วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2566

การสารภาพบาปกับพระสงฆ์

 




คุณพ่อบอสโก หลังจากอธิบายเรื่องพระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อนแล้ว ท่านได้แสดงความคิดเห็นดังต่อไปนี้:
 
โรคเรื้อนเป็นภาพของบาป ความบาปทำให้จิตวิญญาณของเราน่าสะอิดสะเอียนจนพระเจ้าไม่ทรงถือว่าเราเป็นของพระองค์อีกต่อไป พระองค์ต้องเนรเทศเรา,แยกเราออกจากบุตรคนอื่นๆของพระองค์ วิญญาณที่อยู่ในบาปหนักนั้นน่าขยะแขยงและน่าเกลียดในสายพระเนตรของพระเจ้า จะพ้นจากโรคเรื้อนนี้ได้อย่างไรหรือ? "จงไปแสดงตัวต่อพระสงฆ์" พระเยซูเจ้าตรัส,หากเราต้องการเป็นอิสระพ้นจากบาป เพื่อรักษาโรคทางวิญญาณที่น่ารังเกียจที่สุดนี้ เราต้องไปหาพระสงฆ์,ผู้ที่พระเจ้าประทานอำนาจในการชำระล้างบาปของเรา พระเยซูเจ้าไม่สามารถบอกชายคนนั้นง่ายๆดอกหรือว่า: "จงหายเป็นปกติเถิด" โดยไม่เสริมว่าเขาควรแสดงตัวต่อพระสงฆ์? ได้อย่างแน่นอน ! ใช่ แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น แต่ทรงแสดงให้เราเห็นว่า แม้ว่าพระองค์จะทรงให้อภัยเราได้โดยที่เราไม่ต้องไปหาพระสงฆ์ แต่พระองค์จะไม่ทำเช่นนั้นเว้นแต่เราจะไปหาพระสงฆ์และสารภาพบาปของเราอย่างจริงใจเสียก่อน พระเจ้าสามารถให้อภัยด้วยวิธีอื่นได้อย่างแน่นอน พระองค์ทำได้ ทำไมพระองค์ไม่ทำล่ะ? ถ้าลูกถามพระองค์,พระองค์จะบอกลูก!
 
พ่อขอรับรองกับลูกว่า ถ้าลูกต้องการชำระจิตวิญญาณให้ปราศจากบาป วิธีเดียวคือไปสารภาพบาป พระเจ้าจะทรงยกโทษบาปให้ลูก ไม่ว่าจะเป็นบาปที่ร้ายแรงสักเพียงใด,ถ้าหากลูกขอโทษจริงๆ และสารภาพบาปอย่างนอบน้อมต่อพระสงฆฆ์,ผู้รับใช้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระองค์"
 
Source: Don Bosco Horror of Sin
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2566

ทำอย่างไรเมื่อถูกหักหลัง

 


 

นักบุญมาเดอลีน โซฟี บารัต(madeline sophie barat)
 
มีสักกี่คนที่ไม่เคยถูกหักหลังจากคนที่ใกล้ชิด? ดูเหมือนว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งบางคนแม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดเรามากก็หันมาต่อต้านเรา และเรามักจะไม่ทันตั้งตัว นอกจากนี้,เรายังไม่แน่ใจด้วยว่าเราควรตอบสนองอย่างไร นักบุญมาเดอลีน โซฟี บารัต(madeline sophie barat) จะแบ่งปันวิธีหนึ่งที่เราสามารถตอบสนองเมื่อเราถูกหักหลัง
 
ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา
 
โซฟีเกิดในปี 1779 ในแคว้นเบอร์กันดีของฝรั่งเศส เธอเป็นลูกสาวคนสุดท้องของ Jacques Barat, ซึ่งเป็นชาวสวนองุ่นและช่างซ่อมถังไม้สำหรับใส่ไวน์(cooper) โซฟีคลอดก่อนกำหนดอันเนื่องมาจากไฟไหม้และทำให้ชีวิตของแม่ของเธอตกอยู่ในอันตราย แม่ของเธอฟื้นตัวเต็มที่ แต่โซฟีค่อนข้างอ่อนแอและขี้โรคในช่วงปีแรกๆของเธอ ในที่สุด เธอก็เริ่มมีกำลังมากขึ้นและเริ่มวิ่งไปรอบๆท่ามกลางเนินเขาที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์ ขณะเดียวกันก็เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตและความเชื่อจากแม่ของเธอด้วย
 

หลุยส์พี่ชายของเธอซึ่งอายุมากกว่าเธอสิบเอ็ดปีได้รับเลือกให้เป็นพ่อทูนหัวของเธอเมื่อเธอรับศีลล้างบาปในวันรุ่งขึ้นหลังจากเธอเกิด ชายหนุ่มจะรับผิดชอบอย่างจริงจัง เมื่อโซฟียังอยู่ในวัยเยาว์,หลุยส์ตอบรับกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์และออกเดินทางไปปารีสเพื่อเริ่มการศึกษา หลังจากได้รับการบวชเป็นสังฆานุกรเมื่ออายุได้ 22 ปี เขาก็ได้รับมอบหมายให้สอนที่วิทยาลัยในบ้านเกิดของเขา
 
ขณะที่หลุยส์สอนสามเณร,เขารับหน้าที่จัดการศึกษาที่มีคุณภาพให้กับโซฟี สำหรับเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ การนั่งอ่านหรือรับคำแนะนำนับว่ามากเกินไปเมื่อมีโลกที่สวยงามภายนอกให้สำรวจ ในที่สุด เมื่อได้รับพื้นที่ส่วนตัวในห้องใต้หลังคาเพื่อเรียนหนังสือ,เธอก็เริ่มอดทน,จากนั้นก็ยอมรับการศึกษาในที่สุด หลุยส์คาดหวังสูงสำหรับโซฟี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา,โซฟีจะได้เรียนรู้วิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ภาษาละติน ภาษากรีก ภาษาอิตาลี และภาษาสเปน
 
การปฏิวัติฝรั่งเศสและการคุมขัง
 
ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนกระทั่งโซฟีมีอายุสิบสี่ปี ในระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส,พี่ชายของเธอซึ่งตอนนี้ได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว,ถูกจับเข้าคุกเมื่อเขาอยู่ในปารีส ครอบครัวสิ้นหวังกับชีวิตของเขาในขณะที่เขาต้องทนอยู่ในคุกในข้อหาเป็นพระสงฆ์และปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลปฏิวัติ แม่ของโซฟีรู้สึกว้าวุ่นใจมากจนถึงจุดหนึ่ง เธอไม่ยอมกินข้าว โซฟีช่วยชีวิตแม่ของเธอโดยบอกแม่ของเธอว่า เธอเองก็เช่นกัน จะหยุดกินเพื่อที่พวกเขาจะได้ตายไปพร้อมกัน ด้วยความรักที่มีต่อลูก แม่จึงยอมกินอาหาร
 
