วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2566

อัศจรรย์ศีลมหาสนิท

 


อัศจรรย์ศีลมหาสนิทและนักบุญยอห์น บอสโก(1815-1888)
 
มีตัวอย่างที่น่าทึ่งซึ่งแสดงให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญยอห์น บอสโกและความมหัศจรรย์แห่งศีลมหาสนิท
 
นักบุญยอห์น บอสโกเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ได้รับนิมิตจากสวรรรค์ ท่านเป็นนักเขียน,ผู้ก่อตั้งคณะนักบวชสองคณะ ท่านสามารถอ่านจิตใจคนอื่นได้ ท่านเคยทำนายเหตุการณ์ในอนาคต เป็นนักทำอัศจรรย์ และในช่วงวัยเยาว์,ท่านเป็นนักกายกรรมและนักมายากล คุณพ่อบอสโกสนใจในการช่วยเหลือเด็กชายผู้ยากไร้เสมอ ท่านได้เปิดโรงเรียนเพื่อดูแลและให้การศึกษาแก่เยาวชน และกลายเป็นที่รู้จักในนาม "มิตรสหายของเยาวชน"
 
ในวันฉลองพระแม่มารีย์ทรงบังเกิด (กันยายน) เด็กชายที่มารวมกันในโบสถ์มีจำนวนเกือบ 600 คน ผู้ช่วยจัดเตรียมพิธีได้เตรียมผอบบรรจุศีลที่เสกแล้วที่มีแผ่นศีลมากพอที่จะแจกให้แก่ผู้มาร่วมพิธีมิสซา แต่ด้วยจิตใจวอกแวกคิดถึงเรื่องอื่น,ทำให้เขาไม่ได้นำผอบบรรจุศีลนั้นไปวางไว้ในตู้ศีลบริเวณพระแท่นบูชา
 
ผอบบรรจุศีลเดิมที่อยู่ในตู้ศีลมีแผ่นศีลอยู่เพียงประมาณ 20 แผ่น หลังจากช่วงเวลาการเสกศีล,ในจังหวะที่พระสงฆ์ยกแผ่นศีลขึ้นสูง, ผู้ช่วยจัดเตรียมพิธีจึงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของเขา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว,นอกจากรอความสับสนของนักบุญ และรอรับการตำหนิสำหรับความผิดพลาดของเขา
 
ในช่วงเวลาแห่งศีลมหาสนิท, เมื่อนักบุญยอห์น บอสโกเปิดผอบบรรจุศีลที่ท่านนำออกมาจากตู้ศีลและเห็นแผ่นศีลจำนวนน้อยอยู่ในนั้น สีหน้าของท่านแสดงความรู้สึกผิดหวังต่อความจริงที่ว่าท่านไม่สามารถแจกศีลมหาสนิทให้กับเด็กชายทุกคนได้ อย่างไรก็ตาม ขณะที่ท่านแหงนหน้ามองดูสวรรค์,ท่านสวดภาวนาอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่ราวกั้นสำหรับรับศีล,ซึ่งผู้ต้องการร้บศีลกำลังรอท่านอย่างใจจดใจจ่อ
 
หลังจากที่ท่านแจกศีลมหาสนิทให้กับเด็กชายแถวแรกแล้ว ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาแทนที่ แถวหนึ่งได้รับศีลแล้ว และก็อีกแถวหนึ่ง และอีกแถวหนึ่ง แต่แผ่นศีลมหาสนิทในผอบบรรจุศีลยังไม่หมด เมื่อคุณพ่อบอสโกกลับมาที่พระแท่นบูชา เด็กๆทุกคนกระซิบกัน และมีแผ่นศีลมหาสนิทเหลืออยู่จำนวนมากในผอบบรรจุศีล กล่าวกันว่าผู้ช่วยจัดเตรียมพิธีรู้สึกงุนงงอย่างมาก
 
นักบุญยอห์น บอสโกมีความเชื่อมั่นสูงสุดในศีลมหาสนิทและในพระนางมารีย์,องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน และท่านมักพูดถึง "น้ำพุ" สามประการที่นำไปสู่ชีวิตที่เหนือธรรมชาติ นั่นคือ: การสารภาพบาป,ความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์ และการรับศีลมหาสนิท
 
ที่มา: Eucharistic Miracles
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ชาร์ล ดิกเกนส์เคยได้รับการเยี่ยมจากแม่พระ?

