วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

นักโทษพบพระเยซูเจ้าในคุก

 


อังเดร เลเวต์(ANDRÉ LEVET)กลับใจในคุก


อังเดร เลเวต์(André Levet) เกิดในปี 1932 เป็นเด็กที่ต้องหลบหนี, เขาคุ้นเคยกับคุกและอาชญากรรมตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เขาเคยปล้นธนาคารด้วยอาวุธ จากนั้นก็ค้ายาเสพติด เขาหนีออกจากคุกหลายครั้ง แต่ก็ถูกตามจับจนได้ วันหนึ่งบนถนน, André ได้พบกับพระสงฆ์ท่านหนึ่งโดยบังเอิญ พระสงฆ์ท่านนี้เขียนจดหมายถึงเขาเป็นประจำตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยส่งพระคัมภีร์ให้เขาในขณะที่เขาอยู่ในคุก อังเดร เลอเวต์ผู้ต้องขังในเรือนจำชาโต-เทียร์รี(Château-Thierry prison) เขาท้าทายพระเยซูให้มาพบเขาในห้องขังตอนตี 2 เมื่อถึงเวลานัดหมาย พระเยซูทรงมาด้วยพระองค์เอง! เหตุการณ์นี้,รวมกับการค้นพบความรักของพระเยซูเจ้าที่มีต่อเขา ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในชีวิตของเขา
 
เหตุผลที่เชื่อ: 
André Levet เป็นพยานยืนยันให้แก่ทุกคน,ทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรและวิดีโอ เรื่องราวของเขาแสดงออกถึงความซื่อสัตย์
 
ในช่วงเวลาสั้นๆในคืนนั้น, อังเดรก็มีความเข้าใจเรื่องพื้นฐานหลายประการในทันที (เช่นเรื่อง ความรักของพระเยซูเจ้าต่อเขาเป็นการส่วนตัว, การเสียสละของพระองค์, ผลที่ตามมาของความชั่วร้าย ฯลฯ) แต่เขาถูกกักขังอยู่ในห้องขังเล็กๆ และเข้าถึงข้อมูลที่จำกัดมาก ประสบการณ์ของอังเดรที่ได้พบกับพระเยซูนั้นลึกซึ้งและสะเทือนใจเขามากจนเขาร้องไห้เป็นเวลาห้าชั่วโมง เห็นได้ชัดเจนว่าปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอันทรงพลังเกิดขึ้นในคืนนั้น
 
นับจากนั้นเป็นต้นมา,ชีวิตของ André Levet ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ดังที่ผู้คุมและนักโทษคนอื่นๆ เป็นพยานได้ การเปลี่ยนแปลงของเขาเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง มันรุนแรงและยั่งยืนอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน มันต้องมาจากบางสิ่งหรือบางคน เห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่คาดฝัน
 
นั่นเป็นเพียงเหตุผลที่เรื่องราวที่คล้ายกันยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน และนี่เป็นกรณีของ André Levet
 

ข้อความต่อไปนี้บันทึกมาจากคำพูดของ André Levet เอง:
 
ผมชื่ออังเดร เลเวต์(André Levet) ผมเกิดในปี 1932 ในครอบครัวที่ไม่เชื่อพระเจ้า ผมไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้ามาก่อน ในช่วงสงครามปี 39-40, พ่อของผมถูกเนรเทศ ผมไม่มีพ่อหรือแม่อีกต่อไป ผมถูกทิ้ง และถูกดูแลโดยผู้คนในฟาร์มพิเรเนียน(Pyrenean farm ฟาร์มในเขตภูเขาปีเรนิส) พ่อของผมได้รับการปล่อยตัวในปี 1945; เขาพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ผมไม่ยอมรับแม่เลี้ยงคนใหม่ และผมก็หนีไปมาร์เซย(Marseilles) ตอนอายุ 13 ปี โดยนอนอยู่ตามถนนและรถบรรทุก ในเวลานั้น,ตำรวจได้จับกุมผมและนำผมเข้าคุกที่ Baumettes, เพื่อรอส่งผมกลับไปหาครอบครัว
 
เมื่อได้รับอิทธิพลจากผู้ต้องขังคนอื่นๆ,ผมจึงกลายเป็นอาชญากรตัวเล็กๆ โดยเรียนรู้เคล็ดลับทั้งหมดของ "การค้า" เมื่ออายุ 15 ปี ผมถูกจับในข้อหาปล้นทรัพย์ด้วยอาวุธ และถูกจำคุกจนโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่ออายุ 18 ปี,เรามีทางเลือกในการเข้าร่วมสงครามอินโดจีน ซึ่งผมได้เลือกเพื่อหลีกเลี่ยงคุก ผมได้รับบาดเจ็บ,ส่งตัวกลับฝรั่งเศส และพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
 
หลังจากนั้น,ด้วยประสบการณ์ทางการทหารและเรือนจำ ผมก็กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอันธพาลที่เชี่ยวชาญเรื่องการปล้นธนาคาร วันหนึ่ง,เมื่อผมมาที่ลาวาล(Laval)เพื่อทำธุรกิจ ผมเห็นพระสงฆ์ท่านหนึ่งสวมเสื้อ Cassock อยู่อีกฟากหนึ่งของถนน ผมไปหาเขา,โดยที่ไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย,ผมจึงถามเขาว่าเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
 
เขาตอบว่า: “ผมเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า พระเจ้า,พระองค์เป็นเจ้านายของผม!”
 
ผมบอกเขาว่า: “พระเจ้าของคุณ พระองค์อยู่ที่ไหน? “เราไม่เคยเห็นพระองค์” พระสงฆ์ตอบ: "ผมเห็นว่าคุณยังไม่รู้จักพระเจ้า แต่หากวันหนึ่งคุณมีเวลา, มาปรึกษาผมได้ที่ 12B rue de Solferino" ผมไม่เคยลืมที่อยู่นี้เลย…
 
หลายเดือนต่อมา, ตอนที่ผมอยู่ที่ลาวาลด้วยเรื่อง "ธุรกิจ" ผมบังเอิญข้ามถนนสายนี้ ผมไปหาพระสงฆ์ เขาอยู่ที่นั่นแล้วพูดกับผมว่า: "พ่อรอคุณอยู่" แล้วพระสงฆ์คนนั้นก็ได้มาเป็นเพื่อนของผม โดยให้คำแนะนำที่ผมไม่ได้ปฏิบัติตาม และทุกครั้งที่เขาคุยกับผมเกี่ยวกับพระเจ้า ผมก็พูดว่า: "ให้พระเจ้าของคุณอยู่ในที่ที่ของพระองค์เถอะ..."
 
