วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024 พระเยซูเจ้าทรงเป็นเถาองุ่นแท้

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ยอห์น 15:1-8 
1เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน 2กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิดเพื่อให้เกิดผลมากขึ้น 3ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้วเพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน 4ท่านทั้งหลายจงดำรงอยู่ในเราเถิด ดังที่เราดำรงอยู่ในท่าน กิ่งองุ่นเกิดผลด้วยตนเองไม่ได้ถ้าไม่ติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่ดำรงอยู่ในเราฉันนั้น 5เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย 6ถ้าผู้ใดไม่ดำรงอยู่ในเรา ก็จะถูกโยนทิ้งไปข้างนอกเหมือนกิ่งก้านและจะเหี่ยวแห้งไป กิ่งก้านเหล่านั้นจะถูกเก็บไปทิ้งในไฟและถูกเผา 7ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในเรา และวาจาของเราดำรงอยู่ในท่าน ท่านอยากได้สิ่งใด ก็จงขอเถิด และท่านจะได้รับ 8พระบิดาของเราจะทรงรับพระสิริรุ่งโรจน์เมื่อท่านเกิดผลมากและกลายเป็นศิษย์ของเรา
******************
 
 
 
พระวรสารวันนี้เริ่มต้นด้วยพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า“เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน” เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะพูดเรื่องการทำสวนองุ่นกันสักหน่อย
 
เคล็ดลับในการทำสวนองุ่นให้ได้ผลดีอยู่ที่การลิดกิ่งและดูแลดินให้สะอาด สามปีแรกต้องหมั่นตัดหรือลิดกิ่งอย่าให้เกิดผลเพื่อจะได้รักษาความแข็งแรงของเถาองุ่นเอาไว้ เมื่อเถาองุ่นโตเต็มที่แล้ว กิ่งก้านใดที่ไม่เกิดผลก็ต้องตัดทิ้ง อย่าปล่อยให้มันดูดน้ำเลี้ยงและทำให้เถาองุ่นไม่แข็งแรง
 
ตรงนี้แหละที่ทำให้พระเยซูเจ้าตรัสว่า “กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้งเสีย” !!
 
กิ่งก้านที่ไม่เกิดผลประการแรกก็หมายถึง ผู้ที่รับศีลล้างบาปเป็นคริสตชนแล้ว แต่ไม่ได้ดำเนินชีวิตแข็งขันเหมือนอย่างเซาโลที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ เซาโลเมื่อกลับใจและเปลี่ยนชื่อเป็นเปาโลแล้ว ท่านประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าอย่างแข็งขันชนิดไม่เห็นอุปสรรคอยู่ในสายตา แม้จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่จ้องจะเอาชีวิตท่านก็ตาม
 
นอกจากนี้กิ่งก้านที่ไม่เกิดผลยังหมายถึง คริสตชนที่นักบุญยอห์นในบทอ่านที่สองเรียกว่า “รักกันแต่ปาก” แต่ไม่ได้ทำจริง คือเชื่อและฟังพระเยซูเจ้าแต่ไม่ปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน เข้าตำรา “ดีแต่พูด”
 
และกิ่งก้านที่ไม่เกิดผลพวกสุดท้ายก็คือ พวกที่ฟังและปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอนก็จริง แต่เมื่อประสบความยากลำบากในชีวิตก็ทอดทิ้งและทรยศพระองค์
 
เราต้องไม่ลืมว่า อนาคตของกิ่งก้านที่ไม่เกิดผลนั้นน่ากลัวยิ่งนัก เพราะมันจะถูกโยนทิ้งและเผาไฟ !
 
เพื่อจะบังเกิดผลมาก เคล็ดลับประการแรกก็คือ “ทำดินให้สะอาด” ซึ่งพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้วเพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน” (ยน 15:3) ก็แปลว่าเราจะสะอาดได้ก็โดยอาศัยพระวาจา เพราะฉะนั้น เราต้องหมั่นฟัง และอ่านพระวาจาอยู่เสมอ จะเพิกเฉยหรือละเลยไม่ได้เป็นอันขาด !
 
เคล็ดลับที่สองก็คือ “ลิดกิ่งที่ไม่เกิดผล” เช่นความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา ความมักใหญ่ใฝ่สูง ฯลฯ ซึ่งรังแต่จะแย่งน้ำเลี้ยงไปจากเรา และทำให้เราอ่อนแอ ไม่แข็งแรง
 
และเคล็ดลับสุดท้ายซึ่งเป็นสูตรเด็ดของพระเยซูเจ้าเลยก็อยู่ตรงพระวาจาที่ตรัสว่า “ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก” (ยน 15:5)
 
ลองคิดแง่ลบก่อนว่า ถ้าเราไม่ยอมดำรงอยู่ในพระองค์ และไม่ยอมให้พระองค์ดำรงอยู่ในเรา จะเกิดอะไรขึ้น?
 
มีเรื่องเล่าของชาวอินเดียนแดงเรื่องหนึ่ง...
 
