วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

นักบุญนิโคลัสกับวิญญาณในไฟชำระ

 


“นิโคลัส ผู้รับใช้ของพระเจ้า มองดูข้าพเจ้าเถิด” วิญญาณดวงหนึ่งร้องเรียกนิโคลัสแห่งโตเลนติโน (Nicholas of Tolentino)พระสงฆ์หนุ่มในคณะนักบุญออกัสติน เขาเพิ่งจะหลับไป เสียงนั้นทำให้เขาประหลาดใจและตกใจตื่น วิญญาณดวงนั้นระบุว่าตนเองคือนักพรตเปลเลกริโนแห่งโอซิโม(Friar Pellegrino of Osimo) ซึ่งนิโคลัสรู้จักในขณะที่นักพรตผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่
 
“ข้าพเจ้าถูกทรมานในเปลวเพลิงเหล่านี้” เปลเลกริโนคร่ำครวญ “พระเจ้ามิได้ทรงปฏิเสธความสำนึกผิดของข้าพเจ้า และทรงพระกรุณาไม่ให้ข้าพเจ้าต้องรับโทษชั่วนิรันดร์ ซึ่งข้าพเจ้าสมควรได้รับเนื่องจากความอ่อนแอของข้าพเจ้า แต่ทรงให้ข้าพเจ้ารับโทษในไฟชำระแทน,ด้วยพระเมตตาของพระองค์”
 
จากนั้นเขาขอร้องนิโคลัสให้ “ประกอบพิธีมิสซาเพื่อผู้ตายอุทิศแก่ข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้พ้นจากความทุกข์ทรมาน” แต่ นิโคลัสทำไม่ได้เพราะเขาได้รับมอบหมายให้ประกอบพิธีมิสซาสำหรับชุมชนในอารามเท่านั้น
 
“ถ้าอย่างนั้น อย่างน้อยก็มากับข้าพเจ้า…มาดูความทุกข์ทรมานของพวกเรา…โปรดสงสารผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ที่รอความช่วยเหลือจากท่าน…ถ้าท่านประกอบพิธีมิสซาเพื่อพวกเรา คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะได้รับการปลดปล่อย” เปลเลกริโนอ้อนวอนอีกครั้ง จากนั้น นิโคลัสก็ได้เห็นทะเลแห่งวิญญาณมากมายหลากหลายวัย ทุกเพศ และทุกสภาพ ทอดยาวไปทั่วทั้งแผ่นดิน
 
นิโคลัสสวดภาวนาตลอดทั้งคืน ในตอนเช้า เมื่อท่านอธิการของอารามได้ยินเรื่องราวของเขา ท่านก็อนุญาตให้ นิโคลัสประกอบพิธีมิสซาเพื่อผู้ตายได้ทันที เจ็ดวันต่อมา เปลเลกริโนก็ปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้มีผู้คนมากมายที่ได้รับชัยชนะและได้รับการปลดปล่อยเช่นกัน
 
หลังจากเหตุการณ์นั้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 นิโคลัสใช้เวลาหลายปีในการสวดภาวนาและประกอบพิธีมิสซาอุทิศให้แก่วิญญาณในไฟชำระ เขาปลดปล่อยวิญญาณในไฟชำระจำนวนนับไม่ถ้วน ในระหว่างพิธีมิสซาครั้งหนึ่ง พระเยซูทรงประจักษ์มา ทรงขอบคุณเขา และแสดงให้เขาเห็นวิญญาณที่การประกอบพิธีมิสซาของเขาได้ปลดปล่อยวิญญาณเหล่านี้
 
ในปี 1884 พระสันตปาปาลีโอที่ 13 ทรงประกาศให้นักบุญนิโคลัสแห่งโตเลนติโนเป็นองค์อุปถัมภ์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ
 
ประสบการณ์ของนักบุญนิโคลัสไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เช่นเดียวกับนักบุญองค์อื่นๆ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เพราะพวกเขาก็ได้ยินหรือเห็นดวงวิญญาณในไฟชำระมาร้องขอความช่วยเหลือเช่นกัน
 

************************
 

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

คุณพ่อปีโอในพิธีขับไล่ปีศาจ

 

คุณพ่อปิเอโร (Piero Catalan) เป็นศิษย์ฝ่ายวิญญาณของคุณพ่อกาเบรียล เอม็อท(Gabriele Amorth) ท่านเล่าว่าระหว่างการขับไล่ปีศาจ ปีศาจจะเรียกคุณพ่อปีโอว่า “ชายมีเครา” หรือ “Francesco Forgione”
 
คุณพ่อปิเอโร ได้รับความสนใจจากสื่อเนื่องจากคุณพ่อเป็นผู้นำในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่โรงเรียน Telesio Grammar School ในเมือง Reggio Calabria ประเทศอิตาลี เพื่อหารือเกี่ยวกับ “เกมสยองขวัญ” ที่ได้รับความนิยมทางออนไลน์มาช้านาน นั่นก็คือเกม “Charlie Charlie Challenge”
 
การประชุมกับกลุ่มโฟโคลาเร( Focolarini)
 
คุณพ่อปิเอโร (Piero Catalan) ศิษย์ของคุณพ่อ Gabriele Amorth พระสงฆ์ขับไล่ปีศาจผู้มีชื่อเสียงแห่งสังฆมณฑลโรมซึ่งเสียชีวิตในปี 2016 คุณพ่อปิเอโรเป็นพระสงฆ์และผู้ขับไล่ปีศาจแห่งเมือง Reggio Calabria คุณพ่อได้อธิบายว่าเหตุใดท่านจึงใช้พระธาตุของนักบุญคุณพ่อปีโอในการขับไล่ปีศาจ และอัญเชิญนักบุญ คุณพ่อปีโอให้มาช่วยในการต่อสู้กับปีศาจจนได้ผลดี
 