ในเวลาต่อมา,ผมอยู่ที่แรนส์(Rennes)เพื่อปล้นธนาคาร แผนการณ์ผิดพลาด, เพื่อนของผมถูกฆ่า และผมก็ถูกจับ ผมหลบหนีออกจากคุกและหนีไปอยู่ที่อเมริกาใต้ซึ่งผมก็เริ่มค้ายาเสพติด
 
ผมกลับมาที่ฝรั่งเศส, ผมถูกจับอีกครั้ง และผมก็หลบหนีอีกครั้ง ผมถูกจับกุมสามครั้ง และหนีออกจากคุกสามครั้ง ผมคงต้องรับโทษถึง 120 ปีถ้ารวมกรรมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผมถูกย้ายไปยังแคลร์โวซ์(Clairvaux) ซึ่งเป็นเรือนจำของอาชญากรหัวรุนแรง และผมพยายามขุดอุโมงค์พร้อมเพื่อนๆ เพื่อหลบหนี การหลบหนีเกือบจะสำเร็จ แต่เราถูกจับได้เสียก่อน ผมพยายามหลบหนีอีกครั้งโดยลำพังโดยยึดตัวผู้คุมไว้ด้วยอาวุธ แต่ผมก็โดนจับอีก พวกเขาตัดสินใจส่งผมไปที่ Chateau Thierry ผู้อำนวยการเรือนจำต้อนรับผมด้วยคำพูดนี้: "ที่นี่ แกต้องทำงานหรือไม่ก็ตาย!" ผมตอบโดยยกโต๊ะขึ้นมาจ่อหัวเขา พวกเขาขังผมไว้ในห้องขังเล็กๆ โดยมีเตียงยึดติดกับผนัง
 
พระสงฆ์ของผมยังคงไม่ละทิ้งผม เขาส่งจดหมายมาให้ผมเป็นครั้งคราว เขาพูดกับผมเกี่ยวกับพระเจ้า บอกผมว่าพระองค์ทรงพระทัยดี ผมตอบเขาว่า: “ถ้าพระเจ้าของคุณประเสริฐ ทำไมจึงมีสงครามมากมาย ความทุกข์ยากมากมาย ทำไมบางคนถึงอดอยากตายในขณะที่บางคนมีมากเกินไป? ทำไมบางคนถึงมีบ้านหลายหลังในขณะที่บางคนไม่มี?” พระสงฆ์ตอบว่า: “อังเดร คุณต้องรับผิดชอบ” อะไร ผมรึ? ผมเต็มใจที่จะรับผิดชอบต่อการปล้น, แต่ไม่ใช่เพื่อความทุกข์ยากของโลก!
 
แล้ววันหนึ่ง,พระสงฆ์ก็ส่งหนังสือเล่มใหญ่มาให้ผมโดยบอกว่า “อังเดร คุณสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ, แม้ว่าคุณจะเสียชีวิตแล้ว, โดยเริ่มจากหน้าใดก็ได้” เจ้าหน้าที่นำหนังสือมาให้ผมแล้วพูดกับผมว่า “หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดี คุณควรอ่านนะ คุณสามารถนำมันไปที่ห้องขังเดี่ยวได้” “มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร?” “พระเจ้าผู้แสนดี” เขาตอบผม ไม่มีทาง! ผมไม่เชื่อหรอก! พระสงฆ์นำพระเจ้าผู้แสนดีของเขามาให้ผมอีกครั้งจนถึงห้องขังของผม! ผมโยนหนังสือทิ้งไป พระสงฆ์เขียนถึงผมตลอดเวลาขอร้องให้ผมอ่านหนังสือ
 
ดังนั้นเพื่อให้เขามีความสุข, ในเวลา 10 ปี ผมเปิดมัน 9 ครั้ง ผมเริ่มต้นด้วยการอ่านเรื่องงานแต่งงานที่คานา ซึ่งพระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น ผมเปิดก๊อกน้ำอ่างล้างจานแล้วพูดว่า: "เฮ้ เพื่อน ทำไวน์ให้หน่อยสิ!" มันไม่ได้ผล. ผมเขียนถึงพระสงฆ์ว่า “หนังสือของคุณใช้ไม่ได้” พระสงฆ์ของผมตอบว่า “อังเดร คุณกำลังอ่านผิดวิธี จงมีความเพียร”
 
ผมได้อ่านเรื่องราวของหญิงชาวสะมาเรีย และเรื่องราวของการฟื้นคืนชีพของลาซารัส เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกรังเกียจ,ผมไม่เชื่อ เพื่อนของผมโดนตำรวจยิง,เขาไม่ฟื้นคืนชีพแล้วใช่ไหม? หลังจากนั้นไม่นานผมก็กลับไปอ่านหนังสือ และได้อ่านว่าพระเยซูทรงทำดีต่อผู้คนมากเพียงใด และพวกเขาปฏิบัติไม่ดีต่อพระองค์มากเพียงใด พวกเขาถ่มน้ำลายใส่พระองค์ พวกเขาเฆี่ยนตีพระองค์ พวกเขาด่าว่าพระองค์ แล้วพวกเขาก็ตอกตะปูพระองค์ ไว้ที่ไม้กางเขน … ผมรู้สึกรังเกียจ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงทำร้ายคนที่ทำความดีมากมายขนาดนี้ได้
 
ผมเลิกอ่านและพยายามหลบหนีต่อไป ผมคาดหวังว่าจะมีอาวุธและเอกสาร แต่วัตถุเหล่านี้ถูกสกัดกั้นไว้ ผมไม่เหลือความหวังแล้ว ผมจึงร้องเรียกหาพระเยซูด้วยความสิ้นหวัง ผมบอกพระองค์ว่า “ถ้าคุณมีอยู่จริง ผมจะกำหนดเวลาประชุม, มาคืนนี้ตอนตี 2, ไปที่ห้องขังของผมเพื่อช่วยผมหลบหนี”
 
คืนนั้นผมหลับไป และทันใดนั้นกลางดึกผมก็ตื่นขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะกระโดดลุกขึ้น ผมรู้สึกถึงการปรากฏของบางอย่างในห้องขังของผม แต่ผมไม่เห็นใครเลย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงที่ชัดเจนและหนักแน่นในตัวของผม: “อังเดร นี่มันตี 2 แล้ว เรามีประชุมกัน”
 
ผมตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่:“ คุณเรียกผมหรือเปล่า?” “เปล่า” เขาบอกผม “กี่โมงแล้ว?” ผมถาม. “สองโมงเช้า” “สองและกี่นาที” “สองโมงพอดี” เจ้าหน้าที่ตอบ แล้วผมก็ได้ยินเสียงอีกครั้ง: “อย่าดื้อดึงเลย เราเป็นพระเจ้าของเจ้า พระเจ้าของมวลมนุษย์” “แต่ผมไม่เห็นท่าน!” ผมตอบ.
 
