วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2566

โดมินิก ซาวีโอปรากฏแก่คุณพ่อบอสโก

 



โดมินิก ซาวิโอปรากฏแก่คุณพ่อบอสโกหลายครั้งหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว 
ครั้งหนึ่งคุณพ่อบอสโกขัดจังหวะโดมินิกว่า “ให้เราพูดถึงสิ่งที่เรากังวลและสนใจมากที่สุดในเวลานี้เถิด”
 
“ได้ครับ,และรีบหน่อย,ถามผมในสิ่งที่คุณพ่ออยากรู้เถิด”
 
“พ่อมั่นใจว่าเธอมีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะบอกพ่อ”
 
“ผมจะบอกอะไรคุณพ่อได้ล่ะครับ, ผมน่ะหรือ,สิ่งสร้างที่น่าสงสารนี้หรือ?” ซาวิโอพูดด้วยความถ่อมตนอย่างที่สุด "จากเบื้องบน, ผมได้รับภารกิจให้พูดคุยกับคุณพ่อ นั่นคือเหตุผลที่ผมมาอยู่ที่นี่"
 
“เปิดเผยสิ่งที่เธอรู้ให้พ่อเถอะ บอกพ่อเกี่ยวกับอดีต”
 
“อดีตทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของคุณพ่อครับ” ซาวิโอตอบ
 
“ผมจะบอกว่าคณะของคุณพ่อได้ทำความดีมากมายแล้ว คุณพ่อเห็นเด็กมากมายที่นั่นไหม?” พ่อเห็น มีข้อความว่า "สวนซาเลเซียน" พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากพระสงฆ์และคนในคณะของคุณพ่อ ถึงกระนั้น, จะมีเด็กมากมายกว่านั้นอีกร้อยล้านเท่าหากคุณพ่อมีความเชื่อและความวางใจในพระเยซูเจ้ามากขึ้น”
 
พ่อจึงถามว่า “ปัจจุบันนี้ล่ะ,เป็นอย่างไร?”
 
ซาวิโอถือช่อกุหลาบ, ดอกไวโอเล็ต, ทานตะวัน, เจนเชียน, ลิลลี่, ไม้ไม่ผลัดใบ, ไม้ยืนต้น, และก้านข้าวสาลีอันงดงาม แล้วเขาก็ยื่นมาให้พ่อ
 
“ดูดอกไม้พวกนี้สิครับ” เขากล่าว
 
"พ่อกำลังดูอยู่" "แต่พ่อไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร"
 
“จงมอบช่อดอกไม้นี้ให้แก่บรรดาบุตรชายของคุณพ่อ, เพื่อว่าเมื่อถึงเวลา,พวกเขาจะถวายแด่พระเยซูเจ้า ดูเถิด, ไม่มีผู้ใดที่จะปราศจากสิ่งนี้, และไม่มีใครขโมยไปจากพวกเขาได้, จงเอาใจใส่ให้ทุกคนมีสิ่งนี้ สิ่งเหล่านี้มีเพียงพอที่จะทำให้พวกเขามีความสุข”
 
“ดอกไม้เหล่านี้หมายถึงอะไร?”
 
"ลองค้นหาจากหนังสือเทววิทยาของคุณพ่อเถิด" "แล้วคุณพ่อจะรู้"
 
“พ่อยังคงไม่รู้ความหมายจากสิ่งที่เธอมอบให้แก่พ่อเลย"
 
"เอาล่ะ" พ่อขอร้อง, "ช่วยคลายความกังวลสงสัยของพ่อเถิด" บอกพ่อมาว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวกับอะไร"
 
"คุณพ่อเห็นดอกไม้เหล่านี้ไหม?" ซาวิโอตอบ
 
"ดอกไม้เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรมที่พระเยซูเจ้าทรงพอพระทัยมากที่สุด"
 
"ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา, สีม่วงแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน, ดอกทานตะวันแห่งความนบนอบเชื่อฟัง, ดอกเจนเชี่ยนแห่งการชดเชยใช้โทษบาปและการปฏิเสธตนเอง, และก้านข้าวสาลีแห่งการรับศีลมหาสนิทบ่อยครั้ง, และดอกลิลลี่หมายถึงคุณธรรมอันงดงามแห่งความบริสุทธิ์ตามที่มีเขียนไว้ : "สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้าในสวรรค์
 
“ในที่สุดไม้ใบเขียวและไม้ยืนต้นบอกคุณพ่อว่าคุณธรรมเหล่านี้ต้องคงอยู่ตลอดไป แสดงถึงความเพียร”
 
“เอาละ,ตอนนี้จงบอกพ่อเถิดว่า, เธอผู้บำเพ็ญคุณธรรมเหล่านี้มาตลอดชีวิต, สิ่งใดที่ปลอบใจเธอมากที่สุดในช่วงเวลาที่เธอใกล้เสียชีวิต?” “เธอคิดว่ามันคืออะไร?” “บางทีอาจจะเป็นการรักษาคุณธรรมอันสวยงามของความบริสุทธิ์เอาไว้ได้?”
 
"ไม่ใช่สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวหรอกครับ"
 
“หรือจะเป็นความสงบของจิตใจ?”
 
“นั่นเป็นสิ่งที่ดี, แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด”
 
"แล้วความหวังที่จะได้รับสวรรค์ล่ะ?"
 