หลังจากอุทิศชีวิตให้กับงานอาสาสมัครกับ Gen Movement (ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มโฟโคลาเร Focolari Movement ที่ก่อตั้งโดยเคียร่า ลูบิก Chiara Lubich) ในวันที่ 8 ธันวาคม 1988 ท่านได้อุทิศตนให้กับพระเจ้าในฐานะพระสงฆ์ ท่านดำรงตำแหน่ง pastor ของเมืองสองแห่งบนชายฝั่ง Jonica ของ Reggio Calabria ได้แก่ Roccaforte del Greco และ Saint Pantaleone และปัจจุบันดำรงตำแหน่ง pastor ของตำบล Saint John Nepomucene และ Saint Philip Neri ใน Arangea
 
ปีศาจกลัวแม้แต่จะเอ่ยชื่อของคุณพ่อปีโอ!
 
คุณพ่อปิเอโร ศึกษาเป็นเวลานานหลายปีเพื่อที่จะเป็นพระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจและเป็นบุตรฝ่ายวิญญาณของคุณพ่อเอมอร์ธ ท่านเริ่มฝึกสวดบทภาวนาเพื่อการปลดปล่อยเมื่ออายุ 18 ปี และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจเมื่อสามปีก่อน
 
ในสำนักงานของท่าน ท่านมีพระธาตุของนักบุญมากมาย “ผมใช้พระธาตุเหล่านี้ในการขับไล่ปีศาจ” ท่านอธิบายกับหนังสือพิมพ์ Corriere della Sera ของอิตาลี (19 ธันวาคมที่ผ่านมา) “ผมมักจะเรียกนักบุญองค์ไหนบ่อยที่สุดน่ะหรือ? ผมรักนักบุญคุณพ่อปีโอแห่งปิเอเตรลชินาเป็นพิเศษ ซึ่งคุณพ่อปีโอมักจะปรากฏตัวในระหว่างการขับไล่ปีศาจบ่อยๆ คนที่ถูกสิงจะกลัว เขาจะพูดว่า ‘คนที่มีเคราอยู่ที่นี่!’ และผมตอบว่า ‘เขามีชื่อนักบุญปิโอแห่งปิเอเตรลชินาหรือเปล่า?’ ปีศาจจะตอบว่า ‘เปล่า ชื่อของเขาคือฟรานเชสโก ฟอร์จิโอเน’ ปีศาจกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อคุณพ่อปีโอ”
 
จากอาการคลื่นไส้ไปจนถึงอาการหนาวสั่น
 
คุณพ่อปิเอโร บอกว่าท่านเริ่มรู้สึกถึงการปรากฏของปีศาจ, การถูกสิง, หรือความรำคาญใจ, ผ่านปฏิกิริยาปกติของปีศาจ “ตัวอย่างเช่น ทันทีที่ผมวางมือบนศีรษะของบุคคลนั้น เขาหรือเธอก็จะถอยหนี รู้สึกหนาวเย็น รู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ออก หรือรู้สึกคลื่นไส้ เป็นต้น” หากไม่ใช่กรณีของการปรากฏของปีศาจ พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจก็จะทำเพียงแต่สวดบทภาวนาขอการปลดปล่อย
 
“แกอยากมาอยู่ข้างข้าไหม”
 
คุณพ่อปิเอโร สังเกตว่า “ปีศาจพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อล่อลวงพวกเราที่เป็นผู้ขับไล่ปีศาจ ครั้งหนึ่งมันถามผมว่า ‘แกอยากได้เงินเท่าไรเพื่อมาอยู่กับข้า?’ ผมเริ่มหัวเราะ เพราะผมได้ปฏิญาณความยากจน ผมไม่มีเงินแม้แต่จ่ายค่าจัดงานศพของตัวเองถ้าผมตาย และผมแบ่งปันทุกอย่างกับคนยากจน และปีศาจก็พูดว่า ‘ถ้าข้าทำได้ ข้าจะฆ่าแกทันที’ จากนั้นผมก็ตอบว่า ‘แต่เจ้าทำไม่ได้เพราะฉันเป็นของพระเยซู!’”
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

มาเป็นนักบุญกันเถอะ

 


เราจะเป็นนักบุญได้อย่างไร? จงเป็นผู้มีใจยากจน จงมีใจอ่อนโยนและถ่อมตน จงเป็นผู้สร้างสันติ กล่าวโดยย่อ จงดำเนินชีวิตตาม ”พระธรรมเทศนาบนภูเขา” หรือ “มหาบุญลาภแปดประการ”
 
วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการดำเนินชีวิตตาม ”มหาบุญลาภแปดประการ” คือการสังเกตดูบุคคลที่ได้ปฏิบัติตามคุณธรรมนี้ บุคคลศักดิ์สิทธิ์ที่เราพบเห็นเขา,ชีวิตที่ดำเนินตามคำสอนแห่ง”มหาบุญลาภ”  เขาเหล่านั้นได้ดำเนินชีวิตเช่นนี้โดยแสดงออกด้วยเครื่องหมายแห่งความเชื่อ การได้อยู่ต่อหน้าคริสตชนคาทอลิกผู้มีความศรัทธาเหล่านี้ คุณจะรู้สึก/สัมผัสด้วยตนเองถึงความเคารพต่อพิธีกรรมและความรักที่มีต่อพระเยซู ทำให้เราเชื่อมั่นในพลังของศีลมหาสนิท เพราะพวกเขาถือเอาศีลมหาสนิทเป็นศูนย์กลางของชีวิตของพวกเขา เวลานี้พวกเขาบางคนที่เสียชีวิตไปและได้รับการประกาศเป็นนักบุญ  พวกเขาสวดภาวนาจากสวรรค์เพื่อเราอย่างต่อเนื่องและด้วยความร้อนรน
 