ในขณะนั้น, ตรงแถบช่องรับแสง, ก็มีแสงปรากฏขึ้น, และในแสงนั้น,ชายที่ถูกแทงมือและเท้า และมีรูที่สีข้างด้านขวา เขาพูดกับผมว่า:“สิ่งเหล่านี้ก็เพื่อเจ้าด้วย”
 
ในเวลานั้นเอง, เกล็ดแห่งบาปที่ปิดตาของผมซึ่งหนักด้วยบาปหนักถึง 37 ปี,ก็หลุดออก ผมเห็นความน่าเวทนาและความชั่วทั้งสิ้นของผม ผมคุกเข่าลงและอยู่ในท่านี้จนถึง 7 โมงเช้า ผมร้องไห้เบื้องหน้าพระเจ้า และความชั่วร้ายทั้งหมดก็ออกไปจากผม ผมเข้าใจแล้วว่าเป็นเวลา 37 ปีที่ผมได้ตอกตะปูที่พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์
 
เวลา 07.00 น. ยามเปิดประตูให้ผม พวกเขาเห็นผมคุกเข่าและร้องไห้ ผมบอกพวกเขาว่า:“ ผมจะไม่ถ่มน้ำลายใส่คุณอีกต่อไป ผมจะไม่ตีใครอีกต่อไป ผมจะไม่ปล้นใครอีกต่อไป เพราะทุกครั้งที่ผมทำ ผมก็ทำต่อพระเยซู” พวกทหารยามต่างประหลาดใจ ในตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันเป็นกลอุบายของผม <
 
ผมตอบพวกเขาว่า ผมไม่จำเป็นต้องหนีอีกต่อไป เพราะผมได้ทำการหนีจากคุกครั้งสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ผมได้ทำพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นการหนึครั้งที่ 7 ที่ทำได้สำเร็จ และมันทำได้อย่างงดงามมาก เพราะการหนึครั้งนี้,ไม่มีใครสามารถป้องกันได้ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ เพราะมันเป็นหนีพร้อมกับพระเจ้า,พระเยซูคริสต์และพระนางมารีย์ ตลอดนิรันดร
 
นักโทษอีกหลายคนประทับใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม และพวกเขาก็สามารถพบกับพระเจ้าผู้น่ามหัศจรรย์พระองค์นี้และพลิกผันชีวิตของพวกเขาได้เช่นกัน ตอนนี้ผมเป็นอิสระแล้ว ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และผมใช้เวลาทั้งหมดพูดคุยกับผู้อื่นเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าองค์นี้
 
ที่มา: คำให้การของอังเดร เลเวต 
André Levet’s testimony
 
เกินกว่าเหตุผล: 
เห็นได้ชัดว่าการอ่านพระคัมภีร์ได้เตรียมใจของอังเดร เลเวต และเป็นก้าวแรกสู่การเผชิญหน้ากับพระเยซู,ก่อนที่จะทรงประจักษ์มา
 
อังเดรอยู่ในคุกต่อไปอีก 6 ปี,จึงถูกปล่อยตัว 
 
เมื่อออกจากคุก ,ตอนแรกเขาต้องการเป็นพระสงฆ์ แต่ทำไม่สำเร็จ พระเยซูไม่ประสงค์ให้เขาไปอยู่ในสามเณราลัย แต่ประสงค์ให้เขาไปอยู่กับคนที่ยากจนที่สุดและคนที่สิ้นหวัง ดังนั้น,เขาจึงเดินไปที่ถนนที่มุ่งไปสู่แหล่งโสเภณี,คนเร่ร่อน,คนที่ถูกลืม เขาพูดกับคนที่ติดสุรา,คนที่ถูกละทิ้ง,คนที่ไม่มีอะไรเลย,คนจรจัด เขายังไปที่โรงเรียนด้วย เพราะคิดว่าโลกอนาคตจะเป็นเหมือนเด็กที่พบในโรงเรียน ที่โรงเรียนเขาพูดเกี่ยวกับความรักของพระเยซูเจ้าที่ทำให้เขาต้องก้มลงกราบกราน เขายังกลับไปที่คุกเพื่อพบกับบรรดาพี่น้องนักโทษและพูดถึงเรื่องราวของเขาและการที่เขาได้รับอิสระภาพอันแท้จริงโดยพระเยซูเจ้า
 
อังเดร,ในปี 2023,เขายังมีชีวิตอยู่ และมีอาบุ 91 ปี เขาได้เขียนหนังสือ เล่มแรกชื่อ “My last escape with Jesus Christ” อีกเล่มหนึ่งชื่อ “The Prison of the meeting Of the Freedom of God” และอีกเล่ม “Answer to the young people of the third millennium”
 

************************
 

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

บาปที่สองของซาตาน

 


โดย - Mons. Stewen Rossetti
 
สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ท่ามกลางพิธีการขับไล่ปีศาจ ผมได้ยินอะไรบางอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในขั้นตอนหนึ่งของพิธี เราเพิ่งสวดภาวนาบทเริ่มต้นของพระวรสารของยอห์นเสร็จ: “และพระวจนาตถ์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา” ผู้ถูกปีศาจกระทำได้สติขึ้นมาและเงยหน้าขึ้นมองผม ผมถามเธอว่าเธอเป็นยังไงบ้าง เธอตอบว่า “ฉันรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกอิจฉาริษยาที่เข้มข้นอย่างไม่น่าเชื่อ!”
 