มีชาวอินเดียนแดงคนหนึ่งไปพบไข่นกอินทรีย์เข้าโดยบังเอิญ เขาเอาไข่ใบนี้ใส่ลงไปในรังไก่ ลูกนกอินทรีย์ฟักออกมาเป็นตัวพร้อมกับลูกไก่ตัวอื่นๆ มันเจริญเติบโตพร้อมกับลูกไก่และคิดว่าตัวมันเองเป็นไก่ มันทำทุกอย่างเหมือนที่ไก่ทำ มันคุ้ยเขี่ยดินหาเมล็ดพืชและแมลงกิน มันบินสูงจากพื้นได้ไม่เกิน 2-3 ฟุตเหมือนไก่ตัวอื่นๆ เวลาผ่านไป นกอินทรีย์เคราะห์ร้ายตัวนี้เริ่มแก่ แล้ววันหนึ่งมันก็มองเห็นนกตัวหนึ่งบินสูงลิบอยู่บนท้องฟ้า มันร่อนถลาไปตามกระแสลมและทะยานสูงขึ้นอย่างสง่างามด้วยปีกอันแข็งแรงของมัน นกอินทรีย์เคราะห์ร้ายถึงกับเอ่ยกับเพื่อนไก่ของมันว่า “นกอะไรกัน ช่างสวยงามเหลือเกิน” เพื่อนไก่ตอบว่า “นั่นแหละนกอินทรีย์ ราชาแห่งนกละ แต่เอ็งไม่ต้องคิดจะเป็นเหมือนเค้าหรอกนะ” แล้วนกอินทรีย์ที่น่าสงสารก็เลิกคิดที่จะเป็นนกอินทรีย์ และก็ตายไปโดยที่คิดว่าตนเองเป็นไก่ !
 
นกโชคร้ายตัวนี้ก็เปรียบเหมือนกิ่งองุ่นที่ไปติดอยู่กับเถาผิดๆ ไม่ใช่เถาองุ่นแท้อย่างพระเยซูเจ้า ผลมันจึงออกมาน่าเศร้าเช่นนี้
 
ปัจจุบันมีเถาองุ่นผิดๆ มากมายที่ทำให้เราหลงใหลและเอาตัวเราเข้าไปติดพัน ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเถาองุ่นแห่งวัตถุนิยม เถาองุ่นแห่งการแสวงหาความบันเทิงสนุกสนานใส่ตัว เถาองุ่นแห่งการดิ้นรนต่อสู้เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์และอำนาจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีผลต่อการมองตัวตนของเราว่าจะเป็นแค่ไก่ธรรมดาๆ หรือจะเป็นนกอินทรีย์อันสง่างาม และที่สำคัญ มุมมองนี้มันส่งผลต่อความคาดหวัง และต่อเพดานความสำเร็จของเราอย่างใหญ่หลวงจริงๆ
 
เป็นถึงนกอินทรีย์ แต่ต้องจบชีวิตลงเหมือนไก่ตัวหนึ่ง มันน่าเสียดาย
 
และจะยิ่งน่าเสียดายกว่าอีก หากเราเป็นถึงบุตรของพระเจ้า เป็นฉายาของพระเจ้า แต่ดันไปติดอยู่กับเถาองุ่นผิดๆ แล้วต้องจบชีวิตลงไม่ต่างไปจากหมู หมา หรือเป็ดไก่ตัวหนึ่ง
 
เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องดำรงอยู่ในพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นเถาองุ่นแท้ และให้พระองค์ดำรงอยู่ในตัวเรา หาไม่แล้วชะตากรรมของเราคงไม่ต่างไปจากนกอินทรีย์เคราะห์ร้ายตัวนั้น
 
พูดง่ายๆ ก็คือ เราต้องมีชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระองค์
 
เคล็ดลับความสำเร็จของพระเยซูเจ้าอยู่ที่การมีชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระบิดาฉันใด ความสำเร็จและความรอดพ้นของเราก็ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ฉันนั้น
 
พระองค์จึงตรัสว่า “ถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย”
 
แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องระลึกอยู่เสมอก็คือ ความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้าจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากเราไม่ “เริ่มต้นก้าวไปหาพระองค์”
 
ก้าวแรก ขอให้เราเริ่มต้นแต่ละวันด้วยการ “สวดภาวนา” เพราะการสวดภาวนาเป็นเสมือนยาปฏิชีวนะที่ช่วยป้องกันเราจากอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่แฝงมาตลอดทั้งวัน
 
ก้าวต่อๆ ไป ขอให้เราจัดระเบียบชีวิตเพื่อให้มีเวลาสำหรับติดต่อกับพระองค์ อย่าเปิดโอกาสให้เราหลงลืมพระองค์แม้แต่วันเดียวเป็นอันขาด !
 
ในบูชามิสซาวันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดให้เราดำรงอยู่ในพระองค์ ผู้ทรงเป็นเถาองุ่นแท้ และขอให้พระองค์ดำรงอยู่ในเราตลอดไปด้วยเทอญ
 
***************************


ยูดาสถูกปีศาจเข้าสิงได้อย่างไร?

 



[ยูดาส ปลีกตัวออกจากการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย," Carl Bloch, Late 19th Century] 
โดย - มองซิเยอร์ สตีเฟน รอสเซตติ
 
พระคัมภีร์นักบุญยอห์นกล่าวย้ำว่ายูดาสถูกซาตานเข้าครอบงำ ในพระวรสารนักบุญลูกาและยอห์น,ทั้งสองกล่าวว่า: "เวลานั้นซาตานเข้าสิงยูดาสที่เรียกว่าอิสคารีโอท" (ลูกา 22:3) และ "ซาตานก็เข้าสิงในตัวเขา" (ยอห์น 13:27) เพื่อให้เรื่องต่างๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น พระวรสารนักบุญลูกาใช้คำอธิบายเดียวกันของการเข้าครอบงำของปีศาจในชายที่มีกองทัพปีศาจ: "มีปีศาจมากมายเข้ามาในตัวเขา" ดังนั้นผู้ที่ถูกสิงคือคนที่ปีศาจ "เข้าไปข้างใน" และยูดาสก็เป็นคนเช่นนั้น 
 