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางวาติกันประกาศให้บุคคลผู้ที่ได้รับพระพรให้เป็นนักบุญ หลายคนหรือเกือบทั้งหมดเป็นพระสงฆ์,นักบวช เป็นมรณสักขี เป็นสังฆานุกร ครู และผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งชายและหญิงจากทุกยุคทุกสมัย แต่พวกเขายังเป็นแม่ พ่อ ลูกๆ เป็นคนโสด แต่งงานแล้ว และเป็นหม้าย ทุกคนล้วนเลือกที่จะยึดมั่นในพระวาจาแห่งมหาบุญลาภ และในขณะเดียวกันก็อุทิศชีวิตให้กับพระคริสต์โดยรับใช้พระศาสนจักรของพระองค์
 
เราทุกคนรู้จักนักบุญเทเรซาแห่งลิซีเออร์ “ดอกไม้น้อย” พ่อแม่ของเธอคือหลุยส์และเซลี มาร์ติน ทั้งสองก็เป็นผู้ดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการประกาศเป็นนักบุญเช่นกัน หลุยส์ประกอบอาชีพเป็นช่างนาฬิกา ส่วนเซลีดูแลลูกๆและบ้านของพวกเขา พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข,ชีวิตที่ธรรมดาและปกติสุขด้วยความชอบธรรมซึ่งสอดแทรกด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของการดำเนินชีวิตตามพระวาจาแห่งมหาบุญลาภ
 
แพทย์หญิงชาวอิตาลีชื่อ Gianna Beretta Molla ได้รับแจ้งในปี 1962 ว่าการคลอดบุตรสาวของเธอจะเป็นเรื่องยาก และเสี่ยงที่จะต้องเสียชีวิต เธอได้คำแนะนำให้ทำแท้ง เนื่องจากมีความเสี่ยง เธอจึงต้องเลือกระหว่างชีวิตของเธอเองหรือชีวิตของทารก เธอบอกกับ Pietro สามีของเธอว่า “ถ้าคุณต้องเลือกระหว่างฉันกับลูก อย่าลังเลใจ ขอให้เลือกลูก ฉันยืนกรานที่จะเลือกเช่นนี้” เธอเสียชีวิตด้วยโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบในเช้าวันอาทิตย์อีสเตอร์ โดยพูดซ้ำๆ ว่า “พระเยซูเจ้า ลูกรักพระองค์” เธอเสียชีวิตเพียง 8 วันหลังจากที่ทารกหญิงได้คลอดออกมาอย่างแข็งแรง ปัจจุบัน Gianna Emanuela Molla ลูกสาวของเธอได้ประกอบอาชีพแพทย์ในอิตาลีเช่นเดียวกับแม่ของเธอ เนื่องจากแม่ของเธอซึ่งเป็นนักบุญ Gianna เลือกที่จะทำตาม มหาบุญลาภแห่งความมีใจเมตตากรุณา การไม่เห็นแก่ตัว เสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น
 
นักบุญคือคนบาปที่กลับใจซ้ำแล้วซ้ำอีกและแสวงหาการคืนดีกับพระเจ้า นักบุญออกัสตินเคยละทิ้งคำสอนคาทอลิกที่เขาเติบโตมาและปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลสตัณหาเป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะกลับใจ นักบุญโอลกา เจ้าหญิงแห่งเคียฟ(St. Olga, Princess of Kiev) เป็นนักการเมืองที่ไร้ความปรานีซึ่งยืนกรานที่จะสังหารศัตรูอย่างไม่ปรานีในสนามรบและขายผู้รอดชีวิตเป็นทาส หลานชายของเธอ, นักบุญวลาดิเมียร์(St. Vladimir) เป็นคนนอกศาสนา, เจ้าชู้, และเป็นฆาตกร หัวใจของพวกเขาที่เคยแบกรับความมืดมนของบาปและเงาแห่งความตาย ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นหัวใจของผู้ที่ได้รับพร กลายเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ เมื่อเขาได้มารู้จักพระคริสต์ และเปิดใจยอมรับพระหรรษทานของพระองค์
 
นักบุญส่วนใหญ่ในสวรรค์ไม่มีวันฉลองในปฏิทินของพระศาสนจักร เพราะพวกเขาไม่เคยได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญและจะไม่มีวันได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีใครรู้จักและถูกลืม พวกเขามาจากทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นคนงานและช่างฝีมือ มีการศึกษาและไม่มีการศึกษา เป็นผู้มีใจอ่อนโยน ถ่อมตัว ร่ำรวยและยากจน เป็นปู่ย่าตายายของเรา เพื่อนบ้านที่ใจดี ครู อาจารย์ สมาชิกในครอบครัว และเพื่อนๆที่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาอาจเป็นนักบุญในสวรรค์ก็ได้
 
ผู้ดำเนินชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์,เขาไม่จำเป็นต้องได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญ การเป็นนักบุญหมายถึงการดำเนินชีวิตตามคำสอนแห่งมหาบุญลาภและเสียชีวิตในสถานะพระหรรษทาน ในฐานะคนบาปที่กลับใจ เป็นเพื่อน และเป็นบุตรของพระเจ้า แม้ว่าจะต้องอ้อมไปอยู่ในไฟชำระระหว่างทาง แต่เมื่อวิญญาณเหล่านั้นได้รับความรุ่งโรจน์นิรันดร์ของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว พวกเขาก็กลายเป็นนักบุญ
 
ดังนั้น ให้เราดำเนินชีวิตตามคำสอนแห่งมหาบุญลาภและกลายเป็นนักบุญกันเถอะ เพราะเมื่อเป็นนักบุญแล้ว สิ่งอื่นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ความช่วยเหลือจากวิญญาณในไฟชำระ

