นฟ้าแลบ และสังเกตเห็นการแยกตัวของเมฆ
 

“เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ มีเพียงเด็กๆ เท่านั้นที่มองเห็นแม่พระ และมีเพียงเด็กๆ เท่านั้นที่ได้ยินแม่พระตรัส แต่ขณะที่เด็กๆ ฟังแม่พระตรัสอยู่นั้น ฝูงชนก็ได้เห็นสิ่งอื่น หลังจากฝูงชนสวดสายประคำแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้มก็เปิดออก และดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า,สีฟ้าใส ทันใดนั้นก็เริ่มสั่นไหวและหมุนตัวอย่างรวดเร็วเหมือนล้อไฟขนาดใหญ่ ปล่อยรังสีแสงยาวๆ ออกมาซึ่งทำให้พื้นโลกมีสีสัน [ภาพจริง ด้านล่างที่มีผู้ถ่ายไว้] ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นเวลาสิบนาที และสามารถมองเห็นได้ในระยะทางยี่สิบห้าไมล์ จากนั้นดวงอาทิตย์ก็หลุดออกจากท้องฟ้าและพุ่งลงมาในอากาศโดยตรงเหนือผู้คน พวกเขาคุกเข่าลงทันที ร้องขอการอภัยบาปของพวกเขา นักจิตวิทยาบอกว่าการสะกดจิตหมู่และภาพหลอนไม่สามารถทำให้ผู้คนถึง 70,000 คนเห็นพร้อมกันได้ นักวิจารณ์ที่เคร่งขรึมเชื่อว่าอัศจรรย์นี้อาจชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ในอนาคต (ตามความลับข้อที่สามจบลงด้วยการแสดงให้เห็นว่ามีทูตสวรรค์ปรากฏมาพร้อมที่จะเผาทำลายโลก) หรือเป็นเพียงการยืนยันถึงการประจักษ์ของแม่พระเท่านั้น (และคล้ายกับศีลมหาสนิทซึ่งเด็กๆเห็นพร้อมกับทูตสวรรค์ก่อนที่แม่พระจะทรงประจักษ์ครั้งแรก)
 
นี่อาจเป็นรูปภาพอัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่มีผู้ถ่ายไว้ได้ The Truth Behind the Popular Photo
 
ตั้งแต่นั้นมา ก็มีรายงานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ในหลายๆ สถานที่และสถานที่ที่เชื่อว่ามีปรากฏการณ์ดังกล่าว เช่นที่เบทาเนีย ประเทศเวเนซุเอลา แต่ไม่มีแห่งใดเกิดขึ้นมากกว่าเมดจูกอร์เรจ์ในประเทศบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา ซึ่งผู้คนหลายร้อยหรือหลายพันคน (บางทีอาจรวมถึงหลายล้านคนในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา) ได้เห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงเป็นเส้นหลากสี เต้นบนท้องฟ้า เคลื่อนที่ พุ่งลงสู่พื้นโลก (แบบเดียวกับฟาติมา) หรือกลายเป็น "ดวงอาทิตย์" สองดวงตั้งแต่ปี 1981 ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้รับการรายงานเป็นประจำทุกวันตั้งแต่ปี 1981 และยังคงมีรายงานอยู่ที่นั่น
 
[resources: Books on Fatima and The Last Secret]
 

************************
 

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

รู้สึกท้อแท้เมื่อแพ้ต่อการประจญหรือ?

 


บางครั้งเราอาจท้อแท้เมื่อความพยายามละทิ้งบาปและพยายามดำเนินชีวิตที่ศรัทธา  แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และกลับไปสู่ชีวิตเดิมๆอีก ตัวอย่างเช่น คนที่พยายามไม่โกรธเกลียดคนบางคน หรือคนที่ชอบพูดจาว่าร้ายผู้อื่น ฯลฯ
 
มีอุปสรรคมากมายในชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราพยายามปรับปรุงการดำเนินชีวิตของเราและเริ่มก้าวหน้าในคุณธรรม แต่แล้วเราก็หวนกลับไปสู่พฤติกรรมเก่าๆ ทำให้เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคริสตชนที่ดีได้
 
เราอาจรู้สึกท้อแท้และหมดหวังเมื่อพบกับความล้มเหลว
 
อย่างไรก็ตาม ในความปรารถนาที่จะเป็นคนดีสมบูรณ์แบบ เราต้องมีความตั้งใจจริงและมั่นใจในพระเมตตาของพระเจ้า การชำระล้างจิตวิญญาณของเราบนโลกจะไม่สิ้นสุดลงจนกระทั่งเราตาย
 
นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ กล่าวถึงประสบการณ์นี้ในหนังสือคำแนะนำสู่ชีวิตศรัทธา:
 
“เราต้องกล้าหาญและอดทนในการดำเนินการนี้ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เห็นวิญญาณหนึ่งเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและท้อแท้ เพราะพวกเขาพบว่าตนเองยังคงตกอยู่ภายใต้ความไม่สมบูรณ์ครบครันหลังจากพยายามดำเนินชีวิตที่ศรัทธามาบ้างแล้ว และเกือบจะยินยอมต่อการประจญให้ยอมแพ้,สิ้นหวังและถอยหลัง”
 
ส่วนแรกของคำแนะนำของนักบุญคือ ให้มองสิ่งต่างๆในมุมมองที่เหมาะสมเสมอ ไม่มีใครกลายเป็นนักบุญได้ในทันที ในความเป็นจริงแล้ว ถนนสายนี้ยาวไกลมากและไม่สิ้นสุดลงจนกว่าจะถึงเวลาแห่งความตาย:
 
งานของการชำระล้างวิญญาณไม่สามารถสิ้นสุดลงได้ จงอย่าท้อแท้กับความไม่สมบูรณ์ครบครันของเรา ความสมบูรณ์ครบครันของเราอยู่ที่การต่อสู้กับการประจญเหล่านั้นอย่างขยันขันแข็ง และเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้โดยไม่เผชิญหน้ากับมัน หน้าต่อหน้า หรือเอาชนะได้โดยไม่พบเห็นสิ่งเหล่านั้นโดยตรง
 
แทนที่จะยอมแพ้เพราะความสิ้นหวัง เราควรปล่อยให้พระเจ้า,พระบิดา,ทรงช่วยเหลือพยุงเราขึ้นมา ปัดเป่าความท้อแท้ของเราออกไป และนำเรากลับมาสู่เส้นทางแห่งคุณธรรมอีกครั้ง
 
เราจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลมากขึ้นในใจ โดยตระหนักว่าเราสามารถก้าวหน้าได้ทีละเล็กทีละน้อย และก้าวไปข้างหน้าเสมอ
 
ความจริงอีกอย่างทางด้านจิตวิญญาณที่สำคัญที่ต้องจำไว้คือ พระเจ้าเป็นพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะรับเราไว้ในอ้อมแขนของพระองค์เสมอ
 
เมื่อใดก็ตามที่เราล้มลง เราก็ควรวิ่งเหมือนเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมอกอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า
 
#Catholic 4 Life
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบาป

 

บาปไม่ใช่สิ่งเหล่านี้
 
จากมุมมองของคาทอลิก
 
ในเทววิทยาคาทอลิก บาปเป็นการกระทำผิดโดยเจตนาต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์แตกร้าว
 
การทำความเข้าใจบาปไม่เพียงแต่ต้องรู้ว่าบาปคืออะไร แต่ยังต้องชี้แจงความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับบาปอีกด้วย
 
ข้อคิดเห็นเหล่านี้จะช่วยชี้แจงความเข้าใจผิดและทำให้เข้าใจเทววิทยาทางศีลธรรมในคำสอนคาทอลิกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
 
1. บาปไม่ใช่ความผิดพลาดหรือข้อผิดพลาด 
บาปไม่ใช่แค่ความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รู้หรืออุบัติเหตุ 
บาปที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับการไม่เชื่อฟังโดยเจตนาและการเลือกอย่างมีสติในการฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้า 
บาปเป็นมากกว่าความผิดพลาดในการตัดสินใจเลือกกระทำ แต่รวมถึงความตั้งใจที่จะปฏิเสธสิ่งที่ถูกต้องด้วย
 
---
 
2. บาปไม่ใช่การกระทำภายนอกเพียงอย่างเดียว 
บาปไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกระทำภายนอกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงความคิดและความปรารถนาภายในด้วย 
มัทธิว 5:28 กล่าวว่า “แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว” 
บาปเริ่มต้นที่ใจและความคิดก่อนที่จะเกิดขึ้นในการกระทำ
 