ช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความศรัทธาของโซฟีต่อดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ในช่วงเวลาที่ถูกคุมขังเป็นเวลาสองปีของหลุยส์,ครอบครัวจะสวดภาวนาต่อพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าเพื่อให้หลุยส์ได้รับการปล่อยตัวและครอบครัวจะได้มีพละกำลังตามที่พวกเขาต้องการ และคำภาวนาของพวกเขาก็ได้รับการตอบสนองเมื่อหลังจากการล่มสลายของผู้นำรัฐบาลปฏิวัติ,โรเบสปีแอร์(Robespierre),หลุยส์ก็ได้รับการปล่อยตัวจากคุก
 
การย้ายไปปารีส
 
เพื่อให้โซฟีได้รับการศึกษาต่อไป,หลุยส์ได้ขอร้องพ่อแม่ของเขาว่าขอให้ยอมให้โซฟีย้ายไปปารีส ซึ่งเขาสามารถดูแลเธอและการศึกษาของเธอเป็นการส่วนตัวต่อไปได้ หลังจากการจำคุกของหลุยส์และอันตรายอย่างต่อเนื่องของการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ทั้งต่อต้านพระสงฆ์และต่อต้านพระศาสนจักรคาทอลิก พ่อแม่ของโซฟีก็ลังเลใจที่จะเห็นด้วยกับแผนดังกล่าว ในที่สุดมีการประนีประนอมว่าโซฟีจะกลับบ้านในช่วงเวลาวินเทจ(ช่วงเวลาที่มีการกลั่นเหล้าองุ่น)
 

โซฟีและหลุยส์อาศัยอยู่ในบ้านของมาดมัวแซล ดูวาล(Mademoiselle Duval) ในแต่ละวันเขาจะแอบประกอบพิธีมิสซาซึ่งเป็นความเสี่ยงสำหรับพวกเขาทั้งสามคน นอกจากนี้หลุยส์เริ่มเปลี่ยนแผนการเรียนของโซฟี แทนที่จะเรียนบทกวีโฮเมอร์, เวอร์จิล, และเซร์บันเตส โซฟีจะอ่านผลงานของบรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักรในยุคแรก แผนของเขาคือทำให้แน่ใจว่าเธอพัฒนาจิตวิญญาณของเธอด้วยความจริงแห่งความเชื่อแทนที่จะพัฒนารสนิยมงานทางโลกมากเกินไป
 
แม้ว่าความตั้งใจของเขาจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่หลุยส์สามารถทำอะไรได้ไกลกว่านั้นเมื่อพยายามทำให้แน่ใจว่าโซฟีพัฒนาการควบคุมตนเองและการปล่อยวาง เธอเป็นช่างเย็บผ้าที่ประสบความสำเร็จและทำงานในโครงการเย็บผ้าหลายโครงการอย่างลับๆ เมื่อพี่ชายของเธอรู้เรื่องนี้ เขาก็ทำลายชุดที่เธอทำเพื่อตัวเองพร้อมกับงานเย็บปักถักร้อยที่เธอทำเป็นของขวัญให้เขา
 
กลุ่มพระสงฆ์แห่งดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
 
ความกระตือรือร้นของหลุยส์มีประสิทธิผลมากขึ้นเมื่อเขาเข้าร่วมกับกลุ่มพระสงฆ์แห่งดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์(Fathers of the Sacred Heart) ซึ่งปฏิบัติตามกฎของนักบุญอิกนาเชียส แห่งโลโยลา(St. Ignatius of Loyola) ในเวลานั้น,คณะเยซูอิตถูกระงับจากสันตะสำนัก และพระสงฆ์ของกลุ่มใหม่นี้ก็หวังว่าจะได้เป็นเยซูอิตเมื่อคณะได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ คุณพ่ออธิการคนแรก,คุณพ่อเดอตูร์เนลี(Father de Tournely) เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 30 ปี และคุณพ่อโจเซฟ วาริน(Joseph Varin.)เข้ามาแทนที่ท่าน
 
หลังจากการล่มสลายของการปฏิวัติฝรั่งเศส,มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบูรณะ,และในหลายกรณี จำเป็นต้องสร้างสิ่งที่ถูกทำลายขึ้นมาใหม่ ในการตอบสนองสิ่งนี้, Fr. de Tournely ได้วางแผนที่จะจัดตั้งคณะนักบวชสตรีที่มีความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์,ซึ่งจะให้การศึกษาแก่ทุกชนชั้น คุณพ่อวาริน,ในฐานะอธิการลำดับต่อมา,จะยึดแผนนี้เหมือนเป็นแผนของท่านเอง
 
วันหนึ่ง ระหว่างการสนทนา,คุณพ่อ วารินถามหลุยส์ว่าเขามีความผูกพันกับโลกนี้อย่างไร หลุยส์บอกกับคุณพ่อ วารินเกี่ยวกับน้องสาวของเขา,โซฟีที่อยู่ในความดูแลของเขา เมื่อคุณพ่อ วารินได้เรียนรู้เกี่ยวกับโซฟี รวมทั้งพรสวรรค์ด้านการศึกษา และนิสัยใจคอของเธอ ทำให้ท่านสนใจมากขึ้น ในที่สุดท่านก็ยืนยันว่าจะพบเธอ
 
ก่อนที่เธอจะได้พบกับคุณพ่อ วาริน,โซฟีผู้อาจไม่เคยเห็นแม่ชีหรือซิสเตอร์จริงๆมาก่อน เชื่อมั่นว่าเธอถูกเรียกให้เข้าสู่ชีวิตนักบวช จากการอ่านของเธอ เธอคุ้นเคยกับคณะคาร์เมลในสเปน และเธอจินตนาการว่าวันหนึ่งตัวเองได้เข้าร่วมในคณะคาร์เมลไลท์ อย่างไรก็ตาม หลังจากได้พบกับคุณพ่อ วารินทั้งโซฟีและคุณพ่อ วารินสัมผัสได้ถึงแผนการของพระเจ้าที่ให้เธอช่วยก่อตั้งคณะใหม่หรือนักบวชสตรีที่มีพันธกิจในการสอนหนังสือ
 
การก่อตั้งและการแต่งตั้งเป็นคุณแม่อธิการ
 
ไม่นานหลังจากการประชุม,คุณพ่อ วารินเขียนกฎบางอย่างสำหรับคณะใหม่ และในไม่ช้า,โซฟีและหญิงสาวอีกสามคนที่เข้าร่วมในพิธีมิสซากับคุณพ่อ,ก็เตรียมที่จะดำเนินการขั้นแรกในการก่อตั้งคณะ ดังนั้น,เมื่ออายุยี่สิบปี ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1800 โซฟีและหญิงสาวคนอื่นๆได้ทำพิธีถวายตัวอย่างสง่าแด่ดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นรากฐานสำหรับสิ่งที่จะกลายเป็นคณะแห่งดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์(Society of the Sacred Heart.)
 