 
 
ชาร์ล ดิกเกนส์(Charles Dickens)นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ เขาแต่งนวนิยายหลายเรื่อง เช่น Oliver Twist , Christmas Carol, David Copperfield ฯลฯ
 
ชาร์ล ดิกเกนส์,ถึงแม้จะเป็นแองกลิกันโดยกำเนิด แต่เขาไม่ใช่คนที่สนอกสนใจในคริสตศาสนา ไม่ว่าจะเป็นนิกายโรมันคาทอลิก หรือนิกายโปรเตสแตนต์แองกลิกัน เขามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้นับถือศาสนา โดยมองเห็นแต่ความหน้าซื่อใจคดและขาดความสัตย์ซื่อของผู้คนต่อคำสอนที่แท้จริงของพระคริสต์
 
ในหนังสือ A Christmas Carol โดยชาร์ล ดิกเกนส์,ตัวละครที่เป็นนายจ้างชาวยิวชื่ออีเบนเซอร์ สกรูจ(Ebenezer Scrooge) ถูกวิญญาณสามดวงพาเขาไปเยี่ยมเยียนที่ต่างๆ และแสดงให้เขาเห็นถึงความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตของเขาและนำเขาไปสู่การเปลี่ยนแปลงของชีวิต มันเป็นนิทานคริสต์มาสคลาสสิกที่เป็นอมตะ
 
สิ่งที่น่าสนใจคือ หนึ่งปีหลังจากดิคเกนส์เขียนนิทานคริสต์มาสเรื่องนี้ เขามีประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณของเขาเอง เขาได้เขียนเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ในจดหมายถึงเพื่อนจอห์น ฟอร์สเตอร์ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 1844 ขณะไปพักผ่อนที่เมืองเจนัว ประเทศอิตาลี เขาเขียนว่า
 
"ผมจะเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับความฝันที่น่าสนใจของผมเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา และความเป็นจริงที่ผมสามารถจำได้ ขอเท้าความนิดหน่อย,ผมเป็นโรคไขข้ออักเสบที่หลังและต้องผูกปมรอบเอวของผมเหมือนผ้าคาดเอวแห่งความเจ็บปวด และผมต้องตื่นขึ้นเกือบตลอดทั้งคืนด้วยความทุกข์ระทม เมื่อผมผล็อยหลับไปและฝันถึงความฝันนี้ ผมกำลังอยู่ในสถานที่อันคลุมเครือซึ่งงดงามมากในความคลุมเครือนั้น ผมได้รับการเยี่ยมเยียนจากวิญญาณดวงหนึ่ง ผมไม่สามารถแยกแยะใบหน้าได้ และจำไม่ได้ว่าผมต้องการทำเช่นนั้น วิญญาณสวมผ้าคลุมสีน้ำเงิน เหมือนพระแม่มารีย์ในภาพวาดของราฟาเอล; และไม่มีความคล้ายคลึงกับใครก็ตามที่ผมรู้จักยกเว้นในเรื่องรูปร่าง
 
"ผมคิดว่า (แต่ไม่แน่ใจ) ว่าจำเสียงนั้นได้ อย่างไรก็ตาม,ผมรู้ว่านั่นน่าจะเป็นมารีที่น่าสงสาร ผมไม่มีความกลัวเลย แต่ดีใจยิ่งนัก ผมจึงร้องไห้เป็นอันมาก และยื่นแขนออกไปเรียกผู้นั้นว่า "ที่รัก" ในตอนนี้ผมรู้สึกทันทีว่านี่เป็นนิสัยแย่ๆของผม ผมไม่ควรพูดอย่างคนคุ้นเคย “โปรดอภัยให้ผมด้วย!” ผมพูดว่า. “มนุษย์ที่น่าสงสารอย่างพวกเราสามารถแสดงออกได้ด้วยการมองเห็นและด้วยคำพูดเท่านั้น ผมใช้คำพูดตามธรรมชาติสำหรับความรักของเรา แต่เธอย่อมรู้ถึงจิตใจของผม” ผมเต็มไปด้วยความสงสารตัวเองและความเศร้าโศก - ซึ่งผมรับรู้ทางจิตวิญญาณ เพราะอย่างที่ผมพูดไป ผมไม่ได้รับรู้อารมณ์จากการมองที่ใบหน้า - ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ,ผมจึงพูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “โอ้! โปรดให้เครื่องหมายบางอย่างแก่ผมด้วยว่าเธอมาเยี่ยมผมจริงๆ!” “จงตั้งความปรารถนา” วิญญาณพูด ผมคิดและให้เหตุผลกับตัวเองว่า “ถ้าผมตั้งความปรารถนาแบบเห็นแก่ตัว วิญญาณก็จะหายไป” ผมจึงรีบละทิ้งความหวังและความวิตกกังวลที่ผุดขึ้นในจิตใจและกล่าวว่า “มิสโฮการ์ธ(Mrs. Hogarth)ถูกห้อมล้อมด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัส” — ดูสิ ผมไม่เคยคิดที่จะพูดถึง “แม่ของคุณ” กับผู้อื่นเลย – “เธอจะรอดพ้นไหม?” "ใช่." “และการรอดพ้นของเธอก็เพื่อความมั่นใจสำหรับผมว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง” "ใช่." “แต่กรุณาตอบคำถามอื่นแก่ผมด้วย” ผมพูดด้วยความทุกข์ใจในการวอนขอด้วยเกรงว่าวิญญาณจะจากผมไป “ศาสนาที่แท้จริงคือศาสนาอะไร?” วิญญาณหยุดนิ่งชั่วครู่โดยไม่ตอบ ผมจึงพูดว่า – พระเจ้า!ผมพูดด้วยความเร่งรีบ เกรงว่าวิญญาณจะหายไป ! – “เธอคิดเหมือนผมไหมว่าไม่ว่าจะเป็นรูปแบบศาสนาใดก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก,ถ้าเราพยายามทำความดี? หรือ” ผมพูดโดยสังเกตว่าวิญญาณยังคงลังเลและรู้สึกสงสารผมอย่างที่สุด “หรือบางทีโรมันคาทอลิกอาจดีที่สุด? เพราะทำให้เรานึกถึงพระเจ้าบ่อยขึ้นและเชื่อในพระองค์มากขึ้น?” “สำหรับเธอ” วิญญาณตอบ, เต็มไปด้วยความอ่อนโยนจากสวรรค์ที่มีต่อผม จนผมรู้สึกราวกับหัวใจจะแตกสลาย “สำหรับเธอ นั่นแหละดีที่สุด!” แล้วผมก็ตื่นขึ้นทั้งน้ำตานองหน้า และตัวผมก็อยู่ในสภาพเหมือนในฝันทุกประการ เวลานั้นยังรุ่งสาง ผมโทรหาเคทและเล่าเรื่องในความฝันซ้ำสามหรือสี่ครั้ง เพื่อที่ผมจะได้ทำให้มันชัดเจนขึ้นหรือไม่หลงลืมโดยไม่รู้ตัวในภายหลัง เรื่องมันเป็นอย่างนี้"
 