---
 
3. บาปไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนพระบัญญัติเท่านั้น 
บาปไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนพระบัญญัติเท่านั้น แต่ยังทำลายความสัมพันธ์อีกด้วย 
แก่นแท้ของบาปอยู่ที่การแตกแยกจากความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ 
บาปเป็นความผิดที่ขัดขวางความรักและความไว้วางใจที่เราได้รับเรียกให้ปลูกฝังกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
 
---
 
4. บาปไม่เหมือนกันสำหรับทุกคน 
บาปไม่เหมือนกันสำหรับทุกคนเสมอไป เนื่องจากความรับผิดชอบทางศีลธรรมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความรู้ เสรีภาพ และเจตนา 
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่กระทำบาปโดยไม่รู้หรือถูกบังคับอาจไม่ต้องรับโทษทางศีลธรรมเท่ากับผู้ที่กระทำบาปโดยรู้ตัวและเต็มใจ
 
---
 
5. บาปไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจในตัวของมันเอง 
แม้ว่าการประจญล่อลวงจะน่าดึงดูดใจ แต่บาปเองไม่ได้น่าดึงดูดใจเลย  บาปนำไปสู่ความตายและความทุกข์ทางจิตวิญญาณในที่สุด 
สิ่งที่ดูน่าดึงดูดใจเกี่ยวกับบาปก็คือการดึงดูดใจด้วยความสุขหรือผลประโยชน์ชั่วคราวเพื่อปกปิดอันตรายที่ลึกซึ้งกว่าที่มันก่อให้เกิดกับจิตวิญญาณ
 
---
 
6. บาปไม่ใช่สิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ 
บาปไม่ใช่สิ่งที่ให้อภัยไม่ได้หากมีการกลับใจอย่างแท้จริง 
1 ยอห์น 1:9 กล่าวว่า "พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและทรงเที่ยงธรรม ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์จะทรงอภัยบาปของเรา และทรงชำระเราให้สะอาดจากความอธรรมทั้งปวง" 
พระเมตตาของพระเจ้ามีให้สำหรับทุกคนที่แสวงหาด้วยใจจริง
 
---
 
7. บาปไม่ใช่เพียงแนวคิดของมนุษย์เท่านั้น 
บาปไม่ใช่แนวคิดของมนุษย์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อควบคุมพฤติกรรม 
บาปเป็นความจริงทางจิตวิญญาณที่หยั่งรากลึกในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า 
บาปเกี่ยวข้องกับการละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้าและความรักของพระเจ้าโดยเจตนา ซึ่งจะส่งผลชั่วนิรันดร์
 
---
 
8. บาปไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับการใช้ชีวิตอย่างไม่มีความผิด 
บาปไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้ามเพราะความเมตตาของพระเจ้า 
โรม 6:1-2 เตือนไม่ให้ทำบาปต่อไปโดยคิดว่าจะได้พระหรรษทานของพระเจ้ามากขึ้น 
แม้ว่าพระเจ้าจะทรงมีพระเมตตา แต่เราถูกเรียกให้พยายามดำรงชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แสวงหาประโยชน์จากการให้อภัยของพระองค์
 
---
 
9. บาปไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ 
แม้ว่ามนุษย์จะตกต่ำและมีความโน้มเอียงที่จะทำบาป แต่บาปไม่ใช่สภาพธรรมชาติของเรา 
เราถูกสร้างขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระเจ้าและถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ 
บาปกำเนิดทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ผิดเพี้ยน แต่ผ่านทางพระคริสต์ เราถูกเรียกให้กลับคืนสู่ความชอบธรรม
 
---
10. บาปไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมองเห็นได้เสมอไป 
บาปไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในที่สาธารณะเสมอไป บาปบางอย่างเกิดขึ้นอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงบุคคลที่กระทำและพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ 
แม้แต่บาปส่วนตัว เช่น ความอิจฉาหรือความเย่อหยิ่ง ก็ทำลายจิตวิญญาณและความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ 
สดุดี 139:2 เตือนเราว่าพระเจ้าทรงทราบแม้แต่ความคิดที่ซ่อนอยู่ในใจของเรา
 
---
 
11. บาปไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
แม้ว่าเราทุกคนจะเสี่ยงต่อบาป แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า, ศีลศักดิ์สิทธิ์, และชีวิตที่มีคุณธรรม เราสามารถต้านทานการล่อลวงและเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์ได้ 
1 โครินธ์ 10:13 รับรองกับเราว่าพระเจ้าจะไม่ยอมให้เราถูกทดลองเกินกำลังของเรา
 
