วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ถวายความทุกข์เพื่อผู้อื่น

 


ไดอารี่ของนักบุญโฟสตินา - ย่อหน้า 309 - 311 - การถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาเพื่อคนบาป
 
309 เบื้องหน้าสวรรค์และโลก เบื้องหน้าเหล่าทูตสวรรค์คณะขับร้องประสานเสียง เบื้องหน้าพระแม่มารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เบื้องหน้าพลังอำนาจทั้งมวลของสวรรค์ ดิฉันขอประกาศต่อพระตรีเอกภาพองค์เดียวว่า วันนี้, ในความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์, พระผู้ไถ่วิญญาณให้รอด, ดิฉันถวายตนเองด้วยความสมัครใจเพื่อให้บรรดาคนบาปกลับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิญญาณเหล่านั้นที่สูญเสียความหวังในพระเมตตาของพระเจ้า การถวายนี้ประกอบด้วยการยอมรับความทุกข์ ยอมรับความกลัวและความหวาดหวั่นทั้งหมดที่คนบาปต้องเผชิญ และยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ดิฉันขออุทิศแก่พวกเขาด้วยความสุขทั้งหมดที่วิญญาณของดิฉันได้รับจากการมีส่วนร่วมกับพระเยซูเจ้าในความทุกข์ กล่าวโดยสรุป ดิฉันขอถวายทุกสิ่งเพื่อพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพิธีมิสซา พิธีศีลมหาสนิท การชดเชยใช้โทษบาป การสวดภาวนา ดิฉันไม่กลัวการถูกโจมตี จากความยุติธรรมของพระเจ้า เพราะดิฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า โอ้พระเจ้าของลูก ด้วยวิธีนี้ ลูกต้องการชดใช้ต่อพระองค์สำหรับวิญญาณที่ไม่วางใจในความดีของพระองค์ ลูกหวังในมหาสมุทรแห่งพระเมตตาของพระองค์อย่างสุดความสามารถ พระเจ้าของลูก ลูกขอมอบทุกสิ่งนี้แด่พระองค์ตลอดไป ลูกไม่ได้ถวายเครื่องบูชาด้วยกำลังของลูกเอง แต่ถวายด้วยกำลังที่มาจากคุณความดีของพระเยซูคริสต์
 
310 - เรากำลังมอบส่วนแบ่งการไถ่บาปมนุษยชาติให้กับลูก ลูกคือความปลอบประโลมใจของเราในยามที่เรากำลังจะตาย
 
311 เมื่อดิฉันได้รับอนุญาตจากคุณพ่อผู้ฟังสารภาพบาปของดิฉัน [คุณพ่อโซปอคโค] ให้ทำการถวายตนเองเป็นเครื่องบูชา ดิฉันก็ได้เรียนรู้ในไม่ช้าว่าการถวายตนเองเป็นเครื่องบูชานี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เพราะดิฉันเริ่มสัมผัสได้ถึงผลที่ตามมาในทันที ชั่วพริบตาเดียว จิตวิญญาณของดิฉันก็กลายเป็นเหมือนก้อนหินที่แห้งผาก เต็มไปด้วยความทรมานและความไม่สงบ คำดูหมิ่นและคำสาปแช่งทุกประเภทก็วนเวียนอยู่ในหูของดิฉัน ความไม่ไว้วางใจและความสิ้นหวังเข้ามารุกรานใจของดิฉัน นี่คือสภาพของคนที่น่าสงสารซึ่งดิฉันได้ประสบ ในตอนแรก ดิฉันกลัวมากกับสิ่งน่ากลัวเหล่านี้ แต่ในระหว่างการสารภาพบาปครั้งแรก [ที่มีโอกาส] ดิฉํนรู้สึกสงบ ดิฉันจะทำการถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาซ้ำทุกวันโดยสวดภาวนาต่อไปนี้ ซึ่งพระเยซูทรงสอนดิฉันเอง พระเยซูตรัสสอนว่า: "โอ้พระโลหิตและน้ำที่ไหลออกมาจากพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าเป็นท่อธารแห่งพระเมตตาเพื่อเราทั้งหลาย ลูกวางใจในพระองค์!"
 
พวกเราไม่ได้เป็นเพียงผู้รับพระเมตตาของพระคริสต์เท่านั้น เมื่อได้รับพระเมตตาของพระองค์ เราก็ได้มีส่วนร่วมในการไถ่บาปของผู้อื่นด้วย ดังที่นักบุญโฟสตินาได้แสดงให้เห็นในการถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาในวรรคที่ 309 “ดิฉันเชื่อว่าชีวิตของนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราสามารถเป็นบทเรียนสำหรับพวกเราผู้ซึ่งเป็นนักบุญที่ต่ำต้อยกว่าได้" ดังนั้น หากนักบุญโฟสตินาสามารถทำสิ่งนี้ได้ เราก็สามารถทำได้ในระดับที่เล็กกว่า เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการไถ่บาปของมนุษยชาติได้ และด้วยวิธีที่ลึกลับที่ไม่ใช่ทางโลก เราก็สามารถกลายเป็นผู้ปลอบประโลมของพระคริสต์ในช่วงเวลาแห่งการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์เมื่อสองพันปีที่แล้ว เช่นเดียวกับที่พระคริสต์ได้อธิบายแก่นักบุญโฟสตินา
 
นักบุญโฟสตินาเป็นผู้ที่ได้รับพระพรพิเศษที่แท้จริง ผมคิดว่าเธอมักจะรู้สึกไม่สบายใจในโลกแห่งวัตถุมากกว่าในโลกแห่งจิตวิญญาณ ผมเชื่อว่านี่คือสาเหตุที่การถวายตนเองเป็นเครื่องบูชาของเธอทำให้เกิดการทรมานทางจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วตามที่บรรยายไว้ในย่อหน้าที่ 311 ซึ่งก็คือการต้องรับ “ความทุกข์ ความกลัว และความหวาดหวั่นทั้งหมดที่คนบาปต้องได้รับ” เธอสวดภาวนาขอให้รับความทุกข์เหล่านั้นเพื่อคนบาปเหมือนกับที่พระคริสต์ทรงรับเพื่อคนบาปอย่างครบถ้วนบนไม้กางเขน และในระดับหนึ่ง คำอธิษฐานนี้ได้รับและยืนยันโดยพระคริสต์ในย่อหน้าที่ 310 ความทุกข์เพื่อการไถ่บาปเป็นความจริงของชีวิตคริสตชน ไม่เพียงแต่ปรากฏในชีวิตของนักบุญโฟสตินาเท่านั้น แต่ปรากฏในพระคัมภีร์ด้วย
 
ข้อความจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้
 
โคโลสี 1:24 บัดนี้ข้าพเจ้ายินดีที่ได้รับทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ความทรมานของพระคริสตเจ้ายังขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าก็เสริมให้สมบูรณ์ด้วยการทรมานในกายของข้าพเจ้า เพื่อพระกายของพระองค์คือพระศาสนจักร
 