ดิกเกนส์ไม่แน่ใจว่าวิญญาณคือใคร เขาบอกว่า "ไม่มีความคล้ายคลึงกับใครก็ตามที่ผมรู้จักยกเว้นในเรื่องรูปร่าง" แต่เขาบอกว่าวิญญาณดูเหมือนจะเป็น "มารี" ซึ่งหมายถึงมารีโฮการ์ธ พี่สะใภ้ของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว
 
ดิกเกนส์เขียนต่อไปในจดหมายเพื่ออธิบายว่าเขาอาจได้รับอิทธิพลจากห้องพักในอิตาลีของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องเรือนสไตล์โรมันคาทอลิก รวมทั้งแท่นบูชา
 
… มีแท่นบูชาขนาดใหญ่ในห้องนอนของเรา ซึ่งบางครอบครัวที่เคยอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้เคยทำพิธีมิสซาในสมัยโบราณ และก่อนเข้านอนผมสังเกตเห็นว่ามีรอยที่ผนังเหนือวิหารซึ่งเคยเป็นรูปเคารพทางศาสนา และผมก็นึกสงสัยอยู่ในใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร และหน้าตาเป็นอย่างไร ประการที่สาม ผมเคยได้ยินเสียงระฆังของคอนแวนต์ (ซึ่งดังเป็นช่วงๆ ในตอนกลางคืน) และไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นกิจวัตรของนิกายโรมันคาทอลิก และถึงกระนั้น ในเรื่องทั้งหมดนี้ ผมอยากให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง และผมสงสัยว่ามันเป็นความฝันหรือนิมิตจริงกันแน่
 
ความถูกต้องของความฝันดังกล่าวเป็นการยากที่จะประเมินจากจดหมายเพียงฉบับเดียว แต่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่พระแม่มารีย์ทรงเยี่ยมผู้ที่ไม่ใช่คาทอลิก พระนางเคยประจักษ์แก่ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าตลอดประวัติศาสตร์
 
ดิคเก้นอาจเคยประสบกับเรื่องราวในแบบของเขาเอง สตรีจากสวรรค์มาเยี่ยมเยียนและพยายามแนะนำเขาให้ปฏิบัติศาสนกิจของคาทอลิก.
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2566

พระวาจาวันอาทิตย์ 11 มิ.ย. 2023 สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคาิสตเจ้า

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ยอห์น 6:51-58 
(51)เวลานั้นพระเยซูเจ้าตรัสกับฝูงชนชาวยิวว่า "เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต” (52)ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” (53)พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง (54)ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย (55)เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ (56)ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำรงอยู่ในเรา และเราก็ดำรงอยู่ในเขา (57)พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น (58)นี่คือปังที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กินแล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป”
******************
 
 
 
วันนี้เป็นวันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในรูปของแผ่นปังและเหล้าองุ่นในศีลมหาสนิท
 
พระเยซูเจ้าทรงตั้งและประทานศีลมหาสนิทให้แก่เราก็ด้วยเหตุผล 2 ประการ
 
เหตุผลประการแรก เพราะพระองค์ทรงสัญญาก่อนเสด็จสู่สวรรค์ว่าจะอยู่กับเราทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ (มธ 28:20)
 