 

สถาปนิกชาวไอริชแพท เมอร์นาฮาน(Pat Murnahan) กำลังประสบความสำเร็จในอาชีพอย่างมากและโชคดี ในช่วงใกล้วัย 90 เขากำลังบินกลับบ้านที่ไอร์แลนด์หลังจากเดินทางไปทำธุรกิจที่นิวยอร์กซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี เครื่องบินมีเสียงดังมากเนื่องจากผู้โดยสารพูดคุยและเก็บสัมภาระ แต่แพทก็สามารถนอนหลับได้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาและพบว่าทั้งห้องโดยสารเงียบสงัด แพทพบว่าความเงียบนั้นน่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาก็เห็นนักบุญผู้สงบเสงี่ยมผู้หนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความเงียบขึ้น นั่นคือ คุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา, ท่านเดินไปตามทางเดินพร้อมกับซิสเตอร์อีกคนที่เดินไปด้วย ทั้งสองคนสวมผ้าส่าหรีสีขาวที่มีแถบสีน้ำเงิน และการปรากฏตัวของพวกเขาทำให้ทั้งเครื่องบินเงียบสงบลงเพื่อแสดงความเคารพ
 
ดูเถอะ,คุณแม่เทเรซานั่งลงข้างๆแพท และเขารู้สึกได้ถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน พระผู้เป็นเจ้าทรงนำพวกเขาให้นั่งเคียงข้างกันบนเครื่องบินที่กำลังบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก จากนั้นเขาก็เห็นคุณแม่นำสายประคำที่แปลกประหลาดดังภาพด้านล่างออกมา ซึ่งมีสีที่แตกต่างกันไปในแต่ละทศของสายประคำ นี่เป็นสายประคำสำหรับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ เฉดสีเหล่านี้เป็นสิ่งเตือนใจเชิงเปรียบเทียบว่า เฉดสีเหล่านี้ได้เคลื่อนตัวจากความมืดมิดไปสู่แสงสว่างของพระเจ้า คุณแม่เทเรซาสวดสายประคำ 3 ทศแล้วจึงถามแพทว่าเขาเป็นคนไอริชใช่ไหม? แพทตอบว่าใช่ทันที และคุณแม่เทเรซาก็รู้สึกคุ้นเคยกับเขา คุณแม่เทเรซาเคยไปดับลินเมื่อตอนอายุ 18 ปีในปี 1928 ท่านเต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ ในช่วงเวลาที่เป็นโปส์ตูลันและเมื่อเป็นแม่ชีในดับลิน
 
คุณแม่เทเรซามีมิตรภาพกับไอร์แลนด์มาตลอดชีวิต ฉันยังจำได้ด้วยว่าตอนที่ฉันเติบโตขึ้นในไอร์แลนด์ แม้ว่าไอร์แลนด์จะไม่ใช่สถานที่ที่มีคุณธรรมและเป็นสถานที่สวดภาวนามากที่สุด แต่ก็มีชาวไอร์แลนด์ที่ไปกัลกัตตาเป็นประจำเพื่อช่วยเหลือคุณแม่เทเรซาและทำทุกวิถีทางเพื่อคุณแม่เทเรซาโดยไม่ขอเงินสักเพนนีหรือรูปีตอบแทน นอกจากนี้ยังมีบุคคลบางคนที่ดูเหมือนอิจฉาชื่อเสียงของคุณแม่เทเรซาและวิพากษ์วิจารณ์ท่านอย่างไม่เป็นธรรม
 
แต่คุณแม่เทเรซาไม่ยอมให้คนใจร้ายบางคนมายุยงท่านให้ต่อต้านชาวไอริช คุณแม่พูดกับแพทว่า "คุณเป็นคนไอริช คุณคงเป็นคาทอลิกและชอบสวดภาวนามาก" สิ่งนี้ทำให้แพทรู้สึกอาย เขาละทิ้งความเชื่อไประยะหนึ่ง แต่เขาไม่ได้บอกคุณแม่ว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด แพทหน้าแดง คุณแม่เทเรซาจึงเชิญเขาให้สวดสายประคำพร้อมกับท่าน,เพื่อความตั้งใจของเขา และคุณแม่ถามว่า "มีใครเป็นพิเศษไหมที่คุณอยากสวดสายประคำให้" แพทบอกว่าคุณยายของเขากำลังป่วยหนัก พวกเขาจึงสวดบทวันทามารีย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อเธอ คุณแม่อธิบายถึงประสิทธิภาพอันยิ่งใหญ่ของการสวดสายประคำเพื่อผู้ล่วงลับที่อยู่ในไฟชำระ "เมื่อคุณสวดสายประคำเพื่อวิญญาณในไฟชำระ พระเจ้าจะพอพระทัยกับการสวดสายประคำที่ไม่เห็นแก่ตัวของคุณสำหรับคนที่คุณไม่รู้จัก พระองค์จะประทานความปรารถนาอันสูงสุดของคุณให้คุณ" จากนั้นคุณแม่ก็มอบสายประคำเป็นของขวัญให้กับเขา
 
แพทอาจจะประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น วันรุ่งขึ้นคุณยายของเขาก็หายเป็นปกติและลุกจากเตียงได้ อัศจรรย์อีกอย่างเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนสนิทของเขาถูกพบว่าเป็นมะเร็งร้ายและมีเวลาเหลือเพียงเล็กน้อย แพทมอบสายประคำที่คุณแม่เทเรซามอบให้เขาให้เธอและเชิญเธอสวดภาวนาให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ เธอไม่ใช่คาทอลิก แต่พวกเขาต่างสวดภาวนาเพื่อขอให้เนื้องอกของเธอหายไป เมื่อเธอขอให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ช่วยวิงวอนให้ เนื้องอกก็หายไปอย่างอธิบายไม่ได้ จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็กลับใจมาเป็นคาทอลิก
 