---
 
12. บาปไม่ได้เป็นเพียงกฎเกณฑ์ทางศาสนาเท่านั้น 
บาปไม่ได้เกี่ยวกับการยึดมั่นตามกฎเกณฑ์ทางศาสนา 
พระเยซูทรงตำหนิพวกฟาริสีที่มุ่งเน้นไปที่ธรรมบัญญัติภายนอก แต่กลับละเลยความรัก ความเมตตา และความยุติธรรม (มัทธิว 23:23) 
บาปคือการฝ่าฝืนกฎแห่งความรัก—ไม่รักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ตามที่ถูกเรียก
 
---
 
13. บาปไม่ได้ไร้ซี่งผลสืบเนื่อง 
บาปไม่ได้ไร้ผลสืบเนื่อง แม้ว่าจะดูเหมือนไม่เป็นอันตรายก็ตาม 
โรม 6:23 สอนว่า "ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย" บาปทำให้เกิดการแยกทางฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า และหากไม่กลับใจ บาปอาจนำไปสู่การสูญเสียนิรันดร์ 
บาปทำร้ายทั้งตัวบุคคลและชุมชน แม้ว่าผลกระทบจะไม่ปรากฏชัดในทันที
 
---
 
14. บาปทุกอย่างไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นบาปหนักเสมอไป 
บาปไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบาปหนักเสมอไป แต่สามารถเป็นบาปเบาได้ 
พระศาสนจักรโรมันคาธอลิกแบ่งแยกระหว่างบาปหนักและบาปเบาตามความร้ายแรงของความผิด ความรู้ และอิสรภาพ 
บาปหนักจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับพระเจ้า ในขณะที่บาปเบาจะทำร้ายความสัมพันธ์นั้นแต่ไม่ได้ทำลายความสัมพันธ์นั้นทั้งหมด (1 ยอห์น 5:16-17)
 
---
 
15. บาปไม่คงอยู่ถาวรหากกลับใจแล้ว 
บาปไม่คงอยู่ถาวรเว้นแต่ว่าเราจะเลือกที่จะคงอยู่ในนั้น 
โดยผ่านทางศีลอภัยบาป (ศีลแห่งการคืนดี) คริสตชนคาทอลิกได้รับโอกาสในการคืนดีกับพระเจ้าและพระศาสนจักร 
อิสยาห์ 1:18 ประกาศว่า "แม้บาปของท่านเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีเลือดหมู ก็จะขาวอย่างหิมะ"
 
---
 
บทสรุป:
 
ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับบาป
 
ในมุมมองของพระศาสนจักรคาทอลิก บาปเป็นความผิดทางจิตวิญญาณที่ร้ายแรงซึ่งเป็นมากกว่าการไม่เชื่อฟังหรือการฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ
 
บาปคือการละทิ้งพระเจ้าโดยเจตนา ทำลายจิตวิญญาณและความสัมพันธ์ของตนเองกับเพื่อนมนุษย์
 
โดยการเข้าใจว่าบาปไม่ใช่*สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา* คริสตชนคาทอลิกสามารถพัฒนาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของบาปและผลที่ตามมา ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความปรารถนาอย่างจริงใจในการกลับใจ การคืนดี และการเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2024 พระเยซูเจ้ากับเศรษฐีหนุ่ม

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 10:17-30 
เศรษฐีหนุ่ม 
(17)ขณะที่พระองค์กำลังทรงพระดำเนินอยู่ระหว่างทาง ชายคนหนึ่งรีบเข้ามาคุกเข่าลง ทูลถามว่า “พระอาจารย์ผู้ทรงความดี ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” (18)พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ทำไมเรียกเราว่าผู้ทรงความดี ไม่มีใครทรงความดีนอกจากพระเจ้าเท่านั้น (19)ท่านรู้จักบทบัญญัติแล้ว คือ อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงนับถือบิดามารดา” (20)ชายผู้นั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว” (21)พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู ตรัสกับเขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” (22)เมื่อได้ฟังพระวาจานี้ ชายผู้นั้นหน้าสลดลงเพราะเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย จึงจากไปด้วยความทุกข์ 
(23)พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรโดยรอบ แล้วตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ยากจริงหนอที่คนมั่งมีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า” (24)บรรดาศิษย์แปลกใจกับพระวาจานี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากจริงหนอที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า (25)อูฐจะลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า” (26)บรรดาศิษย์ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น พูดกันว่า “ดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้” (27)พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรบรรดาศิษย์แล้วตรัสว่า “สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าเป็นเช่นนั้นได้ เพราะพระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง” 
(28)เปโตรทูลพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว” (29)พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีใครที่ละทิ้งบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตรหรือไร่นาเพราะเห็นแก่เรา และเพราะเห็นแก่ข่าวดี (30)จะไม่ได้รับการตอบแทนร้อยเท่าในโลกนี้ เขาจะได้บ้านเรือน พี่น้องชายหญิง มารดา บุตร ไร่นา พร้อมกับการเบียดเบียนและในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร
******************
 
