วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2568

ทำไมพระเยซูเรียกแม่พระว่า “หญิงเอ๋ย”

 


 
เรื่องราวจากพระคัมภีร์วันนี้ เล่าถึงงานแต่งงานที่หมู่บ้านกานาในแคว้นกาลีลี และพระเยซูและแม่พระก็ได้รับเชิญไปในงานเลี้ยงด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด แม่พระทูลพระเยซูว่า เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว
 
และพระเยซูตรัสกับพระมารดาว่า “หญิงเอ๋ย ท่านต้องการอะไรจากลูก เวลาของลูกยังมาไม่ถึง”(ยอห์น 2:4)
 
ทำไมพระองค์จึงเรียกพระมารดาเช่นนั้น?
 
γυνη เป็นภาษากรีกแปลว่า “ผู้หญิง”  เป็นคำเฉพาะเจาะจง เมื่อพระเยซูทรงเรียกพระมารดามารีย์โดยตรงในภาษากรีก เป็นคำเดียวกับที่พระเยซูทรงใช้เมื่อทรงปลอบโยนมารีย์มักดาลาอย่างอ่อนโยนที่หลุมฝังศพที่ว่างเปล่า (ยอห์น 20:15) แต่คำนี้กลับไม่ปกติที่ลูกชายจะใช้เรียกแม่ของเขา และไม่ใช่สำนวนในภาษาฮีบรูหรือภาษากรีก
 
มีเหตุผลที่เป็นไปได้ พระองค์อาจต้องการสะท้อนไปถึงข้อความในพระธรรมเดิมซึ่งใช้คำว่า “หญิง”
 
อย่างเช่นในพระคัมภีร์ปฐมกาล เมื่อพระเจ้าทรงสร้างหญิงจากซี่โครงของอาดัมและแนะนำเธอแก่อาดัม อาดัมพูดว่า “นี่จะต้องเรียกว่าหญิง เพราะหญิงมาจากชาย”(ปฐ. 2:23) ในงานแต่งงานที่หมู่บ้านกานานี้,พระเยซูทรงให้นิยามแก่แม่พระว่า เป็น”เอวา” สำหรับอาดัมใหม่ ซึ่งยิ่งเท่ากับเป็นการให้ความสำคัญและความหมายแก่งานเลี้ยงการแต่งงานนี้
 
พระเยซูยังเรียกแม่พระว่า “หญิง” อีกครั้งในเวลาที่พระองค์ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน เมื่อพระเยซูทรงเห็นพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือลูกของท่าน”
 
แม่พระไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพระเยซูเท่านั้น ยังมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับมนุษย์ทุกคนด้วย เพราะในพระคัมภีร์ปฐมกาลเรียกเอวาว่า “มารดาของผู้มีชีวิตทั้งหลาย” (ปฐ3:20) และในพระธรรมใหม่,ด้วยพระวาจาของพระเยซูบนไม้กางเขน,พระนางมารีย์ทรงเป็นมารดาของทุกคนที่ได้รับชีวิตใหม่ในศีลล้างบาป
 
ที่งานแต่งงานในหมู่บ้านกานา พระนางมารีย์ทรงเป็นเอวาใหม่ที่ทำให้ระลึกถึงเอวาคนเก่า
 
เป็น”หญิง”ที่ชักนำอาดัมเก่าให้ทำบาปแรกในสวนเอเดน(สวนเปรียบได้กับงานเลี้ยงฉลอง) และเป็น “หญิง” เช่นกันที่ชักนำให้อาดัมใหม่ทรงทำอัศจรรย์ครั้งแรกในที่สาธารณะ
 
ต่อมาในพันธสัญญาใหม่ ภาพของเอวาปรากฏอีกครั้งในหนังสือวิวรณ์ ในบทที่ 12 เราพบ “สตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์” ซึ่งเผชิญหน้ากับ “งูโบราณที่เรียกว่ามาร” ภาพเหล่านี้ย้อนกลับไปถึงปฐมกาล ซึ่งเอวาเผชิญหน้ากับงูปีศาจในสวนเอเดน และพระเจ้าทรงสาปแช่งงู โดยสัญญาว่าจะ “ทำให้เป็นศัตรูกัน” ระหว่าง “ผู้หญิงและพงศ์พันธุ์ของนาง” กับมังกรและพงศฺ์พันธ์ของมัน (ปฐมกาล 3:15) อย่างไรก็ตาม ภาพในวิวรณ์ยังทำให้ระลึกถึงเอวาคนใหม่ด้วย ซึ่งให้กำเนิด “บุตรชาย” (ปฐ. 12: 5) ผู้ที่จะ “ปกครองประชาชาติทั้งหลายด้วยคฑาเหล็ก” บุตรชายคนนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากพระเยซูเท่านั้น ดังนั้น “สตรี” ในวิวรณ์ก็เป็นใครไม่ได้นอกจากพระมารดาของพระเยซูเท่านั้น
 
ดังนั้นในวิวรณ์,เอวาใหม่มีชัยชนะต่อปีศาจและความชั่วร้ายทั้งหมด ไม่เหมือนกับเอวาเก่าในสวนเอเดน
 
ทั้งเอวาเก่าและเอวาใหม่ต่างก็ถือกำเนิดขึ้นโดยปราศจากบาป(ปฏิสนธินิรมล) แต่มีเพียงพระนางมารีย์เท่านั้นที่ยังคงปราศจากบาปตลอดไปเพราะพระนางทรงนบนอบเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวาจาของพระเจ้าเสมอ
 
