วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

พระเยซูเจ้าในวัยเยาว์

 


พระวรสารของนักบุญลูกา ท่านได้เรียบเรียงลำดับชีวิตในวัยเยาว์ของพระเยซูไว้มากกว่าพระวรสารอื่น ดังรายการข้างล่างนี้
 
การประสูติของพระเยซูเจ้า ลูกา 2:1-24
 
พระเยซูเจ้าทรงเข้าสุหนัต ลูกา 2:21
 
การถวายพระกุมารในพระวิหาร ลูกา 2:23
 
บทเพลงของสิเมโอน,สิเมโอนกล่าวคำทำนาย,อันนาประกาศกหญิง ลูกา 2 :29-38
 
พระเยซูเจริญวัยในนาซาเร็ธ ลูกา 2:39-40
 
พระเยซูเจ้าในหมู่ธรรมาจารย์ ลูกา 2:41
 
1. พระศาสนจักรได้สมโภชการประสูติของพระเยซูเจ้าในวันที่ 25 ธันวาคม และต่อมาอีก 8 วันตามธรรมเนียมของชาวยิว ทารกจะได้รับการเข้าสุหนัต แต่เดิมพระศาสนจักรเคยฉลองวันเข้าสุหนัติของพระเยซูในวันที่ 1 มกราคม แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว เข้าใจว่าพระเยซูกุมารได้รับการเข้าสุหนัตที่ศาลาธรรมในเบทเลเฮม และการเข้าสุหนัตนี้ถูกมองว่าเป็นครั้งแรกที่พระโลหิตของพระเยซูถูกหลั่งออกมา และด้วยเหตุนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการไถ่บาปของมนุษย์ และเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเยซูเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ และเป็นการเชื่อฟังธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์ นักเทววิทยาในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเน้นว่าการเข้าสุหนัตนี้เป็นความทุกข์ทรมานที่หลั่งโลหิตครั้งแรกของพระเยซูในฐานะมนุษย์และเป็นการปูทางไปสู่พระมหาทรมานของพระองค์
 
2. หลังจากพระเยซูประสูติได้ 40 วัน นักบุญโยเซฟและพระแม่มารีย์ได้นำพระกุมารไปถวายแด่พระเจ้าในพระวิหาร พระศาสนจักรฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหารในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งเท่ากับ 40 วันหลังจากวันคริสต์มาส ในวันนี้พระเยซูทรงเปิดเผยพระองค์แก่ผู้เฒ่าสิเมโอนและนางอันนา ประกาศกหญิง สิเมโอนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งได้กล่าวบทเพลงสรรเสริญ แต่ทันใดนั้น,ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป เขาได้กล่าวคำทำนายว่าทารกจะทำให้เกิดการโต้เถึยง และแม่พระเองก็จะเป็นทุกข์ด้วย
 
เบธเลเฮมตั้งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มไปทางใต้ประมาณ 6 ไมล์ (9 กม.)ในสมัยพระคัมภีร์ เมืองเบธเลเฮมเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่มีทุ่งนา และยังมีแกะและแพะกินหญ้าอยู่บนเนินเขาด้วย
 
3. ต่อมาในลูกา 2:39-40 ลูกาบอกว่า หลังจากถวายพระกุมารในพระวิหารแล้ว นักบุญโยเซฟได้พาแม่พระและพระกุมารกลับไปที่นาซาเร็ธ สำหรับเรื่องนี้ลูกาคงจะรวบรัดเรื่องราวไปหน่อย เพราะตามที่เป็นจริง เรารู้ว่า นักบุญโยเซฟและแม่พระยังคงอยู่ที่เบธเลเฮม จนพระกุมารเจริญวัยขึ้นมาพอสมควร
 
ลูกาไม่ได้เล่าเรื่องของโหราจารย์อาจเป็นเพราะเห็นว่า มัทธิวได้เล่าเรื่องไว้แล้วจึงไม่ต้องการเล่าซ้ำ  ลูกาได้ทำการสอบถามแม่พระเกี่ยววัยเยาว์ของพระเยซูเพื่อเป็นข้อมูลใช้ในการเขียนเรื่องราวเหล่านี้
 
หลังจากพระเยซูประสูติแล้ว นักบุญโยเซฟคงหาที่อยู่ที่เป็นบ้านเรือนได้ใกล้ๆถ้ำที่ประสูติ จึงได้พาแม่พระและพระกุมารย้ายไปอยู่ในบ้าน มีสิ่งที่อ้างอิงในเรื่องนี้ได้ก็คือ ในพระวรสารนักบุญมัทธิว 2:11 บอกว่า โหราจารย์ทั้งสามได้พบพระกุมารในบ้าน ไม่ใช่ในถ้ำ และพวกเขาพบกับพระกุมาร ภาษาอังกฤษใช้คำว่า young child ไม่ใช่ an infant, ที่แปลว่า “ทารก” แสดงว่าพระเยซูเจริญวัยขึ้นมาบ้างแล้ว (Matthew 2:11 King James Version (KJV)And when they were come into the house, they saw the young child with Mary his mother, and fell down, and worshipped him: and when they had opened their treasures, they presented unto him gifts; gold, and frankincense and myrrh.)
 