เราถูกเรียกให้ทนทุกข์ในพระคริสต์เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่ในระดับของพระเจ้าหรือระดับจิตวิญญาณในระดับสูงเหมือนของนักบุญโฟสตินา แต่ในระดับที่ต่ำกว่า ซึ่งยังคงปลดปล่อยความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ในระดับหนึ่งเข้าสู่ชีวิตของผู้อื่นผ่านตัวเรา กิจกุศลเป็นช่องทางหนึ่งที่เราใช้ได้ แต่พวกเราแทบไม่มีใครที่เพิ่มความทุกข์ทรมานด้วยการเสียสละให้กับกิจกุศลนั้น เช่น การพลีกรรมอดอาหารเพื่อเป็นเครื่องบูชาทางจิตวิญญาณ ขณะเดียวกันก็จัดหาอาหารเย็นให้คนไร้บ้านอันเป็นกิจกุศลทางวัตถุ ซึ่งอาจฟังดูอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยจากมุมมองทางโลก แต่ในมุมมองทางจิตวิญญาณที่เหนือโลก เมื่อพระคริสต์สัมผัสเรา อาจช่วยให้เราสัมผัสทั้งผู้อื่นและพระคริสต์ในเวลาเดียวกัน
 
ข้อความจากพระคัมภีร์
 
1 โครินธ์ 12:26 ถ้าอวัยวะหนึ่งเป็นทุกข์ อวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมยินดีด้วยเช่นเดียวกัน
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2024 พระเยซูทรงรักษาคนตาบอด

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 10:46-52 
(46)พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองเยรีโคพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะที่พระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคพร้อมกับบรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมาก บารทิเมอัสบุตรของทิเมอัส คนขอทานตาบอดนั่งอยู่ริมทาง (47)เมื่อได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธกำลังเสด็จผ่านมา เขาเริ่มส่งเสียงร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริย์ดาวิด เจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” (48)หลายคนดุเขาให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” (49)พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสว่า “ไปเรียกเขามาซิ” เขาก็เรียกคนตาบอดพลางกล่าวว่า “ทำใจดี ๆ ไว้ ลุกขึ้น พระองค์กำลังเรียกเจ้าแล้ว” (50)คนตาบอดสลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดเข้าไปเฝ้าพระเยซูเจ้า (51)พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้” คนตาบอดทูลว่า “รับโบนีให้ข้าพเจ้าแลเห็นเถิด” (52)พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ไปเถิด ความเชื่อของท่านได้ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” ทันใดนั้น เขากลับแลเห็นและเดินทางติดตามพระองค์ไป
******************
 
 
 
วันนี้มีนิทานเกี่ยวกับเป็ดหัดว่ายน้ำมาเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีเป็ดและไก่คู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านริมทะเล อาหารของพวกมันก็คือปลาเน่าๆ ที่ชาวประมงโยนทิ้ง ทุกๆ วันพวกมันคอยจ้องมองนกกระสา (เป็นนกลุยน้ำขนาดใหญ่ ขายาว คอยาว และปากยาวแข็ง) ว่ายน้ำผลุบโผล่อยู่ในทะเลคอยจับปลาและกินปลาสดๆ เจ้าเป็ดก็อยากจะกินปลาสดๆ บ้าง แต่ไก่พูดกับเป็ดว่า “ทำไมถึงอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองมีไม่ได้ล่ะ นกกระสาเค้าเป็นนกน้ำ ตัวเบา เราเป็นนกบก ว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าเจ้าขืนลงทะเลด้วยน้ำหนักตัวแบบนี้มีหวังจมเหมือนก้อนหิน จบชีวิตเปล่าๆ” ปรากฏว่าเป็ดเชื่อไก่แล้วก็ทนกินปลาเน่าๆ ต่อไป
 
ที่สุด วันหนึ่งอากาศร้อนและชื้นมาก เจ้าเป็ดไม่อาจทนกินปลาเน่าๆ ได้อีกต่อไปเพราะกลิ่นมันแรงมาก เป็ดก็เลยไปนั่งเงียบๆ จ้องมองทะเล จังหวะนั้นเองนกกระสาว่ายน้ำผ่านมาเห็นเจ้าเป็ดที่น่าสงสารจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เป็ดก็เล่าให้ฟังว่าตนอยากจะว่ายน้ำเป็นมานานแล้ว จะได้กินปลาสดๆ กับเขาบ้าง แต่พระเจ้าสร้างตนให้เป็นนกบก ตัวหนัก นกกระสาจึงบอกเป็ดว่าก่อนหน้านี้ตนก็ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน แต่เพราะความหิวบังคับก็เลยต้องกระโดดลงทะเลแล้วก็พบว่าตนว่ายน้ำได้ พร้อมกันนั้นนกกระสาก็ชวนเป็ดให้กระโดดลงทะเลและลองว่ายน้ำดู เป็ดกลัว แต่นกกระสาก็คอยให้กำลังใจจนเป็ดเอาชนะความกลัว ค่อยๆ ก้าวลงทะเล แล้วก็พบว่าตัวเองลอยได้ ไม่จม และไม่ช้ามันก็เรียนรู้ที่จะว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถจับและกินปลาสดๆ ได้สมความปรารถนา
 
พี่น้องเห็นวิธีที่เป็ดมันค้นพบตัวตนและความสามารถที่พระเจ้าประทานให้มันไหม เป็ดไม่ได้เป็นเพียงนกบกแต่เป็นนกน้ำด้วย ตราบใดที่มันเชื่อว่ามันเป็นนกบก มันก็อยู่บนบก แล้วก็อดอยากน่าสงสาร แต่เมื่อมันค้นพบตัวตนและความสามารถที่แท้จริง มันก็ว่ายน้ำได้และอิ่มหมีพีมัน
 
เรื่องราวของบารทิเมอัสในพระวรสารวันนี้ก็เช่นเดียวกัน จากขอทานข้างถนนที่ไม่มีใครรู้จัก กลายมาเป็นมนุษย์ผู้มีศักดิ์ศรีและก็ตระหนักในความเป็นบุตรของพระเจ้าที่พระเจ้าประทานให้
 
เรื่องราวของบารทิเมอัสในพระวรสารโดยนักบุญมาระโกที่เราได้ฟังวันนี้ เป็นที่สนใจของนักพระคัมภีร์มาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในพระวรสารทั้งสี่ที่มีการระบุชื่อของผู้ที่ได้รับการเยียวยารักษาโดยพระเยซูเจ้า
 
ที่สำคัญ มาระโกระบุชื่อถึงสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกคือ “บารทิเมอัส” ครั้งที่สองคือ “บุตรของทิเมอัส”
 
เหตุที่มาระโกเน้นและให้ความสำคัญกับชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่า ในสมัยโบราณ ชื่อนั้นไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อระบุตัวตนเท่านั้น แต่มันบ่งบอกถึงบุคลิกภาพและจุดมุ่งหมายของคนๆ นั้นด้วย
 
ชื่อบารทิเมอัสมาจากภาษาอาราเมอิก tame' หมายถึง “บุตรแห่งความด่างพร้อย” เขาคงได้ชื่อนี้เพราะเขาเป็นขอทานตาบอด
 
