วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2567

ความเชื่อของไยรัส

 


พระองค์ทรงจับมือเด็กแล้วตรัสว่า “ทาลิธาคูม” ซึ่งแปลว่า “หนูเอ๋ย เราสั่งให้หนูลุกขึ้น!” เด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้นทันทีและเดินไปมา เด็กนั้นอายุสิบสองขวบแล้ว คนทั้งหลายต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด และทรงสั่งให้เขานำอาหารมาให้เด็กกิน (มาระโก 5:41–43)
 
ไยรัสเป็นหัวหน้าธรรมศาลาในเมืองคาเปอรนาอุม ในตำแหน่งนั้น เขาคงถูกกดดันให้ต่อต้านพระเยซู แต่ลูกสาวของเขาป่วย และลูกสาวของเขามีความสำคัญต่อเขามากกว่าความคิดเห็นของผู้นำศาสนาคนอื่นๆในสมัยนั้น เขาจึงมาหาพระเยซูโดยลำพังด้วยความถ่อมตน เขาหมอบลงแทบพระบาทพระเยซูและวิงวอนให้พระองค์รักษาลูกสาวของเขา
 
ไยรัสแสดงออกถึงความเชื่อในพระเยซูสองครั้ง ครั้งแรกคือการขอให้พระเยซูรักษาลูกสาวที่กำลังป่วยหนักของเขา และครั้งที่สองซึ่งแสดงถึงความเชื่อมากขึ้น ในระหว่างที่กำลังเดินทางไปพบลูกสาวกับพระเยซู เขาได้รับข่าวเศร้าจากคนรับใช้ว่าลูกสาวของเขาเสียชีวิตแล้ว พระเยซูทรงหันไปหาไยรัสและตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงมีความเชื่อไว้เถิด” เห็นได้ชัดเจนว่าไยรัสตอบรับคำสั่งแห่งความรักนี้ด้วยความเชื่อและไว้วางใจว่าพระเยซูจะทำให้ลูกสาวของเขาฟื้นจากความตายได้
 
ขณะที่คุณไตร่ตรองถึงความเชื่อของไยรัส ให้พิจารณาความตึงเครียดภายในตัวของเขาเอง เขาถูกล่อลวงด้วยแรงกดดันทางการเมืองและแรงกดดันจากคนรอบข้างของพวกอาลักษณ์และพวกฟาริสีที่ต่อต้านพระเยซู เขาถูกล่อลวงให้สิ้นหวัง,ในขณะที่อาการป่วยของลูกสาวแย่ลงเรื่อยๆ และเมื่อเขาได้ยินว่าเธอเสียชีวิตแล้ว, เขาคงจะรู้สึกสิ้นหวังมากยิ่งขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าพระเยซูมาสายเกินไป แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อการล่อลวงเหล่านี้ เขายังคงอยู่ในความหวังและความไว้วางใจ
 
เมื่อพระเยซูเสด็จถึงบ้านของไยรัส พระองค์ทรงเห็นคนจำนวนมาก “ร่ำไห้พิลาปรำพันเป็นอันมาก” เมื่อพระเยซูทรงตรัสถึงความสิ้นหวังของพวกเขา พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เด็กคนนี้ไม่ตาย เพียงนอนหลับไปเท่านั้น” เมื่อได้ยินพระเยซูตรัสเช่นนั้น,พวกเขาต่างหัวเราะเยาะพระองค์ เห็นได้ชัดเจนว่าคนอื่นๆที่อยู่ที่นั่นไม่มีความหวังและความเชื่อแบบไยรัส ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์เช่นกันที่เราจะพิจารณาใคร่ครวญร่วมกับการสวดภาวนาถึงความแตกต่างระหว่างไยรัสกับผู้คนทั่วไปในปัจจุบันนี้
 
เรื่องราวสรุปลงด้วยการที่พระเยซูทรงทำให้เด็กหญิงฟื้นจากความตาย จากนั้นพระองค์ตรัสกำชับผู้ที่อยู่ที่นั้นมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด พระเยซูไม่ได้รักษาเด็กน้อยเพื่อให้ได้รับชื่อเสียง พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาเด็กเพื่อพิสูจน์ให้คนที่กำลังสิ้นหวังและปราศจากความเชื่อว่าพวกเขาคิดผิด ในทางกลับกัน พระองค์ทรงรักษาเด็กน้อยให้หายตามความเชื่อของบิดาที่แสดงออกมา
 
ในที่สุด ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าที่ส่องแสงผ่านความเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็ปรากฏอย่างชัดเจนเมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงนำอาหารมาให้เด็กกิน” พระเยซูไม่ได้ทรงอยู่ที่นั่นโดยคาดหวังในคำสรรเสริญจากผู้ที่อยู่ตรงนั้น แต่ความรักและพระเมตตาของพระองค์ฉายส่องออกมาขณะทรงแสดงความกังวลว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้คงหิวแล้ว ความรักของพระองค์นำพระองค์ให้กล่าวถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้
 
จงใคร่ครวญในวันนี้ว่าคุณจะทำอย่างไรหากคุณเป็นไยรัส? คุณจะทำอะไรเมื่อเผชิญกับการต่อต้านฝ่ายวิญญาณและจริยธรรม? คุณจะหันไปหาพระเจ้าด้วยความไว้วางใจและความเชื่อมั่นหรือไม่? และเมื่อความหวังของมนุษย์หมดสิ้นไป คุณจะยังคงวางใจในพระเจ้าหรือไม่? จงสวดภาวนาขอให้ความเชื่อและความหวังของไยรัสเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณ และมอบตัวคุณเองให้ทำตามแบบอย่างอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
 
ข้าแต่พระเยซูเจ้าผู้ทรงพระกรุณาปรานี พระองค์ทรงตอบสนองความเชื่อของไยรัส บิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักผู้นี้ด้วยพระทัยเมตตาและกรุณา พระองค์ทรงช่วยให้เขามีความวางใจในพระองค์และทรงใส่พระทัยทุกรายละเอียด ขอทรงโปรดให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อเช่นเดียวกัน เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไม่มีวันหมดหวังในชีวิตแต่จะมีความหวังในพระองค์ตลอดไป พระเยซูเจ้าข้า ลูกวางใจในพระองค์
 