ไม่ถึงหนึ่งปีต่อมาในวันที่ 17 ตุลาคม 1801 ผู้หญิงเหล่านี้เข้าควบคุมโรงเรียนที่ปิดไปแล้วในอาเมียงเพื่อเริ่มงานสอนอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังจากที่อธิการิณีคนแรกทำงานไม่ได้ผล,คุณพ่อ วารินเลือกโซฟีให้อธิการิณีคนต่อไปเมื่ออายุยี่สิบสาม เมื่อเธอรู้ว่าเธอได้รับเลือก,เธอน้ำตาไหลและขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ อย่างไรก็ตาม,คุณพ่อ วารินยืนกรานให้เธอเป็นอธิการิณี โซฟียอมรับและจูบเท้าของหญิงสาวอีกคนทันทีเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอจะเป็นคนรับใช้ของพวกเขามากกว่าเจ้านายของพวกเขา ต่อมาเมื่อกฎระเบียบอย่างเป็นทางการได้รับการอนุมัติ,โซฟีจะได้รับเลือกให้เป็นอธิการิณีของคณะอีกครั้ง และเธอได้เป็นจวบจนเสียชีวิต
 
การที่เธอทำตามหน้าที่ได้อย่างดีมากตั้งแต่เริ่มแรก ภายใต้การนำของเธอ โรงเรียนแห่งแรกประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนต้องทำการย้ายโรงเรียนไปที่แห่งใหม่หลายครั้งในรอบหลายปีเพื่อหาที่พักให้พอดีกับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากผู้หญิงที่เข้าร่วมตั้งแต่แรกแล้ว หญิงสาวใหม่หลายคนก็เข้าร่วมในคณะด้วย พวกเขาทั้งหมดถูกทดลองโดยเตาหลอมของการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งช่วยให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตที่ยากจน,การถือพรหมจรรย์,และการนบนอบเชื่อฟัง และส่งต่อภูมิปัญญาของพวกเขาไปยังเด็กๆภายใต้การดูแลของพวกเขา
 
ในไม่ช้าคณะดังกล่าวก็ได้ก่อตั้งคอนแวนต์ใหม่สองแห่งใน Sainte-Marie-de'en-Haut และ Poitiers คอนแวนต์ที่ Poitiers นี้กลายเป็นบ้านที่สมาชิกใหม่เข้ารับการฝึกเป็นโนวิส และโซฟีเองก็ย้ายมาที่คอนแวนต์แห่งนี้เพื่อทำหน้าที่หัวหน้าโนวิส
 
เมฆพายุ
 
หลายปีต่อมาในปี 1808 โซฟีกลับไปเยี่ยมคอนแวนต์แห่งแรกในอาเมียงเพียงเพื่อพบว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของบรรดาซิสเตอร์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่แสดงไว้ในกฎทั่วไปของคณะ ชีวิตของคอนแวนต์ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างลับๆ โดยมาดามโบเดอมองต์ อธิการิณีของคอนแวนต์ภายใต้การดูแลของคุณพ่อ เดอ เซนต์ เอสตีฟ(Fr. de St. Esteve) คุณพ่อได้ละทิ้งจิตวิญญาณของคณะและแทนที่ด้วยวิธีการที่เข้มงวดมาก แรงจูงใจของคุณพ่อไม่อาจถือว่าไร้เดียงสาได้ เนื่องจากเขาไม่เพียงต้องการควบคุมคอนแวนต์เท่านั้น แต่มีเป้าหมายที่จะเข้าควบคุมคณะทั้งหมด ในความเป็นจริงคุณพ่อ de St. Esteve อ้างตัวเองว่าเป็นผู้ก่อตั้งและละทิ้งการปฏิบัติตามกฎของ St. Ignatius และความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
 
ที่น่าสนใจคือ โซฟีตัดสินใจปล่อยให้สถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามเหตุผล เธอคิดว่าการเผชิญหน้าโดยตรงประเภทใดก็ตามมีแต่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งซึ่งไม่ให้ผลลัพธ์ในเชิงบวก แต่เธอมอบเรื่องทั้งหมดไว้ในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าด้วยการสวดภาวนา,การสำนึกผิด,และความอดทน นอกจากนี้ เธอให้เหตุผลว่ามันไม่ดีที่จะพยายามแสดงอำนาจของเธอและแก้ไขการละเมิดเนื่องจากโรงเรียนดำเนินไปด้วยดีและมีความสงบสุขและความสามัคคีในชุมชนของบรรดาซิสเตอร์ โซฟีกลับให้ความสำคัญกับการสนับสนุนคอนแวนต์อื่นๆ และเป็นผู้นำในการพัฒนาผู้สมัครเข้าคณะและบรรดาโปสตูลันต์
 
ผลแห่งความอดทนและการสวดภาวนา
 
วิธีการของโซฟีได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง ในปี 1812 คุณพ่อ de St. Esteve ถูกจับกุมโดยรัฐบาลของจักรวรรดิ ธรรมนูญที่เขาเสนอซึ่งถูกส่งไปยังคอนแวนต์อื่นๆถูกปฏิเสธเนื่องจากขาดความความศรัทธาต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ จากเหตุการณ์เหล่านี้ โซฟีไปเยี่ยมคุณพ่อ วารินที่ถูกเนรเทศเพื่อร่างธรรมนูญอย่างเป็นทางการสำหรับคณะ
 
อย่างไรก็ตาม ปัญหายังไม่จบสิ้น เมื่อจักรวรรดิฝรั่งเศสล่มสลาย คุณพ่อ de St. Esteve ได้รับการปล่อยตัวจากคุก คุณพ่อเดินทางไปกรุงโรมเพื่ออ้างว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งคณะตัวจริง และธรรมนูญของเขาเป็นเพียงฉบับเดียวที่ควรได้รับการอนุมัติจากพระสันตปาปา
 