มีอัศจรรย์ในการเยียวยารักษาที่เกิดขึ้นผ่านการขอร้องของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ การเยียวยารักษาโรคทางร่างกายและจิตใจทุกประเภทสามารถทำได้หากเราสวดภาวนาอุทิศให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นและถ้าหากพวกเขาสวดภาวนาวิงวอนพระเจ้าให้ เป็นเรื่องที่ควรพูดซ้ำว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระนั้นไม่สามารถสวดภาวนาให้ตนเองได้ การกุศลที่พวกเขาทำในชีวิตนี้ในขณะที่พวกเขายังเป็นเนื้อหนังและเลือดเนื้อ,เป็นประหนึ่งหนังสือเดินทางของพวกเขาไปสู่ไฟชำระ ถ้าไม่มีความรัก เราก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้ และพวกเขามีใจที่เมตตาต่อเราผู้ซึ่งยังมีชีวิตอยู่บนโลก แต่เราก็ไม่ตระหนักในเรื่องนี้ เพราะว่าเราต่างจากพวกเขาตรงที่เราไม่เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังม่านบังตา แต่พวกเขามองเห็น
 
-------------
 
โพสต์นี้ได้รับข้อมูลจาก In the Friendship of God ของ Val Conlon Divine Mercy Publications, Dublin, 2009, หน้า 131 - 141 แพท(Pat Murnahan) เป็นเพื่อนของ Val และเล่าเรื่องราวของเขาให้เธอฟัง สายประคำสามารถซื้อได้ที่นี่ https://divinemercy.org/bookshop/holy-souls-rosary-beads-detail.html
 
Gustave Doré เป็นผู้วาดภาพ Purgatorio ของ Dante และภาพวาดดังกล่าวอยู่ในโดเมนสาธารณะ
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2024 พระเยซูจะเสด็จมาในวาระสุดท้าย

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 13:24-32 
(24) “ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง (25) ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน (26) เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ (27) เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า 
(28) “จงเรียนคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศเถิด เมื่อมันแตกกิ่งอ่อนและผลิใบ ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว (29) ท่านก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงใกล้เข้ามา อยู่ที่ประตูแล้ว (30) เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงพ้นไปก่อนที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น (31) ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย (32) “ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว
******************
 
 
 
เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1999 พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ได้ตรัสกับคริสตชนที่มาชุมนุมฟังพระองค์ที่ลานมหาวิหารนักบุญเปโตรว่า
 
“สวรรค์หรือความสุขที่เราจะได้พบนั้น ไม่ใช่ทั้งเรื่องลอยๆ และก็ไม่ใช่ทั้งสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในก้อนเมฆ แต่เป็นความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งเราสามารถคาดการณ์และรู้สึกได้แล้วตั้งแต่เวลานี้และบนโลกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ภาพของนรกที่เราได้จากพระคัมภีร์ก็จำเป็นต้องได้รับการตีความอย่างถูกต้อง มันหมายถึงการมีชีวิตที่ว่างเปล่าปราศจากพระเจ้า และสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง นรกคือสถานะที่คนคนหนึ่งเต็มใจถอยห่างจากพระเจ้า ผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของชีวิตและความชื่นชมยินดี”
 
พี่น้องสงสัยไหมว่าทำไมพระสันตะปาปาจึงต้องอธิบายเรื่องสวรรค์และนรกให้ชัดเจนอย่างนี้ด้วย?
 
เชื่อกันว่าพระสันตะปาปาจำเป็นต้องอธิบายเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในการตีความพระคัมภีร์เกี่ยวกับการสิ้นพิภพของคน 2 กลุ่มใหญ่ๆ นั่นคือพวกเหตุผลนิยมกับพวกที่ตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษร
 
เมื่อพวกเหตุผลนิยมอ่านพระวรสารของวันนี้ พวกเขามองว่าเป็นความผิดพลาดของคริสตชนยุคเริ่มแรกที่เชื่อว่าวันสิ้นพิภพอยู่ใกล้แค่เอื้อมซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าไม่จริง รวมทั้งความเชื่อว่าสวรรค์เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในก้อนเมฆที่ซึ่งพระเยซูเจ้าจะเสด็จลงมาก็ไม่จริง หรือความเชื่อว่าดวงดาวจะตกจากท้องฟ้าซึ่งเราก็รู้แล้วว่าดาวดวงเดียวก็ใหญ่กว่าโลกของเราแล้ว หรือความเชื่อว่าโลกของเราแบน มีสี่มุม ก็ได้รับการพิสูจน์โดยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แล้วว่าไม่ใช่ สรุปว่า พระวรสารตอนนี้ล้าสมัย ไม่มีคุณค่าประการใดสำหรับเรา และสวรรค์ก็ไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกจากเป็นเรื่องที่คนสมัยโบราณนึกฝันขึ้นมาเอง
 
ส่วนพวกที่นิยมตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษรนั้น พวกเขามองพระวรสารวันนี้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อวันสิ้นพิภพมาถึง หากพระคัมภีร์บอกว่าสวรรค์อยู่สักแห่งหนึ่งในก้อนเมฆ ก็แปลว่าสวรรค์ต้องอยู่สักแห่งหนึ่งในก้อนเมฆ ซึ่งอาจอยู่สูงเกินกว่ามนุษย์อวกาศหรือกล้องดูดาวจะมองเห็นได้ บางคนถึงกับวางแผนจะไปพบพระเยซูเจ้าในก้อนเมฆ อย่างเช่นลัทธิ Heaven’s Gate ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นยุค 1970 ที่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียที่สอนให้สมาชิกเตรียมกระเป๋าเดินทางเพื่อจะขึ้นดาวหางไปสวรรค์ หรือเหมือนกับสตรีเกาหลีคนหนึ่งที่ยอมทำแท้งเพราะกลัวว่าน้ำหนักจะเกินจนบินขึ้นสวรรค์ไม่ได้
 