@Catholic 4 Life
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2567

โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ

 


นำมาจาก Aleteia
 
ตอนจบของบทภาวนา”ข้าแต่พระบิดาฯ” กล่าวว่า โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ ข้อความนี้ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม แต่พูดถึงสิ่งมีชีวิตฝ่ายจิตอย่างเฉพาะเจาะจง
 
เมื่อใดก็ตามที่เราสวดภาวนาบทข้าแต่พระบิดาฯนี้, คำภาวนาตอนสุดท้ายทำให้เราคิดว่าหมายถึงความชั่วร้ายทั่วไปเท่านั้น
 
ในข้อความนี้ เรากำลังขอให้พระเจ้าช่วยเราให้พ้นจากความชั่วร้าย ซึ่งเป็นแนวคิดเชิงนามธรรมที่ครอบคลุมความเป็นไปได้มากมาย
 
โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ
 
คำสอนของพระศาสนจักรบอกว่ามีความเชื่อมโยงของข้อความนี้กับคำอธิษฐานภาวนาของพระเยซูในสวนเกทเซเมนี:
 
“ข้าพเจ้าไม่ได้วอนขอพระองค์ให้ทรงยกเขาออกจากโลก แต่วอนขอให้ทรงรักษาเขาให้พ้นจากมารร้าย” ยอห์น 17:15
 
คำสอนของพระศาสนจักรยังอธิบายต่อไปว่าคำภาวนานี้อ้างอิงถึงซาตานอย่างไร:
 
ในคำภาวนานี้ ความชั่วร้ายไม่ใช่สิ่งที่เป็นนามธรรม แต่หมายถึงบุคคล นั่นคือ ซาตาน ผู้ชั่วร้าย ทูตสวรรค์ที่ต่อต้านพระเจ้า มารร้าย ปีศาจ (dia-bolos) คือผู้ที่ "นำตัวเองเข้าขวาง" แผนการของพระเจ้าและงานแห่งความรอดของพระองค์ซึ่งสำเร็จในองค์พระคริสต์ 
CCC 2851
 
ย่อหน้าถัดไปยังคงให้ความคิดเห็นต่อซาตานและตัวตนของมัน:
 
“มันเป็นฆาตกรตั้งแต่แรกเริ่ม . . . ผู้โกหกและเป็นบิดาของการโกหก” ซาตานเป็น “ผู้หลอกลวงคนทั้งโลก” ดังนั้นบาปและความตายจึงเข้ามาในโลกโดยทางมัน และในความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของมัน, สิ่งสร้างทั้งหมดจะ "หลุดพ้นจากความเสื่อมทรามของบาปและความตาย" บัดนี้ "เรารู้ว่าผู้ใดก็ตามที่บังเกิดจากพระเจ้าก็ไม่มีบาป, แต่ผู้ที่บังเกิดจากพระเจ้า,พระองค์ทรงพิทักษ์รักษาเขา และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขา เรารู้ว่าเรามาจากพระเจ้า และโลกทั้งโลกอยู่ในอำนาจของมารร้าย” 
CCC 2852
 
ชัยชนะผ่านทางพระเยซูคริสต์
 
ข่าวดีก็คือถึงแม้ว่าซาตานอาจดูมีพลัง แต่มันก็พ่ายแพ้แล้วโดยพระกิจการของพระเยซูคริสต์:
 
ชัยชนะเหนือ "เจ้าชายแห่งโลกนี้" เป็นชัยชนะสำหรับทุกสิ่ง,ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นเมื่อพระเยซูทรงยอมรับความตายด้วยพระทัยอิสระเพื่อให้ชีวิตแก่เรา นี่คือการพิพากษาโลกนี้ และเจ้าชายแห่งโลกนี้ถูก "ขับไล่ออกไป" “มันไล่ตามหญิงนั้น” แต่จับเธอไว้ไม่ได้: เอวาใหม่ “ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทาน” ของพระจิตเจ้า ได้รับการปกป้องให้พ้นจากบาปและการเสื่อมสลายแห่งความตาย (การปฏิสนธินิรมลและการถูกยกขึ้นสู่สวรรค์ของพระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระเจ้า , พระนางมารีย์, พรหมจารีย์เป็นนิจกาล) “แล้วมังกรก็โกรธสตรีนั้น และออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธ์ที่เหลือของนาง” เพราะฉะนั้น,จิตวิญญาณและพระศาสนจักรจึงอธิษฐานภาวนาว่า "เชิญเสด็จมาเถิด พระเยซูเจ้า" เพราะการเสด็จมาของพระองค์จะช่วยเราให้พ้นจากมารร้าย 
CCC 2853
 
ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าตอนจบของบทข้าแต่พระบิดาฯนี้จะพุ่งเป้าไปที่ซาตาน แต่ก็ขยายไปถึงความชั่วร้ายทั้งหมดที่มันเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นด้วย:
 
เมื่อเราวอนขอให้หลุดพ้นจากมารร้าย เราก็อธิษฐานเช่นกันขอให้หลุดพ้นจากความชั่วร้ายทั้งในปัจจุบัน อดีต และอนาคต ซึ่งซาตานเป็นผู้ก่อหรือยุยง ในคำวิงวอนตอนจบนี้,พระศาสนจักรจะนำความทุกข์ทั้งหมดของโลกมาแสดงเบื้องพระพักตร์พระบิดา 
CCC 2854
 
บทภาวนาข้าแต่พระบิดาฯเป็นบทภาวนาที่ทรงพลัง ซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่สำคัญมากเพื่อวิงวอนขอให้เราพ้นจากความชั่วร้ายที่ซาตานพยายามจะนำเข้ามาในชีวิตของเรา
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2024 เปโตรประกาศความเชื่อ