"ไม่ครับ, ไม่ใช่อย่างนั้น"
 
"ถ้าอย่างนั้น, เป็นเพราะสมบัติแห่งคุณธรรมความดีที่เธอสะสมไว้หรือเปล่า"
 
"ไม่ครับ ไม่ใช่"
 
"แล้วมันคืออะไรล่ะ?"
 
“สิ่งหนึ่งที่ปลอบใจผมมากที่สุดในช่วงเวลาแห่งความตาย” ซาวิโอตอบ
 
“คือความช่วยเหลือจากพระมารดาของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ยิ่งใหญ่และน่ารัก จงบอกกับบรรดาลูกๆ ของคุณพ่อว่าอย่าลืมสวดภาวนาถึงพระนางตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่
 
ที่มา: Mary Help of Christian in the Life of Don Bosco
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2566

พระวาจาวันอาทิตย์ 24 ก.ย. 2023 อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มัทธิว 20:1-16 
(1)“อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น (2)ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น (3)ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่น ๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน (4)จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ (5)คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน (6)ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่น ๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’ (8) 
“ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก’ (9)เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ (10)เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นกัน (11)ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นถึงเจ้าของสวนว่า (12)‘พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน’ (13)เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ (14)จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน (15)ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’ (16)“ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย”
******************
 
 
 
ยกเว้นวิธีการจ่ายค่าจ้างที่เริ่มจากคนที่มาสุดท้ายซึ่งได้รับค่าจ้างเท่ากับคนที่มาแรกๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว รายละเอียดในอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่นที่เราได้ฟังในพระวรสารวันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของชาวยิว
 
ประมาณปลายเดือนกันยายนผลองุ่นจะสุกพร้อมให้เก็บเกี่ยวซึ่งต้องกระทำแข่งกับเวลา หาไม่แล้วจะถูกฝนเดือนตุลาทำลายจนไม่มีอะไรเหลือให้เก็บ ตลอดช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เจ้าของสวนต้องการคนงานทุกคนแม้ทำได้เพียงชั่วโมงเดียวจากห้าโมงถึงหกโมงเย็นก็เอา
 
จากอุปมาในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าต้องการจะสอนเรา 3 เรื่องด้วยกัน
 
เรื่องแรกพระองค์ต้องการเตือนเราว่า คนงานที่มาก่อนตั้งแต่หกโมงเช้าไม่ได้มีสิทธิเหนือคนงานที่มาภายหลังเวลาห้าโมงเย็นฉันใด ผู้ที่เป็นล้างบาปเป็นคริสตชนก่อนจะอ้างสิทธิเหนือผู้ที่ล้างบาปเป็นคริสตชนในภายหลังไม่ได้ฉันนั้น เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคริสตชนเมื่อใด ล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกันเสมอในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจะไปดูหมิ่นดูแคลนคริสตชนใหม่ไม่ได้
 
นี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการจะเตือนเราในพระวรสารวันนี้ !
 
เรื่องที่สอง พระเยซูเจ้าต้องการแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสผ่านประกาศกอิสยาห์ในบทอ่านที่หนึ่งหมายความว่าอย่างไร
 
อิสยาห์กล่าวว่า “ความคิดของพระเจ้าไม่ใช่ความคิดของเรา ทางของเราก็ไม่ใช่ทางของพระเจ้า... สวรรค์อยู่สูงกว่าแผ่นดินฉันใด ทางของพระเจ้าก็อยู่สูงกว่าทางของเรา และความคิดของพระเจ้าก็อยู่เหนือความคิดของเราฉันนั้น”
 
ความคิดและหนทางของพระเจ้าที่พระเยซูเจ้าต้องการบอกเราก็คือ ไม่มีอะไรจะเลวร้ายเท่าลูกจ้างไม่มีงานทำ พวกเขาต้องเฝ้ารออยู่ที่ลานของหมู่บ้านจนถึงห้าโมงเย็นก็เพราะไม่มีใครจ้างงานพวกเขา พระเจ้าทนเห็นคนไม่มีงานทำไม่ได้ นี่คือความคิดแรกของพระองค์
 
อีกความคิดหนึ่งคือ พระองค์ทราบดีว่าลำพังค่าแรงงานหนึ่งวันก็แทบไม่พอยาไส้สมาชิกในครอบครัวอยู่แล้ว หากยึดเอาความยุติธรรมอย่างเคร่งครัดเป็นที่ตั้ง คนงานที่มาทีหลังก็จะได้รับค่าจ้างน้อยลงไปอีก ครอบครัวของพวกเขาจะต้องอดอยากและหิวโหยแน่ พระองค์จึงทรงเมตตาก้าวไปไกลกว่าความยุติธรรม และทรงประทานค่าจ้างมากกว่าที่พวกเขาสมควรจะได้รับ พระองค์ไม่ได้ผิดความยุติธรรม พระองค์จ่ายค่าแรงให้คนที่มาตั้งแต่เช้าหนึ่งเหรียญตามที่ได้ตกลงกันไว้ เพียงแต่พระองค์ใจกว้างก้าวข้ามความยุติธรรม และประทานความรักและความเมตตาให้แทน
 