ศีลมหาสนิทนี่แหละเป็นเครื่องหมายที่เห็นได้ชัด และเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุด ที่ทำให้พระเยซูเจ้าดำรงอยู่ในตัวเรา พระองค์บอกเราในพระวรสารวันนี้ว่า “ผู้ที่กินเนื้อของพระองค์ และดื่มโลหิตของพระองค์ ก็ดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ก็ดำรงอยู่ในผู้นั้น” (เทียบ ยน 6:56)
 
เหตุผลประการที่สอง พระองค์ตรัสไว้ในพระวรสารนักบุญยอห์นว่า พระองค์เสด็จมาก็เพื่อให้เรามีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ (ยน 10:10) ในศีลมหาสนิทนี้อีกเช่นกันที่พระองค์ทรงมอบเครื่องมือที่แลเห็นได้ซึ่งก็คือแผ่นปังและเหล่าองุ่น สำหรับประทานชีวิตอย่างสมบูรณ์ซึ่งก็คือชีวิตนิรันดรให้แก่เรา พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย” (ยน 6:54)
 
นอกจากศีลมหาสนิทจะทำให้พระเยซูเจ้าดำรงอยู่ในเราและทำให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์คือมีชีวิตนิรันดรแล้ว ศีลมหาสนิทยังเป็นอาหารแท้และเครื่องดื่มแท้อีกด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้” (ยน 6:55)
 
ข้อสังเกตก็คือศีลมหาสนิทเป็นอาหารแท้และเครื่องดื่มแท้ก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็แตกต่างจากอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ด้วย
 
ความแตกต่างสำคัญอยู่ตรงที่พระเยซูเจ้าตรัสกับนักบุญเอากุสตินขณะสวดภาวนาว่า “ท่านต้องไม่เปลี่ยนเราให้เป็นท่านเหมือนอย่างอาหารทั่วไป แต่ท่านต้องถูกเปลี่ยนให้เป็นเรา” นั่นก็คือ ปกติเราย่อยอาหารที่เรากินเข้าไปให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา แต่ศีลมหาสนิทต้องเปลี่ยนและต้องย่อยร่างกายและจิตใจของเราให้เป็นเหมือนพระเยซูเจ้า
 
ปัญหาในทางปฏิบัติก็คือ เราจะทำให้ศีลมหาสนิทเปลี่ยนตัวเราและจิตใจของเราให้เป็นเหมือนพระเยซูเจ้าได้อย่างไร ?
 
ประการแรก ศีลมหาสนิทเป็นพระกายหรือเป็นเนื้อของพระเยซูเจ้า เนื้อหมายถึง “ความเป็นมนุษย์ของพระองค์”
 
นักบุญยอห์นย้ำว่า (1ยน 4:2-3) พระเยซูเจ้าทรงมีเนื้อหนังมังสาเช่นเดียวกับเรา คือทรงเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา ซึ่งเท่ากับว่าพระองค์ได้เผชิญกับทุกสิ่งที่มนุษย์อย่างเราต้องเผชิญ พระองค์ต้องต่อสู้ฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรค์ต่างๆ เหมือนอย่างเรา แม้แต่การประจญล่อลวง พระองค์ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชนะเช่นเดียวกับเราทุกคน
 
เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเรา” (ยน 6:57) จึงหมายความว่า เราต้องหล่อเลี้ยงความคิด จิตใจ และวิญญาณของเราอาศัยความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า กล่าวคือเมื่อใดก็ตามที่เราท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ เข่าอ่อน หรือเบื่อหน่ายชีวิต ให้เราระลึกอยู่เสมอว่า พระเยซูเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนเราและต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนเราทุกคน ในเมื่อพระองค์สู้ได้ พวกเราก็ควร และต้องสู้ให้ได้เช่นเดียวกัน
 
และเนื่องจากพระเยซูเจ้าไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์แท้เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าแท้ด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเราหล่อเลี้ยงความคิดและจิตใจของเราด้วยความเป็นมนุษย์ของพระองค์ ก็ย่อมทำให้ชีวิตและร่างกายของเราได้สัมผัสกับความเป็นพระเจ้าของพระองค์พร้อมกันไปด้วย !
 