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 8:27-35 
เปโตรประกาศความเชื่อ 
(27)พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในบริเวณเมืองซีซารียาแห่งฟีลิป ขณะทรงพระดำเนิน พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร” (28)เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นประกาศกองค์หนึ่ง” (29)พระองค์ตรัสถามอีกว่า “ท่านล่ะ ว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” (30)พระองค์ทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้กล่าวเรื่องเกี่ยวกับพระองค์แก่ผู้ใด 
พระเยซูเจ้าทรงทำนายครั้งแรกถึงพระทรมาน 
(31)พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานอย่างมากจะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อมา จะกลับคืนชีพ” (32)พระองค์ทรงประกาศพระวาจานี้อย่างเปิดเผย เปโตรนำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทาน (33)แต่พระเยซูเจ้าทรงหันไปทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ทรงตำหนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” 
เงื่อนไขในการติดตามพระคริสตเจ้า 
(34)พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนและบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา (35)ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้
******************
 
 
 
พระวรสารวันนี้เล่าว่าพระเยซูเจ้าทรงถามบรรดาอัครสาวก ว่า “ท่านล่ะ ว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบแทนศิษย์คนอื่นๆ ว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า”
 
แม้ว่าคำตอบของเปโตรจะช่วยให้พระเยซูเจ้าใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนรับรู้ว่าพระองค์คือพระคริสต์ กระนั้นก็ตาม พระองค์ทรงทราบดีว่า “พระคริสต์” ตามที่บรรดาอัครสาวกและชาวยิวเข้าใจนั้นยังผิดแผกแตกต่างไปจากความคิดของพระองค์อย่างสิ้นเชิง
 
สำหรับชาวยิว “พระคริสต์” คือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมให้เป็นกษัตริย์ เพื่อนำพาพวกเขาทำสงครามพิชิตโลกและทำลายล้างศัตรูที่เคยกดขี่พวกเขา แล้วรวบรวมชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกให้กลับมารวมตัวกันที่เยรูซาเล็มใหม่ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้น “ยุคใหม่” ที่เต็มไปด้วยสันติสุขตลอดนิรันดร
 
จริงอยู่ความคิดของพวกเขาจบลงด้วย “ยุคใหม่” ซึ่งก็คือ “พระอาณาจักรของพระเจ้า” แต่วิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นต้องแลกมาด้วยความรุนแรง ต้องทำสงคราม ต้องทำลายล้างชีวิตและเลือดเนื้อของผู้คนจำนวนมากมายมหาศาล!
 
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงต้อง “กำชับบรรดาศิษย์มิให้กล่าวเรื่องเกี่ยวกับพระองค์แก่ผู้ใด” จนกว่าพระองค์จะสอนพวกเขาให้เข้าใจความหมายของพระคริสต์ได้อย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น span>
 
แล้วโดยไม่รอช้า พระวรสารวันนี้เล่าว่า “พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ทันทีว่า ‘บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานอย่างมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อมา จะกลับคืนชีพ’”
 
ก็แปลว่า สำหรับพระเยซูเจ้า “พระคริสต์” คือผู้ที่จะต้องทนทุกข์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไม่ใช่นักรบนองเลือดที่จะทำให้นานาชาติมายอมสยบอยู่แทบเท้า
 
อันที่จริงประกาศกอิสยาห์ก็ได้ทำนายล่วงหน้าไว้แล้วว่า พระคริสต์จะต้องถูกโบยตี ถูกดึงเครา ถูกสบประมาทและถ่มน้ำลายรด ดังที่เราได้ฟังในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้
 
กระนั้นก็ตาม บรรดาอัครสาวก โดยเฉพาะเปโตร ยอมรับไม่ได้ ถึงกับดึงพระองค์ออกมาและทูลคัดค้านหัวชนฝา จนพระองค์ต้องตำหนิเปโตรอย่างรุนแรงว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”
 
ทำไมพระองค์ทรงตำหนิเปโตรรุนแรงเช่นนี้เล่า ?
 
เหตุผลก็เป็นเพราะว่า เปโตรสอบตกภาคปฏิบัติ
 
แม้ว่าท่านจะสอบข้อความเชื่อหรือภาคทฤษฎีได้คะแนนเต็มร้อยเมื่อตอบคำถามของพระเยซูเจ้าได้ว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” แต่ท่านสอบตกเรื่องภาคปฏิบัติเกี่ยวกับหนทางของพระคริสต์ในอันที่จะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพระบิดาให้สำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์
 
เปโตร ไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์
 
อันที่จริง เราคริสตชนก็มีปัญหาเช่นเดียวกับเปโตร คือรู้ข้อความเชื่อดี สอบคำสอนได้คะแนนเต็มหรือสูงมาก แต่กลับสอบตกภาคปฏิบัติ คือการดำเนินชีวิตของตนยังเป็นไปตามอย่างมนุษย์ ไม่ใช่ตามอย่างพระเจ้า
 
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น บางคนยังเสียงแข็ง ปากก็บอกว่าเชื่อ แต่ชีวิตกลับมีแต่ภาคทฤษฎี ขาดภาคปฏิบัติ ขาดการกระทำอย่างสิ้นเชิง
 
วันนี้ นักบุญยากอบจึงเตือนเราในบทอ่านที่สองโดยตั้งคำถามให้เราคิดว่า “จะมีประโยชน์ใดหากผู้หนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ ความเชื่อเช่นนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ” พร้อมกันนั้นนักบุญยากอบก็ฟันธงว่า “ความเชื่อหากไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว”
 
พี่น้องบางคนอาจนึกแย้งว่าก็นักบุญเปาโลบอกไว้ในจดหมายถึงชาวโรม 3:28 ไม่ใช่หรือว่า “มนุษย์ได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยปฏิบัติตามสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้” จนมาร์ติน ลูเธอร์ ถึงกับสอนว่า “เชื่ออย่างเดียว” ก็รอดพ้นแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ เราไปเป็นโปรแตสตันท์กันไม่ดีกว่าหรือ?
 