โหราจารย์พบพระกุมารเยซูขณะที่พระองค์เจริญวัยขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เราไม่รู้ว่าเท่าไร กษัตริย์เฮรอดได้สอบถามโหราจารย์ถึงวันเวลาที่ดาวปรากฏ และคำนวณคร่าวๆว่า พระกุมารคงมีอายุไม่เกิน 2 ขวบ เมื่อโหราจารย์ไม่กลับมาบอกเฮรอดให้รู้ที่อยู่ของพระกุมาร เขาจึงสั่งทหารให้ไปฆ่าทารกที่มีอายุตั้งแต่ 2 ขวบลงมาในเมืองเบธเลเฮมและเมืองใกล้เคียง (อย่างไรก็ตาม,อายุที่แท้จริงของพระกุมารในเวลานั้นเป็นเท่าไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก)
 
นักบุญโยเซฟได้พาพระกุมารและแม่พระหนีไปอยู่ที่อิยิปต์จนเมื่อเฮรอดตาย จึงพาพระกุมารและแม่พระกลับ  เฮรอดตายหลังจากพระเยซูประสูตร 4 ปี เพราะฉะนั้น พระกุมารคงมีอายุได้ประมาณ 4-5 ปีแล้วเมื่อนักบุญโยเซฟพากลับมาที่อิสนาเอล  ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์กลับมาอยู่ที่อิสราเอล,มาอยู่ที่แควันกาลิลี ในเมื่องเมืองนาเซาเร็ธ (มท.2:23) “พระองค์จะได้รับพระนามว่าชาวนาซาเร็ธ
 
4. พระเยซูท่ามกลางธรรมาจารย์ในพระวิหาร (ลูกา 2:41) เมื่อพระเยซูเจริญวัยได้ 12 ปี นักบุญโยเซฟได้พาแม่พระและพระเยซูไปที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อฉลองเทศกาลปัสกาของชาวยิว ที่กินเวลาประมาณ 7-8 วัน
 
เทศกาลปัสกาเริ่มต้นในวันที่ 15 ของเดือนนิสาน(Nisan) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างวันที่ 26 มีนาคมถึง 25 เมษายนตามปฏิทินเกรโกเรียน วันที่ 15 เริ่มต้นในตอนเย็นหลังจากวันที่ 14 และรับประทานอาหารมื้อเซเดอร์(seder)ในเย็นวันนั้น
 
หลังจากสิ้นสุดวันฉลอง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูยังคงอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์อยู่ในพระวิหารอยู่ท่ามกลางหมู่ธรรมาจารย์ที่ฟังและไต่ถามพระองค์ ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจในพระปรีชาในการตอบคำถามของพวกเขา นักบุญโยเซฟและแม่พระก็ประหลาดใจเช่นกันที่พบพระเยซูอยู่ท่ามกลางธรรมาจารย์ แม่พระถึงกับตัดพ้อพระเยซูที่ทำให้ท่านทั้งสองกังวลใจ และต้องประหลาดใจในคำตอบของพระเยซู “ท่านตามหาลูกทำไม ท่านไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดา” และพระเยซูก็ติดตามนักบุญโยเซฟและแม่พระกลับไปที่นาซาเร็ธ ทรงนบนอบเชื่อฟังท่านทั้งสอง
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

อัศจรรย์การเฝ้าศีลมหาสนิทของจูเลีย

 


ปัจจุบันนี้,จูเลียเป็นหญิงสาวที่มีความสุขและมีสุขภาพดี แต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้วเธอป่วยหนัก จนกระทั่งอัศจรรย์การเยียวยารักษาในเวลาเฝ้าศีลมหาสนิท(Eucharistic Adoration) ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอ นี่คือเรื่องราวของเธอ
 
ชิวิตคาทอลิกในวัยเด็ก
 
จูเลียได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวคาทอลิกที่ศรัทธาในศาสนา และพ่อแม่ของเธอได้สอนเธอและพี่น้องทั้งหกของเธอในการให้ความสำคัญต่อพระเยซูเจ้าเป็นอันดับแรก พวกเขาอาศัยอยู่ไม่ห่างไกลจากเขตชานเมืองชิคาโก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับจูเลียที่จะไปโบสถ์บ่อยๆ
 
“ฉันและเพื่อนๆสามารถพบกันในพิธีมิสซาตอนเช้าตรู่ก่อนไปโรงเรียน และเมื่อมีการจัดตั้งโบสถ์น้อยเพื่อการเฝ้าศีลมหาสนิทตลอดเวลาแล้ว ฉันสามารถแวะมาทักทายพระเยซูได้ทุกเมื่อที่ต้องการ” เธอกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Aleteia
 
ครอบครัวของจูเลียเฝ้าศีลมหาสนิทเป็นประจำในบ่ายวันเสาร์เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้ใช้เวลาในการอธิษฐานภาวนา
 
“การสถิตย์ของพระคริสต์เป็นการปลอบโยนอยู่เสมอ” จูเลียกล่าว “เมื่อฉันคุกเข่าต่อหน้าศีลมหาสนิท ฉันไม่เคยสงสัยเลยว่าฉันกำลังไปเยี่ยมบุคคล ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์”
 