บรรดาผู้นำพระศาสนจักรในยุคแรกกล่าวถึงพระแม่มารีย์ว่าเป็นเอวาใหม่ โดยพระศาสนจักรเชื่อเสมอมาว่าพระนางมารีย์ทรงปฏิสนธินิรมล จนในที่สุดข้อความเชื่อนี้ก็ได้รับการรับรองและประกาศอย่างเป็นทางการจากพระศาสนจักร
 
กวีในยุคกลางได้สรุปเรื่องนี้ไว้อย่างไพเราะโดยชี้ให้เห็นว่าคำว่า “อาเว” (คำทักทายในภาษาละติน) ของทูตสวรรค์กาเบรียลนั้นได้ย้อนกลับไปยังชื่อของเอวา และขณะเดียวกัน,ทูตสวรรค์กาเบรียลก็ได้ย้อนกลับไปถึงบาปกำเนิดที่เอวาทิ้งให้ลูกหลานของเธอ — และบาปนั้นถูกแทนที่ด้วยความนบนอบเชื่อฟังของแม่พระ
 
ในพระคัมภีร์วันนี้พระแม่มารีย์ทรงต้องการสอนเราด้วยเมื่อพระนางตรัสว่า “พระองค์บอกท่านให้ทำอะไร ก็จงทำเถิด”
 
************************
 

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568

นักบุญโยเซฟองค์อุปถัมภ์ของผู้ใกล้เสียชีวิต

 


คริสตชนไม่เพียงแต่ต้องการผู้พิทักษ์ที่ทรงพลัง ซึ่งจะปกป้องและเสริมกำลังเขาจากอันตรายของการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ดุเดือดเท่านั้น เขายังต้องการเพื่อนสักคนหนึ่งที่จะปลอบโยนเขาและบรรเทาความเจ็บปวดแสนสาหัสในชั่วโมงสุดท้ายนั้น ใครมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำภารกิจที่จำเป็นเช่นนั้น ในชั่วโมงอันขมขื่นนั้น? มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น โอ ท่านนักบุญยอแซฟ! ผู้ที่ได้รับความสุขที่ได้เห็นพระเยซูและพระนางมารีย์คอยดูแลปลอบโยนท่านในเวลาที่ท่านใกล้เสียชีวิต
 
กล่าวกันว่าในวันก่อนการเสียชีวิตของนักบุญยอแซฟ ทูตสววรค์คณะขับร้องประสานเสียงได้ลงมาจากสวรรค์เพื่อปลอบโยนและให้กำลังใจท่านด้วยเพลงอันแสนหวาน ถ้อยคำจากอิสยาห์ (บทที่ 3:10)กล่าวว่า "ผู้ชอบธรรมย่อมเป็นสุข เพราะทุกสิ่งจะดี เขาจะได้รับผลดีจากการกระทำของตน." ถ้อยคำปลอบใจเหล่านี้ใช้กับใครได้ดีกว่านักบุญยอแซฟเล่า?  เหล่าทูตสวรรค์จึงกล่าวกับท่านดังนี้: "โอ ท่านยอแซฟผู้ได้รับพระพร จงเร่งรีบไปสู่โลกที่ดีกว่าเถิด ความตายของท่านนั้นเป็นความตายของผู้ชอบธรรมจริงๆ เพราะท่านเพียงผู้เดียวที่อาจพูดว่า ข้าพเจ้าได้หายใจเอาวิญญาณเข้าไปสู่อ้อมกอดของพระองค์ผู้ทรงความยุติธรรมและความศักดิ์สิทธิ์,ของพระองค์ผู้ทรงเป็นบ่อเกิดและผู้ประทานชีวิต จงไปเถิด ท่านผู้เป็นอัยกาผู้สูงศักดิ์,ไปและแจ้งข่าวประเสริฐแห่งการไถ่บาปที่ใกล้จะมาถึง ดูเถิด บัดนี้,พวกเรากำลังจะทำมงกุฎดอกลิลลี่สำหรับคู่สมรสพรหมจรรย์, มงกุฎดอกกุหลาบสำหรับสมาชิกคนแรกที่ถูกข่มเหงของพระศาสนจักรของพระคริสต์ และมงกุฎดวงดาวที่สุกใสสำหรับพระบิดาผู้รับพระผู้ไถ่เป็นบุตรบุญธรรม ท่านผู้เหนือกว่าเรามาก ด้วยคุณธรรมและสิทธิพิเศษทั้งปวงเราไปเตรียมบัลลังก์ใกล้กับที่ที่พระมารดาพรหมจารีย์ของท่านจะครอบครอง ท่านยอแซฟผู้มีความสุขสามครั้ง ยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดในสวรรค์,มากกว่าผู้เฒ่าโจเซฟในสมัยก่อนในราชสำนักของฟาโรห์ ท่านจะอยู่ที่นั่น เป็นเจ้าหน้าที่คนแรกในราชสำนักขององค์ผู้สูงสุด ผู้แจกจ่ายทรัพย์สมบัติของพระองค์ ผู้พิทักษ์พระศาสนจักร และผู้วิงวอนแทนและเป็นผู้อุปถัมภ์ของคริสตชนทุกคน”
 