ส่วนทิเมอัสมาจากภาษากรีก time' หมายถึง “บุตรแห่งเกียรติยศ” ซึ่งบ่งบอกถึงธรรมชาติและจุดมุ่งหมายของเรามนุษย์
 
มาระโกระบุชื่อสองครั้งก็เพื่อจะบอกเราว่า มนุษย์ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี (time') นั้น กำลังดำเนินชีวิตอย่างด่างพร้อย ไร้เกียรติ และน่าอับอาย (tame')
 
ดังนั้น สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ จึงไม่ใช่แค่ทำให้บารทิเมอัสมองเห็น แต่เหนืออื่นใด พระองค์ทรงทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้ กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม เหมือนที่นกกระสาได้กระทำกับเป็ด คือให้คำแนะนำและให้กำลังใจจนเป็ดสามารถตระหนักถึงความสามารถและศักดิ์ศรีที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่มัน
 
พี่น้องครับ บางครั้งเราก็เป็นเหมือนเป็ดที่นั่งเศร้าอยู่ริมทะเล หรือเหมือนบารทิเมอัสที่นั่งขอทานอยู่ริมถนน คือเรารู้สึกว่า “ชีวิตของเรามันยังน่าจะเป็นอะไรได้มากกว่านี้”
 
บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนกับว่าเราเกิดมาเพื่อจะเป็นนักว่ายน้ำเหมือนนกกระสา แต่เราก็ยังมัวแต่เดินอุ้ยอ้ายแล้วก็กินแต่ปลาเน่าๆ อยู่ริมทะเลเหมือนเป็ด
 
หรือบางครั้งเราก็รู้สึกว่าน่าจะติดตามพระเยซูเจ้าและร่วมมือกับพระองค์ในการช่วยโลกให้รอดพ้น เหมือนบารทิเมอัสที่เมื่อตามองเห็นก็ลุกขึ้นติดตามพระองค์ แต่เรากลับยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากมัวแต่ทำงานประจำซ้ำซากน่าเบื่อ
 
พี่น้องครับ ข่าวดีก็คือพระเยซูเจ้ากำลังเสด็จผ่านมา พระองค์สามารถเยียวยารักษาเรา พระองค์สามารถกำจัดความอ่อนแอและอุปสรรคต่างๆ ที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ อย่าไปสนใจคำพูดของคนอื่นว่าเป็นไปไม่ได้ หรือหาว่าเรากำลังฝันกลางวัน เหมือนที่ไก่พูดกับเป็ด แต่ให้เราทำแบบบารทิเมอัสที่ไม่สนใจฟังผู้คนที่ดุให้เขาเงียบ แต่กลับตะโกนเรียกพระเยซูเจ้าดังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
 
พระเยซูเจ้าพร้อมที่จะรักษาอาการตาบอดที่ทำให้เราหยุดนิ่งหรือเคลื่อนไหวลำบากได้ พระองค์พร้อมจะประทานพละกำลังและเปลี่ยนแปลงเราจากฝูงชนจำนวนมากที่ยืนดูอยู่เฉยๆ ข้างถนนนอกเมืองเยรีโค ไปเป็นผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างแข็งขันและกระตือรือร้นเหมือนอย่างบารทิเมอัส
 
ต่างกันเพียงแต่ว่าเราติดตามพระองค์ ไม่ใช่ในฐานะอดีตขอทานตาบอด แต่ในฐานะสงฆ์หรือสมณะ เพราะเมื่อรับศีลล้างบาป เราได้รับฐานะเป็นทั้งสงฆ์ ประกาศก และกษัตริย์
 
นักบุญเปโตรจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่ทรงเลือกสรรไว้ เป็นสมณราชตระกูล” (1 ปต 2:9)
 
บทอ่านที่สองวันนี้ บอกหน้าที่ของเราในฐานะที่เป็นสมณราชตระกูลว่า “เราเป็นผู้แทนมนุษย์ในความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า” นั่นคือ เราคริสตชนทุกคนมีหน้าที่นำมนุษย์มาหาพระเจ้า และในเวลาเดียวกันก็นำพระเจ้าไปให้แก่มนุษย์
 
และในการทำหน้าที่นี้ จดหมายถึงชาวฮีบรูบอกว่า เราต้องเห็นใจผู้ที่ไม่รู้และหลงผิด เพราะตัวเราเองก็ถูกความอ่อนแอครอบงำอยู่ คือเป็นผู้ที่หลงผิดด้วยเช่นกัน
 
หลายครั้งเราปรารถนาดี ต้องการให้ผู้คนกลับมาหาพระเจ้าด้วยการตำหนิ ว่ากล่าว หรือโกรธ เราคิดว่าเราจะสอนเขา แต่เพราะความแข็งกระด้าง เรากลับทำให้เขาเสียขวัญ เสียกำลังใจ มากกว่าจะช่วยเขาให้หลุดพ้นจากความอ่อนแอและหลงผิด
 
เราจึงต้องไม่ลืมว่า เราต้อง “เห็นใจผู้ที่ไม่รู้และหลงผิด” เพราะตัวเราเองก็ถูกความอ่อนแอครอบงำอยู่เหมือนกัน พี่น้องครับ ในฐานะที่เราทุกคนเป็นสงฆ์ เป็นสมณราชตระกูล หนทางที่ดีที่สุดในการนำคนกลับมาหาพระเจ้าก็คือการใช้ความอ่อนโยนและสุภาพ ดังนั้น ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าในบูชามิสซานี้ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ผู้มีใจอ่อนโยนและสุภาพ ขอโปรดให้ใจของลูกละม้ายคล้ายพระองค์ด้วยเทอญ”
 
***************************


โรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมาน

 

ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้ามักจะอ้างถึงการมีอยู่ของโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมานของมนุษย์,ว่าเป็นหลักฐานที่ขัดแย้งกับแนวคิดที่บอกว่าพระเจ้า,เป็นพระผู้สร้างผู้ทรงปรีชาฉลาดและทรงเมตตากรุณา
 
อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของคาทอลิก ความทุกข์ทรมานรวมถึงความเจ็บป่วยไม่ได้ขัดแย้งกับแผนการของพระเจ้า แต่สามารถเข้าใจได้ในกรอบที่กว้างขึ้นของความเชื่อ, การไถ่บาป, และความลึกลับในแผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ
 
1. บทบาทของจิตใจอิสระและการตกต่ำของมนุษย์
 
เทววิทยาคาทอลิกเริ่มต้นด้วยความเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกให้มีแต่ความดี แต่ด้วยจิตใจอิสระของมนุษย์ก็เกิดความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะล้มเหลวทางศีลธรรม ตามหลักคำสอนเรื่อง *บาปกำเนิด* การไม่เชื่อฟังครั้งแรกของมนุษย์ได้นำความวุ่นวายไร้ระเบียบมาสู่โลก ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการสร้างสรรค์ทั้งหมดด้วย (ปฐมกาล 3:17-19) การมีอยู่ของโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมานในรูปแบบอื่นๆ ถือได้ว่าเป็นผลที่ตามมาจากความวุ่นวายไร้ระเบียบตั้งแต่มนุษย์คู่แรกไม่เชื่อฟังพระเจ้า
 
