คุณรู้ไหมว่าในคริสตศาสนานั้น มีสถาบันพระศาสนจักรมาเกือบ 400 ปีแล้ว แต่ช่วงเวลานั้นยังไม่มีพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
คริสตชนจำนวนมากในปัจจุบันไม่รู้ว่าหนังสือพระคัมภีร์มีที่มาจากอะไร บางคนอาจคิดว่าอยู่ๆหนังสือพระคัมภีร์ก็ตกลงมาจากท้องฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพระวรสารสี่เล่มนั้น,บางคนคิดว่ามีกำเนิดมาจากการบันทึกคำพูดและกิจการของพระเยซูเจ้าโดยอัครสาวก พวกเขาไม่รู้ความจริงว่าหนังสือพระคัมภีร์เกิดขึ้นได้อย่างไร
ในภาษากรีกคำว่า “biblion” เมื่อเริ่มแรกหมายถึงเอกสารหรือหนังสือที่เขียนขึ้น แต่คำที่เป็นพหูพจน์คือ biblia (ซึ่งแปลว่า “หนังสือ”) คำนี้หมายถึงคอลเล็กชันของงานเขียน/หนังสือ ดังนั้น หนังสือพระคัมภีร์จึงเป็นคอลเล็กชันของงานเขียนพระคัมภีร์ ซึ่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกคัดเลือกและรวบรวมมาอย่างรอบคอบเป็นเวลาหลายศตวรรษภายใต้การนำทางของพระจิตเจ้า
เมื่อพระเยซูทรงเลือกอัครสาวกสิบสองคน ภารกิจหลักของพวกเขาคือการประกาศข่าวดีไม่ใช่การเขียนพระคัมภีร์ ในบรรดาอัครสาวกสิบสองคน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขียนพระวรสาร คือ มัทธิวและยอห์น อัครสาวกคนอื่นๆ ออกเดินทางไปแพร่ธรรมทั่วโลกเพื่อประกาศข่าวดีโดยไม่ได้พกพระคัมภีร์ติดตัวไปด้วย
ปัญหาที่ชุมชนคริสตชนยุคแรกเผชิญซึ่งนำไปสู่สังคายนาเยรูซาเล็มตามที่บันทึกไว้ในกิจการ 15 ไม่ได้รับการแก้ไขด้วยการค้นหาคำตอบจากพระคัมภีร์ แต่การแก้ปัญหาเกิดขึ้นจากการผสมผสานอำนาจของอัครสาวกในพระศาสนจักร การนำทางของพระจิตเจ้า และความสามารถในการแยกแยะของผู้นำพระศาสนจักร ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวนี้แสดงให้เห็นว่าพระเยซูไม่ได้มาเพื่อสถาปนาหนังสือ แต่มาเพื่อสถาปนาพระอาณาจักรของพระเจ้าและสถาปนาพระศาสนจักรโดยการนำทางของพระจิต "บนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา..." (มัทธิว 16:18)
นอกจากนี้ พระเยซูไม่ได้สั่งให้อัครสาวกของพระองค์เขียนทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส แต่ทรงสั่งให้พวกเขาออกไปสอนทุกสิ่งที่พระองค์สั่ง (มัทธิว 28:19-20) พระเยซูทรงสอนหลายเรื่องซึ่งบางเรื่องก็ไม่ได้เขียนเล่าไว้ ดังที่พระวรสารของยอห์นบอกเราว่า “ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ซึ่งถ้าจะเขียนลงไว้ทีละเรื่องทั้งหมด ข้าพเจ้าคิดว่าโลกทั้งโลกคงไม่พอบรรจุหนังสือที่จะต้องเขียนนั้น” (ยอห์น 21:25)
ดังนั้น แนวคิดที่ว่าการยึดถือ “พระคัมภีร์เพียงอย่างเดียว” เป็นหลักความเชื่อนั้น แท้จริงแล้วไม่พบว่ามีอยู่ในพระคัมภีร์เลย พระศาสนจักรยุคแรกดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรืองโดยอาศัยคำสอนของอัครสาวก ซึ่งถ่ายทอดกันมาด้วยวาจาและธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์ตามที่เห็นใน 2 เธสะโลนิกา 2:15 ดังนั้น พระคัมภีร์ในปัจจุบันจึงถูกรวบรวมโดยพระศาสนจักรคาทอลิกในภายหลัง ซึ่งยังกำหนดด้วยว่าหนังสือเล่มใดจะประกอบเป็นพระคัมภีร์
ประวัติความเป็นมา?