ตรงนี้แหละที่ทำให้เราได้รับพลัง ความสว่าง กำลังใจ และการชำระให้บริสุทธิ์ อาศัยเนื้อของพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า
 
ประการที่สอง ศีลมหาสนิทเป็นพระโลหิตของพระเยซูเจ้า “โลหิต” คือ “ชีวิต” เพราะถ้าโลหิตไหลออกจากร่างกายจนหมด ชีวิตก็ย่อมจบสิ้น
 
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งให้เราดื่มโลหิตของพระองค์ จึงหมายถึงให้เรานำชีวิตของพระองค์เข้ามาเป็นชีวิตของเรา
 
เราสามารถนำชีวิตของพระองค์เข้ามาเป็นชีวิตของเราได้ก็โดยการหมั่นเปิดพระคัมภีร์ออกมาอ่านบ่อยๆ เผื่อว่าพระวาจาบางตอนอาจฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเราและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเรา ซึ่งจะถูกนำออกมาหล่อเลี้ยงความคิด จิตใจ และวิญญาณของเราทุกครั้งที่เราต้องการจนว่า “เราดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงดำรงอยู่ในเรา” (ยน 6:56)
 
ด้วยวิธีการนี้เท่านั้น ศีลมหาสนิทจึงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็นชีวิตเหมือนพระเยซูเจ้า ซึ่งก็คือ “ชีวิตนิรันดร” (ยน 6:54) !!
 
และเนื่องจาก “พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่งพระเยซูเจ้ามา” (ยน 6:57) การกินเนื้อและดื่มโลหิตของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทซึ่งทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จึงเป็นหลักประกันสำหรับชีวิตนิรันดรของเรา พระเยซูเจ้าจึงกล้าตรัสว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา จะได้รับชีวิตนิรันดร” (ยน 6:54)
 
การ “สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า” จะไม่มีประโยชน์อันใดเลยหากเราไม่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ด้วยการ “กินเนื้อและดื่มโลหิต” ของพระองค์ในศีลมหาสนิทซึ่งแสดงถึงความรักยิ่งใหญ่ที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อเรา แล้วสร้างหลักประกันสำหรับชีวิตนิรันดรของเรา !!
 
วันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดทวีความเชื่อในศีลมหาสนิทแก่เรา ให้เราสามารถมองเห็นพระกายและพระโลหิตของพระองค์ภายใต้รูปปรากฏของปังและเหล้าองุ่น เพื่อเราจะได้เตรียมตัวและเข้ามารับศีลมหาสนิทบ่อยๆ และขอให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปเป็นชีวิตแบบพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นหลักประกันสำหรับชีวิตนิรันดรของเราด้วยเทอญ
 
***************************


วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2566

โจน ออฟ อาร์ค

 


ก่อนที่โจน ออฟ อารค( Joan of Arc) จะมาเป็นทหาร เธอมีความศรัทธาอย่างสุดซึ้งต่อพระเจ้า สิ่งนี้ทำให้เธอมีความกล้าหาญและพละกำลังที่จำเป็นต่อการอดทนการทดลองใดๆ
 
ขณะที่หลายคนมุ่งเน้นไปที่ความกล้าหาญทางทหารของนักบุญโจน ออฟ อาร์คและการพิจารณาคดีที่ไม่ยุติธรรมซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของเธอ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งหมดเธอเป็นลูกที่มีใจศรัทธาของพระผู้เป็นเจ้า อันที่จริง ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพระคริสต์นี้เองที่ทำให้เธอมีความเข้มแข็งที่จำเป็นต่อการอดทนต่อทุกสิ่ง
 
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงอธิบายด้านนี้ของโจน ต่อหน้าสาธารณชนในปี 2011 พระองค์เริ่มต้นด้วยการสรุปวัยเด็กอันศักดิ์สิทธิ์ของเธอ
 
พ่อแม่ของเธอเป็นชาวนาที่มีฐานะดี ทุกคนรู้จักในฐานะคริสตชนที่ดี จากพวกเขา,เธอได้รับการเลี้ยงดูทางศาสนาที่ดีซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากจิตวิญญาณของพระนามพระเยซู,ซึ่งสอนโดยนักบุญเบอร์นาดีนแห่งเซียนนา(St Bernardine of Siena) และเผยแพร่ในยุโรปโดยคณะฟรังซิสกัน
 
พระนามของพระนางมารีย์เชื่อมโยงกับพระนามของพระเยซูเสมอ ดังนั้น จิตวิญญาณของโจนจึงมีคริสตศาสนาและพระนางมารีย์เป็นศูนย์กลางตั้งแต่วัยเด็ก เธอแสดงความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ยากไร้ คนป่วย และผู้ได้รับความทุกข์ทรมานในช่วงเวลาที่เลวร้ายของสงคราม
 