พี่น้องครับ จริงอยู่ นักบุญเปาโลบอกว่า “มนุษย์ได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ” แต่ท่านนักบุญก็แยก “ความชอบธรรม” ออกจาก “ความรอดพ้น”
 
แล้วความชอบธรรมกับความรอดพ้นต่างกันอย่างไร ?</
“ความชอบธรรม” เป็นพระหรรษทานที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้เราเมื่อเรามีความเชื่อ โดยทรงทำให้เราบริสุทธิ์ราวกับว่าไม่เคยทำบาปมาก่อน เราคริสตชนได้รับพระหรรษทานนี้และกลายเป็นผู้ชอบธรรมแล้วเมื่อเรารับศีลล้างบาป
 
ดังนั้นความชอบธรรมจึงเป็นเรื่องของอดีต เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อเราเริ่มต้นชีวิตคริสตชนโดยการรับศีลล้างบาป
 
ตรงกันข้าม “ความรอดพ้น” นั้นเป็นเรื่องของอนาคต เป็นเรื่องของบั้นปลายชีวิตคริสตชนของเรา
 
ช่วงเวลาในปัจจุบันนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่เราแต่ละคนจะต้องสอบภาคปฏิบัติให้ผ่าน ไม่ใช่ปล่อยให้ความเชื่อที่ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้วนั้นต้องตายไปเพราะขาดการกระทำ
 
นักบุญเปาโลจึงเตือนเราว่า “บัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องตื่นขึ้นจากความหลับ ขณะนี้ความรอดพ้นอยู่ใกล้เรามากกว่าเมื่อเราเริ่มมีความเชื่อ” (รม 13:11) และท่านนักบุญยังเตือนเราแรงๆ อีกว่า “ท่านจงออกแรงด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่นเพื่อให้รอดพ้นเถิด” (ฟป 2:12)
 
นอกจากนั้น อุปมาเรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้ายของพระเยซูเจ้าก็ช่วยตอกย้ำความจำเป็นของภาคปฏิบัติ ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ความเชื่อหรือภาคทฤษฎีเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการกระทำ พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่ทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ไม่ทำสิ่งนั้นต่อเรา”
 
พี่น้องครับ ขอให้อุปมาเรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้ายช่วยปลุกความเชื่อของเราในองค์พระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นพระคริสต์ ให้ร้อนรน เข้มแข็ง พร้อมที่จะเลิกนึกถึงตนเอง และแบกไม้กางเขนของตนติดตามพระองค์ และขอให้ความเชื่อของเราแสดงออกด้วยการกระทำในชีวิตของเราแต่ละคนด้วยเทอญ
 
***************************


วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567

แม่พระแห่งศิลา

 

การรับรองของวาติกันเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับเหตุการณ์การประจักษ์ที่อิตาลีที่เรียกว่า "แม่พระแห่งศิลา" (Our Lady of the Rock)เป็นเรื่องที่น่าสนใจในหลายเรื่อง
 
ประการแรก แน่นอนว่าการรับรองความลึกลับ(mysticism)ของวาติกันในการประจักษ์ครั้งนี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยปกตินัก โดยปกติทางวาติกันอาจต้องใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีกว่าจะให้การรับรองอย่างเป็นทางการ
 
ต้องใช้เวลาหลายศตวรรษกว่าการประจักษ์ในฝรั่งเศส,ที่เมืองเลาส์(Laus) จะได้รับการรับรองจากวาติกัน (รับรองในปี: ค.ศ. 2008; เหตุการณ์เกิดขึ้น: ระหว่างปี ค.ศ. 1664 ถึง ค.ศ. 1718)
 
การประจักษ์ของแม่พระแห่งศิลาเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยเริ่มต้นในปี 2016 ในสังฆมณฑลล็อกรี-เจเรซ(Locri-Gerace)ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี
 
วาติกันได้รับรองโดยตั้งข้อสังเกตว่า: “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ซึ่งเริ่มต้นจากโบสถ์ธรรมดาๆ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2016 ตามประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณอันเข้มข้นของผู้มีความเชื่อซึ่งยังอยู่ในวัยเยาว์คนหนึ่ง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องราวนี้ได้ดึงดูดความสนใจของผู้ศรัทธาคนอื่นๆมากมายซึ่งมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีความทุกข์และเจ็บป่วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถานที่แห่งนี้ดึงดูดผู้ศรัทธาและผู้แสวงบุญมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การดูแลของบุคคลธรรมดาที่มีหน้าที่
 
“มีกิจกรรมทางจิตวิญญาณอันเข้มข้นของการอธิษฐานภาวนาและการฟังได้พัฒนาขึ้นในสถานที่แห่งนี้ [มีเขียนไว้] ว่า: 'ผลพวงแห่งชีวิตคริสตชนในผู้ที่ไปแสวงบุญที่สักการะสถานบ่อยๆ เป็นที่ประจักษ์ชัด เช่น มีจิตวิญญาณแห่งการอธิษฐานภาวนา, การกลับใจ, กระแสเรียกบางอย่างสู่ฐานะพระสงฆ์และชีวิตนักบวช, และกิจการกุศลอื่นๆ เช่นการอุทิศตนเพื่อดูและผู้ป่วย, และผลพวงทางจิตวิญญาณอื่นๆ'”
 
อาสนวิหารของแม่พระในซานตาโดมินิกา, ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆในภูมิภาคคาลาเบรีย(Calabria)ของอิตาลี ถูกสร้างขึ้นบริเวณก้อนหินที่กล่าวกันว่าเป็นสถานที่ที่พระนางมารีย์ทรงประจักษ์ต่อโคซิโม ฟราโกเมนี(Cosimo Fragomeni) วัย 18 ปี ขณะที่เขากำลังกลับบ้านจากการทำงานในทุ่งนา
 
เรื่องราวเริ่มต้นวันที่ 11 พฤษภาคม 1968, เวลานั้นบราเดอร์โคซิโมมีอายุ 18 ปีและใช้ชีวิตอย่างยากจนกับครอบครัว ต้องดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดทุกวัน—ทำงานบนพื้นที่แห้งแล้ง ดูแลปศุสัตว์ และไม่ได้ไปโรงเรียน ยุคสมัยนั้นคนหนุ่มสาวจำนวนมากทั่วอิตาลีและยุโรปออกมาประท้วงให้มีการปฏิรูปการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ด้วยจิตวิญญาณแห่งการกบฏที่แผ่ขยายไปทั่วตะวันตก Cosimo ยุ่งเกินไปในการช่วยเหลือครอบครัวของเขาให้มีชีวิตรอด
 