มาถึงตอนนี้คณะเยซูอิตได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ โซฟีขอร้องให้คณะเยซูอิตเข้าแทรกแซงและแก้ไขสถานการณ์นี้ เป็นไปได้ว่าทางคณะเยซูอิตไม่ได้เห็นจดหมายของโซฟี แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, เลขานุการได้ตอบเธอว่าพระสันตปาปาทรงรับรู้กฎระเบียบที่นำเสนอโดยคุณพ่อ de St. Esteve และใครก็ตามที่ขอถอนตัวจากการเป็นผู้นำของคุณพ่อ de Esteve จะถูกคว่ำบาตร และยิ่งไปกว่านั้น คอนแวนต์ใดที่ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของเขาจะถูกระงับ
 
คุณพ่อ วารินแนะนำให้โซฟีปฏิบัติตามคำสั่งนี้ซึ่งเธอก็ทำตามอย่างเต็มใจ พระเจ้าทรงตอบแทนความอ่อนน้อมถ่อมตนของเธอเมื่อพบว่าคุณพ่อ de Esteve เป็นผู้อนุญาตให้ส่งจดหมายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะเยซูอิต เรื่องอื้อฉาวของการหลอกลวงนี้ทำให้คุณพ่อ de Esteve สูญเสียผู้สนับสนุนในกรุงโรมและในที่สุดอิทธิพลของเขาที่มีต่อคณะก็สิ้นสุดลง
 
โดยอาศัยการสวดภาวนา,การทนทุกข์ทรมาน,การรอคอย,และความหวังของโซฟี คณะแห่งพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์จึงปลอดภัยและได้รับอนุญาตให้เติบโตต่อไปด้วยจิตวิญญาณแห่งอิกนาเชียสดั้งเดิมและความศรัทธาอย่างมั่นคงต่อดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า เมื่อโซฟีเสียชีวิตในปี 1865, คณะได้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นบ้าน 105 หลังซึ่งมีซิสเตอร์ 3,500 คนซึ่งให้การศึกษาแก่เด็กหญิงและหญิงสาวในยุโรป แอฟริกาเหนือ อเมริกาเหนือและใต้
 


************************
 

วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2566

พระวาจาวันอาทิตย์ 26 มี.ค.. 2023 พระเยซูเจ้าทรงปลุกลาซารัสจากความตาย

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ยอห์น 11:1-45 
(20)เมื่อมารธารู้ว่า พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารีย์ยังคงนั่งอยู่ที่บ้าน (21)มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย (22)แต่บัดนี้ ดิฉันรู้ดีว่า สิ่งใดที่พระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” (23)พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” (24)มารธาทูลว่า “ดิฉันรู้ว่า เขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย” (25)พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้วก็จะมีชีวิต (26)และทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ’ (27)มารธาทูลตอบว่า “เชื่อพระเจ้าข้า ดิฉันเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า ที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้” 
(28)เมื่อมารธาทูลดังนี้แล้ว นางก็ไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบบอกว่า “พระอาจารย์อยู่ที่นี่ และทรงเรียกน้องด้วย” (29)เมื่อมารีย์ได้ยินดังนั้น ก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ (30)พระเยซูเจ้ายังไม่ได้เสด็จเข้าในหมู่บ้าน แต่ยังประทับอยู่ในที่ที่มารธามาเฝ้า (31)ชาวยิวซึ่งอยู่ที่บ้านกับมารีย์เพื่อปลอบใจนาง เมื่อเห็นนางรีบลุกขึ้นออกไป ก็ตามไปด้วย คิดว่านางคงจะไปร้องไห้ที่คูหาฝังศพ (32)เมื่อมารีย์มาถึงที่ที่พระเยซูเจ้าประทับอยู่ และเห็นพระองค์ ก็กราบพระบาท ทูลว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย” (33)พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนางกำลังร้องไห้ และชาวยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย 
พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก (34)ตรัสถามว่า “ท่านฝังเขาไว้ที่ไหน” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า เชิญเสด็จมาทอดพระเนตรเถิด” (35)พระเยซูเจ้าทรงกันแสง (36)ชาวยิวจึงพูดว่า “ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” (37)แต่บางคนตั้งข้อสังเกตว่า “พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดได้ จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ” 
(38)พระเยซูเจ้าทรงสะเทือนพระทัยอีก เสด็จถึงคูหาฝังศพ ซึ่งเป็นโพรงหินมีหินแผ่นหนึ่งปิดอยู่ (39)พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงยกแผ่นหินออก” มารธาน้องสาวของผู้ตายทูลว่า “พระเจ้าข้า ศพมีกลิ่นแล้ว เพราะฝังมาถึงสี่วัน” (40)พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรามิได้บอกท่านหรือว่า ถ้าท่านมีความเชื่อ ท่านจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (41)คนเหล่านั้นจึงยกแผ่นหินออก พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังคำของข้าพเจ้า (42)ข้าพเจ้าทราบดีว่า พระองค์ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ก็เพื่อประชาชนที่อยู่รอบข้าพเจ้า เขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา” (43)ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” (44) ผู้ตายก็ออกมา มีผ้าพันมือพันเท้า และผ้าคลุมใบหน้าด้วย พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงเอาผ้าออกและให้เขาไปเถิด” (45)ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์ และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ก็เชื่อในพระองค์
******************
 
 
 
1. บ้านเบธานี 
บ้านซึ่งอย่างน้อยมี 3 คนคือมารธา ลาซารัส และมารีย์ ที่รักพระองค์และพระองค์ทรงรักพวกเขามากเช่นกัน บ้านซึ่งพระองค์สามารถพักผ่อนจากภารกิจหนัก บ้านซึ่ง “เข้าใจ” และพร้อม “ต้อนรับ” พระองค์เสมอ 
 ทุกวันนี้พระองค์ยังแสวงหา “บ้าน” แบบเดียวกับที่เบธานีในหมู่บ้านของเราทุกคน 
หัวใจที่พร้อมจะ “ต้อนรับและเข้าใจ” จึงเป็นของขวัญประเสริฐสุดเท่าที่เราจะมอบให้แก่กันและกันได้ 
หัวใจดังนี้คือ “บ้าน” ที่พระองค์ทรงแสวงหา !nbsp;
 
