วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2024 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าสัปดาห์ที่ 4

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ลูกา 1:39-45 
(39)หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย (40)พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนางเอลีซาเบธ (41)เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม (42)ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รับพระพรยิ่งกว่าหญิงใด ๆ และลูกของเธอก็ได้รับพระพรด้วย (43)ทำไมหนอพระมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้า (44)เมื่อฉันได้ยินคำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี (45)เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่พระเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
******************
 
 
 
พี่น้องครับ เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้ว เทศกาลคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งการให้ และจริงๆ แล้วเราก็ใช้ทั้งเวลาและเงินทองมากมายเพื่อซื้อของขวัญและ ส.ค.ส. เพื่อจะนำมามอบให้แก่กันและกัน
 
แม้แต่ในมุมมองของพระเจ้า เทศกาลคริสต์มาสก็เป็นเทศกาลแห่งการให้เช่นเดียวกัน ดังที่นักบุญยอห์นบอกว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16)
 
พี่น้องเห็นมั้ย พระเจ้าก็ให้ เรามนุษย์ก็ให้ นี่คือความหมายของ “คริสต์มาส” ที่แท้จริง ! แต่ปัญหาใหญ่สำหรับเราก็คือ เราควรจะให้อะไร และควรจะให้อย่างไร ถึงจะดีที่สุด ?
 
ดีนะครับพี่น้อง ที่พระวรสารวันนี้ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแม่พระเสด็จเยี่ยมนางเอลีซาเบธมีคำตอบให้แก่เรา
 
พี่น้องคิดว่าแม่พระนำสิ่งใดไปมอบให้แก่นางเอลีซาเบธหรือ?
 
นักบุญลูกาไม่ได้บอกเลยนะว่าแม่พระซื้อกระเช้าผลไม้ กระเช้านมสด รังนก หรือเครื่องดื่มชูกำลังใดๆ ไปมอบให้แก่นางเอลีซาเบธ
 
แต่สิ่งเดียวที่แม่พระนำไปมอบให้ก็คือ “ตัวแม่พระเอง” !
 
เพราะพอแม่พระทราบจากทูตสวรรค์ว่านางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ แม่พระก็รีบเสด็จไปเยี่ยม ไปประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธทันที
 
พี่น้องครับ นี่คือของขวัญที่หายากที่สุด และมีคุณค่ามากที่สุด เพราะมันตีราคาเป็นตัวเงินไม่ได้เลย
 
สมัยนี้มันง่ายมากนะที่จะส่งดอกไม้ หรือของขวัญไปให้ผู้รับ เพียงพี่น้องยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดสั่ง แล้วก็โอนเงินเท่านั้นเอง
 
แต่การให้ “ตัวเอง” แล้วก็ให้ “เวลา” เพื่อจะไปอยู่กับใครบางคน ไปให้กำลังใจเขา ไปปลอบใจเขา ไปช่วยเหลือเขา นี่สิคือสิ่งที่ผู้คนต้องการจริงๆ แต่กลับไม่ได้รับ
 
อีกประเด็นหนึ่งที่เราได้จากการที่แม่พระทรงมอบ “ตัวแม่พระเอง” ให้แก่นางเอลีซาเบธก็คือ เราไม่ควรให้ตามความสะดวกของเราเอง แต่ควรให้ตามความต้องการของผู้รับ นี่คือคำตอบว่าให้อย่างไรถึงจะดีที่สุด
 
พี่น้องอย่าลืมนะครับว่า เมื่อแม่พระตอบรับกับทูตสวรรค์ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แม่พระก็เริ่มตั้งครรภ์ ซึ่งทำให้ไม่สะดวกเลยที่จะต้องเดินทางตามลำพัง ไปตามถนนที่แสนจะอันตราย จากแคว้นกาลิลีทางเหนือ ไปสู่อีกเมืองหนึ่งในแถบภูเขาในแคว้นยูเดียทางใต้ รถยนต์ก็ไม่มี เครื่องบินก็ไม่มี มันยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาจริงๆ
 
แต่ทว่านางเอลีซาเบธกำลังต้องการความช่วยเหลือมากจริงๆ เพราะนางชรามากแล้ว และก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้วด้วย สมัยนั้นนำประปาและก๊อกน้ำในบ้านก็ยังไม่มี จะให้นางเดินไปตักน้ำจากบ่อก็ลำบาก จะรดน้ำผักในสวนหรือเลี้ยงสัตว์ในคอกก็ไม่ไหว จะไปซื้อหาของกินของใช้ก็แสนลำบากยากเข็ญ (7-11 ก็ยังไม่เกิด)
 
เพราะฉะนั้น ทันทีที่แม่พระรู้ว่านางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ แม่พระก็เร่งรีบไปเยี่ยมทันที โดยไม่ต้องเปิดปฏิทินดูเลยว่ามีกำหนดการนัดหมายอะไรไว้หรือไม่ แถมยังไปอยู่กับนางเอลีซาเบธถึง 3 เดือน จนกระทั่งนางคลอดบุตรชาย ซึ่งก็คือยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง
 
พี่น้องจะเห็นว่าแม่พระมอบสิ่งที่นางเอลีซาเบธกำลังต้องการมากที่สุด ในเวลาที่นางกำลังต้องการมากที่สุด และก็ตลอดเวลาที่นางต้องการมากที่สุดด้วย !
 
นี่แหละครับคือของขวัญและการให้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่เราควรจะเลียนแบบอย่างจากแม่พระ และนำมามอบให้แก่กันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเทศกาลคริสต์มาสนี้
 
และพี่น้องครับ นอกจากจะมอบตัวเราเองให้แก่กันและกันแล้ว อย่าลืมมอบตัวเราเองให้แก่พระเจ้าด้วยนะครับ
 
และผู้ที่ให้แบบอย่างที่ดีที่สุดในการมอบตนเองให้แก่พระเจ้าก็คือพระเยซูเจ้านั่นเอง
 
ในบทอ่านที่สองวันนี้ จดหมายถึงชาวฮีบรูบอกว่า พระเจ้าไม่มีพระประสงค์และไม่พอพระทัยในเครื่องบูชาหรือของถวายใดๆ เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสตเจ้าเสด็จมาในโลก พระองค์มาเพื่อปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า
 
พี่น้องครับ การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้านี่แหละคือการมอบตนเองให้แก่พระเจ้าที่ดีที่สุด
 
เพราะฉะนั้น โอกาสคริสต์มาสปีนี้ ขอให้เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการมอบชีวิตของเราให้ดำเนินไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า และมอบตัวเราเอง รวมถึงมอบเวลาของเราเองให้แก่กันและกัน ปลอบใจกัน ให้กำลังใจกันตามแบบอย่างของแม่พระ แล้วสันติสุขที่พระกุมารนำมาให้เรา จะดำรงอยู่กับเรานานตราบเท่านาน
 
***************************


วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2567

การเดินขบวน 200 วัน

 


ดอนบอสโกและยุคพันปี
 
โดย - คุณพ่อแฟรงค์ คลาวเดอร์ เอส.ดี.บี. (Rev. Frank Klauder, S.D.B.)
 