ปกติเธอไม่ใช่คนขี้อิจฉา แล้วเรื่องนั้นมาจากไหน? แน่นอนว่ามันมาจากปีศาจ คนที่ทนทุกข์ทรมานจากปีศาจมักจะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับปีศาจ พวกเขาสามารถรู้สึกและสัมผัสถึงสิ่งที่ปีศาจกำลังประสบอยู่และในทางกลับกันปีศาจก็รู้สึกและสัมผัสผู้ที่ถูกมันกระทำด้วย
 
การฟังบทเริ่มต้นของพระวรสารของยอห์น ซึ่งกล่าวถึงการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในพระคริสตเยซูนั้น ถือเป็นความทรมานสำหรับพวกปีศาจ—ทำให้พวกมันเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา เชื่อกันโดยทั่วไปว่าทูตสวรรค์ที่ตกต่ำลงสู่บาปนั้น,เดิมทีทำบาปหยิ่งจองหอง แต่นักเทววิทยาหลายคน รวมทั้งนักบุญโทมัส อไควนัสคิดว่าพวกปีศาจทำบาปอิจฉาริษยาด้วยเช่นกัน
 
ตั้งแต่เริ่มแรก พระเจ้าทรงเปิดเผยแผนการของพระองค์แก่เหล่าทูตสวรรค์ในการจุติเป็นมนุษย์ขององค์พระวจนาตถ์ ความคิดที่ว่าพระเจ้าจะทรงถ่อมตัวลงและกลายเป็นมนุษย์, ไม่ใช่เป็นทูตสวรรค์,นั้นทำให้ซาตานและผู้ติดตามมันโกรธเคือง ความหยิ่งยโสและความอิจฉาริษยากระตุ้นให้พวกมันปฏิเสธพระเจ้า ทูตสวรรค์ที่ตกลงสู่บาปเหล่านี้ต้องการมากกว่าสิ่งที่พระเจ้าจะมอบให้พวกมัน และพวกมันก็ต้องการที่จะได้รับด้วยตนเอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับความใจกว้างของพระองค์
 
ทุกวันนี้คุณไม่ค่อยได้ยินเรื่องบาปแห่งความอิจฉาริษยาจากการเทศน์สอนในโบสถ์มากนัก แต่เมื่อพิจารณาถึงการแพร่ขยายของความไม่สงบ, ความขัดแย้ง, และความบาดหมางที่เกิดขึ้นทั่วโลกของเราทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากความอิจฉาริษยา การไม่รู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เรา
 
ปีศาจคอยกระตุ้นให้เราทำบาปแบบเดียวกับที่พวกมันทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาปแห่งความเย่อหยิ่งและความอิจฉาริษยา พวกมันต้องการให้เราทนทุกข์ร่วมกับพวกมันและอยู่ภายใต้แอกอันโหดร้ายของพวกมันในชีวิตนี้และชีวิตหน้า
 

 
************************
 

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฏาคม 2024 อัครสาวกกลับมารายงาน

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 6:30-34 
(30)บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้าและทูลรายงานให้ทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำและได้สอน (31)พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด” เพราะมีคนไปมาจนเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินอาหาร (32)พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปยังที่สงัดพร้อมกับบรรดาอัครสาวก (33)ประชาชนหลายคนเห็นพระเยซูเจ้ากับบรรดาอัครสาวกแล่นเรือออกไป ก็คาดคะเนได้ว่า พระองค์จะทรงไปที่ใด จึงรีบเดินเท้าออกจากเมืองต่าง ๆ ไปที่นั่นและไปถึงก่อน (34)เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง
******************
 
 
 
ดูเหมือนพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้จะเห็นแก่ตัว เพราะทั้งๆ ที่มีฝูงชนมากมายมารอรับความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์กลับหันหลังให้พวกเขา แล้วพาบรรดาอัครสาวกหลบไปหาที่สงัดเพื่อจะได้พักผ่อนกันตามลำพัง
 
แต่เบื้องหลังที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระวรสารวันนี้ก็คือ ก่อนหน้านี้ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกทั้งสิบสองคนออกไปประกาศข่าวดีเป็นคู่ๆ ดังที่เราได้ฟังในพระวรสารเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว
 
วันนี้ นักบุญมาระโกเล่าว่า “บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้า และทูลรายงานให้ทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำและได้สอน”
 
พร้อมๆ กับการกลับมาของบรรดาอัครสาวกก็คือฝูงชนจำนวนมากที่ประสบปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ จนว่าพวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหาร (มก 6:31)
 
พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด”
 
เพื่อจะแสวงหาสถานที่เงียบสงัด “พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปพร้อมกับบรรดาอัครสาวก” โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ฟากตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี
 
จากจุดที่พระองค์เสด็จลงเรือจนถึงอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบมีระยะทางประมาณ 6.5 ก.ม. แม้ว่าการเดินเท้าเลียบชายฝั่งไปทางเหนือของทะเลสาบจะมีระยะทางประมาณ 16 ก.ม. ซึ่งไกลกว่าการเดินทางโดยเรือมาก แต่กรณีที่เกิดลมพัดแรงจัดหรือพัดสวนทางกับเรือ ผู้ที่เดินทางเท้ามักจะมาถึงจุดหมายปลายทางก่อนผู้ที่มาทางเรือ
 
และนี่คือสิ่งที่บังเอิญเกิดขึ้นจริง เพราะ “เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นจากเรือ ก็ทรงแลเห็นประชาชนมากมาย”
 
พี่น้องครับ เรื่องราวในพระวรสารวันนี้ ทำให้เราเห็นภาพที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน 2 ด้านของพระเยซูเจ้า
 
ภาพแรก เราเห็นพระองค์เป็นคนแข็ง ไม่ยอมงอ ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกที่จะสงสารฝูงชนด้วยซ้ำไป พระองค์หันหลังให้กับฝูงชนมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์
 
ภาพที่สอง นักบุญมาระโกเล่าว่า “เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง”
 
ภาพนี้พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่สงสารและเอาใจใส่ทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์พร้อมที่จะเปลี่ยนแผนการที่ตั้งใจไว้และยกเลิกการพักผ่อนที่พระองค์สมควรจะได้รับ แล้วหันมาเอาใจใส่ฝูงชนที่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือทั้งๆ ที่ไม่สมควรจะทำในยามนี้ที่พระองค์ก็ต้องการความเป็นส่วนตัวและต้องการการพักผ่อนเหมือนกับคนทั่วๆ ไป
 
ตกลงแล้วพระเยซูเจ้าเป็นคนเช่นใด?
 
พวกเราส่วนใหญ่ เมื่ออ่านพระคัมภีร์แล้วมองเห็นภาพหรือบุคลิก 2 ด้านของพระเยซูเจ้าที่แตกต่างกันเช่นนี้ เราก็มักจะเลือกเอาด้านที่ตรงกับลักษณะนิสัยของตนเอง อย่างเช่นคนที่มีนิสัยเคร่งครัดก็มักจะมองว่าพระเยซูเจ้าเป็นคนเคร่งครัด มีระเบียบวินัยเหมือนตนเอง ส่วนคนที่ใจดี ใจบุญ วันนี้ก็จะมองพระองค์เป็นคนใจดี มีเมตตาต่อผู้อื่นเหมือนตนเองเช่นกัน
 
แต่พี่น้องคิดว่าพระคัมภีร์มีไว้เพียงเพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นตัวตนของตนเองแค่นี้หรือ?
 