ในยุคสมัยแห่งความสงสัย, โคซิโมกำลังกลับจากทุ่งหญ้าและต้องแบกหญ้าอาหารสัตว์ เมื่อเขาพบกับแสงเจิดจ้าที่ส่องมาจากหินปูนสีเข้มขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อสโคกลิโอ(Scoglio)ที่อยู่ใกล้บ้านของเขา
 
แสงส่องสว่างเผยให้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มีอายุประมาณเท่ากัยเขา,และเธอได้ให้สาส์นแรกแก่เขาจากทั้งหมดสี่สาส์น (11 พฤษภาคมถึง 14 พฤษภาคม) เพื่อเป็นเสียงสะท้อนของสาส์นแห่งฟาติมา เธอกระตุ้นให้ Cosimo สวดสายประคำ และเธอประสงค์ให้สถานที่นี้เป็นศูนย์กลางฝ่ายจิตวิญญาณ และยินดีต้อนรับทุกคน
 
ในตอนแรก Cosimo รู้สึกหนักใจและหวาดกลัว จึงอยากจะหนี (“มันอยู่นอกเหนือความฝันอันแปลกประหลาดที่สุดของผม” เขาเล่า) แต่ด้วยเสียงร้องเรียก, เขาจึงกลับมา และ “นับจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็เต็มไปด้วยความปรารถนาอันไม่มีสิ้นสุดที่จะได้พบกับพระนาง หัวใจของผมเปี่ยมด้วยความรัก”
 
แม้ว่าในตอนแรกจะไม่รู้ว่าจะทำตามคำร้องขอของแม่พระได้อย่างไร, แต่ชายหนุ่มก็ทำงานและสวดภาวนาอย่างสุดจิตใจ (บางครั้งอาจสวดสายประคำมากถึง 20 สายต่อวัน) จนกระทั่งเขารู้สึกได้รับแสงสว่างจากพระจิตเจ้า
 
“แม่พระทรงขอให้ผมเปลี่ยนหุบเขานี้ให้เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณที่สำคัญ สถานที่ที่วิญญาณจะพบกับความสงบและความสดชื่น เป็นหน้าต่างสู่สวรรค์ที่พระเจ้าทรงเปิดโดยผ่านการพิจารณาไตร่ตรองของผมเพื่อแสดงพระเมตตาของพระองค์” บราเดอร์โคซิโมอธิบายในภายหลังโดยเล่าเกี่ยวกับสาส์นของพระนางมารีย์ นับตั้งแต่วันแห่งการเปลี่ยนแปลงในปี 1968 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สถานที่นี้ได้ดึงดูดผู้แสวงบุญหลายแสนคน จนกระทั่งมีผู้แสวงบุญเพิ่มขึ้นมากกว่าล้านคนต่อปีก่อนที่จะเกิดโรคระบาดและผู้แสวงบุญมาจากทั่วทุกมุมโลก
 
มองซิเยอร์ฟรานเชสโก โอลิวา(Monsignor Francesco Oliva) บิชอปแห่งโลครี เกเรซ(Locri Gerace) กล่าวถึงเสน่ห์อันไม่น่าเชื่อของสถานที่นี้ เนื่องจากสถานที่นี้อยู่ห่างไกลและไม่มีที่ท่องเที่ยว “หลายคนสงสัยว่าเหตุใดจึงมีผู้คนมากมายมาที่ Scoglio มานานกว่าสี่สิบปี แม้จะมีถนนที่ไม่สะดวกและไม่มีศิลปะหรือความบันเทิง คำอธิบายเดียวคือ 'digitus Dei est hic' - ที่นี่คือนิ้วของพระเจ้า สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากความศรัทธาของผู้คน การสารภาพบาป, การสวดภาวนาต่อหน้าพระแม่มารีย์ และการพิจารณาไตร่ตรองในระหว่างพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์”
 
วาติกันยอมรับกฤษฎีกาดังกล่าวในเดือนกรกฎาคม
 
ดังที่หนังสือ Reggio Today ตั้งข้อสังเกตว่า “ในบรรดาประจักษ์พยานมากมายที่รวบรวมมา กระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ได้เติบโตเต็มที่ผ่านประสบการณ์การอธิษฐานภาวนาที่ Scoglio หลายคนอ้างว่าได้รับการเยียวยารักษาโดยการสวดภาวนาหรือโดยการอวยพรของบราเดอร์โคสิโม คนอื่นๆ หายป่วยหลังจากอาบน้ำในน้ำพุของพระแม่มารีย์ซึ่งไหลไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หลายๆคนบอกว่าได้รับพระหรรษทาน,เป็นการส่วนตัวหรือเพื่อคนที่ตนรัก โดยอาศัยการสวดภาวนาง่ายๆของสายประคำศักดิ์สิทธิ์ คนอื่นๆได้รับการรักษาโดยการสัมผัส Scoglio dell'apparizione ซึ่งตั้งอยู่ติดกับทางเข้าห้องใต้ดิน
 
นักเขียน Imma Divino กล่าวถึงเรื่องนี้ “'คุณพ่อผู้สิ้นหวังคนหนึ่ง' –– 'พิงเสื้อผ้ากับหินของ Scoglio เพื่อพาลูกชายของเขาซึ่งอยู่ในอาการโคม่าเนื่องจากตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน และเด็กชายก็ได้รับการรักษาให้หายขาด' รายการเกี่ยวกับอัศจรรย์การเยียวยารักษาที่เก็บรักษาไว้ที่ Scoglio นั้นไม่อาจเก็บไว้ได้ทั้งหมด เนื่องจากมีกรณีมากมาย เช่นเดียวกับความเจ็บป่วยต่างๆ แต่ในบรรดาประจักษ์พยานเหล่านี้ ไม่อาจพลาดที่จะพูดถึงกรณีของริต้า(Rita) ผู้ซึ่งต้องถือว่าเป็นประจักษ์พยานที่มีชีวิตเรื่องความรักและพลังการเยียวยาของพระเจ้า”
 
แล้วริต้าล่ะ?
 