เป็นโรคที่ทำให้ทรุดโทรม
 
สุขภาพของจูเลียไม่ดีนัก และแย่ลงมากในช่วงวัยรุ่นของเธอ
 
หลังจากพบแพทย์หลายคนและผ่านการทดสอบอย่างละเอียด เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome (POTS) ซึ่งเป็นความผิดปกติของระบบประสาทที่ส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
 
“เมื่อฉันยืนหรือนั่งตัวตรงนานเกินไป เลือดจะไหลออกจากศีรษะ ทำให้ฉันหมดสติ” เธออธิบาย
 
อาการของจูเลียแย่ลง,ต้องใช้ไม้เท้าช่วยประคองเดินไปนั่งรถเข็น และต้องมีพยาบาลประจำบ้านที่ช่วยฉีดน้ำเกลือ
 
“ชีวิตคือการนัดหมายครั้งแล้วครั้งเล่า การกินยาครั้งแล้วครั้งเล่า” เธอกล่าว
 
ความเจ็บป่วยทำให้เธอต้องนอนติดเตียงในขณะที่เพื่อนๆของเธอกำลังมุ่งหน้าไปเรียนวิทยาลัยและค้นหาอาชีพของพวกเขา
 
“ในแง่หนึ่ง ฉันก็อยู่ในโรงเรียนเช่นกัน — โรงเรียนแห่งไม้กางเขน” เธอกล่าว
 
การรักษาที่น่าอัศจรรย์
 
วันที่ 1 เมษายน 2017 จูเลียไปกับครอบครัวของเธอที่โบสถ์น้อยแห่งการเฝ้าศีลมหาสนิทตลอดเวลา เพื่อร่วมชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ในวันเสาร์ตามปกติ
 
จูเลียไม่สามารถนั่งตัวตรงบนม้านั่งได้ เธอจึงนอนบนเสื่อออกกำลังกายที่ด้านหลังของโบสถ์ เธอเล่าถึงเรื่องน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นในวันนั้นว่า
 
ฉันเคยสวดอ้อนวอนขอการเยียวยารักษามาก่อน แต่คำตอบก็ชัดเจนเสมอว่า “ยังไม่ใช่” ครั้งนี้ คำอธิษฐานของฉันแตกต่างออกไป มันเป็นวันเอพริลฟูลส์เดย์(วันพูดโกหก) เมื่อรู้ว่าพระเยซูทรงมีอารมณ์ขัน ฉันจึงถามว่าพระองค์จะทรงรักษาฉันแบบอัศจรรย์เหมือนเป็นการเล่นตลกในวันเอพริลฟูลส์ได้หรือไม่? เพื่อที่ฉันจะทำให้คนอื่นสับสนกับสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างฉับพลันของฉัน ฉันแปลกใจมากที่พระองค์ตอบตกลง!
 
ในตอนแรกเธอไม่รู้สึกแตกต่างอะไร และเธอไม่อยากลองเดินเพราะคิดว่าเธอจะหกล้ม เธอขอคำยืนยันว่าสิ่งที่เธอได้ยินนั้นมาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง และไม่ใช่แค่ความคิดของเธอเองที่บอกในสิ่งที่เธอต้องการจะได้ยิน
 
ฉันถามพระเยซูว่า “ลูกรู้ว่าพระองค์ไม่ได้ทำสิ่งนี้บ่อยนักในพันธสัญญาใหม่ แต่ถ้าลูกได้รับการรักษาดีแล้ว,ขอพระองค์ช่วยส่งเสียงจริงๆที่ได้ยินได้มาบอกลูกว่าจงลุกขึ้นและเดินไปรอบๆได้ไหม?” และพระองค์ตอบว่าพระองค์จะทำ แต่ฉันไม่ได้ยินอะไรนอกจิตใจของตัวเองเลย
 
เมื่อถึงเวลาต้องไป,มารดาของเธอได้พูดอ้างอิง ยอห์น 5:8, และกระซิบว่า “ยกแคร่ที่นอนแล้วเดินไปเถิด” จูเลียรู้ว่านั่นคือสัญญาณของเธอ เธอพูดว่า:
 
ฉันม้วนเสื่อที่นอน และ(เพื่อเตือนพ่อแม่)เริ่มเดินกลับบ้าน มันอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ช่วงตึก แต่โดยปกติ,แม้แต่การเดินในห้องก็มักจะทำให้ฉันเหนื่อยล้า แล้วการเดินกลับบ้านไปตลอดคงเป็นไปไม่ได้! แม่ของฉันเดินเคียงข้างฉันพร้อมที่จะช่วยเหลือหากจำเป็น และพ่อของฉันก็ตามไปข้างหลังในรถอย่างใกล้ชิด โดยคาดหวังว่าฉันจะต้องนั่งรถไป ฉันบอกพวกเขาว่ามันไม่จำเป็น ฉันหายดีแล้ว!
 