หรือว่าพระคัมภีร์เป็นแค่เครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับนิสัยและวิถีดำเนินชีวิตของเราเท่านั้นเองหรือ?
 
อันที่จริง พระคัมภีร์มีไว้เพื่อเชิญชวนและท้าทายเราให้เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนนิสัย และเปลี่ยนวิถีดำเนินชีวิตของเรา ให้ละม้ายคล้ายพระเยซูเจ้า
 
ถ้าเราตั้งใจอ่านพระคัมภีร์เพื่อวัตถุประสงค์นี้ เราก็จะเห็นภาพของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้เป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากว่าพระองค์ทรงเปี่ยมล้นด้วยความเมตตาสงสาร นักบุญมาระโกเล่าว่า “เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง”
 
พระองค์ทรงสนพระทัยในความต้องการของผู้อื่นมากกว่าจะมัวแต่เรียกร้องสิทธิส่วนตัวของพระองค์ในอันที่จะพักผ่อน
 
นี่แหละคือ “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” ที่พระเจ้าทรงสัญญาผ่านทางประกาศกเยเรมีย์ในบทอ่านที่หนึ่งว่า “เราจะแต่งตั้งผู้เลี้ยงให้เลี้ยงดูเขา...” และนักบุญเปาโลเสริมในบทอ่านที่สองว่า “พระองค์คือสันติของเรา”
 
ใช่ ภาพแรกดูเหมือนพระเยซูเจ้าจะไม่ทรงเมตตาสงสารฝูงชนก็จริง แต่พระองค์ทรงเมตตาสงสารบรรดาอัครสาวก เพราะพวกเขาเหนื่อย ต้องการการพักผ่อน
 
ส่วนภาพที่สอง พระองค์ทรงเมตตาสงสารฝูงชน
 
ไม่มีครั้งใดเลยที่พระองค์จะทรงคิดถึงตัวพระองค์เอง พระองค์มีแต่เมตตาสงสารและก็เมตตาสงสาร !
 
พี่น้องครับ วันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้า โปรดทรงประทานจิตใจที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตาสงสารของพระองค์แก่เรา เพื่อเราจะได้รับรู้และตอบสนองความต้องการของผู้คนรอบข้างเรา และขอพระองค์โปรดให้เราพร้อมที่จะดำเนินชีวิตด้วยความเมตตาสงสาร แม้มันจะเรียกร้องให้เราต้องเปลี่ยนโปรแกรมวันหยุดพักผ่อนของเรา หรือต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่างบ้างก็ตาม
 
***************************


วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

DDF รับรองความศรัทธาต่อแม่พระกุหลาบทิพย์

 
 

โบสถ์ Madonna di Montichiari ใน Fontanelle, Brescia,อิตาลี
Vatican News
 
ตามกฎระเบียบใหม่, สมณกระทรวงความเชื่อ (DDF) ได้แสดงความคิดเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับความศรัทธาต่อการประจักษ์ของแม่พระที่มอนติชิอารี,ทางตอนเหนือของอิตาลี(แม่พระกุหลาบทิพย์) การรับรองนี้ส่งมาทางจดหมายถึงบิชอปปิรันโตนิโอ เทรโมลาดา(Bishop Pierantonio Tremolada) ด้วยการรับรองจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
 
สมณกระทรวงความเชื่อระบุว่าไม่พบองค์ประกอบใดในข้อความของสาส์นที่ปิแอร์นา กิลลี(Pierina Gilli)เผยแพร่ที่ขัดแย้งกับคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกในเรื่องความเชื่อและจริยธรรม คำประกาศนี้รวมอยู่ในจดหมายที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม,ซึ่งลงนามโดยประธานของ DDF, วิกเตอร์ มานูเอล เฟอร์นันเดซ และได้รับการรับรองจากพระสันตะปาปา จดหมายกล่าวถึงความศรัทธาต่อแม่พระกุหลาบทิพย์(Maria Rosa Mystica) และสาส์นที่ Pierina Gilli อ้างว่าได้รับจากพระแม่มารีย์ในปี 1947 และ 1966 จดหมายเน้นย้ำถึงแง่มุมเชิงบวกของสาส์นเหล่านี้ ขณะเดียวกันก็กล่าวถึงองค์ประกอบบางอย่างที่ต้องมีการชี้แจงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
 
“ไฟเขียว” สำหรับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของพระแม่มารีย์แห่งฟอนทาเนลี(Fontanelle)เป็นไปตามบรรทัดฐานใหม่สำหรับการพิจารณาปรากฏการณ์ที่อ้างว่าเหนือธรรมชาติที่ออกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม บรรทัดฐานเหล่านี้จัดลำดับความสำคัญของการประเมินผลลัพธ์ทางหลักคำสอนและการอภิบาลของปรากฏการณ์ มากกว่าสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่เหนือธรรมชาติของมัน
 
ความอ่อนน้อมถ่อมตนของผู้เห็นแม่พระ
 
จดหมายเกี่ยวกับแม่พระกุหลาบทิพย์( Rosa Mystica) เน้นย้ำถึงแง่มุมเชิงบวกของสาส์นของ ปีเอรินา กิลลิ(Pierina Gilli ผู้เห็นแม่พระ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความถ่อมตนและความไว้วางใจอย่างสมบูรณ์ของเธอต่อการกระทำของพระมารดามารีย์ สมณกระทรวงความเชื่อตั้งข้อสังเกตว่าข้อเขียนของกิลลีไม่ได้แสดงถึงความไร้สาระ, ความพอเพียง, หรือความเย่อหยิ่ง แต่เป็นการแสดงความตระหนักรู้ถึงการได้รับพระพรจากการประจักษ์ของแม่พระกุหลาบทิพย์ ข้อความที่ตัดตอนมาจากบันทึกของ Gilli ยกย่องความงามและความดีของแม่พระและบรรยายถึงผลกระทบอันลึกซึ้งต่อผู้ที่พบกับพระนาง สมณกระทรวงยังเน้นย้ำว่า Gilli ยอมรับอย่างสม่ำเสมอว่าการกระทำของพระนางมารีย์นำผู้มีความเชื่อไปสู่พระเยซูคริสต์
 