เห็นได้ชัดว่ายูดาสไม่ได้ถูกครอบงำอย่างสมบูรณ์ในตอนแรก,จนกระทั่งเขากระทำการทรยศต่อพระเยซูในครั้งสุดท้าย แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานก็ตาม พระวรสารนักบุญยอห์นกล่าวว่า: "ปีศาจดลใจยูดาส...ให้ทรยศต่อพระองค์" (ยอห์น 13:2) แต่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเขาทรยศต่อพระเยซูอย่างเป็นทางการ,ในเวลานั้นเท่านั้นที่ "ซาตานได้เข้าสิงเขา" ในขณะที่เราทุกคนถูกปีศาจร้ายล่อลวงให้ทรยศพระเยซูในแบบของเราเอง แต่ยูดาสดูเหมือนจะอ่อนไหวต่อการล่อลวงของซาตานเป็นพิเศษ....
 
เราเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตของยูดาสซึ่งทำให้บางคนเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงและอาจนำไปสู่การเข้าครอบงำของปีศาจในที่สุด: (1) เห็นได้ชัดว่ายูดาสดำเนินชีวิตอยู่ในบาปหนักตลอดเวลา พระวรสารนักบุญยอห์นบรรยายว่าเขาเป็น "ขโมย ...และเคยขโมยเงินบริจาค" ซึ่งมีไว้สำหรับคนยากจน (ยน 12:6) (2) ใครๆ ก็สันนิษฐานได้จากการทรยศพระเยซูว่าเขาไม่มีความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า (3) และในที่สุด, เขาได้กระทำการทรยศต่อพระเยซูอย่างเป็นทางการและด้วยความตั้งใจ สามขั้นตอนนี้เป็นวิธีหนึ่งในการถูกครอบงำอย่างแน่นอนซึ่งได้แก่ การไม่มีความเชื่อ, การทำบาปร้ายแรงมาโดยตลอด, รวมถึงการยอมจำนนต่อการประจญทดลองของซาตานและการทรยศต่อพระเยซูในชีวิตของเขาเอง  
 
การครอบงำของปีศาจไม่ได้ทำให้จิตใจอิสระของคนๆหนึ่งหายไป และยูดาสยังคงต้องรับผิดต่อบาปของเขา ในความเป็นจริง, ผู้ที่ถูกสิงบางคนได้เปลี่ยนชีวิตของตนและเริ่มดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่าง อาทิเช่น ร่วมพิธีมิสซาทุกวัน, สารภาพบาปบ่อยๆ, สวดภาวนาอย่างขยันหมั่นเพียรทุกวัน และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม การถูกทดลองด้วยการถูกครอบงำและได้รับการปลดปล่อยในพระคริสต์,สามารถเป็นแหล่งที่ดีของความศักดิ์สิทธิ์ได้, เมื่อสละละทิ้งตนเองและเข้าไปหาพระเยซูด้วยความไว้วางใจในพระองค์ กล่าวกันว่านักบุญบางองค์ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญเคยถูกปีศาจเข้าสิงโดยเป็นส่วนหนึ่งของไม้กางเขนที่พระเจ้าประทานให้พวกท่าน
 
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดเกี่ยวกับเรื่องราวของยูดาส อิสคาริโอทคือความสิ้นหวังในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา แทนที่เขาจะหันกลับมาหาพระเยซู, ดังที่เปโตรทำหลังจากการปฏิเสธสามครั้ง, ดูเหมือนว่ายูดาสหันหนีจากพระเมตตาของพระเจ้าและปลิดชีวิตของเขาเอง เป็นไปได้ว่ายูดาสอาจกลับใจในวาระสุดท้ายของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่มีทางรู้ อย่างไรก็ตาม พระวาจาของพระเยซูนั้นเป็นลางไม่ดี: “ถ้าเขาไม่ได้เกิดมาจะดีกว่า” (มาระโก 14:21)
 
เมื่อถึงจุดหนึ่ง, เราทุกคนต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าเราก็เป็นคนบาปและได้ตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขน สัปดาห์นี้เราจะนำเสนอทางเลือกพื้นฐานของชีวิตมนุษย์อีกครั้ง:นั่นคือ เลือกความหวังของนักบุญเปโตรหรือความสิ้นหวังของยูดาส
 
ขณะที่เรามองดูพระคริสต์ผู้ถูกตรึงกางเขนในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์นี้ โปรดสวดภาวนาพร้อมกับผมตามบทภาวนาต่อพระเยซูเจ้าของนักพรตในศตวรรษที่ 3 และ 4 นั่นคือ: "ข้าแต่พระเยซูคริสตเจ้า,พระบุตรของพระเจ้า,โปรดทรงเมตตาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเทอญ"
 
************************
 

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2567

คุณพ่อมิคาเอล อูเนีย(Fr. Michael Unia )

 
 

มิคาเอล อูเนีย(Michael Unia) มีอาชีพเป็นคนทำกรอบรูป, ในปี 1877 เมื่ออายุได้ 27 ปี, เขาได้ไปบ้านเยาวชนในวันฉลองนักบุญยอแซฟเพื่อขอให้คุณพ่อบอสโกให้รับเขาเข้าสู่บ้านเยาวชนเพราะเขาต้องการเป็นพระสงฆ์ อันที่จริง,เขาไม่ได้ตั้งใจจะเป็นพระสงฆ์คณะซาเลเซียน แต่เขาไว้วางใจในคุณพ่อบอสโก เมื่อมิคาเอล อูเนียมาถึงในวันที่ 1 สิงหาคม เขาถูกส่งไปที่ Lanzo เพื่อฟื้นฟูจิตใจเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการศึกษาของเขา วันหนึ่งคุณพ่อบอสโกถามเขาว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรเมื่อเรียนจบมัธยมศึกษา “ผมตั้งใจจะกลับบ้านครับ” เป็นคำตอบที่เด็ดเดี่ยว
 
“ถ้าอยู่ที่นี่กับพ่อล่ะ?” “ผมต้องการเป็นพระสงฆ์ที่ Roccaforte มาโดยตลอด”
 
“สมมุติว่าพระเจ้าอยากให้เธอทำงานในพื้นที่กว้างกว่านี้ล่ะ?” “ก็ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงให้ผมเห็นว่าพระองค์ทรงต้องการสิ่งนั้น…”
 
“เธอต้องการหมายสำคัญหรือ?” “หมายสำคัญอะไรหรือครับ?”
 