ปรากฎว่าเธออายุหกสิบหกปีซึ่งป่วยหนักด้วยโรคกระดูกอักเสบไทฟอยด์ร่วมกับมะเร็งกระดูก ซึ่งเป็นมะเร็งร้ายแรง
 
ผู้หญิงคนนั้นแทบจะไม่สามารถเคลื่อนไหวตามความตั้งใจของเธอเองได้ และวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างแท้จริง
 
จุดสุดท้ายที่จะเป็นจากโรคก็คือ : การตายด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
 
และในความเป็นจริง เป็นเวลาสิบสามปีครึ่งที่ริต้าต้องอยู่แต่บนรถเข็น เนื่องจากเนื้องอกได้กัดกินกระดูกของเธออย่างช้าๆ และไม่หยุดหย่อน และในไม่ช้าเธอก็ต้องติดเตียง ก่อนการไปแสวงบุญ, พระสงฆ์ได้ประกอบพิธีศีลเจิมสำหรับผู้ใกล้ตาย “Extreme Unction” (ดังที่เรียกกันในสมัยนั้น) ผู้หญิงคนนั้นเคยไปแสวงบุญที่นั้นมาก่อนแล้ว, และด้วยความสิ้นหวัง,เธอจึงถูกนำตัวกลับมาที่นั่นอีกครั้ง
 
ย้อนไปวันที่ 13 สิงหาคม 1988
 
ดังที่ริต้าเล่าว่า “บราเดอร์โคสิโมเริ่มอธิษฐานภาวนาเพื่อฉัน และเมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็พูดกับฉันว่า 'ขณะนี้ไม่ใช่ผมที่กำลังพูดกับคุณ แต่พระเยซูกำลังตรัสคำเดียวกับที่ทรงพูดกับคนง่อยในกาลิลีว่า: จงลุกขึ้นและเดิน!”
 
“ถูกยกขึ้นด้วยพลังลึกลับ” เธอกล่าวต่อ “ฉันเริ่มบินโดยไม่แตะพื้น ครั้นถึงจุดหนึ่ง ราวกับฉันถูกวางเท้าลงบนพื้น,ที่อยู่นอกห้องที่บราเดอร์โคซิโมต้อนรับฉันและอธิษฐานภาวนา ฉันเริ่มเดินลงบันไดของลานโบสถ์ ฉันเดินไปที่ก้อนหินแห่งการประจักษ์ (Scoglio delle apparizioni) และฉันก็สวดภาวนา จากนั้นฉันก็กลับขึ้นบันได เข้าไปในโบสถ์น้อย และสวดภาวนาหน้าพระรูปของพระแม่มารีย์ แต่ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อสภาวะนั้น,ซึ่งพวกเขาบอกฉันว่าคือการอยู่ในภวังค์,สิ้นสุดลง ฉันจึงตระหนักถึงอัศจรรย์นี้”
 
หายเป็นปกติ!
 
การประจักษ์ครั้งแรก? - “ผมมองดูและเห็นต่อหน้าต่อตา ตรงส่วนบนของศิลา Scoglio ร่างอันอ่อนหวานของหญิงสาว, ผิวคล้ำ, อายุประมาณ 18 ปี, มีผมยาวสีน้ำตาลเข้ม” โคซิโมเล่า “พระนางทรงยืนเท้าเปล่าโดยประสานมือ ล้อมรอบด้วยรัศมีแสงอันเจิดจ้า และด้านหลังไหล่ของพระนาง,สามารถมองเห็นบางสิ่งบางอย่างเช่นดวงอาทิตย์ที่สดใสและมีรังสีสีทองทอดยาว พระนางทรงสวมอาภรณ์สีขาวราวหิมะ เข็มขัด และเสื้อคลุมสีน้ำเงิน มีผ้าคลุมผมสีขาวใสบนพระเศียรของพระนาง ประดับด้วยดวงดาว และมีเครื่องประดับไข่มุกอันแวววาวบนข้อมือของพระนาง”
 
ระหว่างนั้นและการประจักษ์สามครั้งต่อจากนั้น มีแสงสว่างส่องลงมาบนก้อนหิน
 
ประจักษ์ไม่มาก แต่ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2567

ก้อนหิน 5 ก้อน

 



พระแม่มารีย์ทรงประทานสาส์นแก่เราทุกคนที่เมดจูกอเรจ์ ทรงแสดงให้เราเห็นถึงการเป็นคริสตชนที่แท้จริงและหนทางสู่สันติภาพ พระแม่มารีย์ตรัสว่าเราต้องตระหนักว่าซาตานมีอยู่จริงและมันกำลังใช้เราเพื่อจุดประสงค์ของมันเอง จุดประสงค์หลักของมันก็คือการทำลายล้าง อันได้แก่ ทำลายความรัก, สันติภาพ, ความเชื่อ, ครอบครัว, และชีวิต เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงประทานหิน 5 ก้อนแก่ดาวิดเพื่อใช้ในการเอาชนะโกลิอัท(1ซามูเอล 17:40) พระแม่มารีย์ก็ทรงประทานก้อนหิน 5 ก้อนแก่เราด้วย ซึ่งทำให้เราสามารถใช้เอาชนะซาตานได้ หิน 5 ก้อนมีดังนี้:
 
สวดภาวนา(สายประคำ)ทุกวัน
 
อดอาหารในวันพุธและวันศุกร์
 
ร่วมพิธีมิสซา (รับศีลมหาสนิท)
 
อ่านพระคัมภีร์
 
สารภาพบาปเดือนละครั้ง
 
การสวดภาวนา – พระนางทรงขอให้เราสวดสายประคำ พระนางตรัสว่า “สวดภาวนา,สวดภาวนา,สวดภาวนา การสวดภาวนาเป็นพื้นฐานของสันติภาพ”
 
การสวดภาวนาเป็นหินก้อนแรก คุณต้องเริ่มสวดภาวนาตั้งแต่ตอนนี้เพื่อที่คุณจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเองและยกระดับตัวเองขึ้นพร้อมกับคนอื่นๆ เช่นกัน พระสงฆ์, พ่อแม่, และทุกคนต้องสวดภาวนา การสวดภาวนาเป็นพระพรและอาวุธหลักที่มอบให้กับพระศาสนจักร พระศาสนจักรไม่ใช่แนวคิดหรือพรรคการเมือง แต่เป็นครอบครัวแห่งการสวดภาวนา ครอบครัวที่มีความรักกันและกัน นี่คือเหตุผลที่พระแม่มารีย์ทรงยืนกรานว่าการสวดภาวนาเป็นสิ่งจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงโลก ดังนั้นให้เราเริ่มสวดสายประคำ
 