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าความวุ่นวายไร้ระเบียบนี้ไม่ใช่สิ่งบ่งชี้ถึงแผนการที่ผิดพลาด แต่เป็นการสะท้อนถึงวิธีที่พระเจ้าเคารพจิตใจอิสระของมนุษย์ หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์มีความสามารถที่จะเลือกทำสิ่งดีหรือชั่วร้ายได้ จิตใจอิสระเองก็จะไม่เป็นจริง ในมุมมองนี้ โรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมานเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตในโลกที่ตกต่ำ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกับแผนการดั้งเดิมหรือความดีของพระเจ้า
 
2. ความทุกข์เป็นหนทางสู่การไถ่บาป
 
คาทอลิกถือว่าความทุกข์, รวมทั้งความทุกข์ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ใช่เป็นเพียงการลงโทษหรืออุบัติการณ์ที่ไร้ความหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับการเติบโตฝ่ายจิตและการมีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งการไถ่บาปของพระคริสต์ด้วย พระเยซูเองทรงประสบกับความทุกข์ทรมานและความตายอย่างแสนสาหัส ซึ่งทางคาทอลิกเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นส่วนจำเป็นในแผนการของพระเจ้าเพื่อความรอดของมนุษยชาติ ไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์และความตาย ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการฟื้นคืนชีพ
 
ในทำนองเดียวกัน ความทุกข์ส่วนตัว รวมทั้งความเจ็บป่วย สามารถรวมเข้ากับความทุกข์ของพระคริสต์ได้ โดยเป็นหนทางให้ผู้มีความเชื่อเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์, เติบโตในความอ่อนน้อมถ่อมตน, และในความมีใจเมตตากรุณา พระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงเน้นย้ำในสมณลิขิตของพระองค์ *Salvifici Doloris* ว่าความทุกข์มีคุณสมบัติในการไถ่บาปเมื่อรวมเข้ากับความทุกข์ของพระคริสต์เอง พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ได้ยกย่องความทุกข์ แต่เห็นว่าเป็นหนทางสู่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเป็นหนทางที่พระหรรษทานของพระเจ้าจะสามารถทำงานได้
 
3. ความลึกลับของพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า
 
ปัญหาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์มักถูกมองผ่านมุมมองแห่งพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงการทรงดูแลและชี้แนะอย่างต่อเนื่องของพระเจ้าสำหรับสิ่งสร้างทั้งหมด คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกอธิบายว่า ขณะที่ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของสภาวะมนุษย์ แต่ก็ไม่อยู่เกินขอบเขตพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า พระเจ้าสามารถทำให้เกิดสิ่งดีๆออกมาจากความทุกข์ได้ แม้ว่าสาเหตุของความทุกข์นั้นจะไม่ชัดเจนในทันทีก็ตาม (CCC 309-314)
 
ตัวอย่างสำคัญประการหนึ่งในพระคัมภีร์คือเรื่องราวของโยบ ชายผู้ชอบธรรมที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ถีงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ตาม ความทุกข์ของโยบทำให้เขาตั้งคำถามถึงความยุติธรรมของพระเจ้า แต่สุดท้ายแล้ว พระเจ้าไม่ได้ให้คำอธิบายโดยตรงแก่โยบเกี่ยวกับความทุกข์ของเขา ในทางกลับกัน โยบได้รับคำเชิญชวนให้วางใจในพระปรีชาญาณของพระเจ้าและความลึกลับของแผนการของพระองค์ เรื่องราวนี้เน้นว่า,จากมุมมองของคาทอลิก, มนุษย์อาจไม่เข้าใจเหตุผลของความทุกข์เสมอไป แต่พวกเขาถูกเรียกร้องให้วางใจในความดีและการออกแบบขั้นสูงสุดของพระเจ้า
 
4. วิทยาศาสตร์, การแพทย์, และความร่วมมือของมนุษย์กับพระปรีชาญาณอันศักดิ์สิทธิ์
 
พระศาสนจักรคาทอลิกไม่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ ในทางตรงกันข้าม,พระศาสนจักรยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของพระพรแห่งเหตุผลและความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้ การพัฒนายาและเทคโนโลยีถือเป็นการมีส่วนร่วมในพลังสร้างสรรค์ของพระเจ้า แทนที่จะมองว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแผนการของพระเจ้า มุมมองของพระศาสนจักรคาทอลิกสนับสนุนให้ผู้มีความเชื่อทำงานอย่างแข็งขันเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมาน, เพื่อค้นพบการรักษาและการบำบัดรักษาใหม่ๆ, ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องให้รักและรับใช้ซึ่งกันและกัน
 
อันที่จริง ความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหลายๆอย่างเริ่มต้นโดยสถาบันของพระศาสนจักรคาทอลิก ตัวอย่างเช่น พระศาสนจักรดำเนินกิจการโรงพยาบาลและคลินิกหลายแห่งทั่วโลก และในประวัติศาสตร์ คณะสงฆ์หลายแห่ง เช่น คณะภคินีแห่งพระเมตตาหรือคณะภราดาอเล็กเซียน ก่อตั้งขึ้นเพื่อดูแลคนป่วย ตัวอย่างของนักบุญเช่นนักบุญดาเมียนแห่งโมโลไก ซึ่งเคยดูแลคนโรคเรื้อน และนักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา ซึ่งดูแลคนยากจนและคนใกล้ตาย เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของพระศาสนจักรคาทอลิกในการบรรเทาทุกข์ผ่านการดูแลด้วยความเมตตาและการช่วยเหลือทางการแพทย์
 
5. แผนการสูงสุดของพระเจ้าคือ: ชีวิตนิรันดร
 
พระศาสนจักรคาทอลิกสอนว่าความทุกข์และโรคภัยที่ประสบในชีวิตนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและต้องเข้าใจในแง่ของชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าสัญญาไว้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ความเจ็บปวดและข้อจำกัดของโลกปัจจุบันไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวนี้ ดังที่นักบุญเปาโลเขียนไว้ในจดหมายถึงชาวโรมว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ทรมานในเวลานี้เทียบไม่ได้กับความรุ่งโรจน์ที่จะเปิดเผยแก่เรา” (โรม 8:18)
 
ความหวังในชีวิตนิรันดร์นี้มีพื้นฐานอยู่ที่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระศาสนจักรคาทอลิกมองว่าเป็นคำตอบขั้นสุดท้ายสำหรับความทุกข์ทรมานของมนุษย์ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ทำให้ผู้มีความเชื่อมั่นใจได้ว่าความตายและโรคภัยไข้เจ็บไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แม้ว่าความทุกข์ทรมานจะเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดและเกิดขึ้นจริงของมนุษย์ แต่ก็เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และในท้ายที่สุด ความทุกข์ทรมานจะถูกเปลี่ยนให้เป็นความรุ่งโรจน์ ความหวังนี้ทำให้ชาวคาทอลิกสามารถเผชิญกับความทุกข์ทรมานด้วยความกล้าหาญและไว้วางใจในแผนการของพระเจ้า แม้ว่าแผนการนั้นจะยังคงเป็นความลึกลับสำหรับเราก็ตาม
 