“สมมุติว่าพระเจ้าเปิดเผยมโนธรรมของเธอให้พ่อรู้ และพ่อจะบอกเธอทุกอย่างที่เธอเคยทำ เธอจะถือว่าสิ่งนั้นเป็นหมายสำคัญที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เธออยู่กับพ่อไหม?”
 
มิคาเอล ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน และสงสัยว่านี่เป็นข้อเสนอที่จริงจังหรือเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น แต่คุณพ่อบอสโกยังคงรอคำตอบของเขาอยู่
 
“ตกลงครับ” มิคาเอล ตอบ “บอกผมสิว่าคุณพ่อเห็นอะไรในมโนธรรมของผม” “เธอยังไปสารภาพบาปอยู่หรือไม่? เอาล่ะ, ให้พ่อทำแทนเธอก็แล้วกัน, สิ่งที่เธอต้องพูดก็คือ 'ครับคุณพ่อ'
 
คุณพ่อบอสโกเริ่มเล่าถึงชีวิตในอดีตของมิคาเอลอย่างถูกต้องรวมทั้งรายละเอียดจนมิคาเอล รู้สึกว่ามันเป็นความฝันในตอนแรก ทุกสิ่งถูกเปิดเผย ทั้งจำนวน, ชนิด, และความหนักของบาปทุกประการ มิคาเอล รู้สึกหวั่นไหวอย่างยิ่งจนเกินกว่าจะพูดได้ทั้งหมด "แต่คุณพ่อบอสโก,ในที่สุดเขาก็ถามว่า "คุณพ่อรู้บาปทั้งหมดของผมได้อย่างไร?" เมื่อเห็นว่าเขาดูหดหู่ใจและเพื่อปลอบใจเขา,คุณพ่อบอสโกจึงตอบว่า "พ่อยังรู้เรื่องอื่นด้วย เมื่อเธออายุสิบเอ็ดปีในวันอาทิตย์วันหนึ่งในระหว่างการสวดภาวนาตอนเย็น,เธออยู่ในคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์ และสังเกตเห็นว่าเพื่อนคนหนึ่งของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆกำลังหลับสนิทและอ้าปากกว้าง เธอจึงหยิบลูกพรุนที่ใหญ่ที่สุดที่เธอมีในกระเป๋ามาและ หยิบมันเข้าปากเขา เด็กผู้น่าสงสารกระโดดลุกขึ้นยืน, สำลัก, แล้วรีบวิ่งไปรอบๆ ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่เธอไม่จำเป็นต้องทำกิจใช้โทษบาปสำหรับการเล่นตลกนี้ เพราะพระสงฆ์ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอตบเธอไปครึ่งโหลทันทีเพื่อเป็นการใช้โทษบาปของเธอ" คุณพ่อบอสโกเล่าจนมิคาเอลต้องยอมรับในที่สุด
 
ที่มา: Don Bosco the Apostle of Confession
 
************************
 

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567

แม่พระปฏิสนธินิรมล

 
 


มีเรื่องราวจากนิทานพื้นบ้านของชนเผ่าอินเดียนในมอนทานา สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับอัศจรรย์จากแม่พระปฏิสนธินิรมล(Immaculata)ในปี 1841
 
ชนเผ่าเคยได้ยินเกี่ยวกับพระวรสารจากการที่คณะเยซูอิตเดินทางผ่านมา และบางคนรวมทั้งหัวหน้าเผ่าของพวกเขาด้วย,ได้ร้องขอไปยังสำนักงานใหญ่ของคณะเยซูอิตในเซนต์หลุยส์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อขอให้ส่งพระสงฆ์มาเผยแพร่พระวรสารแก่พวกเขาเพิ่มเติม
 
ทางคณะเยซูอิตเชื่อมั่นในความปรารถนาอันแรงกล้าของชนเผ่าอินเดียนแดงนี้ที่ต้องการจะได้รับคำสั่งสอน พระสงฆ์คือ Fr.Peter DeSmet จึงได้ออกเดินทางในปี 1840 ไปยังภูมิภาคเทือกเขาร็อคกี้ที่ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ และท่านได้รับการต้อนรับด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ในปีต่อมา คุณพ่อเริ่มก่อสร้างสำนักงานแพร่ธรรมในหมู่บ้านแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ Bitterroot และอุทิศให้กับพระนางมารีย์
 
เพื่อให้สมาชิกของชนเผ่าได้รับศีลล้างบาปเข้าสู่ความเชื่อคาทอลิก, จำเป็นสำหรับพวกเขาที่จะต้องเรียนรู้คำสอนแห่งความเชื่ออย่างละเอียดเสียก่อน และชนเผ่าหลายคนก็คาดหวังที่จะได้รับการสอน, ในจำนวนนั้นมีเด็กกำพร้าคนหนึ่งซึ่งมีความจำที่ไม่ดีจนแทบจะไม่สามารถเรียนรู้คำสอนได้เลย เขาอยากจะรับศีลล้างบาปเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่สามารถจดจำสิ่งที่ได้รับ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร เขาก็จำไม่ได้ว่ามีอะไรอยู่ในหลักคำสอนแห่งความเชื่อ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถรับศีลล้างบาปได้
 