ทุกคนตกใจ
 
การฟื้นตัวดีขึ้นอย่างกะทันหันของจูเลียสร้างความตกใจครั้งใหญ่ให้กับนักกายภาพบำบัดและผู้ให้บริการทางการแพทย์ของเธอ “อีกไม่กี่วันข้างหน้าคงสนุกแน่” เธอพูดโดยนึกถึงความประหลาดใจของทุกคน “POTS เป็นโรคที่ไม่เคยหายในทันที ดังนั้นจึงถือเป็นอัศจรรย์อย่างแน่นอน”
 
ในไม่ช้าจูเลียก็กลับมาที่สตูดิโอเต้นรำ ความหลงใหลที่เธอต้องละทิ้งไปเนื่องจาก POTS และเธอสามารถเริ่มโปรแกรมสำหรับนักเต้นที่มีความพิการได้ “เป็นรายการประเภทที่ฉันโหยหาเมื่อฉันป่วย”
 
วันนี้จูเลียสบายดีแล้ว และเธอต้องการแบ่งปันสาส์นสำคัญ:
 
อัศจรรย์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสมัยพระคัมภีร์เท่านั้น พระเยซูองค์เดียวกับที่ทรงรักษาคนง่อยในยอห์น 5:8 เสด็จข้ามกาลเวลาและประทานพระพรเดียวกันนี้แก่ดิฉันผ่านการสถิตอย่างแท้จริงของพระองค์ในศีลมหาสนิท ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงรักษาดิฉันให้หายจากความเจ็บป่วยที่ทำให้ฉันต้องนอนบนเตียง! พระเยซูเจ้าทรงพระทัยดียิ่งนัก!
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2025 พระเยซูทรงเรียกเปโตรให้มาเป็นศิษย์

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ลูกา 5:1-11 
(1)วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท ขณะที่ประชาชนเบียดเสียดรอบพระองค์เพื่อฟังพระวาจาของพระเจ้า (2)พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่ง ชาวประมงกำลังซักอวนอยู่นอกเรือ (3)พระองค์จึงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นของซีโมน ทรงขอให้เขาถอยเรือออกไปจากฝั่งเล็กน้อย แล้วประทับสั่งสอนประชาชนจากเรือนั้น (4)เมื่อตรัสสอนเสร็จแล้ว พระองค์ตรัสแก่ซีโมนว่า “จงแล่นเรือออกไปที่ลึกและหย่อนอวนลงจับปลาเถิด” (5)ซีโมนทูลตอบว่า “พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน” (6)เมื่อทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด (7)เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำ จนเรือเกือบจม (8)เมื่อซีโมนเปโตรเห็นดังนี้ จึงกราบลงที่พระชานุของพระเยซูเจ้า ทูลว่า “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป” (9)เพราะเขาและคนอื่น ๆ ที่อยู่กับเขาต่างประหลาดใจมากที่จับปลาได้มากเช่นนั้น (10)ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับซีโมนก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่ซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์” (11)เมื่อพวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์
******************
 
 
 
ในวัดแห่งหนึ่ง มีชายในกลุ่มนักขับร้องคนหนึ่ง ร้องเพลงไม่ค่อยดีนัก หัวหน้ากลุ่มแนะให้เขาลาออกจากกลุ่ม ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ เห็นว่ายังควรให้โอกาสเขาปรับปรุง แต่หัวหน้ากลุ่มตัดสินใจไปบ่นให้คุณพ่อเจ้าวัดฟัง พร้อมกับขู่ว่า “คุณพ่อต้องไล่คนนั้นออกนะ ไม่งั้นผมจะลาออกเอง” พ่อเจ้าวัดจึงไปหาชายคนนั้นและบอกว่า “พ่อคิดว่าคุณควรจะลาออกจากกลุ่มนักขับร้องนะ” ชายคนนั้นจึงถามว่า “ทำไมผมต้องลาออกด้วยล่ะครับ?” พ่อเจ้าวัดตอบว่า “คือมีสี่ห้าคนบอกพ่อว่าคุณร้องเพลงไม่ได้” ชายคนนั้นจึงตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องเล็กครับ เพราะมีคนตั้งสี่สิบห้าสิบคนบอกว่าคุณพ่อเทศน์ไม่ได้”
 
นี่เป็นเรื่องของคนที่ไม่น่าจะเหมาะกับงานทั้งนั้นเลย !
 
พี่น้องครับ บทอ่านทั้งสามบทวันนี้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าสามารถใช้คนที่ไม่น่าจะเหมาะสม ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จลุล่วงไปได้ !
 
บทอ่านแรกเป็นการเรียกประกาศกอิสยาห์ บทอ่านที่สองเป็นการเรียกนักบุญเปาโล และพระวรสารเป็นการเรียกนักบุญเปโตรและเพื่อนชาวประมง
 
พี่น้องคิดว่าคนเหล่านี้รู้สึกอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้า? ทุกคนต่างรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมด้วยกันทั้งนั้น
 
ประกาศกอิสยาห์พูดว่า “วิบัติจงเกิดแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากมีมลทิน อาศัยอยู่ในหมู่ชนชาติริมฝีปากมีมลทิน”
 
นักบุญเปาโลรู้สึกว่าตนเองไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครสาวก เพราะท่านเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้า (1 คร 15:9)
 
ส่วนนักบุญเปโตรนั้นกราบลงที่พระชานุ (เข่า) ของพระเยซูเจ้า พูดว่า “โปรดไปจากข้าพเจ้าเสียเถิด พระเจ้าข้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบาป”
 