ในช่วงปีแรกๆ ของพระศาสนจักร,หลังจากยุคของอัครสาวก คริสตชนยุคแรกก็เริ่มรวบรวมงานเขียนของอัครสาวก รวมทั้งพระวรสารต่างๆ ทั้งของนักบุญยากอบ, และยูดาสด้วย(ที่ไม่ใช่ยูดาส อิสคารีโอต) , จดหมายของเปาโล, และจดหมายอื่นๆ งานเขียนเหล่านี้ถูกส่งต่อกันในชุมชนคริสต์และอ่านกันในที่ประชุมทางศาสนา เพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ถูกต้อง พระศาสนจักรยุคแรกใช้เกณฑ์หลายประการเพื่อตัดสินว่าหนังสือเล่มใดถือว่ามีอำนาจ หนังสือนั้นต้องเกี่ยวข้องกับอัครสาวกหรือสหายสนิทของอัครสาวก คำสอนภายในหนังสือต้องสอดคล้องกับความเชื่อและหลักคำสอนของพระศาสนจักร ข้อความนั้นถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในพิธีกรรมและได้รับการยอมรับจากคริสตชนเป็นส่วนใหญ่
เพื่อจุดประสงค์นี้ สังคายนาท้องถิ่นและไซนอดต่างๆ เช่น สังคายนาแห่งฮิปโป (ค.ศ. 393) และสังคายนาคาร์เธจ (ค.ศ. 397 และค.ศ. 419) มีบทบาทสำคัญในการจัดรายชื่อหนังสือมาตรฐานของทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ สภาเหล่านี้ยืนยันหนังสือ 27 เล่มของพันธสัญญาใหม่และหนังสือ 46 เล่มของพันธสัญญาเดิม (นั่นคือ รวมหนังสือ พระคัมภีร์สารบบที่สอง deuterocanonical books ด้วย) ทำให้มีหนังสือทั้งหมด 73 เล่ม นักเทววิทยาและผู้นำพระศาสนจักรที่มีอิทธิพล เช่น นักบุญอธานาซีอุส นักบุญเจอโรม และนักบุญออกัสติน ยังได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายและช่วยกำหนดมาตรฐาน ในขณะที่บางคน เช่น นักบุญเจอโรม ตั้งคำถามเกี่ยวกับหนังสือ deuterocanonical books ในตอนแรก ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับหนังสือเหล่านี้ภายใต้อำนาจของพระศาสนจักร
( หมายเหตุ - หนังสือ พระคัมภีร์สารบบที่สอง deuterocanonical books ประกอบด้วยหนังสือเล่มเต็มทั้งหมด ทั้งหมด 7เล่ม กับอีก 2 ส่วนซึ่งเป็นบางบทของพระคัมภีร์ที่มีอยู่แล้วในพันธสัญญาเดิม ได้แก่หนังสือ โทบิต และ ยูดิธ,บารุค และ มัคคาบี 1, ปรีชาญาณ และ มัคคาบี 2,บุตรสิรา,บางส่วนของเอสเธอร์,บางส่วนของ ดาเนียล )
ดังนั้น พระสันตปาปาดามัสที่ 1 ในปี ค.ศ. 382 ณ สังคายนากรุงโรม จึงมีบทบาทสำคั ญในกระบวนการรับรองพระคัมภีร์ ซึ่งรวมเป็นหนังสือ 73 เล่มที่พระศาสนจักรคาทอลิกรับรองในปัจจุบัน
โทบิต และ ยูดิธ,บารุค และ มัคคาบี 1, ปรีชาญาณ และ มัคคาบี 2,บุตรสิรา,เอสเธอร์,บางส่วนของ ดาเนียล
จากนั้น พระศาสนจักรคาทอลิกก็ได้ยืนยันพระคัมภีร์อย่างเป็นทางการอีกครั้งในระหว่างสังคายนากรุงโรมในปี ค.ศ. 1546 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการตอบสนองต่อการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ ที่ปฏิเสธหนังสือ deuterocanonical books
ดังนั้น หากพระคัมภีร์ของคุณมี 66 เล่ม แสดงว่าไม่ใช่พระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ เนื่องจากมาร์ติน ลูเทอร์จงใจลดจำนวนเล่มลงระหว่างการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์เพื่อให้เหมาะกับการปฏิรูปศาสนาของเขา
โดย Fr. Chinaka Justin Mbaeri (Fr. CJay)
************************