เพื่อจะแก้ไขความคิดผิดๆ ของทั้งสองกลุ่มนี้ พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 จึงทรงชี้แนวทางที่สามให้แก่เรา นั่นคือให้เราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสิ้นพิภพ ให้เป็นข่าวดีที่สอดคล้องกับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย
 
และด้วยคำแนะนำของพระสันตะปาปานี้ เราจึงสามารถดึงเอาสาระสำคัญที่พระเยซูเจ้าต้องการจะบอกเราในพระวรสารวันนี้ ออกมาได้ 2 ประการด้วยกัน
 
ประการแรก โลกนี้กำลังจะผ่านพ้นไป ชีวิตในโลกนี้เป็นอนิจจัง เพราะฉะนั้นเราจะไปทุ่มเทและยึดติดอยู่กับมันทำไม สู้หันมาทำตามที่พระเยซูเจ้าทรงสอน คือให้เราทุ่มเทและยึดติดอยู่กับสิ่งที่อยู่เหนือโลกนี้ คือยึดติดอยู่กับพระอาณาจักรของพระเจ้าไม่ดีกว่าหรือ
 
สาระสำคัญประการที่สองก็คือ พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความยุติธรรม พระองค์จะเสด็จกลับมาสักวันหนึ่ง นั่นคือวันสิ้นพิภพ เพื่อทำให้สิ่งที่ไม่ยุติธรรม สิ่งที่ผิดพลาดทั้งหลายในโลกนี้กลับมาถูกต้อง เพราะอย่างที่เรารู้ๆ กันอยู่ว่า โลกนี้ยังเป็นสถานที่ที่ผู้บริสุทธิ์ต้องทนทุกข์ ในขณะที่คนชั่วกลับร่ำรวย คนดีอาจจะนอนหลับฝันดีเวลากลางคืน แต่คนชั่วกลับดูเหมือนจะร่าเริงยินดีทั้งวัน ถ้าชีวิตเป็นอย่างนี้ ทำไมเราจะต้องเป็นคนดีด้วยล่ะ พระวรสารเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของโลกที่เราได้ฟังวันนี้ จึงเป็นข่าวดีที่ยืนยันว่า ท้ายที่สุดแล้ว คนชั่วก็ต้องรับกรรมชั่ว คนดีก็จะได้รับกรรมดี นั่นคือได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เราแล้ว
 
แล้วทำอย่างไรล่ะ เราจึงจะมั่นใจได้ ว่าเราจะได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เราแล้ว ?
 
บทอ่านที่สองวันนี้ซึ่งเป็นจดหมายถึงชาวฮีบรูบอกว่า “โดยอาศัยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระเยซูเจ้าทรงทำให้ทุกคนที่กำลังรับความศักดิ์สิทธิ์ บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ตลอดไป”
 
ก็แปลว่าการถวายบูชาของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนคือสิ่งสำคัญที่สุด และเป็นหลักประกันความศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ของเราที่จะทำให้เราได้เข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า
 
เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องทำให้การถวายบูชาของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนเป็นการถวายบูชาของเราโดยการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิกฤติโควิดผ่านพ้นไปแล้ว
 
และในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เราก็ต้องหมั่นถวายบูชาในพระวิหารทรงชีวิต ซึ่งก็คือในร่างกายของเรานั่นเอง ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวว่า “ท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้าทรงพำนักอยู่ในท่าน” (1คร 3:16; 2คร 6:16) และเราจะถวายบูชาในพระวิหารทรงชีวิตของเราได้ก็โดยการร่วมแบกกางเขนกับพระเยซูเจ้าด้วยการลดละความพึงพอใจและอำเภอใจของเราลง เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าและของเพื่อนมนุษย์
 
ด้วยการถวายบูชาของเราร่วมกับบูชาของพระเยซูเจ้านี่แหละคือการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาเมื่อใดก็ตาม
 
วันนี้ เมื่อเราสวดบทข้าแต่พระบิดา ขอให้เราตั้งใจและวอนขอจริงๆ ให้ “พระอาณาจักรจงมาถึง และพระประสงค์จงสำเร็จไปในตัวเราแต่ละคน”
 
***************************


วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระคัมภีร์กำเนิดขึ้นได้อย่างไร

 


คุณรู้ไหมว่าในคริสตศาสนานั้น มีสถาบันพระศาสนจักรมาเกือบ 400 ปีแล้ว แต่ช่วงเวลานั้นยังไม่มีพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
 
คริสตชนจำนวนมากในปัจจุบันไม่รู้ว่าหนังสือพระคัมภีร์มีที่มาจากอะไร บางคนอาจคิดว่าอยู่ๆหนังสือพระคัมภีร์ก็ตกลงมาจากท้องฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพระวรสารสี่เล่มนั้น,บางคนคิดว่ามีกำเนิดมาจากการบันทึกคำพูดและกิจการของพระเยซูเจ้าโดยอัครสาวก พวกเขาไม่รู้ความจริงว่าหนังสือพระคัมภีร์เกิดขึ้นได้อย่างไร 
 