จะเห็นว่า ความรู้สึกแรกว่าตนเองไม่เหมาะสม คือเครื่องหมายที่แสดงว่าผู้นั้นได้พบปะกับพระเจ้าแล้ว ด้วยเหตุนี้ ความสุภาพถ่อมตนจึงเป็นคุณธรรมประการแรกและประการสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่มีชีวิตภายในอย่างแท้จริง
 
ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองเหมาะสมหรือมีความสามารถ โดยเฉพาะคนที่คิดว่าตนเองเป็นคนดีเหนือคนอื่นแล้ว ก็เป็นเครื่องหมายเช่นเดียวกันว่าผู้นั้นยังไม่เคยพบปะกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หรือยังไม่เคยรู้จักพระองค์มาก่อนเลย
 
เมื่อใดก็ตามที่เรายอมรับว่าเราเป็นคนบาปและไม่เหมาะสมต่อหน้าพระเจ้า เมื่อนั้นพระองค์จะทรงยื่นพระหัตถ์มาหาเรา ยกบาปให้แก่เรา และทำให้เราสามารถรับใช้พระองค์ได้
 
ในกรณีของประกาศกอิสยาห์ เสราฟตนหนึ่งถือคีมคีบถ่านที่ลุกอยู่มาจากแท่นบูชา มาสัมผัสปากของอิสยาห์ พูดว่า “ดูซิ สิ่งนี้สัมผัสริมฝีปากของท่านแล้ว ความผิดของท่านก็ถูกลบล้างแล้ว บาปของท่านก็ได้รับการอภัยแล้ว” (อสย 6:7)
 
ในกรณีของนักบุญเปโตร พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นชาวประมงหามนุษย์” (ลก 5:10)
 
เราจะเห็นว่า คุณสมบัติที่ทำให้เราเหมาะสมกับงานของพระเจ้านั้น มิได้มาจากตัวเราเอง แต่เป็นเพราะพระหรรษทานของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ นักบุญเปาโลซึ่งเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรมาก่อน จึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ด้วยเดชะพระหรรษทานของพระเจ้า” (1 คร 15:10)
 
นอกจากรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะสมแล้ว อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ทั้งอิสยาห์ ทั้งเปาโล และทั้งเปโตร ซึ่งต่างก็ได้รับเรียกให้มาทำงานของพระเจ้า มีเหมือนกันก็คือ ความพร้อมที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของพระองค์
 
ทันทีที่ประกาศกอิสยาห์ได้ยินเสียงของพระเจ้าถามว่า “เราจะส่งใคร ใครจะไปแทนเรา” ท่านทูลตอบทันทีว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด” (อสย 6:8)
 
ในกรณีของนักบุญเปโตรและเพื่อนร่วมงาน “พวกเขานำเรือกลับถึงฝั่ง แล้วละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์” (ลก 15:11)
 
ส่วนนักบุญเปาโลนั้น ท่านอุทิศตนให้แก่งานของพระเจ้าด้วยความร้อนรน และทำงานหนักกว่าคนอื่น แต่ท่านก็ออกตัวด้วยว่า “มิใช่ข้าพเจ้า แต่เป็นเพราะพระหรรษทานของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่ทำงาน” (1 คร 15:10)
 
ก็แปลว่า ลำพังความรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะสม ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเป็นผู้ที่พระเจ้าจะสามารถใช้งานได้ จำเป็นที่เราต้องพร้อมที่จะปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงแนะนำเราด้วย
 
และเมื่อเราปฏิบัติตามคำแนะนำของพระเจ้า สิ่งที่เราได้รับนั้นมันช่างยิ่งใหญ่จริงๆ อย่างเช่นในกรณีของนักบุญเปโตรที่จับปลาได้อย่างน่าอัศจรรย์
 
เปโตรและเพื่อนชาวประมงทำงานหนักทั้งคืน แต่จับปลาไม่ได้เลย พวกเขาใช้ความชำนาญในอาชีพประมงของตนเอง หาแหล่งปลาและวิธีจับปลาด้วยตนเอง แต่ก็ต้องพบกับความล้มเหลว แต่เมื่อพวกเขาปฏิบัติตามคำแนะนำของพระเยซูเจ้า ซึ่งถ้าพูดกันตามประสามนุษย์ก็ต้องบอกว่าไม่มีเหตุผลเลยที่จะออกไปหาปลาตอนกลางวัน แต่ผลที่ได้รับนั้น เกินความคาดหวังจริงๆ พวกเขาจับปลาได้เต็มเรือทั้งสองลำ จนเรือเกือบจม
 
ทุกวันนี้ พระเจ้าก็ยังถามอยู่เสมอว่า “เราจะส่งใคร ใครจะไปแทนเรา” พระองค์ยังต้องการเราทุกคน ทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและเยาวชน เพื่อประกาศข่าวดีเรื่องความรักของพระเจ้าในวัดเช่นเดียวกับประกาศกอิสยาห์ หรือเพื่อประกาศข่าวดีในต่างแดนเช่นเดียวกับนักบุญเปาโล หรือเพื่อนำเพื่อนร่วมงาน หุ้นส่วน และทุกคนให้มารู้จักและติดตามพระเจ้าดังเช่นนักบุญเปโตร
 