ในบรรดาการเปิดเผยที่อ้างถึงในจดหมายยังมีการเปิดเผยของพระคริสต์เรื่องหนึ่งด้วย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เห็นการประจักษ์ไว้วางใจในพระองค์อย่างสุดซึ้ง: “เมื่อมองดูพระองค์ ฉันรู้สึกดึงดูดใจในพระองค์เป็นอย่างยิ่ง,ทำให้รักพระองค์ พระองค์ช่างดี, สวยงาม, และเปี่ยมด้วยพระเมตตา! ฉันไม่มีคำพูดใดที่จะบรรยายถึงสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณของฉันถูกดึงดูดโดยพระองค์!… [พระเยซูเจ้าตรัสว่า:] 'จงจ้องมองเราอยู่เสมอเพื่อพินิจพิเคราะห์และคาดคะเนว่าเราต้องการอะไรจากลูก นั่นคือ เราปรารถนาที่จะครอบครองลูกทั้งหมดโดยสมบูรณ์ เพื่อที่ลูกจะสามารถกระทำการที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความรักของเราได้เสมอ” (27 กุมภาพันธ์ 1952) สาส์นของ Gilli ยังแสดงถึงความรู้สึกลึกซึ้งถึงการมีส่วนร่วมกับพระศาสนจักร โดยมีตัวอย่างจากการที่เธอชื่นชมพิธีกรรมใหม่ที่สังคายนาได้สถาปนาขึ้น
 
ภาพลักษณ์ที่ถูกต้องของพระเจ้า
 
DDF อธิบายว่าข้อความบางอย่างในบันทึกของ Gilli จำเป็นต้องมีการตีความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่พูดถึงพระแม่มารีย์ในฐานะคนกลางที่คอยยับยั้งพระยุติธรรมและการลงทัณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ บริบทของสาส์นโดยรวมได้ให้ความกระจ่างว่าไม่มีเจตนาที่จะนำเสนอพระเจ้าหรือพระคริสต์ที่อยู่ห่างไกลหรือปราศจากพระเมตตา จดหมายดังกล่าวมีข้อความที่ยืนยันในมุมมองนี้ เช่น คำรับรองของพระนางมารีย์ว่าพระบุตรของพระนางพร้อมเสมอที่จะประทานพระเมตตาของพระองค์ลงมาสู่โลกนี้
 
ความหมายของดอกกุหลาบสามดอก
 
จดหมายแนะนำให้หลีกเลี่ยงภาพลักษณ์ของพระนางมารีย์ในฐานะคนกลางของ 'สายล่อฟ้า'(lightning rod) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มักใช้ในอดีต บรรทัดฐานใหม่สำหรับการพิจารณาปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติคือการตระหนักถึงผลลัพท์ที่แท้จริงอันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่มีการแสดงออกทางเทววิทยา กุหลาบสามดอกที่หมายถึง “การสวดภาวนา – การพลีกรรม – การใช้โทษบาป” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของ Gilli, ไม่ควรมองว่าเป็นสาส์นหลักสำหรับผู้มีความเชื่อทุกคน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น,ศูนย์กลางของพระวรสารยังคงเป็นเรื่องการมีใจเมตตากรุณา, ดังที่เน้นย้ำในพันธสัญญาใหม่
 
พระเยซู,พระผู้ไถ่เพียงองค์เดียวเท่านั้น
 
จดหมายกล่าวถึงข้อความที่ไม่สามารถอธิบายได้บางอย่างที่ Gilli ใช้ เช่น คำว่า “Mary Redemption” “Mary of Grace” และ “Mary Mediatrix” เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่เป็นพระผู้ไถ่และพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น,ที่สามารถประทานพระหรรษทานอันศักดิ์สิทธิ์ได้ บทบาทของพระนางมารีย์ควรเข้าใจว่าเป็นการวิงวอนของมารดา ซึ่งช่วยให้ผู้มีความเชื่อเปิดใจรับการกระทำแห่งพระหรรษทานอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อตีความในแง่นี้ DDF สรุปว่าสาส์นของกิลลีเกี่ยวกับแม่พระกุหลาบทิพย์นั้นไม่ขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระศาสนจักร
 
ประวัติความเป็นมาของการประจักษ์
 
การประจักษ์ของพระนางมารีย์ “แม่พระกุหลาบทิพย์ Rosa Mystica” และ “พระมารดาของพระศาสนจักร Mother of the Church” มีความเกี่ยวข้องกับฟอนตาเนลี(Fontanelle),สถานที่ซึ่งอยู่ทางใต้ของมอนติคิอารี ในจังหวัดเบรสชา ทางตอนเหนือของอิตาลี Pierina Gilli ผู้เห็นแม่พระ, เกิดในครอบครัวชาวนาและทำงานเป็นแม่บ้านและนางพยาบาล ประสบการณ์ลึกลับของเธอครอบคลุมสองช่วง ครั้งแรกในปี 1947 เมื่อพระแม่มารีย์ทรงปรากฏต่อเธอในฐานะแม่พระกุหลาบทิพย์ "Rosa Mystica" และ มารดาของพระศาสนจักร"Mother of the Church" และครั้งที่สองในปี 1966 ใน Fontanelle เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1966, พระแม่มารีย์ทรงระบุตำแหน่งของน้ำพุแห่งหนึ่งซึ่งจะเป็นสถานที่แห่งการชำระล้างจิตวิญญาณและแหล่งที่มาของพระหรรษทาน การก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เริ่มขึ้นในปี 1966 ที่บริเวณดังกล่าว โดยได้รับการออกแบบให้เป็นอัฒจันทร์แบบเปิด พร้อมด้วยโบสถ์น้อยสำหรับประกอบพิธีนมัสการศีลมหาสนิท และโบสถ์น้อยที่คอยปกป้องน้ำพุ
 
ความคิดเห็นของพระสังฆราช
 
ในทศวรรษ 1960 บิชอปจาซินโต เตรดิซี(Bishop Giacinto Tredici)แห่งเบรสชาไม่เชื่อว่าการประจักษ์นี้มีต้นกำเนิดที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งเป็นมุมมองที่ผู้สืบตำแหน่งต่อจากท่านก็คิดเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม, ในเดือนเมษายน 2001, อันเป็นวันครบรอบปีที่ 10 ของการเสียชีวิตของปิเอรินา กิลลี, บิชอปจูลิโอ แซงกวิเนติ(Giulio Sanguineti)ได้แต่งตั้งพระสงฆ์ท่านหนึ่งให้ดูแลเรื่องนี้ที่ฟอนตาเนลี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2019 สถานที่ประจักษ์ของแม่พระได้รับการประกาศให้เป็น “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่พระกุหลาบทิพย์และมารดาของพระศาสนจักร,ประจำสังฆมณฑล” ประกาศในระหว่างการเฉลิมฉลองศีลมหาสนิทซึ่งนำโดยพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน Bishop of Brescia, Pierantonio Tremolada ซึ่งเป็นผู้รับจดหมายของ DDF
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