นี่แหละที่ทำให้ความคิดและหนทางของพระเจ้าอยู่เหนือความคิดและหนทางของเรามนุษย์
 
เรื่องที่สามเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า ในบทภาวนาของประธาน เราได้ยินพระสงฆ์สวดว่า “พระองค์ทรงกำหนดให้ความรักต่อพระองค์ และเพื่อนมนุษย์ เป็นหัวใจของธรรมบัญญัติทั้งหมด” นั่นก็คือพระองค์ต้องการ ให้เรารักและช่วยเหลือกัน เพราะเราต่างก็เป็นสมาชิกในครอบครัวที่มีพระบิดาองค์เดียวกัน
 
พี่น้องลองคิดดูสิว่าคนงานกลุ่มแรกในพระวรสารวันนี้มีความสุขไหม? แม้ขณะรับค่าจ้างตามที่ตกลงกันกับเจ้าของสวน พวกเขาก็ยังไม่พอใจและยังบ่นว่าเจ้าของสวนอยู่เลย
 
คราวนี้เราลองหันกลับมาดูชีวิตของชาวนาในชนบทสิ เมื่อข้าวสุกพร้อมเก็บเกี่ยว ทุกคนในครอบครัวก็จะออกไปทำงานในทุ่งนา เพียงแต่ว่าไปคนละเวลากัน พ่อและพี่คนโตจะออกไปทำงานในทุ่งนาตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนแม่และน้องคนเล็กจะตามไปทีหลัง เมื่อสองแม่ลูกมาถึงทุ่งนา เจ้าคนเล็กก็แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากถามโน่นถามนี่ตามประสาเด็กๆ ตกเย็นทุกคนพากันกลับบ้าน ระหว่างอาหารเย็น ไม่มีใครเลยที่เสนอให้แต่ละคนกินอาหารตามจำนวนผลงานที่ทำได้ กลับเป็นน้องคนเล็กนั่นแหละที่ทุกคนคอยเอาอกเอาใจและก็ได้กินอาหารที่ดีที่สุด ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครอิจฉา ทุกคนมีแต่ความสุข
 
เราอาจจะนึกถามในใจ ทำไมคนงานในสวนองุ่นจึงไม่พอใจและเอาแต่บ่น ในขณะที่คนที่ทำงานในครอบครัวชาวนากลับไม่บ่น และมีแต่ความสุข ?
 
คำตอบก็คือความคิดและวิธีในการให้รางวัลหรือให้ค่าตอบแทนในครอบครัวนั้นต่างจากสังคมโลกอย่างสิ้นเชิง
 
ความคิดและความสนใจของชาวโลกก็เหมือนกับคนงานที่มาตั้งแต่เช้านั่นแหละ คือทำอย่างไรจึงจะได้ค่าตอบมากกว่าคนอื่น นี่เป็นจิตตารมณ์ของชาวโลกที่ชอบแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกัน เอาเปรียบกัน อิจฉากัน อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ใช่หนทางของพระเจ้า
 
ตรงกันข้ามกับคนงานที่มาทำงานหลังสุด มัทธิวเล่าว่า “ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’”
 
เห็นไหม มีแต่คำเชิญชวนของเจ้าของสวนให้ไปทำงาน ไม่มีการตกลงเรื่องค่าจ้าง ไม่มีสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความวางใจในความรักและความเมตตาของนายจ้าง เหมือนครอบครัวของชาวนาที่ไม่ต้องมีสัญญาจ้างอะไรเลย ทุกคนอยู่รวมกันด้วยความรัก ด้วยความวางใจ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามความสามารถของแต่ละคน
 
โลกอาจจะเห็นผู้ที่ดำเนินชีวิตแบบครอบครัวชาวนานี้ต่ำต้อยและอยู่อันดับท้ายๆ แต่พวกเขาจะกลับเป็นที่ต้นในสวรรค์
 
พี่น้องครับ วันนี้พระเยซูเจ้านอกจากจะเตือนเรา มิให้ถือสิทธิ์เหนือผู้มาใหม่ และทรงแสดงให้เราเห็นความคิดและหนทางของพระเจ้าแล้ว พระองค์ยังทรงเชิญชวนเราให้ก้าวข้ามการเน้นความยุติธรรมอย่างเคร่งครัดแต่เพียงอย่างเดียว แล้วหันมาดำเนินชีวิตเป็นดังครอบครัวเดียวกัน ที่ซึ่งทุกคนต่างมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือกันและกันตามความจำเป็นและตามความสามารถของเราแต่ละคน ดังที่พระเจ้าพระบิดาของเราทรงรักและทรงใจกว้างกับเราทุกคน
 
***************************


มือที่หายไป

 


 

ในยามเช้า    ข้าฯคุกเข่า  ภาวนา

ตามประสา    มองมา   ที่กางเขน

แต่วันนี้    ผิดเพื้ยน    ดูเบี่ยงเบน

พระเยซู   บนกางเขน    เป็นอะไร?


ข้าฯทูลถาม   พระองค์   บนกางเขน

นี่ข้าฯฝัน      หรือเห็น   เป็นจริงไหม?