บันทึกชีวประวัติของนักบุญยอห์น บอสโก นำเสนอคำทำนายหลายข้อที่คุณพ่อเห็นใน "ความฝัน" ซึ่งกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านชีวประวัติของท่านมาโดยตลอด เรื่อง "ความฝันของเสาสองต้น" ของคุณพ่อบอสโกเป็นที่รู้จักกันดี โดยคุณพ่อบอสโกทำนายถึงความยากลำบากในอนาคตของพระศาสนจักร โดยมีสัญญลักษณ์เป็นเรือที่กำลังฝ่าพายุในทะเล พระสันตปาปาหลายพระองค์พยายามนำเรือจอดและทอดสมอระหว่างเสาสองต้นที่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางน้ำที่อันตราย เสาเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาสองประการต่อพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทและต่อพระแม่มารีย์องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน ความสงบสุขและสันติสำหรับพระศาสนจักรจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพระสันตปาปาองค์ใดองค์หนึ่งประสบความสำเร็จในการยึดพระศาสนจักรไว้ระหว่างเสาสองต้นนี้
 
ความฝันนี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่และสามารถตีความได้หลายวิธี โดยยังคงความหมายสำคัญที่ว่าอนาคตของพระศาสนจักรจะเป็นประกันความรอดได้โดยผ่านการอภิบาลของเปโตรและผ่านความซื่อสัตย์ของผู้มีความเชื่อต่อพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์
 
ความฝันเชิงสัญลักษณ์อีกประการหนึ่งคือ "การเดินขบวน 200 วัน" ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก ซึ่งสามารถให้ความเข้าใจในการตีความความฝันเกี่ยวกับเสาสองต้นนี้ได้ เรื่องราวของความฝันนี้ปรากฏในเล่มที่สิบของ Biographical Memoirs (หน้า 49-59) ในบริบทของ "คำทำนายสามประการ" ซึ่งรายละเอียดจะเป็นที่รับรู้สำหรับเราในที่นี้
 
“คำทำนายแรก” จบลงดังนี้:
 
“พายุเฮอริเคนที่รุนแรงจะมาถึง ความชั่วร้ายจะสิ้นสุดลง บาปจะหมดสิ้น และก่อนที่พระจันทร์เต็มดวงสองดวงจะส่องแสงในเดือนแห่งดอกไม้ สายรุ้งแห่งสันติภาพจะปรากฏบนโลก ... ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนับตั้งแต่เปลวไฟแห่งพระจิตที่เสด็จมายังห้องชั้นบนจนถึงวันนี้ และจะไม่ปรากฏให้เห็นอีกจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก”
 
ผมจะกลับมาพูดถึงคำทำนายนี้อีกครั้งในตอนท้ายของบทความ นี่คือคำทำนายข้อที่สองที่ทำให้เรากังวลเป็นพิเศษ
 
ความฝันเป็นดังนี้:
 
“มันเป็นคืนที่มืดมิด และผู้คนไม่สามารถหาทางกลับประเทศของตนได้อีกต่อไป ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็ส่องขึ้นบนท้องฟ้า ส่องสว่างให้พวกเขาเห็นราวกับเวลาเที่ยงวัน ในขณะนั้นเอง มีชายและหญิงจำนวนมาก เยาวชน เด็กเล็ก พระสงฆ์ นักบวชชายและหญิงออกมาจากวาติกัน เหมือนกับในขบวนแห่ และมีพระสันตปาปาเป็นผู้นำขบวน
 
“แต่แล้วพายุรุนแรงก็เกิดขึ้น ทำให้แสงนั้นมืดสลัวลงเล็กน้อย ราวกับว่าแสงและความมืดกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ...ในขณะนั้นขบวนแถวที่ยาวนั้นก็มาถึงสี่แยกที่มีคนตายและคนเจ็บนอนเกลื่อนกลาด หลายคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
 
“ขบวนแห่เริ่มลดจำนวนลงอย่างมาก หลังจากเดินขบวนเป็นเวลาสองร้อยวัน ทุกคนก็รู้ว่าพวกเขาไม่อยู่ในกรุงโรมแล้ว พวกเขาวิ่งไปรอบๆพระสันตปาปาด้วยความหวาดกลัว เพื่อปกป้องพระองค์และช่วยเหลือพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ต้องการ
 
“ในขณะนั้น ทูตสวรรค์สององค์ปรากฏขึ้น ถือธงผืนหนึ่งนำไปถวายพระสันตปาปาพร้อมกล่าวว่า “จงรับธงของพระนางผู้ต่อสู้และขับไล่กองทัพของศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเถิด ศัตรูของพระองค์จะสูญหายไปด้วยน้ำตาและการถอนหายใจของบรรดาลูกๆของพระองค์ซึ่งร้องขอให้พระองค์กลับมา”
 
“ด้านหนึ่งของธงมีจารึกว่า: 'ราชินีผู้ทรงปฏิสนธินิรมล'(Regina sine labe concepta) และอีกด้านหนึ่งอ่านว่า: 'องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน'(Auxilium Christianorum) “พระสันตปาปาทรงรับธงด้วยความยินดี แต่พระองค์ก็ทรงทุกข์พระทัยยิ่งนักเมื่อเห็นว่าผู้ติดตามพระองค์มีจำนวนลดน้อยลงมาก
 
“แต่ทูตสวรรค์ทั้งสององค์พูดต่อไปว่า “จงไปปลอบโยนบรรดาลูกๆของพระองค์เถิด จงเขียนจดหมายไปถึงพี่น้องของพระองค์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกว่ามนุษย์ต้องปฏิรูปชีวิตของตนเสียใหม่ การกระทำนี้จะทำไม่ได้เลยหากปราศจากปังขององค์พระวจนาตถ์ที่ถูกหักในท่ามกลางประชาชน จงสอนคำสอนแก่เด็กๆ และสั่งสอนให้พวกเขาละทิ้งสิ่งที่เป็นทางโลก เวลาได้มาถึงแล้ว” ทูตสวรรค์ทั้งสององค์พูดสรุปว่า “เมื่อคนยากจนจะเป็นผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้าแก่โลก พระสงฆ์จะมาจากคนที่จับจอบ เสียม และค้อน ดังที่ดาวิดได้กล่าวทำนายไว้ว่า ‘พระเจ้าจะทรงยกย่องคนยากจนขึ้นมาจากฝุ่นดิน ทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากกองขยะ เพื่อให้เขานั่งร่วมกับบรรดาเจ้านาย กับเจ้านายแห่งประชากรของพระองค์’” (สดุดี 113:7-8)
 
“เมื่อได้ยินเช่นนี้ พระสันตปาปาจึงเสด็จต่อไป และแถวก็เริ่มยาวขึ้น
 
เมื่อมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์ พระสันตปาปาทรงร้องไห้เมื่อเห็นพลเมืองที่รกร้างว่างเปล่า เพราะหลายคนไม่อยู่แล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไปในวิหารเซนต์ปีเตอร์และสวดเพลง Te Deum ซึ่งเหล่าทูตสวรรค์ตอบรับโดยขับร้องว่า “พระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้าในที่สูงสุด และสันติสุขบนโลกจงมีแก่ผู้มีน้ำใจดี”
 
“เมื่อเพลงจบลง ความมืดมิดทั้งหมดก็หายไป และดวงอาทิตย์ที่แผดเผาก็ส่องแสง...
 