2. หนทางสู่พระสิริรุ่งโรจน์ 
เมื่อลาซารัส ซึ่งชื่อของเขามีหมายความว่า “พระเจ้าคือความช่วยเหลือของข้าพเจ้า” ป่วย มารธาและมารีย์ส่งคนไปทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า คนที่พระองค์ทรงรักกำลังป่วย” (ยน 11:3) โดยไม่ได้เชิญชวนหรือเรียกร้องให้พระองค์เสด็จมาแต่ประการใด 
นักบุญยอห์นย้ำหลายครั้งหลายหนว่า “กางเขนคือพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์” และ “หนทางสู่พระสิริรุ่งโรจน์คือไม้กางเขน” 
“พระองค์ยังมิได้รับพระสิริรุ่งโรจน์” เพราะ “พระองค์ยังมิได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน” ! 
เห็นได้ชัดว่าสำหรับพระเยซูเจ้าและยอห์น ทั้ง “พระสิริรุ่งโรจน์” และ “กางเขน” ถือเป็นเรื่องเดียวกัน 
เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ตรัสถึงการรักษาลาซารัสว่าจะทำให้พระองค์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ จึงหมายความว่า พระองค์ทรงรู้อยู่เต็มอกแล้วว่า การรักษาครั้งนี้จะนำพระองค์ไปสู่จุดจบบนไม้กางเขน ! 
แล้วก็เป็นจริงดังว่าเพราะ “ชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์และเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ ก็เชื่อในพระองค์ 
แต่บางคนไปพบชาวฟาริสีเล่าเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำให้ฟัง บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจึงเรียกประชุมสภา ....ตั้งแต่วันนั้น ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะประหารพระองค์” โดยมหาสมณะคายาฟาสให้เหตุผลว่า “ถ้าคนคนเดียวจะตายเพื่อประชาชน จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่ชนทั้งชาติจะต้องพินาศไป” (ยน 11:45-54) 
พระเยซูเจ้าจึงมิได้เห็นแก่พระองค์เองเลย แต่ทรงพร้อมจะพลีชีพของพระองค์เพื่อช่วยลาซารัสและเราทุกคนให้รอดพ้นจากความตาย !!
 
3. ไร้การกดดัน 
หลังจากทรงทราบว่า ลาซารัสกำลังป่วย พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่นั่นอีกสองวัน” (ยน 11:6) ทำไมพระองค์จึงอ้อยอิ่งอีก 2 วันแทนที่จะรีบเสด็จไปรักษาลาซารัสที่เบธานี ? 
แต่เหตุผลจริง ๆ ของนักบุญยอห์นกลับเพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าไม่ทรงยินยอมให้ใครกดดันพระองค์เพื่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเด็ดขาด 
พระองค์ทรงปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น !! 
ในเมื่อรู้ว่าพระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้ใดกดดันพระองค์เช่นนี้แล้ว 
 เรายังจะบีบบังคับพระองค์ให้กระทำสิ่งต่าง ๆ ตามวิถีทางของเราต่อไปอีกหรือ ?!
 
4. มีเวลาพอแต่ไม่เหลือเฟือ 
หลังจากสองวันผ่านไป พระองค์ตรัสว่า “เรากลับไปแคว้นยูเดียกันเถิด” (ยน 11:7) 
บรรดาศิษย์ตกใจกลัวยิ่งนัก เพราะกลับไปแคว้นยูเดียก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัด ๆ บรรดาศิษย์จึงทักท้วงพระองค์ ทูลว่า “พระอาจารย์ ชาวยิวเพิ่งพยายามเอาหินขว้างพระองค์ แล้วพระองค์ยังจะกลับไปที่นั่นอีกหรือ” (ยน 11:8) 
พระองค์ทรงกล่าวเสริมว่า “ถ้าใครเดินเวลากลางวันก็ไม่สะดุดเพราะเห็นแสงสว่างของโลกนี้ แต่ถ้าใครเดินเวลากลางคืน ก็สะดุดเพราะเขาไม่มีแสงสว่างเพื่อนำทาง” (ยน 11:9-10) 
“กลางคืน” จึงหมายถึง “ชีวิตที่ไม่ติดตามพระเยซูเจ้า” เป็นชีวิตที่ถูกครอบงำโดยความชั่วร้ายดังที่ยอห์นเล่าว่า เมื่อยูดาสทรยศพระองค์ “ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน” (ยน 13:30) 
เท่ากับว่างานใหญ่ที่พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ให้ทุกคนทำให้แล้วเสร็จขณะที่เป็นเวลากลางวันก็คือ “จงคืนดีและติดตามพระองค์ขณะที่ยังมีโอกาส 
หาไม่แล้วเมื่อกลางคืนมาถึง ทุกอย่างจะสะดุดไปหมด” !!
 
5. บุรุษผู้ไม่ยอมถอย 
เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าทรงแน่วแน่ที่จะกลับไปแคว้นยูเดียเพื่อช่วยลาซารัส โทมัสจึงกล่าวกับศิษย์คนอื่น ๆ ว่า “พวกเราจงไปตายพร้อมกับพระองค์เถิด” (ยน 11:16) 
แม้จะมีบางคนกล่าวหาโทมัสว่า ท่านชักชวนเพื่อนไปตายพร้อมกับพระเยซูเจ้า ไม่ใช่เพราะเชื่อ แต่เพราะสิ้นหวังก็ตามที แต่เหนืออื่นใดท่านได้ตัดสินใจแล้วว่า “อะไรจะเกิดก็เกิดไปเถิด ฉันไม่ยอมละทิ้งพระเยซูเจ้าเด็ดขาด” 
อย่างนี้สิจึงจะเรียกว่า “ผู้กล้า” จริง ! เพราะผู้กล้าที่แท้จริง 
ไม่ใช่พวก “ซิ่ง” บ้าบิ่นไม่กลัวตาย แต่เป็นคนที่รู้ว่าอันตรายรออยู่เบื้องหน้าและกลัวจนขนหัวลุก 
กระนั้นก็ตามเขายังตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนที่โทมัสพูดกับเพื่อนในวันนั้น 
เราจึงไม่ต้องอับอายหากรู้สึกกลัว 
แต่ควรอับอายอย่างยิ่ง หากความกลัวนั้นทำให้เราไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ !!!
 
6. ปลอบใจ 
หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ห่างกันราวสามกิโลเมตร “เมื่อเสด็จมาถึง พระเยซูเจ้าทรงพบว่าลาซารัสถูกฝังในคูหามาสี่วันแล้ว ชาวยิวจำนวนมากมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบใจนางในการตายของพี่ชาย” (ยน 11:17, 19) 
เพราะอากาศร้อนจึงต้องรีบฝังศพโดยเร็ว ชาวบ้านเกือบทั้งหมดจะเข้าร่วมขบวนแห่ศพเพื่อเป็นเกียรติและแสดงเคารพต่อผู้ล่วงลับ มีหญิงคนหนึ่งเดินนำหน้าขบวนเป็นเครื่องหมายว่าบาปและความตายเข้ามาสู่โลกเพราะหญิงคนหนึ่ง (เอวา) ที่คูหาฝังศพอาจมีการกล่าวไว้อาลัยได้แต่ต้องไม่ยืดเยื้อจนเป็นการทรมานผู้กำลังโศกเศร้าโดยไม่จำเป็น ทั้งหมดนี้ ชาวยิวถือเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือหน้าที่อื่น ๆ 
พวกเขาถือว่าการให้ความเคารพต่อผู้ล่วงลับ และการปลอบโยนญาติผู้โศกเศร้าเป็นส่วนสำคัญยิ่งของศาสนายิว และเมื่อออกจากคูหาฝังศพ พวกเขาจะกล่าวว่า “ขอให้จากไปในสันติสุข” แล้วจะไม่เอ่ยชื่อผู้ล่วงลับโดยปราศจากการอวยพรอีกเลย 
การแสดงความเคารพต่อผู้ล่วงลับและการปลอบใจผู้โศกเศร้าจากการสูญเสีย 
ช่างเป็นธรรมเนียมที่น่ารักจริง ๆ !
 
7. ทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่มีวันตายเลย 
เมื่อมารธารู้ว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมา นางรีบออกไปรับเสด็จพร้อมกับทูลพระองค์กึ่งตำหนิกึ่งเชื่อว่ามาช้า แต่ถ้าขออะไรก็จะได้ และเมื่อพระองค์ตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” นางทูลตอบว่า “ดิฉันรู้ว่า เขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย” (ยน 11:20-24) 
เมื่อทอดพระเนตรเห็นนางมีความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ พระองค์จึงขยายความเพิ่มเติมว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้วก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่มีวันตายเลย” (ยน 11:25-26)
 
8. ทรงสะเทือนพระทัย 
เมื่อมารธายืนยันความเชื่อในพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นพระคริสตเจ้าและพระบุตรของพระเจ้าแล้ว (ยน 11:27) 
นางกลับไปตามมารีย์น้องสาว เมื่อมารีย์มาถึง นางก็พูดเหมือนจะตำหนิพระองค์เช่นกันว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ พี่ชายของดิฉันคงไม่ตาย” (ยน 11:32) 
เมื่อทอดพระเนตรเห็นนางร้องไห้และชาวยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ทรงสะเทือนพระทัยและเศร้าโศกมาก (ยน 11:33, 38) ถึงกับทรงกันแสง (ยน 11:35) 
คำ “สะเทือนพระทัย” ตรงกับภาษากรีก embrimaomai (เอมบริมาออมาย) พบในพระธรรมใหม่อีก 3 ครั้งคือ คราวที่พระองค์ทรงกำชับคนตาบอด (มธ 9:30) และคนโรคเรื้อน (มก 1:43) มิให้เปิดเผยเรื่องการรักษา และอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีคนบ่นว่าหญิงที่นำน้ำมันหอมราคาแพงมาชโลมพระเศียรของพระองค์ (มก 14:5) 
ทั้งสามครั้งส่อความหมายไปทางขึงขัง จริงจัง และรุนแรง 
นับว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวเรารับรู้ภาพใหม่ของพระเจ้าที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง 
นั่นคือทรงมีพระทัยปวดร้าวเมื่อเห็นความทุกข์ทรมานของมนุษย์ 
พระเจ้าทรงเอาพระทัยใส่มนุษย์ ! นี่คือข่าวดีสุด ๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงบอกเรา
 
9. ทรงเงยพระพักตร์ 
พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้ “ยกแผ่นหินออก” (ยน 11:39) แล้วทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังคำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่า พระองค์ทรงฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ก็เพื่อประชาชนที่อยู่รอบข้าพเจ้า เขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา” (ยน 11:41-42) 
เห็นได้ชัดเจนว่า ก่อนจะตรัสเรียกลาซารัส พระองค์ทรง 
.......1. สวดภาวนาวอนขอพระบิดาเจ้า เพราะทรงตระหนักดีว่าอำนาจในการทำอัศจรรย์ต่าง ๆ ไม่ได้มาจากพระองค์เอง แต่มาจากพระบิดาเจ้า 
......2. ถวายเกียรติแด่พระบิดาเจ้า พระองค์ไม่เคยแสวงหาเกียรติยศหรือชื่อเสียงให้พระองค์เองเลย ทุกสิ่งที่ทรงกระทำล้วนเป็นไปเพื่อพระบิดาผู้ทรงส่งพระองค์มา 
ช่างตรงกันข้ามกับเราจริง ๆ ! 
เราชอบทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวของเราเอง และเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศของเราเอง คติพจน์ประจำใจของเราเกือบทุกคนคือ “ของตัวเอง โดยตัวเอง และเพื่อตัวเอง” 
หาก “อัญเชิญพระเจ้ามาเป็นศูนย์กลางของชีวิต” เราคงได้สัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งกว่าลาซารัสมากมายในชีวิตของเรา !!
 
***************************


เอ็ดวิจ คาร์บอนีกับวิญญาณในไฟชำระ

 



บุญราศีเอ็ดวิจ คาร์บอนี(Edvige Carboni) เห็นภาพนิมิตของคนที่ตกนรก,วิญญาณที่อยู่ในไฟชำระและร้องขอความช่วยเหลือจากเธอ และเห็นวิญญาณที่เข้าสู่สวรรค์
 
วิตาเลีย เพื่อนของเธอกล่าวว่า “มีชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่ในอาคารของเอ็ดวิจ เขาไม่เคยฟังคำแนะนำของเธอที่ให้เขาสำนึกผิดกลับใจ เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและเสียชีวิตทันทีจากไฟฟ้าช็อตในที่ทำงานของเขา ผู้ที่มาช่วยเหลือมีเวลาพอที่จะพาเขาไปโรงพยาบาล แต่เมื่อเขาอยู่ที่นั่น เขาปฏิเสธพระสงฆ์และการรับศีลสุดท้ายสำหรับผู้ใกล้ตาย
 
วันหนึ่ง เอ็ดวิจ เห็นเขาล้อมรอบด้วยเปลวเพลิง,ถูกสาปแช่ง เขาพูดด่าทอเธอและประณามเธอที่ไม่สวดภาวนาเพื่อเขาให้มากกว่านี้ พระเยซูทรงปลอบใจเอ็ดวิจโดยบอกเธอว่าพระองค์ทรงเมตตาชายคนนี้โดยส่งพระสงฆ์มาให้เขา แต่เขาก็ปฏิเสธพระสงฆ์"
 
มีอีกกรณีหนึ่งเกี่ยวกับชายผู้ดำเนินชีวิตที่ซื่อตรงไม่คดโกงแต่ไม่เคยรับศีลมหาสนิทเลย พระเยซูทรงบอกให้เอ็ดวิจเขียนจดหมายถึงชายคนนี้และบอกเขาว่าหากเขาไม่เปลี่ยนวิถีชีวิต,เขาจะถูกลงโทษ ชายคนนั้นไม่ต้องการกลับใจและต่อมาพระเยซูทรงบอกให้เอ็ดวิจรู้ว่าเขาถูกสาปแช่งเช่นกัน
 