เหตุไฉน    มือพระองค์   จึงหายไป

เพราะเหตุใด     จึงเป็น     เช่นนี้นา


แล้วได้ยิน     พระองค์      ทรงตอบข้าฯ

เจ้าจงอย่า      สงสัย    เหตุใดหนา

เพราะเรามี    เจ้าแทนมือ        ช่วยนำพา

มือนี้หนา      จงใช้      ในการดี


จงเป็นมือ   เยียวยา  รักษาแผล

คอยดูแล      คนยากจน         ผู้หม่นหมอง

ให้ความหวัง      แก่ผู้     หมดทางจร

ยื่นมือคอย      ประคอง      ผู้อ่อนแอ


มอบเสื้อผ้า    แก่ผู้     ที่เปลือยเปล่า

คอยบรรเทา      ให้ความหวัง    อย่างแน่วแน่

สิ่งเหล่านี้    ที่ได้ทำ    จักเปลี่ยนแปร

เท่ากับแก้-ไข      มือที่หาย      กลายกลับมา


********************** 

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2566

เมื่อเปโตรล้ำเส้น

 
 

ในพระวรสารก่อนวันนี้ เปโตรประกาศว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และพระเยซูทรงประกาศว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงนี้แก่เปโตร บนพื้นฐานดังกล่าว พระเยซูทรงเปลี่ยนชื่อของเปโตรเป็นกายฟาส(ศิลา)และตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าพระศาสนจักรที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้นบนศิลานี้ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะรักษาพระศาสนจักรนั้น
 
“พระเยซูทรงเริ่มแสดงให้เหล่าสาวกเห็นว่าพระองค์ต้องไปกรุงเยรูซาเล็มและทนทุกข์ทรมานมากมาย…ถูกประหารและ…ได้รับการฟื้นคืนพระชนม์” เปโตร ศิลาแห่งพระศาสนจักรที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ รู้สึกหวาดกลัว เปโตรนำพระองค์แยกออกไป และทูลพระเยซูว่า: “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน!”
 
คำพูดของพระเยซูต่อเปโตรคือ: “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา”
 
ทำไมพระเยซูทรงเรียกเปโตรด้วยชื่ออันน่าสะพรึงกลัวนี้ พระเยซูทรงเตือนเปโตรว่า เขาทำตัวกีดขวางทางของพระองค์ที่จะไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับทรมานและความตาย พระองค์บอกเปโตรให้พ้นไปจากทางเดินของพระองค์โดยให้ไปอยู่ข้างหลัง แต่พระองค์เตือนเปโตรอย่างรุนแรงโดยเรียกเขาว่า “ซาตาน” เพราะเปโตรทำตัวเหมือนเป็นนายของพระองค์ เขาสั่งพระองค์ไม่ให้ไปกรุงเยรูซาเล็ม เห็นได้ชัดว่าความตั้งใจของเปโตรณ.ที่นี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการล่อลวงของพระเยซูโดยซาตานศัตรูของพระเจ้า ดังที่เราทราบจากสี่สิบวันในถิ่นทุรกันดาร ซาตานตั้งใจที่จะล้มล้างแผนการณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยโลกด้วยความถ่อมตัวและการเชื่อฟังของพระบุตรทั้งเนื้อหนังและพระโลหิตของพระองค์ ในพระวรสารของนักบุญมัทธิว เราเห็นซาตาน “พาพระเยซู” ออกไปข้างนอก อันดับแรกไปที่ยอดพระวิหาร (มธ. 4:5) จากนั้นไปที่ “ภูเขาที่สูงมาก” (มธ. 4:8) เพื่อล่อลวงพระเยซูให้ปฏิเสธเส้นทางที่พระเจ้ากำหนดไว้สำหรับพระองค์ในความอ่อนแอของมนุษย์ และด้วยการปฏิเสธตนเองของพระเยซู, พระองค์จะทรงได้รับชัยชนะเหนือทั้งความตายและซาตาน หลังจากการล่อลวงครั้งที่สาม พระเยซูตรัสกับซาตานว่า “ไปให้พ้น!” (มธ 4:10) ทำให้ซาตานหนีไปและไม่กลับมาอีกเลย
 
สังเกตความแตกต่างในการตอบสนองของพระเยซูต่อเปโตร: “ถอยไปข้างหลัง ซาตาน” นี่คือความแตกต่างที่สร้างความแตกต่างทั้งหมด พระเยซูในที่นี้ตรัสถึงเปโตรว่าเป็นซาตานในเชิงเปรียบเทียบ ว่าเป็น “ศัตรู” (ความหมายตามตัวอักษรของ “ซาตาน”) ซึ่งเพราะเขาคิดเหมือนมนุษย์คิด (เราไม่เคยเชื่อว่าความทุกข์เป็นแผนการณ์ของพระเจ้า) จึงกลายเป็นอุปสรรคต่อพระเยซู คำสั่งให้ “ไปข้างหลัง” บ่งบอกว่าปัญหาของเปโตรคือการที่เขาต้องการนำหน้าพระเยซู บางทีเขาอาจคิดว่าการได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุขของพระศาสนจักรหมายความว่าเขาสามารถนำแม้แต่พระเยซูได้! การตำหนิอย่างรุนแรงทำให้เขากลับคืนสู่ความเป็นจริง พระเยซูทรงเป็นผู้นำเหล่าสาวกแม้กระทั่ง (และโดยเฉพาะ) เปโตร การกระทำเช่นนี้ทำให้บทบาทของเปโตรในพระศาสนจักรเป็นโมฆะหรือไม่ ไม่เลย. เพราะถ้าใช่ พระเยซูคงจะทรงเพิกถอนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่าเปโตรยังมีอีกมากที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการคิด “เหมือนที่พระเจ้าทรงคิด” เขาและอัครสาวกคนอื่นๆ จะต้องดำเนินชีวิตผ่านการรับความทรมานเพื่อที่จะเข้าใจว่าวิถีของพระเจ้าแตกต่างจากวิถีของมนุษย์อย่างไร เพื่อเป็นการเตรียมตัว พระเยซูตรัสเกี่ยวกับความล้ำลึกแห่งวิถีทางของพระเจ้า
 