ในภาษากรีกคำว่า “biblion” เมื่อเริ่มแรกหมายถึงเอกสารหรือหนังสือที่เขียนขึ้น แต่คำที่เป็นพหูพจน์คือ biblia (ซึ่งแปลว่า “หนังสือ”) คำนี้หมายถึงคอลเล็กชันของงานเขียน/หนังสือ ดังนั้น หนังสือพระคัมภีร์จึงเป็นคอลเล็กชันของงานเขียนพระคัมภีร์ ซึ่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกคัดเลือกและรวบรวมมาอย่างรอบคอบเป็นเวลาหลายศตวรรษภายใต้การนำทางของพระจิตเจ้า
 
เมื่อพระเยซูทรงเลือกอัครสาวกสิบสองคน ภารกิจหลักของพวกเขาคือการประกาศข่าวดีไม่ใช่การเขียนพระคัมภีร์ ในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขียนพระวรสาร คือ มัทธิวและยอห์น อัครสาวกคนอื่นๆ ออกเดินทางไปแพร่ธรรมทั่วโลกเพื่อประกาศข่าวดีโดยไม่ได้พกพระคัมภีร์ติดตัวไปด้วย
 
ปัญหาที่ชุมชนคริสตชนยุคแรกเผชิญซึ่งนำไปสู่สังคายนาเยรูซาเล็มตามที่บันทึกไว้ในกิจการ 15 ไม่ได้รับการแก้ไขด้วยการค้นหาคำตอบจากพระคัมภีร์ แต่การแก้ปัญหาเกิดขึ้นจากการผสมผสานอำนาจของอัครสาวกในพระศาสนจักร การนำทางของพระจิตเจ้า และความสามารถในการแยกแยะของผู้นำพระศาสนจักร ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวนี้แสดงให้เห็นว่าพระเยซูไม่ได้มาเพื่อสถาปนาหนังสือ แต่มาเพื่อสถาปนาพระอาณาจักรของพระเจ้าและสถาปนาพระศาสนจักรโดยการนำทางของพระจิต "บนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา..." (มัทธิว 16:18)
 
นอกจากนี้ พระเยซูไม่ได้สั่งให้อัครสาวกของพระองค์เขียนทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส แต่ทรงสั่งให้พวกเขาออกไปสอนทุกสิ่งที่พระองค์สั่ง (มัทธิว 28:19-20) พระเยซูทรงสอนหลายเรื่องซึ่งบางเรื่องก็ไม่ได้เขียนเล่าไว้ ดังที่พระวรสารของยอห์นบอกเราว่า “ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่าโลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น” (ยอห์น 21:25) 
 
ดังนั้น แนวคิดที่ว่าการยึดถือ “พระคัมภีร์เพียงอย่างเดียว” เป็นหลักความเชื่อนั้น แท้จริงแล้วไม่พบว่ามีอยู่ในพระคัมภีร์เลย พระศาสนจักรยุคแรกดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรืองโดยอาศัยคำสอนของอัครสาวก ซึ่งถ่ายทอดกันมาด้วยวาจาและธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์ตามที่เห็นใน 2 เธสะโลนิกา 2:15 ดังนั้น พระคัมภีร์ในปัจจุบันจึงถูกรวบรวมโดยพระศาสนจักรคาทอลิกในภายหลัง ซึ่งยังกำหนดด้วยว่าหนังสือเล่มใดจะประกอบเป็นพระคัมภีร์
 
ประวัติความเป็นมา?
 
ในช่วงปีแรกๆ ของพระศาสนจักร,หลังจากยุคของอัครสาวก คริสตชนยุคแรกก็เริ่มรวบรวมงานเขียนของอัครสาวก รวมทั้งพระวรสารต่างๆ ทั้งของนักบุญยากอบ, และยูดาสด้วย(ที่ไม่ใช่ยูดาส อิสคารีโอต) , จดหมายของเปาโล, และจดหมายอื่นๆ งานเขียนเหล่านี้ถูกส่งต่อกันในชุมชนคริสต์และอ่านกันในที่ประชุมทางศาสนา เพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ถูกต้อง พระศาสนจักรยุคแรกใช้เกณฑ์หลายประการเพื่อตัดสินว่าหนังสือเล่มใดถือว่ามีอำนาจ หนังสือนั้นต้องเกี่ยวข้องกับอัครสาวกหรือสหายสนิทของอัครสาวก คำสอนภายในหนังสือต้องสอดคล้องกับความเชื่อและหลักคำสอนของพระศาสนจักร ข้อความนั้นถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในพิธีกรรมและได้รับการยอมรับจากคริสตชนเป็นส่วนใหญ่
 
เพื่อจุดประสงค์นี้ สังคายนาท้องถิ่นและไซนอดต่างๆ เช่น สังคายนาแห่งฮิปโป (ค.ศ. 393) และสังคายนาคาร์เธจ (ค.ศ. 397 และค.ศ. 419) มีบทบาทสำคัญในการจัดรายชื่อหนังสือมาตรฐานของทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ สภาเหล่านี้ยืนยันหนังสือ 27 เล่มของพันธสัญญาใหม่และหนังสือ 46 เล่มของพันธสัญญาเดิม (นั่นคือ รวมหนังสือ พระคัมภีร์สารบบที่สอง deuterocanonical books ด้วย) ทำให้มีหนังสือทั้งหมด 73 เล่ม นักเทววิทยาและผู้นำพระศาสนจักรที่มีอิทธิพล เช่น นักบุญอธานาซีอุส นักบุญเจอโรม และนักบุญออกัสติน ยังได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายและช่วยกำหนดมาตรฐาน ในขณะที่บางคน เช่น นักบุญเจอโรม ตั้งคำถามเกี่ยวกับหนังสือ deuterocanonical books ในตอนแรก ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับหนังสือเหล่านี้ภายใต้อำนาจของพระศาสนจักร
 