เห็นแต่ไมเชื่อ

 


เมื่อคุณได้เห็นอัศจรรย์ด้วยตาของคุณเอง,คุณจะเชื่อในพระเจ้าไหม? มีผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่งที่ได้เห็นอัศจรรย์แล้วแต่ก็ยังไม่เชื่อ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนประเภทนี้
 
เอมิล โซลา(Emil Zola) เป็นนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสยุคปลายศตวรรษที่ 19 เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่อาจเรียกได้ว่ายึดถือ “ลัทธิวิทยาศาสตร์” อย่างเหนียวแน่น  พระสงฆ์ชั้นสูงบางองค์ในพระศาสนจักรของฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 19 ทำให้โซลากลายเป็นศัตรูกับโรมันคาทอลิก ช่วงต้นทศวรรษ 1890 ชื่อเสียงของเขาถึงจุดสูงสุด เขาได้เริ่มเขียนนวนิยายต่อต้านพระสงฆ์อย่างหยาบคายหลายเรื่อง เขาปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า
 
โซล่าสนใจในเด็กหญิงอายุ 18 ปีชื่อมารี ลามาชาน(Marie Lemarchand) ซึ่งป่วยด้วยโรคสามโรคที่ดูเหมือนจะไม่มีทางรักษาไม่หาย ได้แก่ โรคลูปัสระยะลุกลาม, วัณโรคปอด, และแผลที่ขาขนาดเท่ามือผู้ใหญ่
 
โซล่าบรรยายถึงใบหน้าของหญิงสาวระหว่างทางไปเมืองลูร์ดว่า เธอถูกโรคลูปัสกัดกิน: “ทั้งหมดนี้เป็นมวลสสารที่บิดเบี้ยวจนน่าตกใจและมีเลือดไหลซึม” ที่ลูรดส์,เด็กหญิงเข้าไปในห้องอาบน้ำและหายจากโรคอย่างสมบูรณ์ แพทย์คนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นเขียนว่า “เมื่อเธอกลับจากการอาบน้ำ ผมก็ตามเธอไปโรงพยาบาลทันที ผมจำเธอได้ดีแม้ว่าใบหน้าของเธอจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงก็ตาม” แพทย์ที่ตรวจเธอไม่พบสิ่งผิดปกติในปอดทั้งสองข้างของเธอ,ซึ่งเคยติดเชื้อวัณโรค และทำให้ผู้ป่วยไอและถ่มน้ำลายเป็นเลือด สิบหกปีต่อมา เธอยังคงมีสุขภาพที่สมบูรณ์ และได้รับการตรวจสอบว่าหายขาดอย่างเป็นทางการ
 
โซล่าอยู่ที่นั่นตอนที่เธอออกมาจากอ่างอาบน้ำ เขาพูดว่า “ผมแค่อยากเห็นรอยมีดบาดนิ้วจุ่มน้ำแล้วก็หายดีเท่านั้น” ประธานสำนักการแพทย์ ดร.บัวซารี ยืนอยู่ข้างเขา “อา คุณโซลา ดูความฝันของคุณสิ!” “ผมไม่ต้องการที่จะมองเธอ” โซล่าตอบ “สำหรับผมเธอยังน่าเกลียดอยู่” และเขาก็เดินจากไป
 
นี่คือรูปของมารี ลามาชาน(Marie Lamarchand) หลังจากหายจากโรคในหลายปีต่อมา เธอได้รับผิวหนังใหม่และใบหน้าใหม่ซึ่งเป็นปกติ,มีแก้มที่แดงระเรื่อซึ่งคนอื่นเห็นแล้วก็บอกว่ามีสุขภาพดี แต่โซลาบอกว่าสำหรับเขาแล้ว,เธอยังน่าเกลียด
 

ต่อมาโซลาได้เห็นอัศจรรย์การรักษาครั้งที่สองที่ลูร์ด ซึ่งเป็นการรักษาของ Mlle. Lebranchu ซึ่งป่วยเป็นวัณโรคระยะสุดท้าย โซลาบอกดร. บัวซารีว่า “ถึงแม้ผมจะเห็นคนป่วยทั้งหมดที่เมืองลูร์ดหายขาดจากโรค ผมก็ยังคงไม่เชื่อในอัศจรรย์” เขาใส่เรื่องอัศจรรย์การรักษาครั้งที่สองในนวนิยายของเขาที่มีชื่อว่า Lourdes (1894) แต่บรรยายภาพผู้หญิงคนนั้นมีอาการกำเริบและอยู่ในสภาพเดิมระหว่างเดินทางกลับบ้าน ความหมายคือการรักษาไม่ได้เกิดขึ้นถาวรหรือเหนือธรรมชาติ แต่เป็นกรณีของการชี้นำทางจิตในบรรยากาศทางศาสนา.
 
แต่โซลาซึ่งยังคงติดต่อกับผู้หญิงรายนี้เป็นเวลานานหลังจากฟื้นตัว ตระหนักดีว่าไม่มีการกำเริบของโรคอีก เมื่อดร. บัวซารีถามหาความซื่อสัตย์ของเขาในเรื่องอัศจรรย์ โดยชี้ให้เห็นว่าโซลาบอกว่าเขามาที่ลูร์ดเพื่อทำการสอบสวนด้วยใจเป็นกลาง โซลาตอบว่าเขาเป็นศิลปินและสามารถทำทุกอย่างที่เขาชอบด้วยวัสดุเครื่องมือของเขา
 
ความเชื่อเป็นพระพรของพระเจ้า และพระองค์ไม่ทรงประทานให้แก่คนที่มีใจหยิ่งจองหอง
 
ขอพระเจ้าอวยพร
 
********
 
หมายเหตุ - รูปภาพข้างบน ด้านซ้ายแบร์นาแด๊ต ซูบีรุส เด็กน้อยหน้าตาซื่อๆไม่มีความรู้สูงส่ง เป็นคนยากจนและถ่อมตน แต่เธอเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงยกย่องให้ได้รับพระพร ได้เห็นแม่พระ  
ส่วนด้านขวาคือ เอมิล โซล่า นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้มีความรู้สูง มีชื่อเสียงที่ผู้คนยกย่องชมเชยในความสามารถด้านการประพันธ์ แต่ถึงแม้จะได้เห็นอัศจรรย์ถึงสองครั้งก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาเปลี่ยนแปลง เพราะความหยิ่งและการยึดถือในวิทยาศาสตร์  ความรู้ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย คนเช่นนี้ สู้ไม่มีความรู้ยังจะดีกว่า
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