จำนวนประชากรลดลงมากในเมืองและเมืองข้างเคียง แผ่นดินถูกทำลายอย่างยับเยินเหมือนกับถูกพายุพัดกระหน่ำอย่างหนัก ประชาชนพากันแสวงหากันและกัน ต่างรู้สึกสะเทือนใจมากพูดกันว่า deus in isarael (มีพระเจ้าในอิสราเอล)
 
“ตั้งแต่เริ่มการเนรเทศจนถึงการสวดเพลง Te Deum มีดวงอาทิตย์ขึ้นสองร้อยครั้ง เหตุการณ์ทั้งหมดที่บรรยายไว้ครอบคลุมระยะเวลาสี่ร้อยวัน”
 
เกี่ยวกับความฝันลึกลับนี้ ผมขอเสนอการตีความต่อไปนี้ ซึ่งเป็นการเสนอแนะบางส่วน
 
1. สี่ร้อย “วัน” หมายถึงสี่ร้อยเดือน หรือสามสิบปีครึ่ง
 
2. สองร้อย “วัน” หมายถึงสิบหกปีครึ่ง
3. “แสงเจิดจ้า” แรกก่อนเริ่มขบวนแห่หรือการเดินขบวนหมายถึงการประชุมสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ซึ่งสิ้นสุดในปี 1965
 
4. “พายุรุนแรง” ที่ปะทุขึ้นหมายถึงข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นหลังจากการประชุมสังคายนา
 
5. การสิ้นสุดของ “สองร้อย” วันแรกหรือสิบหกปีครึ่งนั้นพาเรามาถึงปี 1982 เมื่อพระสันตปาปายอห์นปอลที่ 2 เสด็จเยือนฟาติมา หนึ่งปีหลังจากความพยายามลอบสังหารพระองค์ ในเวลานั้น พระสันตปาปาตรัสว่า:
 
“วันนี้ ยอห์น ปอลที่ 2 ได้อ่านสาส์นแห่งฟาติมาอีกครั้งด้วยความกังวลในหัวใจ เพราะพระองค์เห็นว่ามีผู้คนและสังคมจำนวนมากเพียงใด คริสตชนจำนวนมากเพียงใดที่เดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ระบุไว้ในสาส์นแห่งฟาติมา บาปได้ยึดครองโลกอย่างมั่นคง และการปฏิเสธพระเจ้าได้แพร่หลายไปในอุดมการณ์ ความคิด และแผนการของมนุษย์”
 
ก่อนจะสรุปคำเทศน์ พระสันตปาปาได้สวดภาวนา ซึ่งนิวยอร์กไทมส์เรียกว่า “apocalyptic”(วันแห่งทุกขเวทนา) ดังนี้:
 
“โปรดช่วยเราให้พ้นจากความอดอยากและสงคราม 
โปรดช่วยเราให้พ้นจากสงครามนิวเคลียร์ จากการทำลายล้างตนเองที่ประเมินค่าไม่ได้ จากสงครามทุกประเภท 
โปรดช่วยเราให้พ้นจากบาปที่ก่อขึ้นต่อมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่มของชีวิต
โปรดช่วยเราให้พ้นจากความเกลียดชังและการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของบรรดาลูกของพระเจ้า 
โปรดช่วยเราให้พ้นจากความอยุติธรรมทุกประเภทในชีวิตของสังคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 
โปรดช่วยเราให้พ้นจากความพร้อมที่จะเหยียบย่ำพระบัญญัติของพระเจ้า 
โปรดช่วยเราจากความพยายามที่จะปิดกั้นความจริงของพระเจ้าในใจมนุษย์ 
 โปรดช่วยเราให้พ้นจากบาปที่ต่อต้านพระจิตเจ้า 
ขอให้ดวงพระหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์เปิดเผยแสงสว่างแห่งความหวังทั้งหมดเทอญ”
 
ในเวลานี้เองที่พระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงฟื้นฟูการถวายโลกและประเทศรัสเซียแด่ดวงพระหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ โดยทรงเชิญบรรดาบิชอปทั่วโลกเข้าร่วมกับพระองค์ในลักษณะที่เป็นกลุ่ม และด้วยเหตุนี้พระองค์จึงปฏิบัติตามคำร้องขอประการหนึ่งในสาส์นแห่งฟาติมาอย่างสมบูรณ์ สองปีต่อมาในปี 1984 พระองค์ได้ทรงทำพิธีถวายแบบเดียวกันอีกครั้ง เหตุการณ์หลังจากนั้น (1989) เราก็ได้เห็นการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกโดยเริ่มต้นจากประเทศโปแลนด์
 
6. การสิ้นสุดของ "สี่ร้อยวัน" นำเราไปสู่ปี 1999 ในปีนั้น พระจันทร์เต็มดวงสองครั้งเกิดขึ้นในเดือนเดียวกัน เช่นเดียวกับในปี 1988 ที่มีพระจันทร์เต็มดวงสองครั้งในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการนำไปสู่เหตุการณ์ในปี 1989
 
(หมายเหตุ - ดวงจันทร์เต็มดวงสองครั้งในหนึ่งเดือนเกิดขึ้นห่างกันประมาณ 3 ปี ในปี 1999 มีดวงจันทร์เต็มดวงสองครั้งในเดือนมกราคม (2 และ 31 ) และในเดือนมีนาคม (2 และ 31 ) มีดวงจันทร์เต็มดวงสองครั้งในปี 2023 (2 และ 31 )
 
7. ยุคแห่งสันติภาพอันรุ่งโรจน์ซึ่ง "คำทำนายแรก" สิ้นสุดลง หมายถึงยุคแห่งสันติภาพที่พระแม่มารีย์ทรงสัญญาไว้ที่ฟาติมา และกำลังค่อยๆได้รับการจัดเตรียมขึ้นโดยความคิดริเริ่มของพระสันตปาปาทีละน้อยสำหรับสหัสวรรษที่สาม
 
โดยสรุป อนาคตจะสดใสและเต็มไปด้วยความหวัง หากเราฟังเสียงของพระสันตปาปา ยุคสมัยของเราจำเป็นต้องมีการปฏิรูปศีลธรรม ซึ่งจะต้องอาศัยการทำงานและการสวดภาวนาจากคริสตชนทุกคน สำหรับชาวคาทอลิก ส่วนสำคัญของความพยายามนี้คือความซื่อสัตย์ต่อการสวดสายประคำ ซึ่งเป็น "อาวุธแห่งชัยชนะ" ของพระแม่มารีย์เสมอมา
 
นำมาจาก:
SOUL Magazine, Jan./Feb. 1998, p. 6
World Apostolate of Fatima
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2567

การเทศน์ของคุณพ่อบอสโก

 


คุณพ่อบอสโกเทศน์ในวันเดียวทำให้เฮเรติก 3000 คนกลับใจ
 
ในปี 1856 ขณะที่คุณพ่อบอสโกเผชิญหน้ากับการชุมนุมของกลุ่มเฮเรติกซึ่งส่งผลร้ายกับหมู่บ้าน เวียรี(viari) เราได้เห็นวิธีที่สร้างสรรค์ของคุณพ่อบอสโกในการเทศน์และการอุทิศตนของท่านเพื่อช่วยเหลือวิญญาณซึ่งนำไปสู่การกลับใจเป็นหมู่ ในบทความตอนนี้เราจะได้เห็นถึงพลังอำนาจของการเทศน์ที่สัมผัสจิตใจ และผลลัพท์ของพระสงฆ์เพียงองค์เดียวที่มีต่อคนจำนวนมาก และนี่ให้ข้อคิดว่า เราจะประยุกต์ใช้วิธีการของคุณพ่อบอสโกในเรื่องการเทศน์ได้อย่างไร?
 