“ผู้ใดที่ปรารถนาจะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะต้องเสียชีวิต แต่ผู้ใดที่ยอมสละชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราและข่าวดี ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด” นี่คือบทเรียนที่อัครสาวกและผู้ติดตามพระเยซูทุกคนจะต้องเรียนรู้ เมื่อเรายึดติดกับชีวิตและความสะดวกสบายในโลกนี้อย่างแน่นหนา เราก็เสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตที่แท้จริงที่พระเจ้าปรารถนาจะประทานแก่เรา เปโตร,ด้วยความรักที่หลงผิด,จึงพูดเช่นนั้น พระเยซูต้องแก้ไขเขาด้วยความรักที่แท้จริง และเรียกเขาให้กลับมาจงรักภักดีต่อแนวทางของพระเจ้า ดังที่อัครสาวกจะได้เรียนรู้ในไม่ช้า เส้นทางสู่พระสิริรุ่งโรจน์สำหรับพระเยซูและสำหรับพวกเรา ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม้กางเขนได้ อย่างไรก็ตาม ความทุกข์ทรมานไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องราวสำหรับผู้ที่อยู่ข้างหลังพระเยซู
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2566

อัศจรรย์การเฝ้าศีลมหาสนิท

 



ปัจจุบันนี้,จูเลียเป็นหญิงสาวที่มีความสุขและมีสุขภาพดี แต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้วเธอป่วยหนัก จนกระทั่งอัศจรรย์การเยียวยารักษาในเวลาเฝ้าศีลมหาสนิท(Eucharistic Adoration) ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอ นี่คือเรื่องราวของเธอ
 
ชิวิตคาทอลิกในวัยเด็ก
 
จูเลียได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวคาทอลิกที่ศรัทธาในศาสนา และพ่อแม่ของเธอได้สอนเธอและพี่น้องทั้งหกของเธอในการให้ความสำคัญต่อพระเยซูเจ้าเป็นอันดับแรก พวกเขาอาศัยอยู่ไม่ห่างไกลจากเขตชานเมืองชิคาโก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับจูเลียที่จะไปโบสถ์บ่อยๆ
 
“ฉันและเพื่อนๆสามารถพบกันในพิธีมิสซาตอนเช้าตรู่ก่อนไปโรงเรียน และเมื่อมีการจัดตั้งโบสถ์น้อยเพื่อการเฝ้าศีลมหาสนิทตลอดเวลาแล้ว ฉันสามารถแวะมาทักทายพระเยซูได้ทุกเมื่อที่ต้องการ” เธอกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Aleteia
 
ครอบครัวของจูเลียมีเวลาศักดิ์สิทธิ์เป็นประจำในบ่ายวันเสาร์เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้ใช้เวลาในการอธิษฐานภาวนา
 
“การสถิตย์ของพระคริสต์เป็นการปลอบโยนอยู่เสมอ” จูเลียกล่าว “เมื่อฉันคุกเข่าต่อหน้าศีลมหาสนิท ฉันไม่เคยสงสัยเลยว่าฉันกำลังไปเยี่ยมบุคคล ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์”
 
เป็นโรคที่ทำให้ทรุดโทรม
 
สุขภาพของจูเลียไม่ดีนัก และแย่ลงมากในช่วงวัยรุ่นของเธอ
 
หลังจากพบแพทย์หลายคนและผ่านการทดสอบอย่างละเอียด เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome (POTS) ซึ่งเป็นความผิดปกติของระบบประสาทที่ส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
 
“เมื่อฉันยืนหรือนั่งตัวตรงนานเกินไป เลือดจะไหลออกจากศีรษะ ทำให้ฉันหมดสติ” เธออธิบาย
 
อาการของจูเลียแย่ลง,ต้องใช้ไม้เท้าช่วยประคองเดินไปนั่งรถเข็น และต้องมีพยาบาลประจำบ้านที่ช่วยฉีดน้ำเกลือ
 
“ชีวิตคือการนัดหมายครั้งแล้วครั้งเล่า การกินยาครั้งแล้วครั้งเล่า” เธอกล่าว
 
ความเจ็บป่วยทำให้เธอต้องนอนติดเตียงในขณะที่เพื่อนๆของเธอกำลังมุ่งหน้าไปเรียนวิทยาลัยและค้นหาอาชีพของพวกเขา
 
“ในแง่หนึ่ง ฉันก็อยู่ในโรงเรียนเช่นกัน — โรงเรียนแห่งไม้กางเขน” เธอกล่าว
 
การรักษาที่น่าอัศจรรย์
 
วันที่ 1 เมษายน 2017 จูเลียไปกับครอบครัวของเธอที่โบสถ์น้อยแห่งการเฝ้าศีลมหาสนิทตลอดเวลา เพื่อร่วมชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ในวันเสาร์ตามปกติ
 
จูเลียไม่สามารถนั่งตัวตรงบนม้านั่งได้ เธอจึงนอนบนเสื่อออกกำลังกายที่ด้านหลังของโบสถ์ เธอเล่าถึงเรื่องน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในวันนั้นว่า
 