พระเยซูยังทรงบอกให้ เอ็ดวิจ รู้เรื่องเกี่ยวกับหมอฟันคนหนึ่งในซาร์ดิเนียซึ่งถูกสาปแช่งว่า: “ลูกสาวของเรา หมอฟันคนนั้นที่เสียชีวิตเมื่อไม่กี่เดือนก่อนไม่ต้องการรับเราเป็นบิดาของเขา และเราก็ไม่รับเขาเป็นลูกชายของเราเช่นกัน”
 
กรณีที่รู้จักกันดีคือเรื่องเกี่ยวกับพระสงฆ์ท่านหนึ่ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง,พระสงฆ์คนนี้จะจัดการประชุมที่มหาวิทยาลัยในกรุงโรมเพื่อปฏิเสธการปรากฏอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท หลังจากที่พระสงฆ์ท่านนี้เสียชีวิต,เขาปรากฏตัวต่อเอ็ดวิจซึ่งเคยสวดภาวนาเพื่อเขา
 
เขาบอกเธอว่าเขาถูกสาปแช่งเพราะหนังสือที่เขาเขียนต่อต้านความเชื่อและเพราะเรื่องอื้อฉาวที่เขาก่อขึ้น เพื่อพิสูจน์ให้เอ็ดวิจเห็นว่านี่ไม่ใช่จินตนาการของเธอ พระสงฆ์หยิบหนังสือในห้องของเธอและเมื่อเขาแตะหนังสือ,มันก็ถูกเผาอย่างสมบูรณ์
 
เกี่ยวกับไฟชำระ เอ็ดวิจ เขียนในไดอารี่ของเธอเมื่อเดือนตุลาคม 1943 ว่า "มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นและแตะข้อมือของฉันและมันแผดเผาฉัน ฉันไม่รู้จักเขา เขาแต่งตัวลักษณะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ เขาบอกฉันว่า 'ฉันเสียชีวิตระหว่างสงคราม ฉันต้องการมิสซาที่ประกอบอุทิศเพื่อฉันโดย มองซิเออร์ วิทาลี.(Mons. Vitali.) คุณและน้องสาวควรถวายการรับศีลมหาสนิทเพื่อฉัน'
 
หลังจากประกอบพิธีมิสซาและรับศีลมหาสนิทตามความประสงค์ของเขาแล้ว เขาก็ปรากฏตัวต่อเธออีกครั้งท่ามกลางแสงสว่างและพูดว่า ‘ฉันจะไปสวรรค์ที่ซึ่งฉันจะสวดภาวนาเพื่อเธอสองคน (เอ็ดวิจและเปาลินา) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมองซิเออร์ วิทาลี.. ฉันเป็นคนรัสเซีย ฉันชื่อเปาโล วิสชิน(Paolo Vischin) คุณแม่ให้การศึกษาแก่ฉันในความเชื่อ แต่เมื่อฉันโตขึ้น ฉันปล่อยให้ตัวเองถูกชักจูงโดยอิทธิพลที่ไม่ดี ในช่วงเวลาแห่งความตาย ฉันสำนึกผิดและนึกถึงสิ่งที่แม่สอนฉันเมื่อยังเป็นเด็ก’”
 
เอ็ดวิจ เขียนในไดอารี่ของเธอว่า: "ในขณะที่ฉันกำลังสวดภาวนาต่อหน้าไม้กางเขน ทันใดนั้นคนๆ หนึ่งก็ปรากฏตัวต่อฉันด้วยเปลวเพลิง ฉันได้ยินเสียงหนึ่งพูดว่า
 
'ผมคือเบนิโต มุสโสลินี' พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผมมาหาเธอเพื่อขอความบรรเทาทุกข์ในไฟชำระ ผมขอวิงวอนต่อเธอในฐานะผู้มีจิตกุศล ขอให้เธออุทิศการสวดภาวนา,ความทุกข์ทรมาน,และการพลีกรรมทั้งหมดให้แก่ผมเป็นเวลาสองปีถ้าหากพระสงฆ์ผู้แนะนำฝ่ายวิญญาณของเธออนุญาต พระเมตตาของพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุด แต่พระยุติธรรมของพระองค์ก็เช่นกัน เราไม่สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้จนกว่าจะจ่ายหนี้เพนนีสุดท้ายที่เป็นหนี้ต่อพระยุติธรรมศักดิ์สิทธิ์ให้ครบ ไฟชำระเป็นสิ่งที่ร้ายแรงน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งสำหรับผมเพราะผมรอจนถึงวินาทีสุดท้ายเพื่อสำนึกผิดกลับใจ’
 
ในวันฤดูใบไม้ผลิปี 1951 พระเยซูตรัสกับฉันหลังจากรับศีลมหาสนิทว่า ‘เช้านี้วิญญาณของเบนิโต มุสโสลินีได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว’”
 
มุสโสลินีตายเมื่อวันที่ 28 เมษายน 1945
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2566

อัศจรรย์ความช่วยเหลือจากแม่พระแห่งคัวปา

 

:
 
วันที่ 8 ก.ค. 1980,เบอร์นาโดได้ไปที่สถานที่แห่งการประจักษ์อีก แต่คราวนี้เขาไม่ได้ไปตามลำพัง มีคนราวสี่สิบคนตามเขาไปด้วย มีการสวดภาวนาและร้องเพลงอย่างไพเราะ แต่ไม่มีการประจักษ์ ทุกคนกลับมาที่หมู่บ้านและเบอร์นาโดก็ผล็อยหลับไป อีกครั้งหนึ่ง,เขามีความฝัน เขากลับมายังที่เดิมและสวดภาวนา เพราะมีหลายคนขอให้เบอร์นาโดสวดภาวนาให้ และเขาก็สวดภาวนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อช่วยเหลือในความทุกข์ยากของพวกเขา
 
มีกรณีที่พิเศษกรณีหนึ่ง ชายหนุ่มจากหมู่บ้านคนหนึ่งถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ,ต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์ น้องสาวของเขาขอร้องให้เบอร์นาโดสวดภาวนาวอนขอความช่วยเหลือจากแม่พระ เธอเสียใจมากเพราะเธอไม่สามารถคุยกับพี่ชายได้เมื่อไปเยี่ยมเขาในคุก
 