ในเดือนมกราคม ปี 1856 คุณพ่อบอสโกทำงานหนักเพื่อกำจัดวัชพืชฝ่ายจิตซึ่งระบาดไปทั่วสังฆมณฑลต่างๆ คุณพ่อแอนโทนี่ กรอสกี(Father Anthony Groski) ซึ่งเป็นพระสงฆ์เฮเรติกที่มีอิทธิพลต่อผู้คนในหมู่บ้านเวียรี(viari) ด้วยคำสอนที่ผิดพลาดของเขา หมู่บ้านมีผู้คน 3000 คนที่หลงเชื่อคำสอนของเขา คุณพ่อบอสโกรู้เรื่องนี้และพยายามที่จะช่วยเหลือวิญญาณของชาวบ้าน พระสงฆ์เฮเรติกคนนี้กำลังถูกจำคุก ดังนั้นคุณพ่อบอสโกพร้อมด้วยพระสงฆ์บางองค์จึงไปที่หมู่บ้านนี้เพื่อทำภารกิจเทศน์สอนเพื่อนำชาวบ้านที่หลงทางติดตามพระสงฆ์เฮเรติกให้กลับมาสู่คำสอนที่ถูกต้องของพระศาสนจักร
 
ในตอนแรกคุณพ่อบอสโกได้รับการพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามจากชาวบ้านเหล่านั้นและแม้แต่การได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานปาร์ตี้อันป่าเถื่อนของหมู่บ้านซึ่งอยู่ถัดไปจากบ้านพักพระสงฆ์(rectory) ภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ปาร์ตี้เลิกแล้ว,หนึ่งในผู้ร่วมงานปาร์ตี้ได้ล้มลงและเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย ในเช้าวันรุ่งขึ้น,มีพิธีปลงศพและมีเพื่อนผู้ตายมากมายมาร่วมพิธี คุณพ่อบอสโกไม่ได้พูดถึงเรื่องการตายเลยในการเทศน์ของท่าน แต่ในพิธีมิสซาตอนเย็น,คุณพ่อบอสโกได้กล่าวถึงพระวาจาของพระคริสต์ที่ว่า “จงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะมาในเวลาที่ท่านไม่คาดคิด” คุณพ่อบอสโกย้ำเตือนว่าผู้ที่ไม่เตรียมตัวป้องกันตนเองก็อยู่ในอันตรายที่จะสูญเสียวิญญาณไปชั่วนิรันดร์ เพราะโอกาศที่พระเมตตาหรือพระหรรษทานของพระเจ้าจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการในเวลานั้น คุณพ่อสรุปโดยพูดว่า ให้เราสวดภาวนาเพื่อคนที่น่าสงสารผู้นั้นซึ่งได้เสียชีวิตไปเมื่อคืนนี้เถิด แล้วคุณพ่อบอสโกก็สวดภาวนาอย่างช้าๆ
 
สองคืนต่อมา,โบสถ์เต็มไปด้วยผู้คน หัวข้อในการเทศน์ของคุณพ่อบอสโกเป็นเรื่องความน่ากลัวและความทุกข์ทรมานของคนบาปที่ไม่ยอมสำนึกผิดกลับใจในเวลาใกล้ตาย คุณพ่ออธิบายถึงความน่ากลัวที่ผู้ตายเมื่อคืนที่แล้วต้องเผชิญ เสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายและศพที่นอนแน่นิ่งอย่างน่ารังเกียจบนเตียงแห่งความตาย แล้วคุณพ่อบอสโกก็พูดให้เห็นภาพพจน์อันน่าตระหนกของร่างกายคนที่ตายในบาปหนัก ถูกฝังไว้ในโลงศพที่ปิดตายและถูกแบกหามมาที่โบสถ์ "ผู้ที่อยู่ในขบวนแห่โลงศพก็สวดภาวนาเพื่อผู้ตายไปพร้อมๆกัน เมื่อโลงศพมาถึงประตูโบสถ์ ผู้ตายถูกนำเข้าไปวางอยู่ข้างหน้าพระแท่นของโบสถ์นี้ซึ่งอยู่ต่อหน้าพ่อนี้เอง"  ผู้คนที่กำลังฟังเทศน์เหมือนต้องมนต์สะกด พวกเขาจ้องมองจุดที่คุณพ่อบอสโกพูดถึง ราวกับว่ามีโลงศพตั้งอยู่ที่นั่นจริงๆ คุณพ่อบอสโกกล่าวต่อไปว่า "พ่อใด้พูดมาเพียงพอแล้ว คนต่อไปจะมาแทนที่พ่อผู้ซึ่งจะเป็นมิชชันนารี่ของพ่อหรือไม่? เปล่า,แล้วใครจะเป็นผู้เทศน์ต่อไป เป็นเจ้าอาวาสของพวกคุณหรือ? ไม่ใช่,ยังไม่ถึงเวลาของท่าน แล้วใครเล่าที่พ่อจะขอให้พูดกับพวกคุณ ไม้กางเขนหรือ?นี่ยังไม่ใช่เวลาแห่งพระเมตตา ศีลมหาสนิทหรือ?นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่พระเยซูเจ้าจะทรงแสดงความรักของพระองค์ แม่พระหรือ? ไม่,ไม่ใช่,ยังไม่ใช่เวลาที่พระแม่จะเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือ แล้วใครที่พ่อจะหันไปหาเล่า?"  คุณพ่อบอสโกเงียบสักพักหนึ่ง 
 
 แล้วคุณพ่อบอสโกก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "พ่อขอเรียกท่าน,ศพเอ๋ย,จงลุกขึ้นแล้วบอกพ่อ เมื่อความตายมาโจมตีท่าน ท่านต้องการอะไรเพื่อช่วยวิญญาณของท่านให้รอดพ้น การเทศน์,ศีลศักดิ์สิทธิ์,คำแนะนำ,หรือพระหรรษทาน"  ตอนนี้ผู้ที่อยู่ในโบสถ์ต่างๆตกใจ จนคุณพ่อเจ้าอาวาสของพวกเขาต้องบอกให้คุณพ่อบอสโกหยุดพูด เพราะทั้งโบสถ์อยู่ในภาวะตึงเครียด ในที่สุด,คุณพ่อบอสโกก็สรุปกับศพ "อะไรคือสิ่งที่ท่านต้องการ"  คุณพ่อหยุดพูดอีกครั้ง ผู้คนในโบสถ์พากันร้องไห้เสียงดังขรม ศพในจินตนาการตอบด้วยเสียงร่ำไห้ “ผมไม่มีเวลาเลย” คุณพ่อบอสโกพูดกับผู้คนว่า "อะไรคือสิ่งที่พวกคุณต้องการเล่า? เราจะพูดกันถึงเรื่องนี้ในวันพรุ่งนี้"
 