 
 
วิธีหนึ่งที่นายพรานโดยเฉพาะชาวแอฟริกันนิยมใช้จับลิงก็คือ ผ่าลูกมะพร้าวออกเป็นสองซีก แคะเนื้อออก เจาะรูที่ซีกหนึ่งให้ใหญ่พอมือลิงลอดเข้าไปได้ อีกซีกหนึ่งวางส้มไว้ลูกหนึ่ง จากนั้นประกบสองซีกเข้าด้วยกัน นำไปผูกไว้ที่ต้นไม้ แล้วตัวนายพรานก็หลบไปรอหลังพุ่มไม้
 
ไม่ช้าลิงก็จะห้อยโหนลงมาเพราะได้กลิ่นส้ม แล้วก็ล้วงมือลงไปในรูเพื่อจะหยิบส้ม แน่นอนส้มออกมาไม่ได้เพราะมันใหญ่กว่ารู เจ้าลิงก็ยังยืนกรานที่จะดึง ดึง แล้วก็ดึงโดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า ทันทีนายพรานก็โผล่ออกมาแล้วเหวี่ยงแหคลุมตัวมันไว้ อิสรภาพของมันก็เป็นอันสิ้นสุด
 
พี่น้องเห็นไหม ตราบใดที่ลิงมันยังกำผลส้ม มันก็ติดกับดัก หนทางเดียวที่จะรักษาชีวิตของมันไว้ได้ก็คือปล่อยผลส้มแล้วหนีไป
 
วิธีจับลิงเช่นนี้ใช้ได้ผลก็เพราะความโลภของมันนั่นเอง เป็นไปไม่ได้ที่ลิงมันจะได้ทั้งส้มและอิสรภาพพร้อมกัน ทั้งๆ ที่มันมองเห็นนายพรานกำลังมาจับมัน มันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากส้ม แถมยังพยายามสุดชีวิตที่จะเอาส้มออกมาให้ได้ นี่เป็นเพราะความโลภของมันเองแท้ๆ
 
พี่น้องลองจินตนาการดูสิว่าเจ้าลิงตัวนี้มันจะภาวนาครั้งสุดท้ายตอนที่เห็นนายพรานโผล่ออกมาอย่างไร มันคงภาวนาว่า “โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้า ขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้ข้าพเจ้าปล่อยมือจากส้ม”
 
คำภาวนาเช่นนี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ข้อเท็จจริงก็คือ พวกเราจำนวนมากก็สวดภาวนาเหมือนลิงตัวนี้ อย่างเช่นเศรษฐีหนุ่มในพระวรสารวันนี้ก็คงสวดทำนองเดียวกันว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานชีวิตนิรันดรแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้ข้าพเจ้าต้องละทิ้งทรัพย์สมบัติของข้าพเจ้าเลย”
 
พี่น้องครับ หากเราเป็นคนรักสัตว์แล้วเห็นลิงกำลังดิ้นรนจะเอาผลส้มขณะที่นายพรานกำลังใกล้เข้ามา เราจะทำอย่างไร? เราคงตะโกนบอกลิงให้ละทิ้งส้มแล้ววิ่งหนีเอาชีวิตรอดไม่ใช่หรือ?
 
นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำกับเศรษฐีหนุ่มในพระวรสารวันนี้ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเศรษฐีหนุ่มคนนั้นตกอยู่ในอันตรายใกล้จะเสียชีวิตนิรันดรเพราะมัวแต่ยึดติดอยู่กับทรัพย์สมบัติของตน พระองค์จึงบอกเขาให้ละทิ้งทรัพย์สมบัตินั้นเพื่อจะได้รักษาชีวิตของตนไว้ ที่พระองค์ตรัสเช่นนี้ก็เพราะ “ทรงรักและเอ็นดูเขา” ดังที่มาระโกบอกในพระวรสารวันนี้ว่า “พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู”
 
จริงอยู่ คำสั่งสอนและคำแนะนำของพระเยซูเจ้า หลายครั้งดูเหมือนยากส์...และเข้าใจไม่ได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นพระองค์ทำไปก็เพื่อความดีของตัวเรานั่นเอง
 
เพราะฉะนั้น แม้มันจะยาก แต่ถ้าเราตระหนักว่ามันเป็นคำสอนของคนที่รักเรา หวังดีต่อเรา และรู้ดีว่าเราควรจะยึดติดหรือจะปล่อยวางดี เราก็คงจะตอบรับคำสั่งสอนของพระองค์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
 
เศรษฐีหนุ่มคนนั้นก็เหมือนลิงที่ยืนกรานจะเอาส้มให้ได้ทั้งๆ ที่ชีวิตของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย ด้วยเหตุนี้พระเยซูเจ้าจึงทรงชี้หนทางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายให้แก่เขา พระองค์ตรัสว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด”
 
ตรงนี้แหละที่ทำให้บทอ่านที่สองวันนี้บอกว่า “พระวาจาของพระเจ้าเป็นพระวาจาที่มีชีวิตและบังเกิดผล คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุเข้าไปถึงจุดที่วิญญาณและจิตใจแยกจากกัน ถึงเส้นเอ็นและไขกระดูก วินิจฉัยความรู้สึกนึกคิดภายในใจได้”
 
คราวนี้เราลองวินิจฉัยความคิดของเศรษฐีหนุ่มผู้นี้ว่าทำไมเขาจึงรู้สึกว่าคำสอนของพระองค์ยากที่จะปฏิบัติตามล่ะ?
 
ไม่น่าเชื่อว่าเหตุผลเป็นเพราะเขาเป็นคนศรัทธา พระวรสารบอกว่าเขาถือตามบทบัญญัติมาตั้งแต่เป็นเด็ก สำหรับชาวยิวผู้ศรัทธานั้น พวกเขาเชื่อว่าความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นพระพรของพระเจ้า คนรวยคือคนที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ส่วนคนจนคือคนที่พระเจ้าทรงสาปแช่ง แล้วอยู่ๆ จะให้เขาเลิกศรัทธาในพระเจ้าแล้วหันไปทำตนเป็นคนที่ถูกพระเจ้าสาปแช่งได้อย่างไรกัน
 
แต่เขาคิดผิด ! บรรดาศิษย์ก็คิดผิดด้วย !
 
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อพระเยซูเจ้าบอกบรรดาศิษย์ว่าเป็นการยากที่เศรษฐีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า อูฐจะลอดรูเข็มยังง่ายกว่าอีก พวกเขาจึงประหลาดใจ พูดกันว่า “ดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้นได้”
 
แต่สำหรับพระเยซูเจ้า ความยากจนไม่ได้เป็นผลมาจากการสาปแช่งของพระเจ้า ตรงกันข้าม การถือความยากจนกลับเป็นหนทางหนึ่งในการตอบสนองความรักของพระองค์ เพราะว่า การนิยมวัตถุหรือวัตถุนิยมนั้นก็คือการเชื่อว่าหากปราศจากความมั่งคั่งร่ำรวย ชีวิตก็จะไม่มีความหมาย ซึ่งเท่ากับเป็นการปฏิเสธความรักของพระเจ้าโดยตรง และเศรษฐีหนุ่มในพระวรสารวันนี้ก็คือผู้ที่เชื่อในวัตถุนิยมอย่างสุดโต่ง และก็พลาดโอกาสทองที่จะได้ติดตามพระเยซูเจ้าและรับชีวิตนิรันดร
 
วันนี้ ให้เราวอนขอพระเจ้าเช่นเดียวกับกษัตริย์โซโลมอนในบทอ่านที่หนึ่ง ขอพระองค์โปรดประทานปรีชาญาณแก่เราให้มากกว่าลิงด้วยเถิด เพื่อเราจะได้หลีกหนีจากวัตถุนิยมทุกรูปแบบ เพราะพระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต” (มก 8:36)
 