หลังจากเบอร์นาโดสวดภาวนาอย่างสุดหัวใจเพื่อหญิงสาวยากจนน่าสงสารคนนี้แล้วเบอร์นาโดก็เงยหน้าขึ้น แต่ไม่ใช่พระแม่มารีย์ที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่เป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่ง ท่านสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว ท่านสูงและดูเด็กมาก ร่างของท่านฉายแสงสว่าง,และมีเสียงของผู้ชาย แต่ท่านไม่ได้สวมเครื่องประดับหรือมงกุฏ ท่านดูเรียบง่ายแต่สวยงาม ทูตสวรรค์มีท่าทางอบอุ่นเป็นกันเองและดูสงบเสงี่ยมมาก ท่านมองดูเบอร์นาโดพูดกับเขาว่า “แม่พระทรงได้ยินคำภาวนาของคุณแล้ว”
 

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ทูตสวรรค์ก็พูดอีกว่า “โปรดบอกน้องสาวของนักโทษให้ไปปลอบโยนเขาในวันอาทิตย์ เพราะเขาเศร้ามาก จงแนะนำเขาไม่ให้เซ็นเอกสารที่พวกเขาจะกดดันให้เขาเซ็น กระดาษที่เขาต้องรับผิดชอบสำหรับเงินจำนวนหนึ่ง เธอจะไม่ต้องกังวล เธอสามารถคุยกับเขาได้นาน เธอจะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นมิตร บอกให้เขาไปที่กองบัญชาการตำรวจที่จุยกัลปา(Juigalpa) ในวันจันทร์เพื่อทำตามขั้นตอนทั้งหมดเพื่อการปล่อยตัว เพราะเขาจะถูกปล่อยตัวในวันนั้น และบอกให้เธอเอาคอร์โดบา(สกุลเงิน)ไปเป็นค่าปรับด้วย”
 
เบอร์นาโดขอบคุณทูตสวรรค์ แต่ก็สงสัยว่าเธอจะพูดกับพี่ชายของเธอได้อย่างไรในเมื่อมีคำสั่งห้ามไม่ให้เธอทำ และจำนวนเงินที่ขอก็มากเกินไป เธอไม่สามารถจ่ายได้ แต่เขาขจัดความสงสัยและมีความไว้วางใจ
 
ทูตสวรรค์มองมาที่เบอร์นาโดและพูดกับเขาว่า “อย่าหันหลังให้กับปัญหา และอย่าสาปแช่งใคร สิ่งนี้สามารถพาคุณออกจากสถานการณ์ใดๆได้” จากนั้นทูตสวรรค์ก็หายไปและเบอร์นาโดทบทวนจดจำคำพูดของทูตสวรรค์ทั้งหมด
 
เบอร์นาโดไปหาน้องสาวของชายหนุ่มนักโทษที่ยากจนและบอกทุกอย่างกับเธอทันที ปฏิกิริยาแรกของเธอเหมือนกับความคิดแรกของเบอร์นาโด เป็นไปไม่ได้,เธอไม่สามารถพูดคุยกับพี่ชายได้ เพราะเธอไม่ได้รับอนุญาต เบอร์นาโดบอกให้เธอวางใจในพระเจ้าและทำทุกอย่างที่ทูตสวรรค์บอก พวกเขาสวดภาวนาร่วมกันเพื่อพี่ชายของเธอ
 

เบอร์นาโดเสนอตัวว่าจะไปกับเธอในวันอาทิตย์ถัดมา เพราะนั่นเป็นวันเดียวที่เธอสามารถเข้าไปในคุกได้ ในช่วงเวลานี้,ข่าวได้แพร่กระจายไปในหมู่บ้าน และหลายคนบอกว่าเบอร์นาโดป่วยหนักเป็นโรคประสาทและจำเป็นต้องถูกกักตัวในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน แต่เบอร์นาโดเชิดหน้าขึ้นและพาหญิงสาวไปที่เรือนจำ ที่นั่น,ยามทำให้ทุกคนประหลาดใจ ยามใจดีกับเธอเป็นพิเศษ และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาปล่อยให้เธอคุยกับพี่ชายอย่างสงบ
 
เธอบอกข้อความที่ทูตสวรรค์สั่งไว้แก่พี่ชายทันที เหนือสิ่งอื่นใด,เขาต้องไม่เซ็นเอกสารและไม่รับเงินจำนวนหนึ่ง ยังคงมีปัญหาเรื่องค่าปรับที่ต้องชดใช้ เป็นไปไม่ได้สำหรับเธอที่จะหาจำนวนเงินที่ขอในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนี้ ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับเธอ อย่างไรก็ตาม,เธอมีความคิดที่จะไปพบกับผู้อุปถัมภ์ซึ่งช่วยให้เธอกู้เงินเป็นค่าปรับ แต่ที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งคือ เขาไม่เรียกร้องดอกเบี้ยและสิ่งค้ำประกัน เขายังบอกเธอว่าถ้าเธอต้องการมากกว่านี้ เธอสามารถกลับมาได้ เขาจะช่วยเธอ
 
วันรุ่งขึ้น,วันจันทร์,เธอไปที่สถานีตำรวจที่พี่ชายของเธอถูกคุมขัง ในช่วงเวลานี้,ตามที่ทูตสวรรค์ได้ทำนายไว้,พี่ชายของเธอถูกขอให้เซ็นชื่อในกระดาษเพื่อรับโทษ แต่เขาทำตามที่น้องสาวบอก เขาปฏิเสธอย่างสงบ เขาคิดว่าตำรวจจะโกรธเขา แต่พวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
 
อีกครั้งหนึ่งที่น้องสาวของเขาได้รับการต้อนรับอย่างดีและพวกเขาขอให้เธอจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 1000 คอร์โดบา เพื่อปลดปล่อยพี่ชายของเธอ นั่นคือสิ่งที่เธอทำและสถานการณ์ที่อาจเป็นหายนะกลับคลี่คลายลงด้วยดี
 
พี่ชายและน้องสาววิ่งไปหาเบอร์นาโด กระโดดเข้าไปกอดเพื่อขอบคุณ แต่เบอร์นาโดบอกพวกเขาว่า คนที่ควรขอบคุณไม่ใช่เขา แต่เป็นพระเจ้าและพระแม่มารีย์ และพวกเขาควรสวดสายประคำ ข่าวนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนในคัวปา แต่คราวนี้ไม่ได้บอกว่าเบอร์นาโดบ้าไปแล้ว ในทางตรงกันข้าม,เหตุการณ์นี้ได้รับการพิจารณาโดยเสียงข้างมากว่าเป็นข้อพิสูจน์ว่าเบอร์นาโดได้เห็นพระแม่มารีย์จริงๆ และเขาไม่ได้เป็นโรคประสาท
 
************************