การอดอาหาร – แม่พระตรัสว่า “ให้ประชาชนทำพลีกรรมอดอาหารอย่างเคร่งครัดในวันพุธและวันศุกร์ ยกเว้นคนป่วย” และ “การอดอาหารที่ดีที่สุดคือกินขนมปังและน้ำ”
 
การอดอาหารเป็นหินก้อนที่สอง: มันอาจหมายถึงการอดบุหรี่ งดเว้นการดูโทรทัศน์ งดเว้นความคิดชั่วร้าย งดเว้นที่จะทำแผนการณ์บางอย่างที่ไม่ดี และงดเว้นอาหารบางอย่าง การอดอาหารแสดงให้เห็นถึงความสามารถส่วนตัวของคุณที่จะรักและยืนยันว่าคุณสำคัญต่อทุกคน การอดอาหารเป็นยาและการเสียสละ ด้วยการอดอาหาร,คุณชนะความเห็นแก่ตัว ผู้ที่รู้จักการพลีกรรมอดอาหารจะยอมรับฟังเพื่อนบ้าน ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น และเข้าใจวิธีที่จะรักโลก ผู้ที่พลีกรรมอดอาหารจะมองเห็นตนเองและผู้อื่นตามที่เป็นจริง และรู้วิธีที่จะชำระล้างจิตใจภายในของตน
 
ศีลมหาสนิท (พิธีมิสซา) – “พิธีมิสซาเป็นจุดสูงสุดของการสวดภาวนา”
 
ศีลมหาสนิทเป็นก้อนหินก้อนที่สาม ในพิธีมิสซา,พระเยซูเสด็จมา สภาพของขนมปังและเหล้าองุ่นเปลี่ยนไป นี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของเราเช่นกัน เราเปลี่ยนจากความตาย,กลับมีชีวิตใหม่ พิธีมิสซาเปลี่ยนแปลงชีวิตคริสตชน เปลี่ยนแปลงพระศาสนจักร เพราะในพิธีมิสซา,พระเยซูถูกถวายแด่พระศาสนจักรอย่างสมบูรณ์ พิธีมิสซาเป็นต้นกำเนิดของพระศาสนจักร-พระกายลึกลับของพระคริสตเจ้า พิธีมิสซาทำให้พระศาสนจักรกลายเป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีมิสซา บุคคลจะเกิดใหม่ เราเป็นหยดน้ำที่เทลงในเหล้าองุ่น พระศาสนจักรเป็นหนึ่งเดียวกับพระโลหิตของพระเยซู ดังนั้น คุณไม่ควรเพียงแค่ฟังพิธีมิสซา แต่จงดำเนินชีวิตตามพิธีนี้ หากไม่มีพิธีมิสซา พระศาสนจักรจะไม่มีอยู่ หากไม่มีพิธีมิสซา พระศาสนจักรก็จะเป็นเด็กกำพร้า
 
พระคัมภีร์ – อ่านพระคัมภีร์ทุกวัน: “ลูกลืมพระคัมภีร์ไปแล้วหรือ?”
 
พระคัมภีร์คือก้อนหินก้อนที่สี่ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หนังสือเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่พระคัมภีร์เป็นธงชัยประจำคริสตศาสนา พระคัมภีร์ถือกำเนิดจากดวงพระทัยของพระเจ้า เป็นพระวาจาของพระองค์ ดังนั้น พระคัมภีร์จึงต้องอยู่ในครอบครัวเป็นอันดับแรก พระคัมภีร์ต้องถูกวางไว้ในที่ที่มีเกียรติ และที่นั้นต้องศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา พระคัมภีร์ต้องเป็นแหล่งที่มาของคำภาวนาของเรา พระคัมภีร์ช่วยให้คริสตชนดำเนินชีวิตท่ามกลางความสงสัยและอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันในปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้น
 
ารสารภาพบาป – จงไปสารภาพบาปเดือนละครั้ง: “การสารภาพบาปทำให้ลูกได้รับพระพรมากมาย”
 
การสารภาพบาปคือก้อนหินก้อนที่ห้า พระแม่มารีย์ทรงขอให้เราไปรับศีลอภัยบาปทุกเดือน จุดประสงค์ของการสารภาพบาปไม่ใช่การพูดถึงการกระทำของตนเอง ไม่ใช่การวิเคราะห์ทางจิต แต่เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์และแหล่งที่มาของความสงบภายในตนเองในการพบกับพระเจ้า ในการสารภาพบาป ทำให้เราดำรงอยู่ในพระหรรษทานของพระเจ้า เราได้รับความสงบจากพระเจ้าเพื่อที่เราจะได้ถ่ายทอดไปยังผู้อื่น ในการสารภาพบาป เราเปิดใจของเราต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์เปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูจิตใจของเรา การสารภาพบาปเป็นทั้งศีลศักดิ์สิทธิ์และความลึกลับ
 
เมื่อรวมกันแล้ว หินทั้งห้าก้อนที่พระแม่มารีย์ทรงประทานให้เราผ่านทางสาส์นของพระแม่ที่เมดจูกอเรจ์, ถือเป็นอาวุธในการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว และเป็นยาที่ช่วยให้เรารักษาและค้นพบความสงบภายในที่แท้จริง
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2567

สถานะพระหรรษทาน

 

 

สถานะพระหรรษทานคือสถานะของวิญญาณที่เป็นอิสระจากบาปหนักอันร้ายแรง เป็นสถานะที่วิญญาณสวยงามในสายพระเนตรของพระเจ้า!
 