บัดนี้พระเยซูทรงแสดงให้เห็นถึงความรักและความเห็นอกเห็นใจในสภาวะทนทุกข์ของท่านนักบุญ ทรงเอ่ยถึงความอ่อนโยนแห่งความรักของท่านนักบุญในยามถูกทดลองแห่งความตาย. พระองค์จึงทรงตอบแทนท่านด้วยการปลอบโยนมากมาย 
 
พระแม่มารีย์เองก็กล่าวขอบคุณคู่สมรสของพระนางสำหรับมิตรภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน, ความเอาใจใส่ที่ไม่ย่อท้อและความอ่อนโยนต่อพระนาง 
 
เมื่อท่านยอแซฟสิ้นใจ ทั้งสองพระองค์หลับตาลงด้วยความปวดร้าว และทรงหลั่งน้ำตาให้กับท่าน แน่นอนว่าความรักที่พระองค์ทรงมีต่อท่านยอแซฟนั้นอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา,มากกว่าความรักที่พระองค์ทรงรู้สึกต่อลาซารัสเพื่อนของพระองค์! น้ำตาของพระองค์ ณ ที่ฝังศพของลาซารัสทำให้ผู้คนประหลาดใจ และพูดว่า "ดูเถิด พระองค์ทรงรักเขามากเพียงใด" มันไม่สมเหตุสมผลเลยหรือที่จะคิดว่าความโศกเศร้าในเวลานั้นยิ่งใหญ่นัก เพราะท่านยอแซฟซึ่งไม่เป็นแต่เพียงเพื่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้พิทักษ์และบิดาบุญธรรมของพระองค์ด้วย เพื่อว่าคนที่มาเยี่ยมศพของนักบุญยอแซฟจะได้พูดถึงพระเยซูด้วยว่า: "ดูเถิด พระองค์ทรงรักเขามากสักเพียงใด" (ยอห์น 11)
 
จากทั้งหมดนี้ อาจสรุปได้ว่าคริสตชนทุกคนควรเลือกนักบุญยอเซฟเป็นองค์อุปถัมภ์ในช่วงเวลาแห่งความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  การปรากฏกายของท่านจะขับไล่ปีศาจออกจากเตียงแห่งความตาย ท่านนักบุญจะมาเพื่อช่วยเหลือคริสตชนเหล่านั้นที่แสดงตัวว่าเป็นผู้รับใช้ที่ศรัทธาของท่านตลอดชีวิต? ดังนั้น เราทุกคนควรเร่งรีบในขณะที่ยังมีเวลา เพื่อรับความคุ้มครองจากนักบุญยอแซฟในฐานะองค์อุปถัมภ์ของเรา พระศาสนจักรแนะนำให้เราทำเช่นนั้นในเพลงสรรเสริญซึ่งเฉลิมฉลองการตายอย่างมีความสุขของท่านนักบุญ ขอให้เราทำตามความปรารถนาของพระศาสนจักรด้วยความยินดี ในการรอคอยชั่วโมงอันน่าสะพรึงกลัวนั้น อย่าพลาดที่จะเรียกหาผู้พิทักษ์ของเรา,ท่านนักบุญยอแซฟผู้ศักดิ์สิทธิ์
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2568

ความทุกข์และความถ่อมตน

 

รูปภาพ - ที่ฝังศพของนักบุญโฟสตินา โควัสกา (1905 – 1938)ในเมือง Lagiewniki, Poland
 
วันที่ 5 ตุลาคม ชาวคาทอลิกทั่วโลกเฉลิมฉลองนักบุญโฟสตินา โควัสกา แม่ชีชาวโปแลนด์ผู้ได้รับพระรูปพระเมตตาของพระเยซูเจ้าระหว่างที่ทรงประจักษ์มาหาเธอ
 
พระเยซูทรงประจักษ์แก่นักบุญโฟสตินา 14 ครั้ง และในแต่ละครั้งที่เธอเห็นและสนทนากับพระองค์ เธอได้บันทึกไว้ในไดอารี่ของเธอ ซึ่งมีชื่อว่า “พระเมตตาของพระเยซูเจ้าในวิญญาณของฉัน” ในไดอารี่ของเธอ เธอได้เขียนเกี่ยวกับพระดำรัสที่เธอได้รับจากพระเยซู และสาส์นพระเมตตาของพระเยซูเจ้าสำหรับโลก ความทุกข์ของเธอเอง และชีวิตฝ่ายวิญญาณของเธอ
 
ต่อไปนี้คือคำพูด 10 ข้อเกี่ยวกับความทุกข์และความถ่อมตนจากไดอารี่ของนักบุญโฟสตินา
 
“ความทุกข์เป็นพระหรรษทานอันยิ่งใหญ่ โดยอาศัยความทุกข์,วิญญาณจะกลายเป็นเหมือนพระผู้ไถ่ ในความทุกข์,ความรักก็จะตกผลึก ยิ่งทุกข์มากความรักก็จะบริสุทธิ์มากขึ้น”
 
“พระเยซูทรงรักวิญญาณที่ซ่อนเร้น ดอกไม้ที่ซ่อนเร้นมีกลิ่นที่หอมที่สุด ฉันต้องพยายามทำให้ภายในวิญญาณของฉันเป็นที่พักผ่อนสำหรับดวงพระทัยของพระเยซูเจ้า”
 
“สักวันหนึ่ง เราจะรู้ถึงคุณค่าของความทุกข์ แต่ในตอนนั้น เราจะไม่สามารถทนทุกข์ได้อีกต่อไป”
 
“ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ฉันจะเพ่งมองไปยังดวงพระทัยอันเงียบสงบของพระเยซูเจ้า ซึ่งดำรงอยู่บนไม้กางเขน และจากเปลวเพลิงที่พุ่งออกมาจากดวงพระทัยอันเมตตาของพระองค์,พลังและความแข็งแกร่งจะหลั่งไหลลงมาสู่ฉันเพื่อทำให้ฉันต่อสู้ต่อไป”
 
“พระจิตจะไม่ตรัสกับวิญญาณที่ฟุ้งซ่านและพูดมาก พระองค์ตรัสโดยให้แรงบันดาลใจอันเงียบสงบแก่วิญญาณที่สำรวมใจ, แก่วิญญาณที่รู้วิธีที่จะเก็บความเงียบ”
 
“วิญญาณที่ถ่อมตนจะไม่ไว้วางใจตัวเอง แต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่พระเจ้า พระเจ้าทรงปกป้องวิญญาณที่ถ่อมตนและเปิดเผยพระองค์แก่เขา วิญญาณจะดำรงอยู่ในความสุขอันหาที่เปรียบมิได้ซึ่งไม่มีใครเข้าใจได้”
 
“จงมีความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเราเสมอ แม้เมื่อพระองค์ส่งการทดลองมาให้เรา”
 
“ผู้ที่รู้จักการให้อภัยก็จะได้รับพระหรรษทานมากมายจากพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ฉันมองไปที่ไม้กางเขน ฉันจะให้อภัยด้วยสิ้นสุดหัวใจเสมอ”
 
“ความทุกข์เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก ความทุกข์ช่วยชำระล้างจิตวิญญาณ เมื่อทุกข์ทรมาน เราจะเรียนรู้ว่าใครคือเพื่อนแท้ของเรา”
 
“พระเจ้าผู้ทรงเป็นแสงสว่าง, ทรงดำรงอยู่ในหัวใจที่บริสุทธิ์และถ่อมตน ความทุกข์และความยากลำบากทั้งหมดทำหน้าที่เพียงเพื่อเผยให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของวิญญาณ”
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2568

ความรู้เป็นสิ่งจำเป็น แต่ยังไม่เพียงพอ

 


ความรู้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอสำหรับชีวิตคริสตชน ไม่เป็นการเพียงพอที่จะมีความรู้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้นักบุญเปาโลจึงกล่าวใน 1 โครินทร์ 13:2 ว่า “แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อและมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด” ลองพิจารณาให้ดี นักบุญเปาโลบอกว่า ถึงแม้ท่านจะมีความรู้ทุกอย่างแต่ไม่มีความรัก ท่านก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด หรือเราอาจพูดได้อีกแบบหนึ่งว่า “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่สำคัญอะไรเลย” เพราะพระเจ้าคือความรัก ดังที่นักบุญยอห์นกล่าวไว้ใน 1 ยอห์น 4:8 “ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก”
 
ความฉลาดของคุณจะไร้ค่า ถ้าคุณไม่ได้ใช้ความฉลาดในการช่วยเหลือบรรดาเพื่อนพี่น้องของคุณให้เข้มแข็งขึ้นไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกายหรือฝ่ายจิตใจ และจะแย่ยิ่งกว่านั้นถ้าหากคุณทำลายเขาด้วยความรู้ของคุณ ดังนั้น เมื่อคุณติดต่อกับผู้คน คุณรักพวกเขาหรือไม่? คุณคิดว่า "จะใช้ความรู้ของคุณเสริมสร้างความเชื่อให้แก่เขาด้วยหรือไม่?”
 
ความรู้ของเราควรถูกนำไปใช้ในการรับใช้ความรัก
 
ความรู้ที่แท้จริงคือ ความรู้ถึงพระเจ้า คือการรู้จักพระเจ้า
 
ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกมาตามพระประสงค์ของพระองค์นั้น “พระองค์กำหนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ของพระบุตรของพระองค์ด้วย” (โรม 8:29) นี่คือสิ่งที่เราถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วใช่หรือไม่ เราถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าให้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซู เป็นเรื่องดีหากเราจะใช้เวลาในการพิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูและพยายามทำความเข้าใจกับคำสอนต่างๆของพระองค์ การแสวงหาความรู้เช่นนี้จะกลายเป็นความรู้ที่แท้จริง และเราจะเป็นเหมือนพระคริสตเจ้าจริงๆ ความรู้ของเราจะไม่ทำให้เราหยิ่งผยอง,หรือทำให้เราคุยโวโอ้อวดเกี่ยวกับความรู้นั้น
 
ขอให้ทุกคนที่คุณติดต่อด้วยจะรู้สึกถึงความรักที่คุณมีต่อพวกเขาและได้รับการเสริมสร้างให้มีความเชื่อในพระเยซูที่เข็มแข็งขึ้น ขอให้เราเห็นผลลัพท์ที่ดีในพวกเขา
 