แต่ไม่นานหลังจากนั้น, เด็กชายได้ขอให้ทดสอบความรู้ของเขาเกี่ยวกับหลักคำสอนอีกครั้ง และเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจว่าเขารู้ถึงหลักคำสอนนี้ได้ดีเพียงใด แม้ว่าเขาจะเคยมีประวัติที่ล้มเหลวมาก่อนก็ตาม
 
เรื่องนี้รู้ไปถึง Fr. DeSmet ซึ่งเป็นผู้บันทึกเรื่องราวของเด็กชายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เด็กชายเล่าถึงการที่เขาไปเยี่ยมบ้านของ Jean เพื่อนของเขาตามปกติในความพยายามที่จะเรียนรู้หลักคำสอนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเข้าไปในบ้าน,เขาเห็นหญิงสาวสวยงามอย่างยิ่งผู้หนึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศและมีดาวอยู่เหนือศีรษะของเธอ และมีงูอยู่ใต้เท้าของเธอ ตอนแรกเขากลัวมาก แต่แล้วทันใดนั้น,เขาก็ตระหนักว่าเขารู้ถึงหลักคำสอนทั้งหมดได้อย่างอัศจรรย์ นี่คืออัศจรรย์ของเรื่องนี้ เด็กชายพูดอีกว่า สตรีผู้นั้นเคยมาเยี่ยมเขาหลายครั้งหลังจากวันนั้น และบอกเขาว่าเธอพอใจกับการอุทิศหมู่บ้านแพร่ธรรมเซนต์แมรี(Mission Village of St. Mary.)
 
เด็กชายถูกซักถามหลายครั้งเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็น และเขาก็เล่าให้ฟังเหมือนเดิมทุกครั้งโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยความช่วยเหลือของรูปภาพที่พระสงฆ์จัดเตรียมไว้, เห็นได้ชัดว่านิมิตที่เด็กชายเห็นนั้นแท้จริงแล้วคือแม่พระปฏิสนธินิรมล
 
ในวันคริสต์มาสปี 1841 เด็กชายได้รับศีลล้างบาปและเปลี่ยนชื่อเป็น "พอล(Paul)" แต่เนื่องจากหัวหน้าเผ่าได้ใช้ชื่อนั้นแล้ว เขาจึงเป็นที่รู้จักในชื่อ "พอลน้อย(Little Paul)" มีคนทั้งหมด 150 คนที่ได้รับศีลล้างบาปในวันนั้น
 
ด้วยเหตุนี้ เด็กชายจึงเป็นที่รู้จักในนาม "เทวดาแห่งชนเผ่า(The Angel of the Tribes)" ตาม บันทึกเหตุการณ์ของ Fr. DeSmet
 
พอลน้อยถูกเรียกให้รับรางวัลสวรรค์หลังจากอัศจรรย์เพียงสองปีและได้รับพระพรด้วยการตายอย่างสงบและได้รับศีลสุดท้ายของพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์
 
ที่มา: Knight of the Immaculata
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2567

พระนามของพระเจ้า

 


คุณรู้หรือไม่, พยัญชนะที่ใช้ในการสะกดพระนามศักดิ์สิทธิ์ YAHWEH นั้น อันที่จริงการออกเสียงพยัญชนะเหล่านี้อย่างถูกต้อง,จะไม่อนุญาตให้คุณใช้ริมฝีปากและลิ้นในการออกเสียง การออกเสียงพระนามศักดิ์สิทธิ์นี้ต้องเป็นความพยายามที่จะเลียนแบบการหายใจ นั่นคือ หายใจเข้าและหายใจออก (โดยปิดปาก) และในเพียงชั่ววินาที,ก็มีเสียงเบาๆในใจของเราเอ่ยพระนามอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เมื่อเราลองปฏิบัติตามวิธีดังกล่าว,ชีวิตของเราก็จะใกล้ชิดกับพระเจ้าขึ้นมา
 
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้น่าอัศจรรย์ใจ เราจะได้รับพระเจ้าเข้ามาในตัวเราผ่านการหายใจของเราเอง พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา
 
YAHWEH มาจากคำในภาษาฮีบรู YHWH ซึ่งเป็นพระนามที่พระเจ้าทรงบอกแก่โมเสส,มีความหมายว่า “เราเป็น (I am)” เมื่อโมเสสถามพระเจ้าว่าจะให้บอกชาวอิสราแอลว่าใครเป็นผู้ส่งเขากลับมาที่อิยิปต์ พระเจ้าทรงตอบเขา (อพยพ 3:14-15) “และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราคือเราเป็น (I am who I am)” และพระองค์ตรัสว่า “ท่านจงบอกลูกหลานชาวอิสราแอลว่า “เราเป็น (I am)” ส่งข้าพเจ้ามายังพวกท่าน....นามนี้จะเป็นนามของเราตลอดไป”
 
เพราะเหตุนี้เมื่อพระเยซูตรัสกับพวกฟารีสีว่า “ก่อนอับราฮัมจะเกิด เราเป็น(Yahweh)” ซึ่งหมายความว่า พระเยซูทรงเป็นอยู่ก่อนอับราฮัมจะเกิด พวกฟารีสีและชาวยิวจึงหยิบก้อนหินจะขว้างพระองค์ เพราะคำพูดของพระเยซูนี้เท่ากับประกาศว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และชาวยิวไม่พอใจคิดว่าพระเยซูยกตนเทียบเท่าพระเจ้า
 