หากเรารู้สึกว่าตัวเราไม่เหมาะสมกับงานของพระเจ้า วันนี้ก็ขอให้รู้ไว้เถิดว่ากับคนที่รู้สึกเช่นนี้แหละที่พระเจ้าจะสามารถใช้งานได้ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือความกล้าได้กล้าเสี่ยงที่จะตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด” แล้วพระเจ้าจะทรงทำให้เราเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับภารกิจของพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงกระทำกับประกาศกอิสยาห์ กับนักบุญเปาโล และกับนักบุญเปโตร ดังที่เราได้ฟังในบทอ่านทั้งสามบทในวันนี้
 
***************************


วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

วันฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร

 


แสงสว่างส่องแก่นานาชาติ: ทำไมเราจึงมีมิสซาวันเสกเทียน
 
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พระศาสนจักรคาทอลิกฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร หรือที่เรียกอีกอย่างว่ามิสซาวันเสกเทียน ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองการที่นักบุญโยเซฟและพระนางมารีย์นำพระกุมารไปถวายในพระวิหารแห่งเยรูซาเล็ม 40 วันหลังจากพระกุมารเยซูประสูติ
 
วันฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหารได้รับการฉลองครั้งแรกโดยพระศาสนจักรตะวันออก แต่ประเพณีการจุดเทียนสำหรับงานฉลองนี้มีต้นกำเนิดในฝรั่งเศสศตวรรษที่ 6 ซึ่งชาวคาทอลิกจะเฉลิมฉลองด้วยขบวนแห่เทียน
 
“แสงเทียนที่ส่องสว่างชวนให้นึกถึงการเฉลิมฉลองคริสต์มาส เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมืดมิดของบาปที่ถูกขจัดออกไปด้วยแสงสว่างของพระคริสต์” วันฉลองนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของเทศกาลพระคริสตสมภพ
 
พระวรสารสำหรับพิธีกรรมของงานฉลอง (ลูกา 2:22-40) เล่าถึงเรื่องราวการถวายพระกุมาร และรวมถึงเพลงสรรเสริญและคำพยากรณ์ของซีเมโอน ซึ่งมาที่พระวิหารเพื่อพบกับครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
 
พระจิตทรงเปิดเผยแก่ซีเมโอนว่าเขาจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระเมสสิยาห์ ซีเมโอนอุ้มพระกุมารเยซูไว้ในอ้อมแขนแล้วสวดเพลงสรรเสริญ (ลูกา 2:29-32):
 
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไปเป็นสุขตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติ เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอลประชากรของพระองค์” แสงสว่างส่องให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในความมืดมิด นี่คืองานเลี้ยงของเรา และเราเข้าร่วมในขบวนแห่พร้อมเทียนที่จุดไฟเพื่อเผยแสงสว่างที่ส่องลงมาบนเราและความรุ่งโรจน์ที่จะมาถึงเราผ่านทางพระองค์ ดังนั้น เราทุกคนควรรีบเร่งไปพบพระเจ้าของเรา”
 
นักเทววิทยา Marcellino D’Ambrosio, PhD ได้สังเกตว่า เมื่อพิจารณาบริบทของเวลาและสถานที่ที่มีการให้คำทำนาย การกล่าวถึงคนต่างชาติอาจดูผิดปกติ
 
D’Ambrosio เขียนไว้ในบทความสำหรับ Crossroads Initiative ว่า “ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์กำลังยืนอยู่ในบริเวณวิหาร อาจเป็นลานด้านในของพระวิหาร ซึ่งคนต่างชาติถูกห้ามไม่ให้เข้า” โดยมีสมณะคอยต้อนรับครอบครัวต่างๆที่มาประกอบพิธี หนึ่งในนั้นคือครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อถึงคิวของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์เข้าในพระวิหาร ท่านสิเมโอนก็มาถึงโดยพระจิตทรงดลใจและท่านได้อุ้มพระกุมาร
 
เขาอธิบายต่อไปว่า ประกาศกมาลาคีได้ทำนายในเรื่องนี้ว่า “ทันใดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านแสวงหาจะเสด็จเข้ามาในพระวิหารของพระองค์” (มลค. 3:1) แต่พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อประทับอยู่ที่นั่น และแพระองค์จะเสด็จออกจากพระวิหารเพื่อประทานแสงสว่างแก่ประชากรของพระองค์ พระองค์เสด็จมาเพื่อจุดไฟแห่งความรักเผาทั้งโลก”
 
นักบุญโซโฟรเนียส ซึ่งเป็นพระสังฆราชแห่งเยรูซาเล็มในศตวรรษที่ 7 ได้เทศน์ในวันฉลอง โดยสะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญเรื่องแสงสว่าง
 