ช่างงดงามจริงหนอ! การอยู่ในสถานะแห่งแสงสว่างของสวรรค์ วิญญาณเป็นอิสระจากความผิดและการพิพากษาของมโนธรรม วิญญาณนี้สามารถรับพระกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้อย่างเหมาะสมคู่ควร
 
วิญญาณที่อยู่ในสถานะพระหรรษทานคือวิญญาณที่มีความสุข ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสดุดีกล่าวว่า "ผู้ที่ได้รับอภัยความผิด,และบาปของเขาถูกลบล้าง ย่อมเป็นสุข ผู้ที่พระยาห์เวห์ไม่ทรงกล่าวหาว่าทำผิด และจิตใจของเขาไม่มีความคดโกง ย่อมเป็นสุข" สดุดี 32:1-2
 
วิญญาณที่ต่อสู้กับบาปอย่างสุดกำลังเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพระเจ้า เพราะวิญญาณนี้ไม่ได้พำนักอยู่ในอาณาบริเวณที่อันตราย แต่กำลังต่อสู้กับศัตรูของตน และพระเจ้าไม่ทรงละเลยวิญญาณเช่นนั้น!
 
แต่ช่างน่าสมเพชและน่าเกลียดจริงหนอ ! วิญญาณที่อยู่ในสถานะแห่งบาปหนัก เธอไม่ได้พักผ่อนเลย,เพราะไม่มีพระหรรษทานศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใน: หลังจากที่ดาวิดทำบาปอย่างร้ายแรงด้วยการรับนางบัทเชบามาเป็นภรรยาและฆ่าอูรียาห์,สามีของเธอ เขาก็สูญเสียสถานะพระหรรษทานและจิตใจกระสับกระส่ายตลอดเวลาโดยไม่ได้รับการปลอบโยนใดๆจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้นต่อมา,เขาได้กลับใจและได้แต่งเพลงสดุดีที่กินใจที่สุด คือ สดุดี 51.. โดยร้องออกมาดังๆในข้อ 11-12 "ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงผลักไสข้าพเจ้าไปจากพระพักตร์ ขออย่าทรงยกพระจิตศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ออกจากข้าพเจ้าเลย 
ขอพระองค์ประทานความชื่นชมที่ทรงช่วยให้รอดพ้นคืนให้ข้าพเจ้า ขอพระองค์ทรงค้ำจุนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไว้ในข้าพเจ้า!!!"
 
ผู้ประพันธ์เพลงสดุดียังเขียนไว้ว่า "เรื่องหนึ่งข้าพเจ้ายังจำได้ เมื่อระบายความในใจ คือข้าพเจ้าเคยเดินไปกับประชาชน นำหน้าเขาไปถึงบ้านของพระเจ้า ประชาชนกำลังเฉลิมฉลองโห่ร้องยินดีและสรรเสริญพระเจ้า" สดุดี 42:4 นั่นคือความทุกข์ที่วิญญาณที่อยู่ในสถานะแห่งบาปหนักต้องเผชิญ น้ำหนักของบาปที่ตกอยู่บนผู้นั้นจะบดขยี้วิญญาณและกดทับมากขึ้นเมื่อวิญญาณเห็นว่าความแห้งแล้งมีมากสักเพียงใด และเมื่อนึกถึงความยินดีก่อนหน้าที่เขาทำบาป, นึกถึงความสุขที่ได้รับศีลมหาสนิท แต่ "เหมือนกวางย่อมกระหายธารน้ำไหล" (สดุดี 42:1) วิญญาณของผู้ชอบธรรมก็จะโหยหาพระเจ้า แม้ว่าจะได้ทำบาปหนักไปแล้วก็ตาม!
 
เมื่อท่านไม่สามารถรับศีลมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ได้เพราะมโนธรรมของท่านพิพากษาและตำหนิท่าน ท่านก็ไม่ได้อยู่ในสถานะพระหรรษทานอีกต่อไปและท่านต้องการศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ชำระวิญญาณให้พ้นจากบาป, ศีลศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ ศีลอภัยบาปหรือศีลแห่งการคืนดีนั่นเอง
 
วิญญาณที่ไม่มีความสุขคือวิญญาณที่ยังไม่คืนดีกับพระเจ้าโดยผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการคืนดี สำหรับเรื่องนี้ กษัตริย์ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสดุดีกล่าวว่า “แม้ข้าพเจ้าเงียบอยู่ กระดูกของข้าพเจ้าก็ผุกร่อนไป จากการคร่ำครวญตลอดวัน
 
พระหัตถ์ของพระองค์กดหนักอยู่บนตัวข้าพเจ้าทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพเจ้าอ่อนลง เหมือนความแห้งแล้งในฤดูร้อน
 
ข้าพเจ้าทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะสารภาพความผิดต่อพระยาห์เวห์ พระองค์ก็ทรงอภัยบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำ” สดุดี 32:3,5
 
โอ้สุดที่รักเอ๋ย, อย่ายอมให้บาปพรากความสัมพันธ์ฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้าไปจากท่าน อนุญาติให้พระเจ้าสถิตอยู่ในวิญญาณของท่านจากความสัมพันธ์หนึ่งไปสู่อีกความสัมพันธ์หนึ่ง ศีลอภัยบาปมีความจำเป็นมากในการชำระวิญญาณของท่านให้พ้นจากบาปทั้งหมด ดังนั้น เมื่อท่านพบว่าตัวเองอยู่ในสถานะบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาปหนัก จงรีบไปที่ห้องสารภาพบาปและสารภาพบาปกับพระสงฆ์ด้วยความเชื่อและความวางใจ
 
ความชื่นชมยินดีของการอยู่ในสถานะพระหรรษทานคือความชื่นชมยินดีแห่งความรอดของเรา นั่นคือความชื่นชมยินดีที่ดาวิดวิงวอนขอในสดุดี 51:12 “ขอพระองค์ประทานความชื่นชมที่ทรงช่วยพ้นคืนให้ข้าพเจ้า ขอพระองค์ทรงค้ำจุนจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไว้ในข้าพเจ้า”
 
สุดที่รัก, จงพากเพียรรักษาสถานะแห่งพระหรรษทานของท่านไว้ให้ดีที่สุด หลีกเลี่ยงโอกาสบาป และจงเป็นนักบุญตามที่ท่านได้รับเรียกให้เป็น
 
ขอพระเยซูเจ้าทรงช่วยเหลือท่าน 
🙏🙏🙏
 
#Catholic 4 Life
 
************************