ชาวยิวถือว่าพระนามของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์มากจนไม่สมควรที่จะเขียนหรือเปล่งเสียง ชาวยิวจะไม่เขียนคำ YAHWEH เลยแต่จะเลี่ยงไปใช้คำอื่นแทนเช่น Adonai ซึ่งแปลว่า เจ้านาย (Lord or Master)
 
พระนามพระเยซูมาจากคำภาษากรีก Yeshua ซึ่งแปลว่า  พระยาห์เวห์ผู้ช่วยให้รอด(Yahweh saves ดังนั้นพระยาห์เวห์จะทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นจากบาปของพวกเขาและพระเยซูจะทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นจากบาปของพวกเขาในเวลาเดียวกัน ดังนั้นพระนามยาห์เวห์และพระนามพระเยซูก็เป็นพระนามเดียวกัน
 
เราสามารถพิจารณาไตร่ตรองถึงพระนาม Yahweh ซึ่งแปลว่า เราเป็น I am ได้ 10 ข้อดังนี้
 
1. พระเจ้าไม่มีจุดสิ้นสุด
 
2. พระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้น
 
3. พระองค์ทรงเป็นความจริง และไม่มีความจริงอื่นนอกพระองค์ เว้นแต่พระองค์ทรงปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นและสร้างสิ่งนั้น
 
4. พระเจ้าทรงสมบูรณ์ในทุกสิ่งในพระองค์เอง พระองค์ไม่ต้องการสิ่งใดมาสนับสนุน,แนะนำว่าพระองค์ต้องทำอะไร
 
5. ทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าจำเป็นต้องขึ้นกับพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
 
6. เมื่อเปรียบเทียบกับพระเจ้าแล้ว,จักรวาลทั้งมวลก็เท่ากับไม่มีไม่เป็นอะไรเลย
 
7. พระเจ้าทรงเป็นมาตรฐานที่แน่นอนของความจริง,ความดี,ความถูกต้อง,ความสวยงาม (เมื่อปีลาตถามพระเยซูเจ้าว่า “ความจริงคืออะไร?” แล้วเขาก็จ้องมองพระเยซูเจ้า)
 
8. พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ไม่ว่า อดีต,ปัจจุบัน,หรืออนาคต พระองค์ทรงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
 
9. พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งตามพระประสงค์ของพระองค์ ตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย และทุกสิ่งที่ทรงกระทำย่อมถูกต้องเสมอ,ดีงามเสมอและเป็นไปตามความจริง
 
10 พระเจ้าทรงสำคัญที่สุด,ทรงคุณค่าที่สุด พระองค์ทรงสมควรได้รับคำสรรเสริญ,ชื่นชมยินดี ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

ทำไมพระเยซูทรงพับผ้าพันพระเศียร?

 


เหตุใดพระเยซูทรงพับผ้าพันพระเศียรหลังจากทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์? เคยสังเกตเห็นสิ่งนี้หรือไม่?...
 
พระวรสารโดยนักบุญยอห์น (20:7) บอกเราว่าผ้าพันพระเศียรพระเยซูไม่ได้วางอยู่ที่พื้นเหมือนผ้าที่พันพระศพ พระคัมภีร์บอกเราว่าผ้าพันพระเศียรถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย และแยกออกจากผ้าพันพระศพ เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ ขณะที่ยังมืดอยู่ มารี มักดาเลนามาที่อุโมงค์และพบว่าก้อนหินถูกเลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว เธอจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรัก บอกว่า 'เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน!' เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา.. ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน
 
แล้วซีโมนเปโตรก็มาถึงและเข้าไปข้างใน นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ผ้าพันพระเศียรถูกพับแยกไว้อีกที่หนึ่ง
 
นั่นสำคัญหรือ? แน่นอน!
 
มันสำคัญจริงๆหรือ? .....ใช่!
 
เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของการพับผ้าพันพระเศียร คุณต้องเข้าใจประเพณีของชาวฮีบรูในช่วงเวลานั้นสักเล็กน้อย ผ้าพันพระเศียรที่พับไว้เกี่ยวข้องกับเจ้านายและผู้รับใช้, และเด็กชายชาวยิวทุกคนก็รู้จักประเพณีนี้
 
เมื่อคนรับใช้จัดโต๊ะอาหารให้เจ้านาย เขาต้องแน่ใจว่าได้ทำให้เป็นไปตามที่นายต้องการอย่างแน่นอน...
 
โต๊ะได้รับการจัดวางอย่างลงตัว จากนั้นคนใช้ก็จะรอจนนายกินอาหารเสร็จ และคนรับใช้จะไม่กล้าแตะโต๊ะนั้นจนกว่านายจะรับประทานเสร็จ ถ้านายกินอาหารเสร็จแล้ว,เขาจะลุกจากโต๊ะใช้ผ้าผืนหนึ่งเช็ดนิ้ว,ปาก, ทำความสะอาดใบหน้า,หนวดเครา และจะหยิบผ้าผืนนั้นโยนลงบนโต๊ะ
 
คนรับใช้ก็จะรู้ว่าจะต้องเคลียร์โต๊ะ เพราะในสมัยนั้นผ้าที่ไม่ได้พับไว้หมายความว่า 'เสร็จแล้ว'
 
แต่ถ้านายลุกจากโต๊ะพับผ้าเช็ดปากวางไว้ข้างจาน คนรับใช้ก็ไม่กล้าแตะต้องโต๊ะ เพราะ.......... ผ้าที่พับไว้นั้นหมายความว่า 'ฉัน' 'กำลังจะกลับมา!'
 