6. แบบอย่างของนักบุญที่ยอมรับความทุกข์
 
ตลอดประวัติศาสตร์ นักบุญหลายคนได้ให้แบบอย่างของการที่คริสตชนคาทอลิกถูกเรียกร้องให้พิจารณาความทุกข์ในลักษณะที่เป็นแผนการของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น นักบุญเทเรซาแห่งลิซีเออร์ ป่วยเป็นวัณโรคและเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มาก อย่างไรก็ตาม เธอถือว่าความเจ็บป่วยของเธอเป็นหนทางที่จะรวมตัวเธอเองเข้ากับความทุกข์ของพระคริสต์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมอบความเจ็บปวดของเธอเพื่อการไถ่บาปของวิญญาณ นักบุญพระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 ซึ่งป่วยด้วยโรคพาร์กินสันในช่วงบั้นปลายชีวิต มักพูดถึงการที่ความทุกข์ของพระองค์เองทำให้พระองค์เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นและเห็นอกเห็นใจความทุกข์ของผู้อื่น
 
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความทุกข์ รวมทั้งความเจ็บป่วย สามารถมีจุดประสงค์ได้เมื่อเรายอมรับด้วยความเชื่อ ความทุกข์ไม่ใช่หลักฐานที่ขัดแย้งกับแผนการอันปรีชาฉลาดของพระเจ้า แต่มันเป็นประสบการณ์อันล้ำลึกของความรักและการไถ่บาปของพระคริสตเจ้า
 
บทสรุป:
 
ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของแผนการอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า
 
จากมุมมองของคาทอลิก โรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมานไม่ได้เป็นการหักล้างแผนการอันปรีชาฉลาดของพระเจ้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของการไถ่กู้ของพระคริสต์สำหรับโลกที่ตกต่ำ ความทุกข์ทรมานของมนุษย์สามารถนำไปสู่การเติบโตฝ่ายจิต ทำให้เรามีความไว้วางใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า และทำให้เรารวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริงกับพระองค์ในชีวิตนิรันดร์ แม้ว่าผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอาจมองว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นหลักฐานของจักรวาลที่วุ่นวายไร้ระเบียบหรือปราศจากจุดประสงค์ แต่ฝ่ายคาทอลิกกลับมองว่าความทุกข์ทรมานเป็นเส้นทางสู่พระหรรษทานของพระเจ้า ซึ่งถูกกำหนดโดยความรักและแผนการนิรันดร์ของพระองค์ โดยอาศัยวิทยาศาสตร์, ยา, และการดูแลเอาใจใส่ด้วยความเมตตา ผู้มีความเชื่อร่วมมือกับพระปรีชาญาณของพระเจ้าเพื่อบรรเทาทุกข์ โดยเฝ้ารอวันที่ความเจ็บปวดทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในการกลับฟื้นคืนชีพเสมอ
 
************************
 

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2567

การจัดงานที่ฝรั่งเศส

 


ดูเหมือนฝรั่งเศสกำลังถูกคุกคามจากกลุ่มบางกลุ่ม ตั้งแต่ธีมของการเปิดตัวโอลิมปิค 2024 ซึ่งเป็นการแสดงออกของกลุ่ม LGBTQ อย่างโจ่งแจ้ง,กลุ่มที่นิยมเพศเดียวกัน เป็นการดูหมิ่นศาสนา,ความเชื่อและประเพณีดั้งเดิม และเท่ากับเป็นการบังคัมให้คนทั้งโลกต้องดูและยอมรับกลุ่มนี้ ฝรั่งเศสได้กลายเป็นที่พักและสำนักงานถาวรของซาตานและพรรคพวกของมันแล้ว
 
ตั้งแต่วันที่ 25 ถึง 27 ตุลาคม เมืองตูลูสจะจัดการแสดงโอเปร่าในเมืองเรื่อง "The Guardian of the Temple - The Gate of Darkness" พร้อมด้วยรูปปั้นขนาดมหึมาและน่าสะพรึงกลัว รวมถึง Lilith ผู้พิทักษ์แห่งความมืด ที่นี่ที่ Hellfest เทศกาลดนตรีฝรั่งเศสในเมือง Loire Atlantique
 
เพื่อเป็นการตอบโต้การแสดงที่มีภาพสัญลักษณ์ของซาตานซึ่งจะจัดขึ้นตามท้องถนนของเมืองตูลูสในช่วงปลายเดือนตุลาคม อาร์ชบิชอปจึงตัดสินใจประกอบพิธีถวายเมืองนี้แด่ดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
 
โอเปร่าในเมือง La porte des Ténèbres หรือ The Gate of Shadows มีกำหนดจัดแสดงเป็นเวลาสองวันในช่วงปลายเดือนตุลาคมตามท้องถนนของเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส การแสดงนี้สร้างความกังวลอย่างมากเนื่องจากมีการกล่าวถึงซาตานและเรื่องลึกลับหลายครั้ง เพื่อตอบโต้ อาร์ชบิชอปแห่งตูลูส กี เดอ เคอริเมล จึงตัดสินใจประกอบพิธีถวายเมืองและสังฆมณฑลแด่ดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูในวันที่ 16 ตุลาคม เพื่อปกป้องเมืองจาก “ภัยคุกคามอันชั่วร้าย”
 
ชื่อของการแสดงนี้ ซึ่งจะแสดงระหว่างวันที่ 25 ถึง 27 ตุลาคมตามท้องถนนของเมืองตูลูส ชวนให้นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง แต่เหนือสิ่งอื่นใด เนื้อหาของการแสดงนี้ต่างหากที่ทำให้อาร์ชบิชอปเป็นกังวล “เมฆดำกำลังก่อตัวขึ้นเหนือโลกของเรา” ท่านบิชอปกล่าว
 
ปีศาจและโบสถ์ที่ถูกเผา
 
“โอเปร่าในเมือง” ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากเมืองนี้จะมีรูปปั้นเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ เช่น มิโนทอร์ แมงมุมน้องสาวต่างมารดาของเขา อาริอัดเน และลิลิธ สิ่งมีชีวิตครึ่งหญิงครึ่งแมงป่อง ซึ่งผู้จัดงานบรรยายว่าเป็นผู้ “ควบคุมทางผ่านระหว่างโลกของเราและโลกใต้พิภพ” (ลิลิธเป็นตัวละครปีศาจในนิทานพื้นบ้านของชาวยิว)
 
ในโปสเตอร์ที่นำเสนอการแสดง ตัวละครหลักขนาดยักษ์ทั้งสามถูกล้อมรอบไปด้วยการอ้างอิงที่ไม่ค่อยน่าอุ่นใจมากมาย: โบสถ์ที่ถูกไฟเผาไหม้ โครงกระดูกเดินได้ เทวดาอยู่ที่นี่ สิ่งมีชีวิตสีแดงที่มีหัวเป็นลูกวัว …
 