ประชาชนต่างตกตะลึงกับคำเทศน์ครั้งนี้ พวกเขาไม่สามารถรอได้อีกต่อไป พวกเขารีบไปสารภาพบาป และพระหรรษทานของพระเจ้าก็หลั่งไหลมาสู่พวกเขา ทำให้คนในหมู่บ้านจำนวน 3000 คนกลับใจ ผู้ใหญ่ทุกคนในหมู่บ้าน,ไม่มีใครเลยที่ไม่ไปสารภาพบาป เรื่องนี้ทำให้บรรดามิชชันนารีต่างมีความรู้สึกว่าได้รับการเตือนให้แพร่ธรรมแก่ผู้คนในโบสถ์ด้วย
 
และในไม่ช้าก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าขบขัน วันหนึ่งในการเทศน์ของคุณพ่อบอสโก โดยไม่มีความตั้งใจที่จะพาดพิงถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ มันเป็นเพียงการพูดเรื่องราวของประชาชนและเยาวชนหลากหลายวัย คนหนุ่มสาว,หญิงโสด,บิดา,มารดา และสิ่งนี้ทำให้คุณพ่อนึกถึงคำถามหนึ่ง แล้วคุณพ่อก็พูดว่า "บางคนควรถามคนชราผมขาวคนนั้นว่า เมื่อไรคุณจะตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามกฏในวันอิสเตอร์และปรับปรุงชีวิตของคุณ คุณไม่เห็นหรือว่า เท้าของคุณข้างหนึ่งยืนอยู่บนหลุมศพแล้ว"  แล้วก็มีเสียงซุบซิบเกิดขึ้น นั่นไง,คนนั้นคือคนที่คุณพ่อพูดถึง คุณพ่อบอสโกรู้สึกตกใจเล็กน้อย เพราะมีชายชราคนหนึ่งกำลังอยู่หน้าพระแท่นจริงๆ และผู้คนก็ชี้นิ้วไปที่เขา ชายชราจึงพูดเสียงดังว่า ใช่แล้ว,คุณพ่อหมายถึงผม ผมจะไปสารภาพบาปในตอนเย็นวันนี้ คุณพ่อบอสโกหัวเราะและพูดกับชายชราว่า ดีแล้ว,พ่อจะรอคุณในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง
 
มิชชันนารีสองคนที่ติดตามคุณพ่อบอสโกไปที่หมู่บ้าน,ถึงแม้จะเหนื่อยจากภารกิจพิเศษของพวกเขา,ได้รับรางวัลในการเห็นผู้คน 3000 คนที่หลงทางไปได้กลับมาเข้าฝูงเดิมอีกครั้ง พวกเขาได้เป็นอิสระจากคำสาปแช่งของนิกายที่ผิดพลาด ซึ่งเวลานี้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
 
เมื่อคุณพ่อบอสโกกลับมาที่ตูริน,บรรดาเด็กชายได้ต้อนรับคุณพ่ออย่างผู้มีชัยชนะด้วยการจัดงานเฉลิมฉลองให้ มีการเลี้ยงอาหารเย็นให้แก่ทุกคน.
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ปีศาจปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์แห่งความสว่าง

 


โดย - Mons. Stewen Rossetti
 
คนของเราที่ถูกปีศาจเข้าสิงคนหนึ่งบอกว่าเธอเห็นนิมิตของพระแม่มารีย์ ผู้ซึ่งบอกกับเธอว่าเธอจะเสียชีวิตในวันฉลองของแม่พระที่จะมาถึงนี้ ผมตอบสนองอย่างรวดเร็วว่า "นั่นไม่ใช่แม่พระ! ไม่ต้องไปสนใจ" "ไม่ใช่" เธอยืนกราน "ฉันรู้ว่านั่นเป็นแม่พระ เธอสวยมาก และฉันรู้สึกได้รับการปลอบโยนอย่างมากจากแม่พระ ฉันรู้จักเธอ" ผมเตือนผู้หญิงคนนั้นถึงหลักการพื้นฐานประการหนึ่งของเราสำหรับผู้ถูกเข้าสิง "ให้ถือว่าประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่พิเศษทั้งหมดก่อนการปลดปล่อยมาจากปีศาจ" แต่เธอยังคงไม่เชื่อผม
 
วันฉลองแม่พระนั้นมาถึงและผ่านไป เธอยังมีชีวิตอยู่ โชคดีที่เธอได้รับการปลดปล่อยหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ในที่สุดเธอก็เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังกระบวนการปลดปล่อย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จ
 
มันมักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ถูกปีศาจเข้าสิงเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขามีชีวิตทางจิตวิญญาณในระดับหนึ่ง ซึ่งปีศาจจะแนะนำพวกเขาว่าพวกเขามีความ "พิเศษ" ทางจิตวิญญาณ ปีศาจจะหลอกลวงพวกเขาด้วยภาพนิมิตเท็จและคำพูดภายในจิตใจ มันจะหลอกล่อพวกเขาด้วยข้อมูล "ที่เป็นความลับ" มันจะพยายามทำให้พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะความทุกข์ยากของพวกเขา
 
ทั้งหมดนี้เพื่อจุดไฟแห่งความเย่อหยิ่งทางจิตวิญญาณของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นความพยายามที่จะทำให้ผู้ถูกสิงพัฒนาความสัมพันธ์อันเย่อหยิ่งกับปีศาจ โดยหลอกลวงว่าเป็นการฟังเสียงจากสวรรค์ เมื่อถึงเวลาที่กลอุบายนี้ถูกเปิดเผย,ความเสียหายทางจิตวิญญาณก็เกิดขึ้นมากมาย บางคนไม่เคยค้นพบกลอุบายนี้เลยและเข้าไปพัวพันอย่างลึกซึ้งในโลกของปีศาจ โดยคิดว่าพวกเขาเต็มไปด้วยพระหรรษทานลึกลับ
 
คำเตือนสำหรับผู้ถูกสิงและผู้ที่ดูแลพวกเขา: "จงคิดว่าประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดาทั้งหมดในกระบวนการปลดปล่อยนั้นมาจากปีศาจ" อาจถึงเวลาหนึ่งที่พระเจ้าจะประทานพระหรรษทานลึกลับที่แท้จริงให้กับบุคคลนั้น แต่สิ่งเหล่านี้สามารถรอได้จนกว่าจะได้รับการปลดปล่อย แม้กระนั้น, ก็ยังมีความสงสัยอย่างมาก ปีศาจไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการจุดไฟความเย่อหยิ่งทางจิตวิญญาณของบุคคลนั้นและมันจะกลับมาอีกพร้อมด้วยปีศาจที่เลวร้ายกว่าเจ็ดตน (มัทธิว 12:45)
 
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนซึ่งเป็นอาจารย์ฝ่ายจิตและนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระศาสนจักรแนะนำเราให้หลีกเลี่ยงประสบการณ์ลึกลับดังกล่าวซึ่งมักจะทำให้เข้าใจผิดและเสื่อมเสียได้ง่าย ซาตานปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์แห่งความสว่างและแม้แต่ผู้ที่ฉลาดที่สุดก็อาจถูกหลอกได้ (2 โครินธ์ 11:14) ตรงกันข้าม ท่านนักบุญสนับสนุนให้เรายอมรับไม้กางเขนของพระเยซูซึ่งเป็นหนทางที่แท้จริงและแน่นอนสู่ความศักดิ์สิทธิ์และไปสู่พระเจ้า
 
************************
 

วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระนางมารีย์ปฏิสนธินิรมล

 