ฉันเคยสวดอ้อนวอนขอการเยียวยารักษามาก่อน แต่คำตอบก็ชัดเจนเสมอว่า “ยังไม่ใช่” ครั้งนี้ คำอธิษฐานของฉันแตกต่างออกไป มันเป็นวันเอพริลฟูลส์เดย์(วันพูดโกหก) เมื่อรู้ว่าพระเยซูทรงมีอารมณ์ขัน ฉันจึงถามว่าพระองค์จะทรงรักษาฉันแบบอัศจรรย์เหมือนเป็นการเล่นตลกในวันเอพริลฟูลส์ได้หรือไม่? เพื่อที่ฉันจะทำให้คนอื่นสับสนกับสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างฉับพลันของฉัน ฉันแปลกใจมากที่พระองค์ตอบตกลง!
 
ในตอนแรกเธอไม่รู้สึกแตกต่างอะไร และเธอไม่อยากลองเดินเพราะคิดว่าเธอจะหกล้ม เธอขอคำยืนยันว่าสิ่งที่เธอได้ยินนั้นมาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง และไม่ใช่แค่ความคิดของเธอเองที่บอกในสิ่งที่เธอต้องการจะได้ยิน
 
ฉันถามพระเยซูว่า “ลูกรู้ว่าพระองค์ไม่ได้ทำสิ่งนี้บ่อยนักนอกพันธสัญญาเดิม แต่ถ้าลูกได้รับการรักษาดีแล้ว,ขอพระองค์ช่วยส่งเสียงจริงๆที่ได้ยินได้มาบอกลูกว่าจงลุกขึ้นและเดินไปรอบๆได้ไหม?” และพระองค์ตอบว่าพระองค์จะทำ แต่ฉันไม่ได้ยินอะไรนอกจิตใจของตัวเองเลย
 
เมื่อถึงเวลาต้องไป,มารดาของเธอได้พูดอ้างอิง ยอห์น 5:8, และกระซิบว่า “ยกแคร่ที่นอนแล้วเดินไปเถิด” จูเลียรู้ว่านั่นคือสัญญาณของเธอ เธอพูดว่า:
 
ฉันม้วนเสื่อที่นอน และ(เพื่อเตือนพ่อแม่)เริ่มเดินกลับบ้าน มันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ช่วงตึก แต่โดยปกติ,แม้แต่การเดินในห้องก็มักจะทำให้ฉันเหนื่อยล้า แล้วการเดินกลับบ้านไปตลอดคงเป็นไปไม่ได้! แม่ของฉันเดินเคียงข้างฉันพร้อมที่จะช่วยเหลือหากจำเป็น และพ่อของฉันก็ตามไปข้างหลังในรถอย่างใกล้ชิด โดยคาดหวังว่าฉันจะต้องนั่งรถไป ฉันบอกพวกเขาว่ามันไม่จำเป็น ฉันหายดีแล้ว!
 
ทุกคนตกใจ
 
การฟื้นตัวดีขึ้นอย่างกะทันหันของจูเลียสร้างความตกใจครั้งใหญ่ให้กับนักกายภาพบำบัดและผู้ให้บริการทางการแพทย์ของเธอ “อีกไม่กี่วันข้างหน้าคงสนุกแน่” เธอพูดโดยนึกถึงความประหลาดใจของทุกคน “POTS เป็นโรคที่ไม่เคยหายในทันที ดังนั้นจึงถือเป็นอัศจรรย์อย่างแน่นอน”
 
ในไม่ช้าจูเลียก็กลับมาที่สตูดิโอเต้นรำ ความหลงใหลที่เธอต้องละทิ้งไปเนื่องจาก POTS และเธอสามารถเริ่มโปรแกรมสำหรับนักเต้นที่มีความพิการได้ “เป็นรายการประเภทที่ฉันโหยหาเมื่อฉันป่วย”
 
วันนี้จูเลียสบายดีแล้ว และเธอต้องการแบ่งปันสาส์นสำคัญ:
 
อัศจรรย์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสมัยพระคัมภีร์เท่านั้น พระเยซูองค์เดียวกับที่ทรงรักษาคนง่อยในยอห์น 5:8 เสด็จข้ามกาลเวลาและประทานพระพรเดียวกันนี้แก่ดิฉันผ่านการสถิตอย่างแท้จริงของพระองค์ในศีลมหาสนิท ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงรักษาดิฉันให้หายจากความเจ็บป่วยที่ทำให้ฉันต้องนอนบนเตียง! พระเยซูเจ้าทรงพระทัยดียิ่งนัก!
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566

ฉลองการบังเกิดของพระแม่มารีย์

 



ชัยชนะในการสู้รบที่เปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ "เกิดขึ้นในวันที่ 8 กันยายน” ตรงกับวันฉลองแม่พระทรงบังเกิด
 
การเฉลิมฉลองการบังเกิดของพระแม่มารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนจักรตะวันออกมีขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 เป็นอย่างน้อย นักบุญโรมานุส (490-556) แต่งเพลงสรรเสริญสำหรับวันฉลองนี้ ในขณะที่นักบุญอันดรูว์แห่งครีต (660-740) เทศน์เรื่องการประสูติของแม่พระ นักวิชาการเกี่ยวกับแม่พระหลายคนมีความเห็นว่าวันฉลองนี้เกิดขึ้นหลังจากการสังคายนาเมืองเอเฟซัส (431) ซึ่งแม่พระได้รับสมญานามว่า “ธีโอโตคอส” (ผู้อุ้มพระครรภ์พระเจ้า) และในภาษาละตินเรียกว่า มาแตร์เดอี (พระมารดาของพระเจ้า)
 