François Delarozière ผู้กำกับการแสดงในเมืองนี้โดย Compagnie de la Machine ปฏิเสธว่าไม่มีการอ้างอิงถึงซาตาน
 
“เราเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความตาย ชีวิต และชีวิตหลังความตาย พร้อมตำนานอันยิ่งใหญ่ที่สืบทอดมาหลายศตวรรษ (...) เราทุกคนมีสิทธิที่จะพูดในสิ่งที่ต้องการและสิ่งที่เราคิด แต่เราไม่มีสิทธิที่จะเซ็นเซอร์หรือห้าม” เขากล่าวกับ AFP
 
อย่างไรก็ตาม บทนำของโอเปร่าเรื่องนี้ชวนให้คิด “ลิลิธ หญิงแมงป่อง ถูกขับไล่ออกจากสวนแห่งเฮสเพอริเดส และได้ไปหลบภัยในส่วนลึกของโลก เมื่อได้รับการปลดปล่อยจากฮาเดส ราชาแห่งยมโลก เธอจึงออกเดินทางไปจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งเพื่อตามหาวิญญาณที่ถูกสาปแช่งเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ติดตามและพลังของเธอ (...) เธอพยายามรวบรวมสัญลักษณ์มหัศจรรย์เพื่อเปิดทางไปสู่อีกฟากหนึ่ง”
 
ฉากที่ 1 องก์ที่ 1 ซึ่งแสดงเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ยังคงมี “สัญลักษณ์สามประการ” ซึ่งก็คือ “ไม้กางเขนของซาตาน ตราสัญลักษณ์ของลูซิเฟอร์ และสัญลักษณ์ของสัตว์ร้าย”
 
เรื่อง The Guardian of the Temple - The Gate of Darkness ซึ่งมีรูปปั้นเคลื่อนไหวได้ขนาดยักษ์ที่น่ากลัว รวมถึงรูปปั้นลิลิธ ผู้พิทักษ์แห่งความมืด
 
การถวายเมืองแด่พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
 
อาร์ชบิชอปเดอ เคอริเมลใช้วาระครบรอบ 350 ปีของการประจักษ์ของพระเยซูต่อนักบุญมาร์กาเร็ต มารี อาลาก๊อก, จึงตัดสินใจถวายสังฆมณฑลแด่พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูในพิธีมิสซาในวันพุธที่ 16 ตุลาคม
 
ท่านอธิบายว่านี่เป็น "กิจการฝ่ายจิตวิญญาณเพื่อปกป้องเมืองตูลูสและสังฆมณฑลของเราจากภัยคุกคามและความสิ้นหวังอันมืดมนเหล่านี้ เราต้องการความสงบสุข ไม่ใช่ความมืด" ท่านกล่าวกับ Aleteia "ผมต้องการเสนออะไรบางอย่างที่จะทำให้เราสามารถมองไปยังอนาคตด้วยความมั่นใจ แต่โดยอาศัยการตอบสนองฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะผมไม่เชื่อว่าการร้องขอหรือการโจมตีส่วนบุคคลจะมีประสิทธิผลมากนัก"
 
"พระเยซูทรงพิชิตได้อย่างไร? เราเป็นสาวกของพระคริสต์ ดังนั้น เราจึงต้องตอบสนองไม่ใช่ตามจิตวิญญาณของโลก แต่ต้องตามจิตวิญญาณของพระคริสต์ เราไม่สามารถแสดงชัยชนะได้ด้วยการตะโกนดังกว่าคนอื่น สำหรับผมแล้ว ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พระคริสต์ทรงต้องการจากเรา”
 
“พระหฤทัยของพระเยซูคือชัยชนะสูงสุดของพระคริสต์เหนือความตายและความมืดมิด มันคือชัยชนะของความรัก ไม่มีชัยชนะอื่นใดเหนือความชั่วร้ายและความตายนอกจากความรักและความเมตตา” ท่านบิชอปกล่าว
 
อย่างไรก็ตาม ท่านยอมรับว่าการประกอบพิธีถวายเมืองจะไม่สามารถทำให้ปัญหาต่างๆ หายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ “โลกจะเปลี่ยนแปลงไปก็ต่อเมื่อผู้คนยอมให้ตัวเองถูกสัมผัสจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น”
 
ไม่ใช่ชาวคาทอลิกเพียงกลุ่มเดียวที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการแสดงดังกล่าวที่จัดขึ้นตามท้องถนนของนครสีชมพู
 
ชุมชนโปรเตสแตนต์ยังแสดงความไม่เห็นด้วย: “เรารักตูลูสเพราะประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความมีชีวิตชีวา (...) ตูลูสคือชีวิต ความสุข และความสวยงาม! อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของคริสตจักรรู้สึกตกใจและวิตกกังวลกับการเลือกธีมของการแสดงนี้ ซึ่งนำเสนอตูลูสเป็น 'ประตูสู่ความมืดมิด'” ตัวแทนของสหพันธ์โปรเตสแตนต์ฝรั่งเศสแสดงความเห็น
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คำพูดของนักบุญเกี่ยวกับสวรรค์

 


โดย Fr Lawrence Lew OP CC
 
ผู้ที่รู้ดีที่สุดจะบรรยายถึงความสุขที่รอคอยอยู่
 
เมื่อวันฉลองนักบุญทั้งหลายและวันฉลองวิญญาณในไฟชำระใกล้จะมาถึง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่ดีในการพิจารณาว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราหลังจากความตาย หรือพูดให้เจาะจงมากขึ้นก็คือ วิญญาณอันเป็นนิรันดร์ของเราจะไปอยู่ที่ไหนเมื่อร่างกายของเราตาย
 
โชคดีสำหรับผม นักเขียนอีกคนหนึ่งได้เขียนถึงด้านมืดของความตายสำหรับสื่อ Aleteia ไปแล้ว บทความคู่ขนานของ Brantly Millegan เกี่ยวกับนิมิตที่น่ากลัวของนักบุญในเรื่องนรกและการมองเข้าไปในนรกอย่างมีสติสัมปชัญญะของพวกเขาควรจะเพียงพอที่จะทำให้ใครก็ตามหวาดกลัวและเดินทางไปสู่เส้นทางที่ตรงและแคบอีกครั้ง แต่ความเชื่อที่แท้จริงควรเกี่ยวกับความหวังและความยินดีมากกว่าความกลัวและความน่าสยดสยอง การสำนึกผิดอย่างสมบูรณ์นั้นหมายถึงการรักพระเจ้ามากจนเราไม่ยอมทำเคืองพระทัยพระองค์ได้ ไม่ใช่ความกลัวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเผาไหม้ชั่วนิรันดร์ในนรก
 
ด้วยจิตวิญญาณแห่งความหวังที่จะมองเห็นสิ่งที่รอคอยผู้สัตย์ซื่อหลังความตาย ผมขอเสนอมุมมองสิบประการเกี่ยวกับสวรรค์ตามคำบอกเล่าของนักบุญ ซึ่งนักบุญบางคนโชคดีที่ได้สัมผัสประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง,ก่อนหรือหลังที่เสียชีวิต และรายงานกลับมาให้เราทราบ
 