พระพรของพระจิต

 


พระพรแห่งความยำเกรงพระเจ้า
 
พระพรแห่งความยำเกรงพระเจ้ามีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหราบความหยิ่งจองหองของเรา เป็นพระพรแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่ซึมซับเข้าไปในจิตวิญญาณของเราโดยพระจิตเจ้า เพื่อที่เราจะได้ต้านทานต่อการรักตนเอง(ความเห็นแก่ตัว) ซึ่งเป็นหนึ่งในกิเลสตัณหาในธรรมชาติที่ตกต่ำของเรา และเป็นอุปสรรคต่อการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า หัวใจของคริสตชนไม่ได้ถูกสร้างให้เย็นชาหรือเฉยเมย แต่จะต้องมีความรักและความศรัทธา มิฉะนั้น มันก็ไม่สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์ครบครันตามที่พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรักได้ทรงสร้างเราขึ้นมาอย่างสง่างาม
 
เพราะฉะนั้นพระจิตเจ้าจึงประทานพระพรแห่งความยำเกรงพระเจ้าเข้าไปในวิญญาณโดยการดลใจวิญญาณให้มีความรักกตัญญูต่อผู้สร้างของเขา อัครสาวกกล่าวว่า ท่านได้รับวิญญาณแห่งการเป็นบุตร ซึ่งทำให้เราร้องว่า อับบา! พ่อจ๋า! พระพรนี้ทำให้วิญญาณมีชีวิตชีวาในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระเกียรติของพระเจ้า พระพรนี้ช่วยให้มนุษย์สำนึกในบาปของตน และตระหนักถึงพระเมตตาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่ทรงให้อภัยเขา เขาสำนึกในพระมหาทรมานและความตายของพระผู้ไถ่ของเขา พระพรนี้ทำให้เขากระหายอยากให้พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าแผ่ขยายออกไป หากทำได้ เขาจะพาเพื่อนมนุษย์ทั้งหมดมานมัสการพระเจ้าองค์นี้ เพราะเขารู้สึกได้ถึงการที่พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักอย่างยิ่งของเราทรงถูกดูหมิ่น ความยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการได้เห็นผู้อื่นเติบโตในความรักและความศรัทธาในการรับใช้องค์ความดีสูงสุด เขาเต็มไปด้วยความกตัญญูต่อพระบิดาบนสวรรค์ เขาพร้อมจะทำทุกสิ่งตามพระประสงค์ของพระองค์ให้มากที่สุด และทำทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้อย่างร่าเริง
 
เขามีความเชื่อในพระเจ้าอย่างร้อนรน และด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระศาสนจักร เขาจะละทิ้งความคิดของตนเองทันทีเมื่อพบว่าความคิดเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับคำสอนหรือคำแนะนำของพระศาสนจักร เพราะเขาตระหนักดีว่าการไม่เชื่อฟังนั้นน่ารังเกียจเพียงใด
 
ความศรัทธาต่อพระเจ้านี้,ซึ่งเป็นผลมาจากพระพรแห่งความยำเกรงพระเจ้า,และรวมวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้สร้างของเขา,ด้วยความรักกตัญญู ทำให้เขารักสิ่งสร้างทั้งหมดของพระเจ้า ตราบเท่าที่สิ่งเหล่านี้เป็นผลงานจากพระหัตถ์ของพระองค์และเป็นของพระองค์
 
ผู้ได้รับพระพรทั้งหลายมีความรักกันฉันพี่น้องในแบบของคริสตชน เขามีความรักอันอ่อนโยนต่อพระมารดาของพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ และกระตือรือร้นที่จะให้เกียรติพระนาง เขาเคารพบรรดานักบุญ เขาชื่นชมความกล้าหาญของเหล่ามรณะสักขีและวีรกรรมของผู้รับใช้ของพระเจ้า เขามีความสุขที่ได้อ่านเรื่องการอัศจรรย์ต่างๆของผู้ศักดิ์สิทธิ์ และมีความศรัทธาต่อพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
 
แต่ความรักของเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงชาวสวรรค์เท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงเพื่อนมนุษย์บนโลกนี้ด้วย เพราะพระพรแห่งความยำเกรงพระเจ้าทำให้เขาพบพระเยซูเจ้าในตัวเพื่อนมนุษย์ เขาจึงใจดีกับทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น เขาให้อภัยเมื่อถูกกระทำให้บาดเจ็บ, อดทนต่อความไม่สมบูรณ์ของผู้อื่น, และพยายามแก้ตัวแทนเพื่อนบ้านเท่าที่จะทำได้ เขามีความเห็นอกเห็นใจต่อคนยากจนและเอาใจใส่คนป่วย เขาร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ และชื่นชมยินดีกับผู้ที่ชื่นชมยินดี
 
ทั้งหมดนี้พบได้ในผู้ที่ใช้ประโยชน์จากพระพรแห่งความยำเกรงพระเจ้า โอ พระจิตเจ้า! ด้วยการใส่พระพรนี้ในวิญญาณของเรา พระองค์ทรงช่วยให้เราสามารถต้านทานต่อความรักตนเองของเรา ซึ่งจะทำให้หัวใจเสื่อมทราม พระองค์ทรงปกป้องเราจากความเฉยเมยต่อทุกคนรอบตัวเรา พระองค์ทรงขับไล่ความรู้สึกอิจฉาริษยาและความเกลียดชังไปจากเรา ใช่แล้ว ความยำเกรงพระเจ้าดลใจเราด้วยความรักกตัญญูต่อพระผู้สร้าง ซึ่งทำให้จิตใจอ่อนลง และสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างก็กลายเป็นที่รักของเรา ข้าแต่พระจิตเจ้า,ขอให้พระพรนี้เกิดผลอันอุดมในตัวเรา! อย่ายอมให้เราปิดกั้นด้วยความรักในตนเอง พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว พระองค์ทรงขอให้เรายึดเอาพระทัยเมตตาของพระองค์เป็นแบบอย่าง ดังนั้น ขอพระองค์ประทานความศรัทธา, ความเมตตากรุณา, และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแก่เราด้วยเถิด ซึ่ง เราได้รับคุณธรรมเหล่านี้จากพระจิตเจ้าในวันรับศีลล้างบาปของเรา เมื่อพระองค์ทรงครอบครองวิญญาณของเราเป็นครั้งแรก!
 
************************