สิ่งนี้เป็นการเตรียมโจนสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
 
เรารู้จากคำพูดของโจนเองว่าชีวิตฝ่ายศาสนาของเธอพัฒนาจากประสบการณ์ลึกลับตั้งแต่อายุ 13 ปี (PCon, I, p. 47-48) โดย "เสียง" ของอัครเทวดามีคาแอล โจนรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเรียกเธอให้ดำเนินชีวิตคริสตชนของเธออย่างเข้มข้นมากขึ้นและถวายตัวเพื่อปลดปล่อยประชาชนของเธอ คำตอบในทันทีของเธอคือ "ได้" นี่คือคำปฏิญาณของเธอในการถือศีลพรหมจรรย์ พร้อมคำมั่นสัญญาในการดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์และการสวดภาวนา ซึ่งได้แก่: การเข้าร่วมพิธีมิสซาทุกวัน การสารภาพบาปและรับศีลมหาสนิทบ่อยครั้ง และการสวดภาวนาอย่างเงียบๆ เป็นเวลานานต่อหน้าองค์พระผู้ถูกตรึงกางเขนหรือพระรูปแม่พระ….ความเมตตาและความทุ่มเทของสาวชาวนาชาวฝรั่งเศสเมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากของผู้คนของเธอนั้นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วยความสัมพันธ์อันลี้ลับของเธอกับพระเจ้า
 
สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือการที่เธอกลายเป็นผู้แพร่ธรรมในหมู่ทหารฝรั่งเศส เธอให้กำลังใจพวกเขาในการปฏิบัติตามความเชื่อ
 
โจนอาศัยอยู่กับทหารตลอดทั้งปี ปฏิบัติภารกิจที่แท้จริงในการประกาศพระวรสารท่ามกลางพวกเขา หลายคนเป็นพยานถึงความดี ความกล้าหาญ และความบริสุทธิ์ที่ไม่ธรรมดาของเธอ ทุกคนเรียกเธอว่า "La pucelle" ("สาวใช้") ซึ่งก็คือพรหมจารี
 
แม้จะอยู่ท่ามกลางการพิจารณาคดีที่ไม่ยุติธรรมของเธอ โจนพยายามรักษาความรักที่เธอมีต่อพระผู้เป็นเจ้า “นักบุญของเราดำเนินชีวิตการสวดภาวนาในรูปแบบของการสนทนาอย่างต่อเนื่องกับพระเจ้า ผู้ซึ่งดลใจเธอในการสนทนากับผู้พิพากษา และทรงประทานความสงบและปลอดภัยแก่เธอ เธอถามพระเจ้าด้วยความไว้วางใจว่า: ‘ข้าแต่พระเจ้าผู้น่ารัก เพื่อเป็นเกียรติแก่ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ลูกขอให้พระองค์แสดงให้ลูกเห็นว่า ถ้าพระองค์ทรงรักลูก ลูกต้องตอบคนในศาสนจักรเหล่านี้อย่างไร’ (PCon, I, p. 252)”
 
เหนือสิ่งอื่นใด เราควรเรียนรู้จากโจนถึงวิธีที่จะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าในทุกสถานการณ์ เราไม่สามารถพึ่งพากำลังของเราได้ แต่ต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างแน่วแน่ พระผู้ซึ่งจะประทานความกล้าหาญที่จำเป็นแก่เราในการเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ
 
#Catholic 4 Life
 
************************
 

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566

อัศจรรย์จากคุณพ่อปีโอ

 


โทนี่ คาวาเลีย(Tony Cavaliere) กำลังศึกษาหาความจริงและการรู้แจ้งผ่านการตรวจสอบปรัชญาจำนวนมากรวมถึงการศึกษาเปรียบเทียบศาสนาทั่วโลก ในเวลาเดียวกัน เขาได้เพิ่มวินัยทางจิตวิญญาณเข้าไปในกิจวัตรประจำวันของเขา แต่แทนที่จะพบกับความสงบภายในและความสมหวัง เขากลับรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวและความหวาดหวั่นกลายเป็นสหายที่ถาวรของเขา เขาไปหาหมอต่างๆซึ่งพยายามหาทางช่วยเหลือเขา แต่ก็ไม่เป็นผล
 
เมื่อเวลาผ่านไป อาการกระวนกระวายของโทนี่และอาการวิงเวียนศีรษะแย่ลงเรื่อย ๆ และทำให้ร่างกายทรุดโทรมลง ในที่สุด,เขาไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปและเขาสงสัยว่าเขาจะสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้อีกหรือไม่ เมื่อเพื่อนคนหนึ่งพูดถึงคุณพ่อปีโอให้เขาฟัง เขาก็เกิดความสนใจ เขาบอกภรรยาของเขาว่าเขาต้องการเดินทางไปอิตาลีเพื่อที่จะได้สวดภาวนาที่หลุมฝังศพของคุณพ่อปิโอ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้นับถือคาทอลิก แต่เขาคุ้นเคยกับคำสอนของพระศาสนจักรเกี่ยวกับอำนาจการวอนขอของนักบุญและเขาเชื่อในสิ่งนั้น
 
ในที่สุด โทนี่และภรรยาของเขาก็เดินทางไปยังอารามของคุณพ่อปีโอได้ พวกเขาไปเยี่ยมห้องพักที่คุณพ่อปีโอเคยอาศัยอยู่มาหลายปี พวกเขาใช้เวลาอยู่ในโบสถ์ที่คุณพ่อปีโอประกอบพิธีมิสซาและสวดภาวนาที่หลุมฝังศพของคุณพ่อ ทุกที่ที่โทนี่มองไป,เขาเห็นเครื่องหมายแห่งความเชื่อ สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบทำให้เขารู้สึกสงบมาก
 