ขออย่าให้พวกเราหลอกตัวเองและคิดว่าเรามีความรู้มากแล้ว บางทีเราอาจจะไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นผมจึงวอนขอพระเจ้าให้ผมมีความรักผู้อื่นด้วย โปรดให้ผมมีความเชื่อมั่นคงในพระองค์ และมองเห็นผู้อื่นในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อผู้ที่ยังไม่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์,มีความรู้ในพระเยซูคริสต์แล้ว พวกเขาจะได้มองเห็นสักนิดหนึ่งถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เอเฟซัส 3:17 “พระคริสตเจ้าจะได้ทรงพำนักในจิตใจของท่านอาศัยความเชื่อ เมื่อท่านหยั่งรากและตั้งมั่นอยู่บนความรักแล้ว ท่านและบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะได้เข้าใจ.....ทั้งหยั่งรู้ซึ้งถึงความรักซึ่งเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า”
 
#Catholic 4 Life
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2568

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2025 งานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ยอห์น 2:1-11 
(1)สามวันต่อมามีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในงานนั้น (2)พระเยซูเจ้าทรงได้รับเชิญพร้อมกับบรรดาศิษย์มาในงานนั้นด้วย (3)เมื่อเหล้าองุ่นหมด พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว” (4)พระเยซูเจ้าตรัสว่า “หญิงเอ๋ย ท่านต้องการสิ่งใด เวลาของเรายังมาไม่ถึง” (5)พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงกล่าวแก่บรรดาคนรับใช้ว่า “เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด” (6)ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ชำระตามธรรมเนียมของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณหนึ่งร้อยลิตร (7)พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาคนรับใช้ว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” เขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงขอบ (8)แล้วพระองค์ทรงสั่งเขาอีกว่า “จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด” เขาก็ตักไปให้ (9)ผู้จัดงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่เปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ไม่รู้ว่าเหล้านี้มาจากไหน แต่คนรับใช้ที่ตักน้ำรู้ดี ผู้จัดงานเลี้ยงจึงเรียกเจ้าบ่าวมา (10)พูดว่า “ใคร ๆ เขานำเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงนำเหล้าองุ่นอย่างรองมาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้” (11)พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ ครั้งแรกนี้ที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์
******************
 
 
 
ในพระวรสารของนักบุญยอห์น มีการเอ่ยถึงแม่พระ 2 ครั้ง ครั้งแรกในงานสมรสที่เมืองคานาตอนพระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นภารกิจ และครั้งที่สองที่เชิงกางเขนตอนพระองค์เสร็จสิ้นภารกิจ จึงเท่ากับว่าแม่พระมิได้มีบทบาทเพียงแค่ให้กำเนิดพระเยซูเจ้าแล้วก็จบเท่านั้น แต่ทรงมีบทบาทอย่างแข็งขัน ชนิดร่วมหัวจมท้ายกับพระองค์ตั้งแต่พระองค์ประสูติ ขณะพระองค์ทำภารกิจ จนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
 
พระวรสารวันนี้เป็นเรื่องของงานสมรสที่เมืองคานา แม่พระได้รับเชิญพร้อมกับพระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ของพระองค์อีก 5 คน ระหว่างงาน เหล้าองุ่นหมด แม่พระจึงขอให้พระเยซูเจ้าช่วย พระองค์จึงทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นชั้นดี ซึ่งยอห์นบอกว่าเป็นอัศจรรย์ครั้งแรกของพระองค์
 
ถ้านี่เป็นอัศจรรย์ครั้งแรก แล้วแม่พระรู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูเจ้าสามารถทำอัศจรรย์ได้?
 
แน่นอนว่าแม่ที่ดีย่อมรู้จักลูกของตน รู้จักความ สามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ในลูกของตน แม่พระก็เช่นเดียวกัน
 
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ตลอด 30 ปีที่แม่พระอาศัยอยู่กับลูกซึ่งสามารถทำอัศจรรย์ได้ ทำไมแม่พระไม่เคยขอให้พระเยซูเจ้าทวีขนมปัง หรือเปลี่ยนน้ำบนโต๊ะอาหารให้เป็นเหล้าองุ่น หรือทวีเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยเลย ?
 
ตรงกันข้าม เป็นไปได้อย่างไรที่แม่พระซึ่งไม่เคยขอให้พระองค์ใช้ฤทธิ์อำนาจเพื่อช่วยเหลือแม่พระเอง แต่กลับรีบขอพระองค์ให้ใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น อย่างที่เราได้ฟังในพระวรสารวันนี้ ?
 
ลองคิดดูสิ ถ้าเรามีลูกที่มีฤทธิ์อำนาจเสกเงินให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนใช้ได้ แล้วเราไม่คิดจะขอให้ลูกเสกเงินให้เราใช้ที่บ้านบ้างดอกหรือ ?
 
แน่นอน เราคงขอให้ลูกทำเช่นนั้น !
 
จริงอยู่ ความรักมันต้องเริ่มต้นจากภายในครอบครัว ลูกต้องรักพ่อรักแม่ ลูกต้องช่วยพ่อช่วยแม่ของตนเองก่อนสิ
 
แต่สำหรับพระเยซูเจ้าและแม่พระ ความต้องการของผู้อื่นต้องมาก่อนเสมอ !
 