เสาแห่งพระนางมารีย์ปฏิสนธินิรมล
 
กรุงโรม
 
เสาแห่งนี้ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1857 เพื่อเป็นการรำลึกถึงการประกาศข้อความเชื่อ Ineffabilis Deus ของพระสันตปาปาเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งพระสันตปาปาปิอุสที่ 9 (ครองราชย์ ค.ศ. 1846-78) ทรงประกาศยุติการโต้เถียงที่ดุเดือดมาหลายศตวรรษว่าพระแม่มารีย์ทรงปราศจาก (macula) บาปกำเนิดตั้งแต่ทรงปฏิสนธิ
 
อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Luigi Poletti (1792-1869) และรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของพระแม่มารีซึ่งตั้งอยู่บนเสาโรมันโบราณเป็นผลงานของ Giuseppe Obici (1807-78) พระแม่มารีย์ทรงมงกุฎสิบสองดวงเหยียบงู (สัญลักษณ์ของบาปกำเนิด) ไว้ใต้พระบาท ที่ฐานของลูกโลกที่พระแม่มารีประทับยืนอยู่มีสัญลักษณ์ของผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่
 
ที่เชิงเสามีรูปปั้นหินอ่อน 4 รูป ซึ่งแสดงถึงประกาศกดาวิด (โดยอาดาโม ทาโดลินี), อิสยาห์ (โดยซัลวาโตเร เรเวลลี), เอเสเคียล (โดยคาร์โล เชลลี), และโมเสส (โดยอิกนาซิโอ จาโคเมตติ) โดยเชื่อกันว่าแต่ละรูปเป็นผู้ที่ทำนายการประสูติของพระนางมารีย์พรหมจารีย์
 
ฐานของเสามีรูปปั้นนูน 4 รูป ได้แก่ การแจ้งสาส์นแก่พระนางมารีย์, ความฝันของโยเซฟ, พิธีสวมมงกุฏพระนางมารีย์เป็นราชินีแห่งสวรรค์,และพระสันตปาปาปิอุสที่ 9 และการประกาศข้อความเชื่อของพระสันตปาปา ซึ่งเป็นผลงานของ Francesco Gianfredi, Nicola Cantalamessa Papotti, Giovanni Maria Benzoni and Pietro Galli. ตามลำดับ
 
วันฉลองพระนางมารีย์ปฏิสนธินิรมลจะจัดขึ้นทุกปีในวันที่ 8 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันหยุดราชการในอิตาลี ตั้งแต่ปี 1953 เป็นต้นมา พระสันตปาปาได้ถือประเพณีในการเป็นผู้นำการเฉลิมฉลองที่ Colonna dell' Immacolata(เสารูปปั้น) ที่นั่น พระองค์ทรงเสกพวงหรีดซึ่งจะวางไว้บนพระหัตถ์ขวาของพระแม่มารีย์ ซึ่งการวางนี้เป็นงานที่มอบหมายให้แก่หัวหน้าหน่วยดับเพลิงของกรุงโรม
 
ที่ฐานของเสามีอักษรจารึกสองแห่ง แห่งหนึ่งเป็นข้อความที่ยกมาจากพระวรสารนักบุญลูกา (1:28): 
AVE / GRATIA PLENA / DOMINVS TECVM / BENEDICTA TV / IN MVLIERIBVS (วันทามารีย์ผู้เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน ผู้ได้รับพระพรเหนือสตรีทั้งปวง) 
จารึกอีกชิ้นยกย่องพระสันตปาปาปิอุสที่ 9: MARIAE VIRGINI / GENITRICI DEI / IPSA ORIGINE / AB OMNI LABE IMMVNI / PIVS VIIII P M / INSIGNIS PRAECONII / FIDE CONFIRMATA / DECRETO Q D E VI EID DEC / A MDCCCLIIII / PONENDAM CVRAVIT / AERE CATH ORB CONLATO / AN SAC PRINCIP XII (Pius IX, Pontifex Maximus ได้ใช้เงินที่รวบรวมมาจากโลกคาทอลิกเพื่อตั้งเสานี้ขึ้นเพื่อถวายแด่พระนางมารีย์ พระมารดาพระเจ้า ผู้ทรงปราศจากมลทินใดๆ ตั้งแต่การปฏิสนธิของพระนาง หลังจากที่มีการยืนยันข้อความเชื่อของคำประกาศอันทรงเกียรตินี้โดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกเมื่อวันที่ 6 ก่อนวัน Ides of December ในปี ค.ศ. 1854 ซึ่งเป็นปีที่สิบสองของการครองราชย์ของพระองค์)
 
อักษรจารึกใต้รูปปั้นของผู้ประกาศกทั้งสี่เป็นข้อความจากพระคัมภีร์: INIMICITIAS PONAM / INTER TE / ET MVLIEREM (เราจะตั้งความเป็นศัตรูระหว่างเจ้ากับสตรี) ปฐมกาล: 3:15
 
PORTA HAEC / CLAVSA ERIT (ประตูนี้จะต้องเปิดอยู่ตลอดเวลา) เอเสเคียล: 44:2
 
ECCE VIRGO / CONCIPIET (ดูเถิด หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์) อิสยาห์: 7:14
 
SANCTIFICAVIT / TABERNACVLVM / SVVM ALTISSIMVS (ผู้สูงสุดได้ทรงทำให้พลับพลาของพระองค์บริสุทธิ์) สดุดี: 45:4
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ผู้ทนทุกข์เพื่อให้คนบาปกลับใจ

 


โดย ซิสเตอร์ เอมมานูเอล(Sister Emmanuel of Medjugorje)
 
เขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!!
 
เรื่องราวของเปาโล โรแบร์โต(Paulo Roberto)นั้นเหลือเชื่อมาก ฉันจะให้คุณพ่อเอ็นริโก(Father Enrico)เล่าให้คุณฟัง... 
 
“ในคณะ Alliance of Mercy community ของเราในบราซิล (Alleanza di Misericordia) เราได้รับพระหรรษทานในการช่วยเหลือผู้ที่ป่วยหนักโดยพระเมตตา พวกเขาคือคนที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังและถึงขั้นที่จะต้องเสียชีวิต และพวกเขาอุทิศความทุกข์ทรมานของตนเพื่อการกลับใจของคนบาป หนึ่งในผู้ป่วยรายแรกของเราคือชายหนุ่มชื่อเปาโล โรแบร์โต ที่เป็นมะเร็งผิวหนังตั้งแต่อายุ 1 ขวบและเสียชีวิตเมื่ออายุ 19 ปี กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาต้องทนทุกข์ทรมานนานถึง 18 ปี
 
“ผมได้มารู้จักเขาภายใต้สถานการณ์ที่พิเศษมาก: พระสงฆ์ท่านหนึ่งได้นำศีลมหาสนิทไปส่งให้เขา แต่พระสงฆ์ไม่ได้เตรียมใจสำหรับความตกใจที่รออยู่ข้างหน้า: ใบหน้าของเปาโล โรแบร์โตเสียโฉมไปอย่างสิ้นเชิงจากอาการป่วยและถูกคลุมด้วยผ้าคลุม เขาต้องถอดผ้าคลุมออกเพื่อรับศีลมหาสนิท แต่เมื่อพระสงฆ์เห็นใบหน้าของเขาซึ่งดูไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ท่านก็หมดสติไป เนื่องจากขณะนั้นผมกำลังทำงานกับคนโรคเรื้อน ผมจึงถูกเรียกให้ไปส่งศีลมหาสนิทให้กับชายหนุ่มคนนี้ ผมไปและเผชิญหน้ากับเด็กคนหนึ่งซึ่งตั้งแต่ยังเล็ก เขาก็ได้ถวายความทุกข์ทรมานของเขาให้กับพระเยซูเพื่อการกลับใจของคนบาป
 