หลังจากที่โทนี่กลับบ้าน พี่สะใภ้ของเขาบอกเขาว่าเธอมีความฝันที่ผิดปกติ ในความฝัน คุณพ่อปีโอได้ฟังคำสารภาพบาปของเธอ เธอพูดกับคุณพ่อปีโอว่า “ทำไมคุณพ่อไม่ช่วยให้สุขภาพของโทนี่กลับคืนดีขึ้นล่ะคะ” คุณพ่อปีโอยิ้มให้เธอและพูดว่า “บอกโทนี่ว่าเขาจะสบายดี” ในความฝัน คุณพ่อปิโอถือหมอนสีน้ำเงินที่มีลูกประคำอยู่ “จงมอบสายประคำนี้ให้โทนี่” คุณพ่อปิโอกล่าว
 
ความฝันทำให้โทนี่มั่นใจว่าเขาจะหายดี หนึ่งปีต่อมา เขาก็มีพลานามัยแข็งแรงขึ้น มีจิตใจที่ดีขึ้น ไม่มีอาการป่วยใดๆ เขาทุ่มเทในการสวดสายประคำมาก “ผมอุทิศตนเพื่อเผยแพร่สาส์นของคุณพ่อปิโอ เกี่ยวกับการสวดสายประคำ และความเชื่อคาทอลิก”
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ความลับของความศักดิ์สิทธิ์:

 
 
ความลับของความศักดิ์สิทธิ์: 
โดยนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ 
บทที่สิบสอง 
ข้อคิดประจำวัน
 
จงหลีกเลี่ยงความกระตือรือร้นมากเกินไป: ความกระตือรือร้นมากเกินไปและความประมาทเลินเล่อเป็นข้อบกพร่องสองประการที่ทำให้การกระทำที่ดีเสียไป ความรีบร้อนของท่านคืออะไร? หัวใจที่ไม่สงบนี้มาจากไหน? ความหุนหันพลันแล่นตามธรรมชาตินี้มาจากไหน? มันไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายและความยุ่งยากเหล่านั้น ท่านจะทำอะไรได้ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า? ท่านวางใจในพระองค์เมื่อท่านวิตกกังวลมากเกินไปหรือไม่? ท่านคิดว่าพระองค์จะทรงอวยพรให้กับสิ่งที่ท่านทำด้วยความกระตือรือร้นที่มากเกินไปเช่นนี้หรือ? หากพระองค์รักท่าน พระองค์จะไม่ทรงยอมให้ความรุนแรงของท่านมีผลตามที่ท่านต้องการ ท่านจะล้มเหลวถ้าท่านพึ่งพาตัวเอง พระเจ้าปรารถนาให้การกระทำของท่านได้รับเกียรติ ท่านปล้นพระองค์เมื่อท่านดำเนินการด้วยความเร่งรัดเช่นนี้
 
ลองคิดว่าตัวท่านเป็นเครื่องมือของสวรรค์ และทุกสิ่งที่ท่านทำจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องดนตรีต้องไร้ชีวิตจึงจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ จิตรกรจะทำอะไรได้บ้างกับพู่กันที่ขยับได้เองในมือ? จงให้ความปรารถนาส่วนตัวของท่านตายไปเสีย แล้วการกระทำทั้งหมดของท่านจะได้รับรางวัลแห่งชีวิตนิรันดร์
 
ปล่อยให้เหตุผลและพระหรรษทานของพระเจ้านำทางชีวิตท่าน และทุกสิ่งที่ท่านทำก็จะยุติธรรม วางตัวท่านไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเมื่อท่านทำงานหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ หยุดสักพักก่อนที่ท่านจะเข้าสู่เส้นทางใดๆ อย่าให้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นตัวริเริ่มและนำหน้าพระหรรษทาน ทำในสิ่งที่ท่านควรทำไม่ใช่ทำในสิ่งที่ท่านพอใจ จงควบคุมแผนทั้งหมดของท่านโดยใช้สิ่งที่เป็นหน้าที่ของท่าน ... รักษาความสงบในหัวใจและจิตใจในทุกการกระทำของท่าน
 