อย่างในกรณีของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงทราบดีว่ามีฤทธิ์อำนาจที่จะทำอัศจรรย์ได้ แต่แม้จะทรงหิวโหยหลังจากจำศีลอดหารเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ก็ไม่ยอมเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังตามการล่อลวงของปีศาจ แต่กับฝูงชนและผู้ที่ติดตามพระองค์ พระองค์ไม่ทรงรีรอเลยที่จะทวีขนมปังและปลาเพื่อเลี้ยงพวกเขา
 
สิ่งที่พระเยซูเจ้าและแม่พระต้องการจะสอนเราก็คือ พระพรที่พระเจ้าทรงโปรดประทานแก่เราแต่ละคนนั้น มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองหรือครอบครัวของเรา แต่มีไว้เพื่อรับใช้ผู้อื่น ดังที่นักบุญเปาโล หลังจากยกตัวอย่างพระพรต่างๆ ที่พระจิตเจ้าทรงโปรดประทานแก่แต่ละคนแล้ว นักบุญเปาโลก็ย้ำในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า “พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” (1 คร 12:7) ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน
 
หากเราใช้พระพรอย่างเห็นแก่ตัว เราก็มีแต่จะแตกแยกกันมากขึ้น
 
วันนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะถามตัวเราเองว่า “พระเจ้าทรงโปรดประทานพระพรอะไรแก่ฉัน? ฉันกำลังใช้พระพรนี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเป็นส่วนใหญ่ หรือเพื่อผู้อื่นในสังคม?”
 
พี่น้องอาจแปลกใจว่าทำไมทุกวันนี้เราจึงไม่เห็นพระพรของพระจิตเจ้าเหมือนอย่างที่เราได้ฟังในพระคัมภีร์ เหตุผลอาจเป็นได้ว่ายิ่งวันเรายิ่งเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น หากเราเริ่มต้นใช้พระพรเล็กๆ น้อยๆ ของเราเพื่อส่วนรวมให้มากยิ่งขึ้น เมื่อนั้นพระพรเหล่านี้ก็จะค่อยๆ งอกงามเจริญเติบโตจนกระทั่งเราจะเริ่มมองเห็นอัศจรรย์ได้
 
อย่าลืมว่า การคิดถึงผู้อื่นก่อนคือจุดเริ่มต้นของอัศจรรย์ !
 
นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีคือหนึ่งในบรรดานักบุญที่ทำอัศจรรย์มากมาย ทั้งนี้เป็นเพราะท่านอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อความดีของผู้อื่น วันนี้ จึงขอนำคำภาวนาของท่าน มาให้พวกเรารำพึงภาวนาไปพร้อมๆ กัน...
 
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์เพื่อสร้างสันติ 
ที่ใดมีความเกลียดชัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก 
ที่ใดมีความเจ็บแค้น ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการให้อภัย 
ที่ใดมีการแตกแยกกัน ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี 
ที่ใดมีความเท็จ ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความจริง 
ที่ใดมีความสงสัย ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความเชื่อ 
ที่ใดมีความสิ้นหวัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความหวัง 
ที่ใดเป็นที่มืด ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสว่าง 
ที่ใดมีความโศกเศร้า ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความยินดีเบิกบานใจ 
โอ้ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าไม่พยายามให้ผู้อื่นปลอบโยน แต่พยายามปลอบโยนผู้อื่น 
ไม่พยายามให้ผู้อื่นเข้าใจ แต่พยายามเข้าใจผู้อื่น 
ไม่พยายามให้ผู้อื่นรัก แต่พยายามรักผู้อื่น 
เหตุว่า โดยการให้ เราจึงได้รับ 
โดยการให้อภัย เราจึงได้รับการอภัย 
และโดยการตาย เราจึงเกิดอีกครั้งสู่ชีวิตนิรันดร
 
***************************


วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2568

อย่าเยาะเย้ยพระเจ้า

 



🙏✝️🛐รายการ Golden Globe(ลูกโลกทองคำ)ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2025 ได้ดึงความสนใจไปที่ช่วงเวลาที่นักแสดงตลก นิกกี้ กลาเซอร์ แสดงความคิดเห็นว่าดารานักแสดงที่ชนะของค่ำคืนนี้ไม่มีใครขอบคุณพระเจ้าสำหรับความสำเร็จของพวกเขา และพูดติดตลกว่า "ไม่น่าแปลกใจเลยในเมืองที่ไร้พระเจ้าแห่งนี้" คำกล่าวนี้เน้นย้ำถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่จะละเลยศรัทธาในพระเจ้าและไม่ยอมรับการจัดเตรียมและความดีของพระองค์—พระผู้สร้างและผู้ค้ำจุนจักรวาล นอกจากนี้พิธีกรตลกหญิงยังได้แสดงการเยาะเย้ยพระสันตปาปาและพระสงฆ์ด้วย
 
หลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 7 มกราคม ไฟป่าได้ปะทุขึ้นในลอสแองเจลิสที่อยู่แคลิฟอร์เนียตอนใต้ ทำลายล้างพื้นที่ไป ไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่กว่า 38,000 เอเคอร์ คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 16 ราย และทำลายอาคารมากกว่า 1,000 หลัง ในขณะที่บางคนชี้ให้เห็นถึงจังหวะเวลาอันน่าตกตะลึงของเหตุการณ์เหล่านี้ เราต้องระมัดระวังในการตีความเหตุการณ์ดังกล่าว พระศาสนจักรเตือนเราว่าพระเจ้าไม่ได้ลงโทษโดยตรงด้วยภัยธรรมชาติ แต่ช่วงเวลาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นการเรียกร้องให้ไตร่ตรองและฟื้นฟูจิตวิญญาณ
 