ดังนั้นผ้าพันพระเศียรของพระเยซูที่พับไว้จึงมีความหมายว่า
 
พระเยซูกำลังจะกลับมา!
 
ถ้าข้อมูลนี้ถูกใจคุณ ขอให้ส่งต่อให้ผู้อื่น และสรรเสริญพระนามพระเยซู!
 
#HeIsComingBack
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2567

เราคือการปฏิสนธินิรมล

 
 

เมื่อ 180 ปีที่แล้ว แบร์นาเด็ตต์ยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่งเกิดในเมืองห่างไกลในเทือกเขาพิเรนีส เธอถูกเลี้ยงดูโดยอาศัยอยู่ในห้องใต้ดิน มันไม่ได้ถูกใช้เป็นคุกขังอาชญากรอีกต่อไปแล้ว เพราะมันไม่เหมาะกับจุดประสงค์นั้นอีกต่อไป แต่พ่อแม่ของเธอ ฟรังซัว(Francois) และ หลุยส์ ซูบีรุส(Louise Soubirous) มีชีวิตบนขอบของความยากจนข้นแค้น และที่พักแบบห้องเดียวนี้ก็เพียงพอสำหรับพวกเขาที่จะจ่ายได้. ถ้าหากชาลส์ ดิคเกนส์,นักเขียนนวนิยายซึ่งอยู่ในช่วงรุ่งเรืองในเวลานั้น ได้เห็นที่อยู่ซอมซ่อที่ครอบครัวซูบีรุสอาศัยอยู่, เขาจะเขียนนวนิยายเกี่ยวกับครอบครัวนี้แน่ เมื่อบิดามารดาอุ้มลูกน้อย แบร์นาแด็ต,พวกเขาไม่รู้เลยว่าเธอจะมีชื่อเสียงในภายหน้า แต่แม้จะยากจนและถูกดูถูกมาก,แบร์นาแด็ตน้อยก็ยังคงปรารถนาที่จะถูกขังอยู่ในห้องของเธอเองเพื่อมีความสงบสุข
 
แบร์นาเด็ตต์เป็นลูกคนโตในจำนวน 9 คน ตอนที่เธอยังเป็นเด็กวัยหัดเดิน, เธอติดเชื้ออหิวาตกโรค ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ร่างกายขาดน้ำและทำให้ปากแห้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำลายความงามของแบร์นาแด็ต และดวงตาของเธอดูลึกล้ำในขณะที่ใบหน้ารูปไข่ของเธอเปล่งประกายด้วยความน่ารัก เธอเติบโตและสูงเพียง 4 ฟุต 7 นิ้วเท่านั้น ตัวเล็กกว่าโจนออฟอาร์ก(Joan of Arc) เสียด้วยซ้ำ เธอได้รับการศึกษาน้อย และเมื่ออายุ 14 ปี เธอยังไม่สามารถอ่าน, เขียน, หรือพูดภาษาฝรั่งเศสได้
 
ภาษาแม่ของเธอคือภาษาอ็อกซิตัน(Occitan)ซึ่งมีน้ำเสียงแบบห้วนๆและเป็นส่วนผสมของภาษาท้องถิ่นของประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป็นภาษานี้ที่พระมารดาของพระเจ้าพูดกับแบร์นาเด็ต ด้วยเหตุนี้จึงเป็นคำพูดที่บริสุทธิ์ซึ่งคนดูถูกเหยียดหยาม ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ถึง 16 กรกฎาคม 1858, พระแม่มารีย์ปรากฏต่อแบร์นาเด็ตรวม 18 ครั้งที่ริมฝั่งแม่น้ำ กาฟ(Gave) แบร์นาเด็ตรู้สึกตะลึงกับความงามเปล่งประกายของแม่พระ พระนางทรงสวมชุดสีขาวไร้ที่ติและเสื้อคลุมพร้อมผ้าคาดเอวสีฟ้า, กุหลาบสีทองประดับเท้าเปล่าของพระนาง แบร์นาเด็ตกล่าวในภายหลังว่างานประติมากรรมของแม่พระไม่สามารถเทียบได้กับความงามของแม่พระจริงๆได้เลย สิ่งนี้รับประกันได้ว่าความงดงามน่ารักของแม่พระนั้นพิเศษมาก
 
พระสงฆ์ประจำถิ่นได้พูดกดดันแบร์นาเด็ตต์ให้ถามชื่อของสตรีที่ประจักษ์มา และแม่พระได้ตทรงบอกพระนามของพระนางในวันฉลองแม่พระทรงรับสาส์นว่า "เราคือการปฏิสนธินิรมล" 4 ปีก่อนที่แม่พระจะประจักษ์แก่แบร์นาแด็ต, ทางวาติกันได้ประกาศข้อความเชื่อเรื่องการปฏิสนธินิรมลของพระแม่มารีย์ และในซอกเล็กๆบนไหล่เขาซึ่งแม่พระประจักษ์แก่แบร์นาแด็ต,พระนางทรงเปิดเผยต่อแบร์นาแด็ตถึงความจริงแห่งข้อความเชื่อนี้ พระนางทรงขจัดความสงสัยการบังเกิดโดยปราศจากบาปของพระนาง,ทรงปราศจากตำหนิอันเนื่องมาจากบาป,ทั้งบาปกำเนิดและบาปใดๆไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ตาม และองค์ราชินีแห่งสวรรค์ทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเราให้ได้รับความรอด
 