มื้ออาหาร: เรากินเพื่ออยู่เท่านั้น แต่ก็มีบางคนที่อยู่เพื่อกิน พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากความบันเทิง ความรื่นเริง โต๊ะอาหารดีๆ และไวน์ชั้นดี...จงมอบหัวใจของท่านแด่พระเจ้าเมื่อท่านไปนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารนั้น พยายามเปลี่ยนการกระทำนี้ให้เป็นหน้าที่ของคริสตชน อย่าละเลยการสวดภาวนาก่อนมื้ออาหารไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด ผลของมันมีประโยชน์มากกว่าที่ท่านคิด หากท่านละเลย, บ่อยครั้งที่อาหารอาจทำร้ายท่านมากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ ระวังความกระตือรือร้นในการกินมากเกินไป หรือการแสดงความสุขหรือความเดือดเนื้อร้อนใจเมื่ออาหารนั้น...เตรียมมาไม่ดี จงบริโภคด้วยความพอประมาณซึ่งสะท้อนถึงกิจการทั้งปวงขององค์พระเจ้าของเรา...
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ผมจะไม่ไปโบสถ์อีก

 


สัตบุรุษคนหนึ่งไปหาคุณพ่ออธิการโบสถ์ และพูดว่า คุณพ่อครับ ผมจะไม่มาโบสถ์อีกแล้ว” 
คุณพ่ออธิการถาม “ทำไมล่ะ?”
 
สัตบุรุษคนนั้นตอบว่า
 
“ผมเห็นและได้ยินซิสเตอร์คนหนึ่งพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับซิสเตอร์คนอื่นๆ และบราเดอร์อีกคนที่อ่านหนังสือไม่เก่งก็ถูกหัวเราะเยาะ สมาชิกคณะนักร้องประสานเสียงกำลังดำเนินชีวิตอย่างผิดๆ บางคนมักจะดูโทรศัพท์หรือรับสายระหว่างพิธีมิสซา และยังมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ถูกต้องในโบสถ์, มันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก
 
"ไม่เป็นไร",คุณพ่อตอบกลับ
 
"แต่ก่อนที่คุณจะออกจากโบสถ์ คุณช่วยทำอะไรให้พ่อหน่อยได้ไหม ?"
 
สัตบุรุษผู้นั้นฟัง,คุณพ่ออธิการขอให้เขาไปเอาน้ำเต็มแก้วมาแล้วเดินรอบโบสถ์สามครั้งโดยไม่ให้น้ำหกลงพื้น “หลังจากนั้น,คุณก็ออกจากโบสถ์ได้หากต้องการ”
 
เขาคิดอยู่พักหนึ่ง นั่นมันง่ายมาก!
 
เขาไปหยิบน้ำเต็มแก้วมาแล้วเดินไปรอบห้องโถงโบสถ์ 3 รอบต่อหน้าพระสงฆ์ที่กำลังเฝ้าดูอยู่ ,โดยไม่มีน้ำหกลงพื้นเลย
 
เมื่อเขาทำเสร็จแล้ว,เขาจึงบอกคุณพ่ออธิการว่า เขาทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
 
คุณพ่ออธิการถามเขาว่า “ขณะที่คุณเดินถือแก้วน้ำไปรอบๆโบสถ์ คุณเห็นซิสเตอร์คนใดพูดไม่ดีเกี่ยวกับซิสเตอร์คนอื่นหรือไม่?” ไม่ครับ,เขาตอบ
 
คุณเห็นใครกำลังดูโทรศัพท์อยู่บ้างไหม? คุณพ่อถามอีกครั้ง? ”ไม่เห็นครับ” เขาตอบ
 
“คุณรู้ไหมว่าทำไม?” คุณพ่อถาม ”ไม่ทราบครับ” เขาตอบอย่างช้าๆ
 
“เพราะใจของคุณจดจ่ออยู่กับแก้วน้ำเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ทำให้น้ำหกหรือทำให้น้ำหยดลงพื้นใช่ไหม?”
 
“ใช่ครับ คุณพ่อ ผมระมัดระวังอย่างมากในการถือแก้วน้ำขณะที่เดิน” เขาอธิบายให้คุณพ่อฟัง
 
พระสงฆ์ตอบเขาว่า “เช่นเดียวกัน,ชีวิตของเราทั้งในสังคมและในโบสถ์ก็เหมือนกัน สิ่งที่จิตใจของคุณจดจ่ออยู่คือสิ่งที่คุณเห็นและนั่นคือสิ่งที่คุณสนใจ”
 
เมื่อเรามุ่งความสนใจไปที่พระเจ้า,พระเยซูคริสต์ เราจะไม่มีเวลาดูและสังเกตความผิดพลาดของผู้อื่นที่จะทำให้เราไม่พอใจ แต่เราจะมองเห็นโอกาสในการรับใช้พระเจ้าและช่วยชีวิตผู้อื่น
 
◄ 1 ทิโมธี 3:15 ► 
 ถ้าข้าพเจ้ามาช้า ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านรู้ว่า เราจะต้องประพฤติตนอย่างไรในบ้านของพระเจ้า นั่นคือในพระศาสนจักรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต พระศาสนจักรซึ่งเป็นหลักและรากฐานของความจริง 
 ขอพระเจ้าอวยพรท่านทั้งหลาย 
 #Catholic 4 Life
 
************************