“เราได้เห็นความรอดของพระเจ้าผ่านสายตาของซีเมโอนเช่นกัน ซึ่งพระองค์ได้เตรียมไว้สำหรับประชาชาติทั้งปวง และเผยให้เห็นว่าเป็นความรุ่งโรจน์ของอิสราเอลใหม่ ซึ่งก็คือตัวเราเอง เมื่อซีเมโอนได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งชีวิตนี้เมื่อเขาได้เห็นพระคริสต์ เราก็ได้รับการปลดปล่อยจากสภาพบาปเก่าของเราทันทีเช่นกัน”
 
“ด้วยความเชื่อ เราก็โอบรับพระคริสต์, ความรอดของพระเจ้าพระบิดาด้วยเช่นกัน เมื่อพระองค์เสด็จมาหาเราจากเบธเลเฮม” นักบุญกล่าวต่อ “เมื่อก่อนเราเป็นคนต่างศาสนา บัดนี้เราได้เป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว ดวงตาของเราได้เห็นพระเจ้าในร่างมนุษย์ และเนื่องจากเราได้เห็นพระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเรา และได้ต้อนรับพระองค์ไว้ในอ้อมแขนของเราด้วยใจ เราจึงถูกเรียกว่าอิสราเอลใหม่”
 
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ถือเป็นวันสวดภาวนาสำหรับผู้ที่ถวายตนด้วย ซึ่งคิดขึ้นโดยพระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2
 
พระองค์เลือกวันนี้เพราะเป็นวันเสกเทียน “เพราะว่าชายและหญิงที่ถวายตนแล้วจะต้องเป็นแสงสว่างในโลก โดยเลียนแบบพระเยซู ผู้เป็นแสงสว่างของโลก”
 
คำทำนายของซีเมโอนถูกเล่าไว้ในบทที่ 2 ข้อ 34-35 ซึ่งซีเมโอนกล่าวกับพระนางมารีย์ว่า
 
“พระเจ้าทรงกำหนดให้กุมารนี้เป็นเหตุให้คนจำนวนมากในอิสราเอลต้องล้มลงหรือลุกขึ้น และเป็นเครื่องหมายแห่งการต่อต้านl (35)เพื่อความในใจของคนจำนวนมากจะถูกเปิดเผย” ส่วนท่าน ดาบจะแทงทะลุจิตใจของท่าน”
 
ในคำเทศน์ในวันฉลองนี้ นักบุญโซโฟรเนียสยังพูดถึงบทบาทของพระแม่มารีย์ในการนำพระเยซูมาหาผู้ที่อยู่ในความมืด
 
“พระมารดาของพระเจ้า พระนางพรหมจารีมารีย์ ทรงอุ้มพระกุมารผู้เป็นแสงสว่างที่แท้จริงไว้ในอ้อมแขนและนำพระองค์ไปหาผู้ที่อยู่ในความมืด” เขากล่าว “เราควรอุ้มพระกุมารเพื่อให้ทุกคนได้เห็นและสะท้อนความเจิดจ้าของแสงสว่างที่แท้จริงในขณะที่เรารีบเร่งไปพบพระองค์
 
“แสงสว่างได้มาถึงแล้วและส่องลงมายังโลกที่ถูกปกคลุมไปด้วยเงามืด แสงสว่างจากสวรรค์ได้เสด็จมาเยือนเราและประทานพระหรรษทานอันอุดมบริบูรณ์แก่เราทุกคน"
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

นักบุญเทเรซา แห่งอาวิลลา หยุดสวดภาวนา

 
“บ่อยครั้งสักเพียงไรที่ฉันล้มเหลวในการทำหน้าที่ต่อพระเจ้า 
 เพราะฉันไม่ได้พึ่งพิงบนเสาหลักอันแข็งแกร่งของการสวดภาวนา”

 

คุณรู้ไหมว่า นักบุญเทเรซา แห่งอาวิลลา เคยหยุดสวดภาวนานานถึง 15 ปี
 
และสิ่งนี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากช่วงเวลาแห่งการพินิจไตร่ตรองและสวดภาวนาอย่างลึกซึ้งของเธอ
 
กล่าวกันว่าเมื่อนักบุญเทเรซาป่วยหนัก เธอยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานานอย่างน่าอัศจรรย์ ในเวลานั้น, เธอยังมีความเชื่อและความอดทนอย่างมากในการทนทุกข์จากความเจ็บป่วย,ทั้งหมดนี้โดยอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า
 
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอหายดีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่การประจญเริ่มต้นขึ้น แม้ว่าจะได้รับพระพรด้วยการเห็นนิมิต แต่เธอกลับเชื่อว่านิมิตที่เธอเห็นนั้นต้องมาจากปีศาจ เธอรู้สึกว่าเธอไม่ดีพอ ดังนั้น ภายใต้หน้ากากของความอ่อนน้อมถ่อมตน เธอจึงหยุดสวดภาวนาด้วยจิตใจ
 
อย่างไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงการสวดภาวนามีผลที่น่าเศร้า
 
เพราะยิ่งเธอหลีกเลี่ยงสวดภาวนา เธอก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมทางโลกและรู้สึกถึงบาปมากขึ้น มันเหมือนกับวัฏจักรที่โหดร้าย เพราะยิ่งเธอเชื่อว่าตัวเองมีบาปมากเท่าไร เธอก็ยิ่งอยู่ห่างจากการสวดภาวนาด้วยจิตใจมากขึ้นเท่านั้น!
 