การประจักษ์ของแม่พระต่อแบร์นาเด็ตเป็นการพิสูจน์ข้อความเชื่อเรื่องปฏิสนธินิรมล ลูร์ดเป็นของขวัญสำหรับมนุษยชาติและเป็นรางวัลสำหรับพระศาสนจักรที่แต่งตั้งพระสันตปาปาปิโอที่ 9 ผู้ทรงประกาศอย่างเป็นทางการว่าแม่พระทรงปฏิสนธิในครรภ์มารดาโดยปราศจากบาปกำเนิด ลูร์ดกลายเป็นศูนย์กลางของการเยียวยาเรักษาโรคอันน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความสงบสุขอย่างลึกซึ้งและการยกระดับจิตใจของผู้แสวงบุญที่ไปที่นั่น เป็นแหล่งแห่งความยินดีสำหรับผู้ซื่อสัตย์ที่ศรัทธาในการวิงวอนต่อพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมล ลองนึกภาพสิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นถ้าทุกคนตั้งแต่พวกเราไปจนถึงพระสงฆ์ในลำดับชั้นของพระศาสนจักรได้ทำสิ่งที่แม่พระทรงต้องการตลอดเวลา
 
พวกเราที่รู้สึกเสียใจที่ราชินีแห่งสวรรค์มักถูกละเลยหรือถูกดูหมิ่น,จำเป็นต้องทำให้ตัวอย่างของแบร์นาเด็ตเป็นที่รู้จักมากขึ้น ถ้าเพียงแต่พระสังฆราชของเราจะเป็นเหมือนเธอมากกว่านี้! แบร์นาเด็ตเป็นคนเรียบง่ายและมีนิสัยนบนอบเชื่อฟังเหมือนเด็ก ความซื่อสัตย์ของเธอหมายความว่าเธอพยายามทำตามที่แม่พระทรงร้องขอโดยไม่คำนึงว่าจะต้องเสียสละเท่าไร และบางทีที่สำคัญที่สุดคือเธอไม่สนใจชื่อเสียงของเธอเองที่อาจถูกดูหมิ่น มีความพยายามที่จะทำให้เธอปฏิเสธการประจักษ์นี้ เธอยอมเสียสละตนเองอย่างเต็มที่ในการพลีกรรมเพื่อทำให้คนบาปกลับใจ แบร์นาเด็ตไม่ใช่ปัญญาชนที่มีความคิดซับซ้อน – การขาดความฉลาดของเธอทำให้หลายคนดูถูกเธอ แต่อันที่จริง,ดูเหมือนพวกเขาจะอิจฉาเธอมากกว่า นี่คือเด็กสาวที่องค์ราชินีแห่งสวรรค์ทรงเลือกให้เป็นทูตพิเศษของพระนาง
 
ความอ่อนน้อมถ่อมตนของแบร์นาเด็ตต์นั้นยิ่งใหญ่ เธอถูกชุบเลี้ยงมาในคุกร้าง และไม่เคยรู้สึกว่าถูกบังคับโดยเจ้าหน้าที่เมื่อพวกเขาขู่ว่าจะขังเธอไว้ เธอบอกว่าเธอค่อนข้างจะสนุกกับมัน โรคหอบหืดที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม,แต่เธอไม่เคยยอมแพ้ เมื่อเธอเห็นคนอื่นๆได้รับการรักษาอย่างน่าอัศจรรย์ แต่เธอก็ยอมรับโดยดุษฎีว่าเธอปรารถนาเป็นดังที่แม่พระตรัสไว้ว่าเธออาจไม่มีความสุขในชีวิตนี้ แต่ในชีวิตหน้านั้นแน่นอน
 
โดยส่วนตัวแล้ว, ฉันเชื่อว่าพิธีมิสซาแม่พระแห่งลูร์ดมีพลังมหาศาลในการละลายหัวใจของผู้คนและเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นอาสาสมัครที่เต็มใจของพระนางเช่นเดียวกับแบร์นาเด็ต มีบทความ,มีรูปภาพมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจในการทำสมาธิ เพื่อที่เราจะได้มีบางอย่างที่คล้ายกับความรู้สึกของแบร์นาเด็ต,เมื่อเธอเห็นแม่พระผู้งดงามและน่ารักที่สุดในบรรดาสตรีทั้งหลาย พระมารดาแห่งองค์พระเมสสิยาห์ "เสด็จลงมาจากสวรรค์,แต่งตัวราวกับเจ้าสาว" บทสดุดีนี้อาจเป็นคำอธิบายสำหรับการประจักษ์นี้ “จงลุกขึ้นเถิด ที่รักของฉัน ผู้งดงามของฉัน และมาเถิด นกพิราบของฉัน อยู่ที่ซอกหิน ในที่ว่างของกำแพง”
 
ศีลมหาสนิทถือว่าเป็นบ่อน้ำพุที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้นึกถึงน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองลูร์ด ในพิธีมิสซา,หลังจากรับศีลแล้วให้เราสวดภาวนาเพื่อตัวเราเอง ราวกับว่าในชีวิตนี้เรากำลังอยู่ในการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตราย และต้องการพระหรรษทานจากพิธีมิสซาศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปสู่สวรรค์ ในที่นี้, เราเป็นหนึ่งเดียวกับผู้แสวงบุญที่แท้จริงทุกคนที่ไปเมืองลูร์ดเพื่ออยู่เบื้องหน้าภูเขาที่แม่พระทรงประทับยืนอยู่ ณ ธรณีประตูสวรรค์ เชิญชวนเราทุกคนให้เข้ามาหาพระนางพร้อมกัน
 
ขอความสุขจงมีแด่ทุกท่านเนื่องในวันฉลองแม่พระทรงรับสาส์น
 
************************