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในฐานะพระสงฆ์,ผมได้ร่วมเดินทางฝ่ายจิตกับเขา เขาเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อเขาอายุประมาณ 10 ขวบ เขามีประสบการณ์พิเศษมาก เขาได้เห็นพระเยซูเจ้า,พระองค์ทรงถามเขาว่า “เปาโล โรแบร์โต ถ้าลูกเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง, ลูกอยากมีสุขภาพดีหรือเจ็บป่วยเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้” เปาโลตอบว่า “พระเยซูครับ ผมอยากเกิดใหม่ตามที่พระองค์ต้องการ เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นผมจะมั่นใจว่าได้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์เท่านั้น และถ้าร่างกายของผมแข็งแรง ผมก็เสี่ยงที่จะสูญเสียสุขภาพฝ่ายจิตวิญญาณได้ ดังนั้น ผมจะมีความสุขที่จะใช้ชีวิตตามที่พระองค์ต้องการ”
 
“เขายังเคยมีประสบการณ์ลึกลับอื่นๆ ด้วย ผมแน่ใจว่าผมได้พบกับนักบุญ นักบุญที่ผมสามารถให้การสนับสนุนได้จนกระทั่งเขาเสียชีวิต เขามักจะเทศน์สอนเยาวชนที่หลงทางไปกับยาเสพติด, เซ็กส์, และอบายมุขสารพัด และเขาก็จะพูดกับคนเหล่านั้นว่า ‘ดูผมสิ! ตลอดชีวิตของผม, ผมไม่เคยมีสุขภาพดีเลย แต่พวกคุณที่ร่างกายแข็งแรง คุณอย่าได้ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกายของคุณ คุณไม่สามารถทำลายร่างกายของคุณได้! ดูสิ! คนหนุ่มสาวจำนวนมากอย่างพวกคุณไม่สามารถแม้แต่จะใช้ชีวิตเป็นคนหนุ่มสาวได้อีกต่อไป!’
 
“ผู้ติดยาเสพติดมากมายได้กลับใจหลังจากฟังคำพูดตักเตือนของเขา ควรกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่าเมื่อเขาเทศน์ ร่างกายของเขามีกลิ่นเหมือนศพ แมลงวันมักจะเกาะบนบาดแผลของเขา และเขาต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเอาหนอนที่มาชอนไชบาดแผลออก อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักที่มีต่อคนหนุ่มสาวเหล่านี้ เขาจึงใช้ทุกโอกาสเพื่อแพร่ธรรมแก่พวกเขา เขาเขียนจดหมายหลายฉบับเชิญชวนเยาวชนให้ปีนขึ้นไปบนภูเขา สัมผัสธรรมชาติ เล่นสนุกสนาน... ในขณะที่ตัวเขาเองไม่สามารถออกจากบ้านได้! และเขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า ‘ผมรู้ ผมจะไปหาพระเจ้าในไม่ช้า จากนั้นผมจะบินข้ามภูเขาและผมจะบินสูงกว่านก!’
 
“ในวันที่เขาเสียชีวิตในปี 2002 แม่ของเขาบอกผมว่า ‘เปาโล โรแบร์โตขอร้องให้คุณพ่อคลุมหน้าเขาและเขียนถ้อยคำที่พระเจ้าจะทรงดลใจคุณพ่อ’ เขาไม่ต้องการให้ใครรู้สึกแย่หรือกลัวต่อหน้าใบหน้าที่เสียโฉมของเขา พระเจ้าทรงดลใจผมด้วยถ้อยคำเหล่านี้ - ใบหน้าของมนุษย์ที่เสียโฉมเพราะความเจ็บปวด คือ ใบหน้าของพระเจ้าที่เปลี่ยนไปด้วยความรัก แท้จริงแล้ว ใบหน้าของเขาฉายแสงด้วยความรักอันน่าอัศจรรย์ที่เขาถ่ายทอดไปยังทุกคน และมอบชีวิตให้แก่ผู้ที่เขาพบ
 
เราอดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้รับใช้ผู้ทุกข์ทรมานตามที่ประกาศกอิสยาห์บรรยายไว้ว่า “คนจำนวนมากจะตกตะลึงเมื่อเห็นเขา – รูปร่างของเขาก็ผิดไปจากรูปร่างของผู้คน–” … “เขาเป็นคนที่ต้องทนทุกข์และต้องเจ็บปวด เป็นเหมือนคนที่ใครๆเบือนหน้าหนี…” “หลังจากที่เขาประสบความทรมานแล้ว เขาจะได้เห็นแสงสว่างและจะพอใจ…” อิสยาห์ (52:14 และ 53:3 และ 11)
 
“เมื่อผมเปิดโลงศพ – ด้วยความหวาดหวั่นอย่างมากเพราะถ้าเขามีกลิ่นเหมือนศพในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมกลัวว่าคนอื่นจะรู้สึกไม่สบาย แต่เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องทำ ผมไม่รู้เลยว่ามีความประหลาดใจรอผมอยู่ – ผมเปิดฝาโลงศพขึ้นมา ไม่นาน,เราทุกคนก็ได้กลิ่นกุหลาบที่หอมอบอวลมาก! ผมเริ่มร้องไห้ … จากนั้นผมก็เอาผ้าคลุมหน้าของเขามาปิด ผมแน่ใจว่าผมกำลังยืนอยู่ต่อหน้านักบุญ นักบุญจากข้างบ้าน ดังที่พระสันตปาปาฟรังซิสกล่าวไว้ นักบุญผู้สละชีวิตเพื่อให้พวกเรา,พวกเราที่มีสุขภาพดี,สามารถใช้ทุกช่วงเวลาในชีวิตของเราให้เกิดประโยชน์ ดังที่ดอกไม้น้อยแห่งลิซีเยอร์กล่าวไว้ว่า “การถอนหายใจด้วยความรักเพียงเบาๆสามารถช่วยวิญญาณได้” ขอพระเจ้าทรงประทานพระหรรษทานนี้แก่เราผ่านการวิงวอนขอของเปาโล โรแบร์โต!ด้วยเทอญ
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระเมตตาต่อผู้ป่วยโรคเอดส์

 

โดย ป. พระราชินีแห่งสากลโลก จากหนังสือ พลมารีสาร กันยายน 2003
 
พลมารีบ้านโนนแฝก วัดนักบุญเปโตร เยี่ยมผู้ป่วยโรคเอดส์ อายุ 27 ปี ประวัติของเธอ พ่อเสียชีวิตแล้ว แม่ก็ไม่ได้อยู่กับลูก เธออาศัยอยู่บ้านป้า ป้าต้องรับภาระเลี้ยงดู ญาติของเธอได้มาบอกให้ฟังว่า มีผู้ป่วยหนักและยากจน เงินไม่มีจะซื้อโลง ขอโลงให้เธอด้วย ดิฉันได้รับปากกับญาติที่มาขอโลงจะจัดการต่อโลงให้
 