วันฉลองนี้เริ่มขึ้นในกรุงโรมในศตวรรษที่ 8 โดยพระสันตะปาปาเซอร์จิอุสที่ 1 อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพียงในศตวรรษที่ 11 ที่วันฉลองดังกล่าวเริ่มแพร่หลายในพระศาสนจักรตะวันตก ประมาณปี 1241 ได้รับออคเทฟ(octave พิธีแปดวันก่อนวันฉลอง)จากพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 4 ด้วย
 
ตลอดประวัติศาสตร์พันปีคริสตศาสนาของเกาะมอลตา หมู่เกาะนี้เต็มไปด้วยสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มหาวิหาร,อาสนวิหาร, สังฆมณฑล, โบสถ์, โบสถ์น้อย,และโบสถ์ในถ้ำที่อุทิศให้กับการบังเกิดของพระแม่มารีย์ (ที่รู้จักกันในชื่อท้องถิ่นว่า แบมบินา - ทารกหญิงตัวเล็ก ๆ)
 
แท้จริงแล้ว National Marian Shrine ในเมือง Melliellaของเกาะนี้นั้นอุทิศให้กับการบังเกิดของแม่พระด้วย โบสถ์ในถ้ำของอาสนวิหารแห่งชาติมีสัญลักษณ์เก่าแก่มากของ Hodegetria (พระแม่มารีย์ผู้ชี้ทาง)
 
การบังเกิดของพระนางมารีย์หมายถึงชัยชนะ
 
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1565 กองเรือเรือรบมากกว่า 200 ลำถูกพบเห็นนอกมอลตา มันคือกองกำลังทหารออตโตมันที่ยกทัพมาบุกรุก ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังพล 30,000 นาย ศัตรูได้ยกพลขึ้นบก และในไม่ช้าการเตรียมการปิดล้อมก็เริ่มขึ้น(ยุทธนาวีแห่งเลปันโต) อย่างไรก็ตาม อัศวินแห่งนักบุญยอห์น บัพติส(อัศวินแห่งมอลตา)และชาวมอลทีสได้รับชัยชนะในทุกอุปสรรค และหลังจากการปิดล้อมแนวป้องกันแกรนด์ฮาร์เบอร์อย่างสาหัส ออตโตมัน,มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้นก็ล้มเลิกการปิดล้อมและยอมรับความพ่ายแพ้ และแล่นเรือกลับบ้าน ความพ่ายแพ้ของออตโตมันเกิดขึ้นในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1565 วันนี้เป็นวันฉลองการบังเกิดของพระแม่มารีย์
 
ชาวมอลตาถือว่าชัยชนะที่ไม่น่าเป็นไปได้ของพวกเขาเป็นผลมาจากการแทรกแซงช่วยเหลือของแม่พระ จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรในเมื่อศัตรูประกาศเองว่าวันนี้เป็นวันฉลองอันยิ่งใหญ่ของพระแม่มารีย์! และด้วยเหตุนี้ Bambina จึงได้รับตำแหน่งอันรุ่งโรจน์ว่า Victoria(ชัยชนะ) ในภาษา Maltese เรียกว่า Vitorja พระนางมารีย์พรหมจารีและชัยชนะของเราเป็นหนึ่งเดียวกันและแยกจากกันไม่ได้
 
ทันทีที่พวกเขาเพิ่มตำแหน่งให้กับพระมารดาบนสวรรค์และเริ่มเรียกพระนางว่า "แม่พระแห่งชัยชนะ" (ภาษามอลตา: Il Madonna tal-Vitorja) ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของอัศวินและชาวมอลตาเหนือจักรวรรดิออตโตมันผู้ยิ่งใหญ่และไม่มีใครเทียบได้,ถือเป็นชัยชนะที่เด็ดขาดไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของคณะและมอลตาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคริสตจักรตะวันตกทั้งหมดด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมในพระศาสนจักรทุกแห่งในยุโรปตะวันตก รวมทั้งคริสตจักรโปรเตสแตนต์ จึงมีเสียงระฆังดังไม่หยุดหย่อน และมีการสวดภาวนาขอบคุณพระเจ้าและพระมารดาของพระองค์ที่ประทานชัยชนะแก่ชาวมอลตาเหนือกองทัพและกองเรือขนาดใหญ่นี้
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2566

ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง

 


บทที่ 4 - 6 จากสันตะสำนักในวันอาทิตย์ที่สี่ของเดือนสิงหาคม: 
หนังสือเกี่ยวกับโยบ จากหนังสือ Moral Reflections on Job 
เขียนโดยพระสันตะปาปานักบุญเกรโกรีผู้ยิ่งใหญ่
 