นักบุญโฟสตินาได้เขียนบันทึกอย่างละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางฝ่ายวิญญาณของเธอไปสู่สวรรค์และไปสู่นรกด้วย,ในไดอารี่ของเธอ ซึ่งได้รับการรับรองจากทางพระศาสนจักรแล้วว่าเป็นการเปิดเผยจากสวรรค์ หลังจากที่นักบุญโฟสตินาได้รับบาดแผลทางจิตใจจากการเห็นนิมิตในนรก เธอได้รับบทภาวนาแห่งพระเมตตาจากพระเยซูเจ้าเพื่อแบ่งปันกับคนทั่วโลกในฐานะอาวุธในการทำสงครามเพื่อช่วยวิญญาณให้รอด แต่ที่น่าเศร้าคือ นิมิตที่ให้กำลังใจเกี่ยวกับสวรรค์ของเธอได้รับความสนใจน้อยกว่า ซึ่งเธอเขียนไว้ว่า:
 
“วันนี้ดิฉันได้ไปอยู่ในสวรรค์ฝ่ายวิญญาณ และดิฉันได้เห็นความงดงามที่เหนือจินตนาการและความสุขที่รอคอยเราอยู่หลังความตาย ดิฉันเห็นว่าสิ่งสร้างทั้งหลายสรรเสริญและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง ดิฉันเห็นว่าความสุขในพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด ซึ่งแผ่ขยายไปถึงสิ่งสร้างทั้งหลาย ทำให้พวกเขามีความสุข และจากนั้นพระสิริรุ่งโรจน์และคำสรรเสริญทั้งหมดที่เกิดจากความสุขนี้จะกลับคืนสู่แหล่งที่มา และพวกเขาจะเข้าสู่ส่วนลึกของพระเจ้า, พิจารณาชีวิตภายในของพระเจ้า พระบิดา พระบุตร และพระจิต ซึ่งพวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจหรือหยั่งถึงได้ แหล่งที่มาของความสุขนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่เป็นสิ่งใหม่เสมอ หลั่งไหลความสุขออกมาสู่สิ่งสร้างทั้งหลาย”
 
นักบุญอัลฟองโซ มาเรีย เดอ ลิโกวรี เล่าเรื่องราวที่อธิการใหญ่ของคณะเยซูอิตเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับท่านอธิการอีกคนหนึ่งที่ปรากฏตัวต่อเขาหลังจากเขาเสียชีวิต และบอกเล่าโดยละเอียดเกี่ยวกับการสิ่งที่ผู้คนจะประสบในสวรรค์ ตามคำบอกเล่าของอธิการที่ล่วงลับไปแล้ว รางวัลแห่งสวรรค์นั้นไม่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคนที่เข้ามา แต่ทุกคนที่เข้ามาจะได้รับความพึงพอใจอย่างเท่าเทียมกัน:
 
“เวลานี้ ข้าพเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว, กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 กษัตริย์แห่งสเปนก็อยู่ในสวรรค์เช่นกัน เราทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับรางวัลนิรันดร์แห่งสวรรค์ แต่สำหรับเรามันแตกต่างกันมาก ความสุขของข้าพเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าของพระองค์ เพราะมันไม่เหมือนกับตอนที่เรายังอยู่บนโลก เพราะตอนนั้นพระองค์เป็นราชาและข้าพเจ้าเป็นสามัญชน เวลานั้นเราอยู่ห่างกันเหมือนแผ่นดินโลกและท้องฟ้า แต่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้าม บนโลก,ข้าพเจ้าต่ำต้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับกษัตริย์ ตอนนี้ข้าพเจ้าเหนือกว่าพระองค์ในความรุ่งโรจน์บนสวรรค์ อย่างไรก็ตาม เราทั้งสองมีความสุข และหัวใจของเราก็พอใจอย่างสมบูรณ์”
 
พระสันตปาปาเกรกอรีที่ 2 ตรัสถึงความเป็นหนึ่งเดียวเหนือธรรมชาติระหว่างของบรรดานักบุญในสวรรค์,และความรู้ที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดของพวกท่านว่า “นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว, พระหรรษทานอันวิเศษยังหลั่งมาสู่บรรดานักบุญในสวรรค์อีกด้วย เพราะพวกเขาไม่เพียงรู้จักผู้ที่พวกเขาเคยรู้จักในโลกนี้เท่านั้น แต่ยังรู้จักผู้ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย และสนทนากับพวกเขาในลักษณะที่คุ้นเคยราวกับว่าเคยเห็นและรู้จักกันในอดีตกาล ดังนั้น เมื่อพวกเขาจะได้เห็นปิตาจารย์ในสมัยโบราณในสถานที่แห่งความสุขชั่วนิรันดร์นั้น พวกเขาจะรู้จักท่านด้วยสายตา ราวกับว่าพวกเขารู้จักท่านอยู่เสมอในชีวิตบนโลกและการสนทนาของพวกเขาก็เกิดขึ้น เพราะพวกเขาเห็นว่าในสถานที่นั้น พวกเขากระทำด้วยความสดใสที่ไม่อาจบรรยายได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคน มองดูพระเจ้าเถิด มีอะไรอีกบ้างที่พวกเขาไม่รู้ พวกเขาจะได้รู้จากพระองค์ผู้ทรงรู้ทุกสิ่ง”
 
ในขณะเดียวกัน นักบุญท่านอื่นๆ ก็ได้ให้ภาพนิมิตและคำบรรยายเกี่ยวกับสวรรค์ที่น่ายินดีในลักษณะเดียวกัน:
 
นักบุญออกัสติน: “ที่นั่น ความดีจะอยู่อย่างเป็นระเบียบในตัวเรา,จนเราไม่มีความปรารถนาอื่นใดนอกจากจะอยู่ที่นั่นชั่วนิรันดร์”
 
นักบุญฟิลิป เนรี: “ถ้าเราเพียงแต่เราได้ไปสวรรค์เท่านั้น ช่างเป็นความอ่อนหวานและน่ายินดีเหลือเกินในการที่เราจะได้ประสานเสียงพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์และนักบุญว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์’”
 
นักบุญอันแซล์มแห่งแคนเทอร์เบอรี: “ไม่มีใครจะมีความปรารถนาอย่างอื่นในสวรรค์นอกจากสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และความปรารถนาของคนคนหนึ่งจะเป็นความปรารถนาของทุกคน และความปรารถนาของทุกคนและของแต่ละคนจะเป็นความปรารถนาของพระเจ้าเช่นกัน”
 
นักบุญยอห์น เวียนเนย์: “โอ พี่น้องที่รักของพ่อ ขอให้เราพยายามไปสวรรค์กัน! ที่นั่นเราจะได้พบพระเจ้า ความสุขมากเพียงใดที่เราจะรู้สึก! ถ้าสัตบุรุษทุกคนกลับใจ,เราจะไปที่นั่นพร้อมกับเป็นขบวนโดยคุณพ่อเจ้าอาวาสอยู่หัวขบวน … เราต้องไปสวรรค์ให้ได้!”
 