ในฐานะที่เป็นคาทอลิก เหตุการณ์ดังกล่าวท้าทายเราให้เผชิญกับความเป็นจริงของโลกที่ละทิ้งพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ การขาดความกตัญญูและความเคารพต่อพระผู้สร้าง ผู้ทรงค้ำจุนชีวิตและการสร้างสรรค์ทั้งหมด เป็นเครื่องเตือนใจอย่างล้ำลึกถึงความจำเป็นในการจุดประกายศรัทธาและความไว้วางใจในพระองค์อีกครั้ง
 
พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ 
พระเยซูทรงฤทธานุภาพ 
พระเยซูควรได้รับคำสรรเสริญและ 
นมัสการ ไม่ใช่คำด่าหรือเยาะเย้ย
 
2เธสะโลนิกา1:8-10
 
(8)ในวันที่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จจากสวรรค์พร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้ทรงอำนาจของพระองค์ ในเปลวไฟ เพื่อลงโทษผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เชื่อฟังข่าวดี ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา (9)โทษที่พวกเขาจะได้รับคือความพินาศตลอดนิรันดร ไกลจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และไกลจากพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระพลานุภาพของพระองค์ (10)ในวันที่พระองค์จะเสด็จมาเพื่อรับพระสิริรุ่งโรจน์ในหมู่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และเสด็จมาเพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อ ได้ชมพระพักตร์ด้วยความพิศวง เพราะท่านทั้งหลายเชื่อคำยืนยันเป็นพยานของเรา
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2568

แม่พระเหรียญอัศจรรย์ -ราติสบอน

 


เขาเกลียดพระศาสนจักรคาทอลิก จนกระทั่งเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับเขาทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงตลอดไป
 
อัลฟองโซ ราติสบอน (Alphonso Ratisbonne)เกิดในปี 1814 ,ในครอบครัวชาวยิวที่ร่ำรวยในประเทศฝรั่งเศส ลุงของเขาเป็นเจ้าของธนาคารขนาดใหญ่ เขาเติบโตเหมือนชาวยิวทั่วไป แต่เมื่อพี่ชายของเขาได้กลับใจมารับความเชื่อในพระศาสนจักรคาทอลิก และต่อมายังได้บวชเป็นพระสงฆ์อีกด้วย เรื่องนี้ทำให้ราติสบอนซ่อนความเคียดแค้นไว้ในจิตใจ เขาเขียนไว้ว่า “เมื่อพี่ชายของผมเปลี่ยนมานับถือคาทอลิก และเป็นพระสงฆ์ ผมโกรธเคืองเขามาก มากยิ่งกว่าคนอื่นๆในครอบครัวของผม เราทั้งสองตัดสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์ ผมเกลียดชังเขาอย่างรุนแรง ถึงแม้เขาจะให้อภัยผมก็ตาม” ยิ่งไปกว่านั้น,ความเกลียดพี่ชายของเขายังขยายออกไปยังคาทอลิกทั้งหมดด้วย เขาเกลียดชังผู้ที่เป็นคาทอลิกทุกคน เขาอธิบายว่า “มันทำให้ผมเชื่อว่า พวกคาทอลิกเป็นพวกที่จิตใจคลั่งไคล้ไม่ปกติ และนั่นทำให้ผมมีความขยะแขยงชิงชังคาทอลิกเป็นอย่างมาก” สิ่งนี้ส่งผลต่อความเชื่อส่วนตัวของเขา และเขาไม่เชื่อในพระเจ้าอีกเลย ราติสบอนสนใจแต่เรื่องทางโลกเท่านั้น และไม่สนใจแม้แต่ความเชื่อของชาวยิว ในความเกลียดชังต่อความเป็นคาทอลิกอย่างลึกซึ้ง ผลักดันให้เขาไม่สนใจในศาสนาเลยไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามีช่องว่างในหัวใจของเขามากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงแสวงหาการเยียวยาจิตใจด้วยการแต่งงาน ราติสบอนได้หมั้นกับหลานสาวของเขาเอง แต่เนื่องจากเธอยังมีอายุน้อยอยู่ การแต่งงานจึงถูกเลื่อนออกไป ระหว่างที่รอคอยนั้น, ราติสบอนตัดสินใจออกท่องเที่ยวโดยไม่มีจุดหมายที่แน่นอน
 
เขาเริ่มต้นท่องเที่ยวไปที่เนเปิล,อิตาลี ซึ่งเขาอาศัยอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากนั้น,ราติสบอนต้องการไปที่มอลต้า แต่เขาขึ้นเรือผิดลำและไปที่กรุงโรมแทน เขาอยู่ที่กรุงโรมและพยายามใช้เวลาให้ดีที่สุด เขาคิดที่จะไปหาเพื่อนเก่าที่อาศัยอยู่ที่กรุงโรม วันหนึ่งเมื่อราติสบอนกำลังจะไปเยี่ยมเพื่อน เขาได้พบกับชายคนหนึ่งที่ได้กลับใจเป็นคาทอลิก ชายคนนั้นชื่อ ทีโอดอร์ เดอ บัสซีแอร์ (Theodore de Bussieres) ซึ่งรู้จักกับพี่ชายที่เป็นพระสงฆ์ของราติสบอน เมื่อราติสบอนรู้เรื่องนี้เขาก็มีความเกลียดชังชายผู้นี้ทันที แต่ที่ราติสบอนยังติดต่อพูดคุยกับเขาก็เพราะความรอบรู้ของเขา ต่อมาภายหลัง,ราติสบอนได้ไปเยี่ยมทีโอดอร์ เดอ บัสซีแอร์ อีกครั้ง เขาทั้งสองถกเถียงกันอย่างร้อนแรงเกี่ยวกับความเป็นคาทอลิก และทีโอดอร์เดิมพันกับราติสบอนโดยพูดว่า “คุณกล้าเดิมพันด้วยตัวคุณเองในเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งไหม ด้วยการทดลองง่ายๆ? เพียงแต่สวมใส่สิ่งเล็กๆสิ่งหนึ่งที่ผมจะให้คุณ มันคือเหรียญของพระนางพรหมจารีย์มารีย์ มันดูเป็นเรื่องไร้สาระใช่ไหม? แต่ผมรับรองกับคุณได้ว่า เหรียญนี้มีคุณค่าอันยิ่งใหญ่และมีประสิทธิภาพมาก และคุณยังต้องสวดภาวนาบทหนึ่งทุกคืนและทุกเช้าด้วย เป็นบทภาวนาสั้นๆที่มีประสิทธิภาพ ที่นักบุญเบอร์นาร์ดประพันธ์ขึ้นต่อพระนางมารีย์”
 