( หมายเหตุ - หนังสือ พระคัมภีร์สารบบที่สอง deuterocanonical books ประกอบด้วยหนังสือเล่มเต็มทั้งหมด ทั้งหมด 7เล่ม กับอีก 2 ส่วนซึ่งเป็นบางบทของพระคัมภีร์ที่มีอยู่แล้วในพันธสัญญาเดิม ได้แก่หนังสือ โทบิต และ ยูดิธ,บารุค และ มัคคาบี 1, ปรีชาญาณ และ มัคคาบี 2,บุตรสิรา,บางส่วนของเอสเธอร์,บางส่วนของ ดาเนียล )
 
ดังนั้น พระสันตปาปาดามัสที่ 1 ในปี ค.ศ. 382 ณ สังคายนากรุงโรม จึงมีบทบาทสำคั ญในกระบวนการรับรองพระคัมภีร์ ซึ่งรวมเป็นหนังสือ 73 เล่มที่พระศาสนจักรคาทอลิกรับรองในปัจจุบัน โทบิต และ ยูดิธ,บารุค และ มัคคาบี 1, ปรีชาญาณ และ มัคคาบี 2,บุตรสิรา,เอสเธอร์,บางส่วนของ ดาเนียล
 
จากนั้น พระศาสนจักรคาทอลิกก็ได้ยืนยันพระคัมภีร์อย่างเป็นทางการอีกครั้งในระหว่างสังคายนากรุงโรมในปี ค.ศ. 1546 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการตอบสนองต่อการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ ที่ปฏิเสธหนังสือ deuterocanonical books
 
ดังนั้น หากพระคัมภีร์ของคุณมี 66 เล่ม แสดงว่าไม่ใช่พระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ เนื่องจากมาร์ติน ลูเทอร์จงใจลดจำนวนเล่มลงระหว่างการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์เพื่อให้เหมาะกับการปฏิรูปศาสนาของเขา
 
โดย Fr. Chinaka Justin Mbaeri (Fr. CJay)
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เธอเห็นพระเยซูในสวรรค์

 


เมื่อตอนที่เป็นเด็ก เธอบอกว่าได้เห็นพระเยซู, อาคีน ครามาริก(AKIANE KRAMARIK), เวลานี้เธออายุ 27 ปีแล้ว  เธอเป็นจิตรกรและนักกวี
 
 ตั้งแต่ 3 ขวบ เธอเห็นสิ่งเกี่ยวกับสวรรค์ผ่านทางความฝัน เธอบอกกับพ่อแม่ของเธอว่า เธอได้เห็นสวรรค์และสถานที่แห่งความสุข และพระเจ้าขอให้เธอส่งสาส์นของพระองค์มายังมนุษยชาติ แต่แม่ของเธอคิดว่า มันเป็นเพียงความฝันของเด็กไม่มีความหมาย อาคีนเริ่มพูดถึงพระเจ้า แต่พ่อแม่ของเธอเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นการที่ได้ยินอาคีนพูดเกี่ยวกับพระเจ้าจึงเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับพวกเขา เมื่อแม่ถามอาคีนว่า เธอรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระเจ้า อาคีนตอบว่า เพราะเธอได้ยินเสียงของพระองค์ เสียงของพระองค์สงบและมหัศจรรย์มาก คำพูดแรกของพระเจ้าที่เธอได้ยินคือ "เวลานี้ลูกต้องทำสิ่งนี้ เราจะช่วยลูกเอง ลูกสามารถช่วยเหลือผู้คนได้" ด้วยแรงบันดาลใจจากนิมิตเหล่านี้ อาคีนเริ่มวาดรูปเมื่ออายุ 4 ขวบ ระบายสีเมื่ออายุ 6 ขวบ และแต่งบทกวีเมื่ออายุ 7 ขวบ รูปที่เธอวาดระบายสีจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอเห็นในความฝัน
 
อาคีนมั่นใจว่านิมิตของเธอทำให้เธอสามารถพบกับนิมิตอื่นๆจากสวรรค์ เธออ้างว่าเธอได้พบกับ"เยซูชาวนาซาเร็ธ" และเธอได้ตั้งชื่อรูปภาพที่เธอวาด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดว่า "เจ้าชายแห่งสันติ" เป็นรูปที่เธอวาดเมื่ออายุ 8 ขวบ และรูปนี้ก็ดูคล้ายกับพระเยซูในภาพยนตร์ "THE PASSION OF CHRIST "
 
เป็นเรื่องบังเอิญอีกเช่นกัน ที่เด็กชาย COLTON BURPO เมื่อเขาอายุ 4 ขวบ เขาเกือบเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัดด้วยโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เขาอ้างว่า เวลานั้นเขาได้ไปสวรรค์ และได้พบกับสมาชิกสองคนในครอบครัวของเขาในสวรรค์ด้วย เมื่อเขาเห็นรูปภาพที่อาคีนวาด เขาบอกว่านั่นคือใบหน้าของพระเยซู เป็นใบหน้าเดียวกันกับที่เขาเห็นเมื่อเขาไปอยู่ในสวรรค์
 
ปัจจุบันนี้ อาคีนเป็นจิตรกรวาดภาพ เธอขายภาพวาดใบหน้าของเธอเองภาพแรกเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์ และเธอมีคำอธิบายสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ "พระเจ้าทรงประทานพรสวรรค์นี้แก่ฉันเพื่อแบ่งปันความรักของพระองค์ เพราะเมื่อยังเป็นเด็ก พระเจ้าตรัสกับฉันผ่านทางรูปภาพ สิ่งที่ฉันทำก็เพียงแต่ส่งผ่านนิมิตนั้นลงในภาพวาดและบทกวีของฉัน"
 
************************