นักบุญเบอร์นาแด็ตต์ ซูบีรูส: “มงกุฎของฉันในสวรรค์จะเปล่งประกายด้วยความบริสุทธิ์ และดอกไม้ในนั้นควรเปล่งประกายดุจดั่งดวงอาทิตย์ การทำพลีกรรมคือดอกไม้ที่พระเยซูและพระแม่มารีย์ทรงเลือก”
 
นักบุญโทมัส มอร์: “โลกไม่มีความโศกเศร้าใดที่สวรรค์รักษาไม่ได้”
 
สวรรค์เป็นสถานที่ที่สวยงาม และเราทุกคนควรพยายามไปให้ถึง แต่คำพูดที่ให้กำลังใจมากที่สุดเกี่ยวกับ “สวรรค์” มาจากนักบุญเทเรซาแห่งลิซีเออร์ “ดอกไม้น้อย” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้สวรรค์จะงดงามเพียงใด พระเจ้าก็ยังทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทรงมีบุตรของพระองค์อยู่ด้วย “พระเจ้าไม่ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ทุกวันเพื่อมาประทับในจานลองศีลทองคำ พระองค์เสด็จมาเพื่อพบกับสวรรค์อีกแห่งที่พระองค์รักยิ่งนัก—สวรรค์แห่งวิญญาณของเรา ซึ่งสร้างขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระองค์ วิหารที่มีชีวิตของพระตรีเอกภาพที่น่ารัก”
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พิจารณาถึงสวรรค์บ่อยๆ

 


เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณของเรามากในการคิดและฝันถึงสวรรค์ โดยการพิจารณาใคร่ครวญว่าสวรรค์จะเป็นอย่างไร,จะสวยงามและสมบูรณ์แบบเพียงใด 
 
พวกเราส่วนใหญ่มักไม่ค่อยคิดนึกถึงสวรรค์และความสุขที่เราจะประสบในอ้อมพระอุระอันเป็นนิรันดร์ของพระบิดา
 
นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะการนึกถึงสวรรค์สามารถเป็นแรงผลักดันที่ทรงพลังในชีวิตนี้ของเราบนโลกได้ โดยผลักดันให้เราเดินหน้าต่อไปในการปฏิบัติคุณธรรมความดี
 
ยิ่งเรานึกถึงสวรรค์มากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องการไปที่นั่นมากขึ้นเท่านั้น
 
สวรรค์จะเป็นอย่างไร?
 
นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ กระตุ้นให้คริสตชนคิดถึงสวรรค์ในหนังสือคำแนะนำสู่ชีวิตศรัทธา โดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่งดงามที่สุดบนโลก:
 
[นำมาสู่จิตใจ] ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ จงมองดูท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดาวดาราจำนวนมากมายมหาศาล แล้วคิดถึงความงามที่ท่านเคยเห็นในฤดูใบไม้ผลิที่สดชื่น ความสว่างเจิดจ้าของดวงอาทิตย์สะท้อนให้เห็นในความสวยสดงดงามของดวงจันทร์และหมู่มวลดารา ความงามเหล่านี้,จะเทียบกับความสง่ารุ่งโรจน์แห่งสวรรค์ไม่ได้เลย โอ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเจิดจรัส โอ สถานที่อันรุ่งโรจน์สวยงามและน่าพิศมัย
 
แล้วท่านนักบุญก็เปลี่ยนจุดสนใจของเราจากความสวยงามของสวรรค์ไปที่ความรุ่งโรจน์ของทุกคนที่อาศัยอยู่ในนั้น:
 
จงพิจารณาถีงความงดงามสมบูรณ์ของผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ซึ่งมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยมวลหมู่เหล่าทูตสวรรค์นับล้านล้านองค์ เครูบิมและเซราฟิม ความรุ่งโรจน์ของบรรดาอัครสาวก มรณะสักขี,เหล่าพรหมจรรย์,นักบุญ โอ บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผู้เป็นสมาชิกในสหพันธ์อันรุ่งเรือง การได้เห็นพวกท่านเหล่านั้นจะทำให้เกิดความชื่นชมยินดีสักเพียงไร เราจะได้ส่งเสียงร้องเพลงอันไพเราะกับพวกท่าน บทเพลงอันไพเราะของพระชุมพา! พวกท่านชื่นชมยินดีด้วยความยินดีจากดวงใจ พวกท่านจะแบ่งปันความยินดีที่ไม่อาจพรรณนาและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
 
แม้ว่าสิ่งนี้จะดูรุ่งโรจน์ แต่ก็เทียบไม่ได้กับการอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า:
 
จงพิจารณาเถิดว่า พวกท่านมีความชื่นชมยินดีมากล้นสักเพียงไรเมื่อได้เห็นพระเป็นเจ้า พระผู้ทรงทำให้ความยินดีของพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยการประจักษ์มาของพระองค์ พระผู้ทรงเป็นมหาสมุทรแห่งความยินดีอันสมบูรณ์ ความยินดีที่พวกท่านจะได้ชิดสนิทกับพระองค์ตลอดไป พวกท่านเป็นเหมือนวิหคที่เริงร่า บินฉวัดเฉวียนและส่งเสียงร้องบรรเลงในความศักดิ์สิทธิ์อยู่ชั่วนิรันดร์ หัวใจท่านเต็มเปี่ยมด้วยความสุขเหลือล้น แต่ละท่านร้องบรรเลงเพลงสรรเสริญองค์พระผู้สร้าง “จงสรรเสริญพระองค์เสมอไปชั่วนิรันดร” โอ พระเป็นเจ้าสุดที่รักและพระผู้ไถ่ พระองค์ทรงประทานพระเกียรติรุ่งโรจน์ของพระองค์แก่พวกเราด้วยพระทัยอิสระ “พวกเขาต่างร้องสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกัน และพระองค์, ขณะที่ทรงผินพระพักตร์มา , ทรงหลั่งพร่างพรมพระพรอันมิรู้หมดสิ้นมายังบรรดานักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์” – “เราอวยพรพวกท่านทั้งหลาย ผู้เป็นของเราตลอดไปชั่วนิรันดร เพราะท่านได้รับใช้เราอย่างสัตย์ซื่อและกล้าหาญ”
 
นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์เชื่อว่าหลังจากการพิจารณาใคร่ครวญเกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ของสวรรค์แล้ว เราควรได้รับแรงบันดาลใจให้ตรวจสอบชีวิตของตนเองและขจัดสิ่งใดก็ตามที่จะขัดขวางเราไม่ให้เข้าถึงความสุขชั่วนิรันดร์
 
สวรรค์เป็นสถานที่ที่สวยงามอย่างแน่นอนในการคิดพิจารณาของเรา แต่หากเราต้องการที่จะไปอยู่ที่นั่นสักวันหนึ่ง เราต้องกระทำในเวลานี้เพื่อให้แน่ใจว่าใจของเราเปิดรับพระหรรษทานของพระเจ้าในวันที่เราตาย
 
************************