***************************


สายจำพวกสีน้ำตาลกับปีศาจ

 


“ในการขับไล่ปีศาจครั้งหนึ่ง, สายจำพวกสีน้ำตาลถูกวางไว้รอบคอของผู้ถูกปีศาจเข้าสิง ปีศาจตะโกนและคร่ำครวญอยู่เสมอว่า ‘มันคือไฟ! มันคือไฟ! เอาออกไปเถอะ กูขอร้อง! กูทนไม่ไหวแล้ว’”~ คุณพ่อโรเบิร์ต เลวิส,พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจ
 
“ในการขับไล่ปีศาจ,มันสารภาพด้วยความเจ็บปวดว่าสายประคำเป็น ‘การภาวนาที่ดีเลิศที่สุด... เป็นที่เกรงกลัวในนรก,สายจำพวกก็เช่นเดียวกัน’” ~ คุณพ่อโฮเซ ซิเกีย,พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจ
 
“ฉันถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมของพระแม่มารีย์ แกจะทำอะไรฉันได้?” ~ คุณพ่อกาเบรียล อมอร์ธ (พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจของวาติกัน)
 
พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจท่านหนึ่งที่ไม่ต้องการเปิดเผยนาม,กำลังสวมสายจำพวกสีน้ำตาลในระหว่างพิธีการขับไล่ปีศาจ และปีศาจก็พูดกับเขาว่า “แค่ถอดสายจำพวกออก แล้วกูจะแสดงให้แกเห็นว่ากูจะทำอะไรกับแก!” “ปีศาจเกลียดชังสายจำพวกสีน้ำตาลเป็นพิเศษ โดยจะคอยมองเพื่อที่จะฉีกสายจำพวกออกจากเหยื่อในระหว่างพิธีการขับไล่ สายจำพวกมีความสำคัญมากเพราะให้การปกป้องในระดับหนึ่ง
 
“ในกรณีหนึ่งที่ผมเผชิญ, ปีศาจตนนี้เป็นปีศาจแห่งความไม่บริสุทธิ์ และทุกครั้งที่มันปรากฏตัว สิ่งแรกที่มันทำคือพยายามดึงสายจำพวกที่ผู้หญิงคนนั้นสวมอยู่ออก” ~ Fr. Chad Ripperger,พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจ
 
ทันทีที่คุณตื่น ให้คิดถึงพระเจ้าและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเริ่มต้นวันนี้ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู” ขณะแต่งตัว,ให้ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงปกป้องและคุ้มครองคุณ รวมทั้งในระหว่างที่คุณพักผ่อนด้วย สร้างนิสัยในการสวดภาวนาตอนเช้าและตอนเย็น ทุกเช้า ให้สวดบทภาวนาเวลาเช้าแห่งฟาติมา, จูบสายจำพวกสีน้ำตาลของแม่พระแห่งภูเขาคาร์เมล การจูบสายจำพวกสีน้ำตาบด้วยความศรัทธาจะทำให้คุณได้รับพระคุณการุณย์ 500 วันในแต่ละครั้ง ตามเจตนาของสมเด็จพระสันตะปาปา, เป็นพระคุณการุณย์สำหรับตนเองและสำหรับวิญญาณในไฟชำระ
 
“ข้าแต่พระเจ้าและแม่พระแห่งภูเขาคาร์เมล ลูกร่วมกับพระหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ (จูบสายจำพวกสีน้ำตาล) ขอถวายพระกาย พระโลหิต พระวิญญาณ และพระเทวภาพของพระเยซูคริสต์ ร่วมในความคิด คำพูด และการกระทำทุกอย่างของลูกในวันนี้ โอ้พระเยซูของลูก ลูกปรารถนาที่จะได้รับพระคุณการุณย์และบุญกุศลทุกประการที่ลูกสามารถรับได้ และลูกขอถวายสิ่งเหล่านี้ร่วมกับตัวลูกเองต่อพระแม่มารีย์ผู้นิรมล เพื่อว่าพระนางจะได้ใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ข้าแต่พระโลหิตศักดิทสิทธิ์ของพระเยซูเจ้า, โปรดช่วยเราให้รอดพ้นด้วยเถิด พระหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ โปรดภาวนาเพื่อเรา พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า โปรดทรงพระเมตตาเราด้วยเทอญ อาแมน”
 
[ที่มา: books on exorcism]
 
************************