ในตอนแรกราติสบอนไม่ยอมรับคำท้าที่ให้สวมเหรียญนี้ซึ่งคือเหรียญอัศจรรย์ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะสวมใส่เหรียญที่คอของเขา และยังสวดภาวนาทุกวันด้วย เพราะคิดว่ามันคงไม่เป็นเรื่องรบกวนอะไรมากนัก และยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความไร้สาระของความเชื่อคาทอลิก ราติสบอนปฏิบัติตามคำท้าและพบว่าการสวดภาวนานั้นเป็นเรื่องง่ายๆไม่ได้ยากเย็นอะไร
 
วันหนึ่งขณะที่ราติสบอนไปเที่ยวในเมืองกับทีโอดอร์ พวกเขาหยุดที่โบสถ์ Saint Andrea della Fratte เมื่อราติสบอนเข้าไปในโบสถ์ ปรากฏมีแสงสว่างอันน่ามหัศจรรย์ภายในโบสถ์ เขามองดูไปที่พระแท่นที่ซึ่งแสงสว่างส่องมา และได้เห็นพระนางมารีย์ประจักษ์มา ลักษณะเหมือนกับในเหรียญอัศจรรย์ ในคำพูดของราติสบอนเอง เขากล่าวว่า
 
“ในโบสถ์นั้น ความรู้สึกสับสนได้มาสู่ตัวผม เมื่อผมเงยหน้ามอง มันดูเหมือนทั่วทั้งโบสถ์ถูกเงามืดดูดกลืน ยกเว้นที่มุมหนึ่ง ซึ่งดูราวกับว่าแสงสว่างทั้งหมดไปรวมอยู่ที่นั่นที่เดียว ผมมองดูที่แสงสว่างนั้นซึ่งสว่างเจิดจ้ามาก และที่เหนือพระแท่นมีผู้หนึ่ง,สูงและทรงอำนาจ สวยงามและเปี่ยมด้วยความเมตตา ผู้นั้นคือพระนางพรหมจารีย์มารีย์ ทรงมีลักษณะเหมือนในเหรียญอัศจรรย์ ผมคุกเข่าลงทันทีต่อหน้าภาพนิมิตที่เห็นนี้ ผมไม่สามารถมองดูแม่พระได้เนื่องจากแสงสว่างเจิดจ้ามาก ผมจึงชำเลืองมองไปที่พระหัตถ์ของพระนาง และในพระหัตถ์นั้นผมสามารถรับรู้ถึงพระเมตตาและการให้อภัย ในการประจักษ์ของพระนางมารีย์,ถึงแม้พระนางจะไม่ได้ตรัสอะไรกับผมเลย ผมก็เข้าใจถึงสภาวะที่น่าหวาดหวั่นที่ผมเป็นอยู่ บาปของผมและความสวยงามแห่งความเชื่อคาทอลิก”
 
ราติสบอนออกมาจากโบสถ์ด้วยน้ำตานองหน้า กำเหรียญอัศจรรย์ไว้แน่น หลายวันต่อมา ราติสบอนก็รับความเชื่อและเข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิก
 
หลังจากกลับจากปารีส คู่หมั้นของราติสบอนก็ต้องตกใจเป็นอย่างยิ่ง เธอปฏิเสธเขาและศาสนาใหม่ของเขา
 
ข่าวเกี่ยวกับการกลับใจของราติสบอนกระจายไปอย่างรวดเร็ว ในเดือนกุมภาพันธ์ 1842 ทางวาติกันได้สอบสวนสถานการณ์แวดล้อมที่เกี่ยวกับการกลับใจของราติสบอน หลังจากที่ได้สอบถามราติสบอนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง คณะสอบสวนก็สรุปว่า การกลับใจอย่างทันทีของราติสบอนเป็นอัศจรรย์อย่างแน่นอน เป็นการกระทำของพระเจ้าโดยการเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือของพระนางมารีย์ พี่ชายของราติสบอน,Fr.Theodor เต็มไปด้วยความปิติยินดีในการกลับใจของน้องชาย และเขาทั้งสองก็ได้มาอยู่รวมกันในไม่ช้า อัลฟองโซ ราติสบอนได้ถอนหมั้นและสมัครเป็นโนวิสในคณะเยซูอิต เขาได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ในปี 1847
 
************************