หลังจากนั้นเราพลมารีได้ไปเยี่ยมผู้ป่วยและสวดภาวนา ครั้งแรกผู้ป่วยนอนหันหลังไม่พูดด้วย ได้พูดคุยและให้กำลังใจ ทำให้เธอมีกำลังใจดีขึ้น เพราะพลมารีไม่รังเกียจผู้ที่เป็นโรคนี้ ยินดีที่จะรับใช้และจะมาเยี่ยมบ่อยๆ และทุกครั้งที่มาเยี่ยมผู้ป่วย จะหยิบสายประคำขึ้นมาร่วมสวดภาวนากับพวกเรา ใบหน้ายิ้มดีใจ ลุกขึ้นนั่งได้ พลมารีได้นำรูปแม่พระเหรียญอัศจรรย์ผูกไว้ที่ข้อมือพร้อมด้วยกางเขน เธอได้เอาสายประคำพันกับไม้กางเขน และจับแน่นไว้ ได้หาหนังสือศรัทธาให้อ่าน แนะนำให้สวดภาวนาง่ายๆ เช่น พระเยซูลูกรักพระองค์ 1 พันครั้ง และสวดสายประคำพระเมตตา สายประคำแม่พระบอกว่า แม่จ๋าลูกรักแม่
 
หลังจากที่เธอสิ้นใจแล้ว ไปดูสมุดเล่มหนึ่งซึ่งเธอชอบบันทึก พบว่าเธอจะพยายามสวด ไม่รู้ว่าจะได้แค่ไหน การสวดภาวนา การไปเยี่ยม ทำให้อาการดีขึ้นมากในระยะหนึ่ง
 
เธอจะนั่งมองมาทางหน้าบ้านเหมือนรอคอยผู้ที่จะมาพูดคุยด้วย และแล้วอาการก็ทรุดลงเรื่อยๆ ไอและเหนื่อยมาก พูดน้อยลง แต่เวลาที่พลมารีไปสวดภาวนา เธอจะมองด้วยสายตาที่น่าสงสาร มือจับไม้กางเขนพันด้วยสายประคำไว้แน่นไม่ยอมปล่อย อยู่ที่หน้าอก มีอยู่วันหนึ่ง จำได้ว่า ที่โรงเรียนจัดงานวันแม่สนุกสนาน พลมารี 2 คน คือประธานและเลขา เป็นห่วงเธอมากเพราะต้องนอนอยู่คนเดียว ฝนก็ตกหนัก ฟ้าร้อง จึงพากันมาสวดภาวนาและเป็นเพื่อน บางวันป้าเขาเอาน้ำหรือนมกล่องมาวางไว้ และป้าก็ไปทำงาน เธอต้องอยู่ตามลำพัง แต่ในระยะสุดท้ายพลมารีได้นำเด็กๆไปนั่งรอบๆ เตียงใกล้ชิด และสวดภาวนา เธอบอกว่าเธอชอบเด็กๆที่มาสวดและขอให้มาอีก เมื่ออาการหนักมากและไอ ต้องนอนอยู่ในมุ้ง
 
ก่อนที่พระจะยกไป 3 - 4 วัน เธอได้บอกป้าที่ดูแลให้มาเรียกเลขาพลมารี(คือแม่ครู)ให้มาใกล้ๆเธอ และพูดอย่างดีใจมากด้วยเสียงไพเราะว่า หนูดีใจมาก แม่พระได้มาหาพร้อมทั้งถือช่อดอกไม้สวยงามมา ยิ้มมองดูหนู หนูมีความสุขและดีใจมาก พวกเราพลมารีจะตั้งใจสวดภาวนาและอยู่ใกล้ชิดไม่แสดงอาการรังเกียจ
 
และต่อมา เว้นหนึ่งคืน ถามเธอว่าแม่พระมาหาอีกหรือเปล่า เธอตอบว่าแม่พระไม่ได้มา แต่หนูดีใจมาก พระเยซูเจ้ามา พร้อมทั้งแสงสว่างมาก เหมือนรูปพระเมตตา และมีเทวดาองค์ใหญ่ 2 องค์ มาข้างๆพระองค์
 
รุ่งขึ้นวันต่อมา เธอมีอาการหนักมาก หายใจเหนื่อยและปวดขามาก จึงได้ส่งเด็กที่มาสวดให้กลับบ้านไปก่อน ดิฉันและประธานอยู่เฝ้ากันถึง 4 ทุ่ม และได้กลับไปตี 2 ป้าเขาโทรศัพท์ไปแจ้งว่า พระยกเธอไปแล้ว ก่อนจะสิ้นใจ สติดีบอกให้ญาติสวดอีก สวดอย่าหยุด และอ่านพระคัมภีร์ให้ฟังจนสิ้นใจอย่างสงบ มือกำกางเขนไว้แน่นแกะไม่ออก
 
จากสมุดที่เธอได้บันทึกถึงเพื่อนว่า เวลานี้ตัวฉันไปหาหมอตรวจรู้ว่าเป็นโรค HIV โรคที่สังคมรังเกียจ ซึ่งครั้งหนึ่งได้ผิดพลาดไปแล้ว ใครจะรังเกียจเราก็ไม่โกรธเคืองเขาหรอก แต่เวลานี้เราดีใจมากที่ได้พบความรักของพระเยซูเจ้าที่สวมกอดอยู่ตลอดเวลา และเธอขอบคุณผู้ที่ไม่รังเกียจเธอ คือป้าที่เลี้ยงดูเธอมาในยามที่เจ็บป่วย และขอบคุณพลมารีที่ไม่รังเกียจ เขามาเยี่ยม มาสวดภาวนา เป็นกำลังใจให้ดีสม่ำเสมอ เขาจะไม่ลืม
 
ชีวิตของ มารีอา สุกัญญา น่าสงสาร พ่อตาย ครอบครัวแตกแยก ต้องมีชีวิตที่โดดเดี่ยว หลงทางไประยะหนึ่ง แต่เมื่อเขาพบพระเยซูเจ้า และแม่พระ เขาก็สำนึกผิดขอโทษ กลับใจ เตรียมตัวอย่างดี
 
ชีวิตของมารีอา สุกัญญา เป็นตัวอย่างที่ดีมากในด้านความสำนึกยอมรับความผิด ขอโทษพระ รักพระเยซูเจ้า และ แม่พระ มีความกตัญญู เจ็บป่วยทรมานใช้โทษบาปก่อนจะสิ้นใจ พระเยซูเจ้าและแม่พระได้ประจักษ์มาให้เขาเห็น เป็นตัวอย่าง เป็นเครื่องเตือนใจ ว่าคนที่รักพระรักแม่พระ กลับใจจริงๆจะได้พบพระตั้งแต่อยู่ในโลกนี้แล้ว แม่พระนำช่อดอกไม้มาให้ มารับไปอยู่กับแม่ โดยที่พระเยซูเจ้าได้เมตตาสงสารเสด็จมาให้เห็น เปรียบว่าพระองค์รักผู้ที่สำนึกผิด ให้อภัยและรับไปสรรเสริญพระองค์ในสวรรค์
 
การทำงานของพลมารี ไปเยี่ยมสวดภาวนาประมาณ 30 กว่าครั้ง)
 
ซ. เทเรซา บุญรอด ประธาน , ซ. อังเยลา ลักษณี ผู้บันทึก (เลขา)
 
************************