มีบางคนที่ไม่คำนึงถึงชีวิตที่แท้จริงของตนเอง พวกเขาละโมบในสิ่งของอนิจจัง แต่สำหรับสิ่งที่เป็นนิรันดร์นั้น,เขาไม่เข้าใจหรือเข้าใจแต่ก็จดจำแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงดูเหมือนไร้ความรู้สึก และไม่ยอมรับคำแนะนำที่ชาญฉลาด และโดยหลงลืมสมบัติแห่งสวรรค์ที่พวกเขาสูญเสียไป พวกเขาจึงคิดว่าตัวเอง(อนิจจา คนที่น่าสงสาร!)มีความสุขที่ได้ครอบครองสิ่งของทางโลก พวกเขาไม่พยายามที่จะเงยหน้าขึ้นมองแสงสว่างแห่งความจริงที่สร้างพวกเขาขึ้นมา เขาไม่มีความปรารถนาใดใดที่จะมองไปยังปิตุภูมินิรันดรของพวกเขา แต่ละทิ้งจุดหมายปลายทางที่แท้จริงซึ่งเขาได้รับการกำหนดไว้แล้ว เขากลับไปหลงรักดินแดนเนรเทศซึ่งเขาต้องทนอยู่ แทนที่จะรักบ้านแท้ของเขา,เขากลับรื่นเริงยินดีในความมืดบอดซึ่งเขาทนทุกข์อยู่ ประหนึ่งว่าเป็นเวลากลางวันอันสดใส
 
แต่ในทางกลับกัน, ผู้ได้รับเลือกสรรมีความเข้าใจ (เนื่องจากพวกเขารับรู้ว่าทุกสิ่งที่เป็นเพียงความว่างเปล่า) และพยายามแสวงหาสิ่งที่สร้างมาเพื่อพวกเขา และด้วยเหตุนี้ (เนื่องจากไม่มีสิ่งใดนอกจากพระเจ้าที่จะทำให้พวกเขาพอใจได้อย่างเต็มที่) จิตใจของพวกเขาแม้จะเหนื่อยล้าจากการแสวงหา,แต่ก็ยังพบการพักผ่อนในความหวังและการไตร่ตรองถึงพระผู้สร้างของพวกเขา และถึงแม้พวกเขายังไม่ได้เป็นประชากรของสวรรค์ ถึงแม้เขาจะอยู่ในโลกด้วยร่างกาย,แต่จิตใจก็ยังขึ้นไปสู่ที่แห่งนั้น และจิตใจของเขาก็ดำรงอยู่ที่นั้นเป็นนิตย์ พวกเขาคร่ำครวญถึงความยากลำบากในดินแดนเนรเทศที่พวกเขาต้องอดทน และปลอบใจตนเองด้วยความรัก,เพื่อมองดูบ้านแท้ของพวกเขาจากที่สูง เหตุฉะนั้น,เมื่อผู้หนึ่งเห็นว่าตนได้สูญเสียมรดกนิรันดร์ไปเพราะบาป เขาก็โศกเศร้า จากนั้นเขาก็แสวงหา(และดังนั้นเขาจึงพบ)คำแนะนำที่เป็นประโยชน์นี้ เพื่อพิจารณาถึงความเล็กน้อยและความอนิจจังของสิ่งที่เขากำลังผ่านมันไป และยิ่งเขาเข้าใจแนวทางอันชาญฉลาดที่เขาเลือกมากขึ้น (นั่นคือ ละทิ้งสิ่งที่พินาศ),เขายิ่งปรารถนาที่จะให้ได้รับสิ่งที่ดำรงอยู่ถาวรมากขึ้นเท่านั้น
 
สมควรสังเกตด้วยว่าผู้ที่กระทำการอย่างประมาท,เร่งรีบ,หุนหันพลันแล่น,โดยไม่คิดพิจารณาให้ดีก่อนนั้น, เขาไม่ได้รับความโศกเศร้าในใจเช่นกัน แต่พวกเขากลับไร้ความรู้สึกต่อสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณ บรรดาผู้ดำเนินชีวิตโดยปราศจากความคิดพิจารณาไตร่ตรอง,ละทิ้งตนในความประมาท,ดำเนินชีวิตไปตามเหตุการณ์ต่างๆ,ย่อมหลุดพ้นความเหน็ดเหนื่อยจากการพยายามใช้ความคิดพิจารณา ดังนั้น,เขาจึงไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งใดใด ผู้ที่จัดลำดับชีวิตของตนโดยพิจารณาอย่างรอบคอบ,จะคอยสอดส่องรอบๆตัวเขาอย่างถี่ถ้วน,ก่อนที่จะเริ่มเดินตามเส้นทางใหม่ๆ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ได้ทดลองวางเท้าบนพื้นดินก่อนจะก้าวไปในหนทางอันไม่แน่นอน เขาย่อมใช้วิจารณญาณ,ด้วยเกรงว่าจะประสบความชั่วอย่างไม่คาดฝัน ด้วยเหตุนี้,เขาจึงเฝ้าระวังอยู่เสมอ เกรงว่าเขาจะเกิดความตื่นตระหนกเมื่อเขาต้องทำอะไรบางอย่าง เขาจึงต้องใช้ความใจเย็นในการกระทำสิ่งเหล่านั้น เกรงว่าความหุนหันพลันแล่นจะทำให้แผนการณ์ของเขาต้องเลื่อนออกไปอีกฤดูกาลหนึ่ง เกรงว่ากิเลสของเขาจะเอาชนะเขาในการต่อสู้กับกิเลสนั้น หรือเกรงว่าแม้แต่สิ่งดีๆก็จะทำลายเขาด้วยการโจมตีเขาด้วยความรุ่งโรจน์ที่หลอกลวง