“ฉันเริ่มหมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรกอันแล้วอันเล่า ในความไร้สาระครั้งแล้วครั้งเล่า และในโอกาสแห่งบาปครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันตกอยู่ในโอกาสบาปมากมายและร้ายแรงเช่นนี้ และจิตวิญญาณของฉันถูกชักนำให้หลงผิดไปไกลด้วยความไร้สาระเหล่านี้ ฉันรู้สึกละอายใจที่จะกลับไปหาพระเจ้าและเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยมิตรภาพอันใกล้ชิดซึ่งเกิดจากการสวดภาวนา ความละอายนี้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก,เมื่อบาปของฉันเพิ่มจำนวนมากขึ้น ฉันเริ่มสูญเสียความสุขและความปิติยินดีที่เคยได้รับจากสิ่งที่ดีงาม โอ,พระเยซูเจ้าของฉัน ฉันเห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งนี้กำลังทำให้ฉันตกต่ำลงเพราะฉันกำลังออกห่างจากพระองค์ ปีศาจภายใต้หน้ากากของความอ่อนน้อมถ่อมตน ได้นำฉันไปสู่ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเห็นว่าฉันหลงทางอย่างสิ้นเชิง ฉันจึงเริ่มกลัวที่จะสวดภาวนา” – (นักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา)
 
นักบุญเทเรซาได้แบ่งปันแก่เราเกี่ยวกับความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ในการหลีกเลี่ยงการสวดภาวนา
 
เราอาจคิดว่าเราเคารพและนับถือพระเจ้าอย่างสมเกียรติโดยไม่จำเป็นต้องเข้าหาพระองค์ แต่เรากำลังกีดกันตัวเองไม่ให้มีโอกาสได้รับการชำระล้างและการเยียวยารักษาบาปของเรา เราไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นด้วยการหลีกเลี่ยงพระเจ้า เราศักดิ์สิทธิ์ขึ้นได้ด้วยพระหรรษทานของพระองค์เท่านั้น แล้วเราจะได้รับพระหรรษทานได้อย่างไรหากเราไม่เข้าใกล้พระเจ้า?
 
"ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นกับฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะยุ่งอยู่กับการเขียนบทความเกี่ยวกับศาสนา ,บันทึกเพลงสรรเสริญพระเจ้าและแบ่งปันหนังสือคาทอลิกของฉันอยู่เสมอ แต่ฉันมักไม่มีเวลาสำหรับการสนทนาอย่างใกล้ชิดกับพระเยซูมากขึ้น ในส่วนลึกของจิตใจ,ฉันรู้สึกละอายใจ แต่ยิ่งฉันละเลยการสวดภาวนามากเท่าไร ฉันก็ยิ่งยอมจำนนต่อสิ่งล่อใจต่างๆมากขึ้นเท่านั้น และฉันก็ยิ่งได้รับแรงบันดาลใจน้อยลงในเรื่องจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของฉันหิวโหยในส่วนลึก และฉันกำลังหลีกเลี่ยงอาหารฝ่ายวิญญาณที่สามารถบำรุงจิตวิญญาณของฉันได้
 
ตอนนี้ฉันอยากเข้าหาพระองค์มากขึ้น, สารภาพบาปและข้อบกพร่องของฉัน และขอให้พระองค์ประทานพระหรรษทานเพื่อเปลี่ยนแปลงฉัน ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์พอที่จะยืนอยู่เบื้องหน้าที่ประทับของพระองค์ แต่ฉันอยากจะวางใจในพระเมตตาอันไม่มีขอบเขตของพระองค์"
 
คุณเคยรู้สึกขาดอะไรบางอย่างในช่วงเวลาส่วนตัวกับพระเยซูหรือไม่?
 
นักบุญเทเรซาได้ให้ถ้อยคำที่สร้างแรงบันดาลใจสำหรับเราดังนี้: “ดังนั้นอย่าให้เขาถูกปีศาจหลอกลวงเหมือนอย่างฉัน ให้ละทิ้งการสวดภาวนา ด้วยเหตุผลของความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ให้เขาเชื่อว่าถ้อยคำของพระองค์ที่ตรัสว่า หากเราสำนึกผิดอย่างแท้จริงและตั้งใจที่จะไม่ทำให้พระองค์ขุ่นเคือง พระองค์จะกลับมาเป็นมิตรกับเราเหมือนเช่นเคย และประทานความโปรดปรานที่พระองค์ประทานให้เราก่อนหน้านี้ และบางครั้งอาจมากกว่าด้วยซ้ำ… และใครก็ตามที่ยังไม่ได้เริ่มสวดภาวนา,ฉันวอนขอด้วยความรักต่อพระเจ้า, อย่าพลาดพระพรอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่มีที่สำหรับความกลัว, แต่มีที่สำหรับความปรารถนาเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าบุคคลใดจะล้มเหลวในการก้าวหน้าหรือล้มเหลวในความพยายามบรรลุความสมบูรณ์ครบครัน เขาอาจสมควรได้รับการปลอบโยนและความโปรดปรานที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้สมบูรณ์ครบครัน เขาจะค่อยๆเรียนรู้เกี่ยวกับเส้นทางสู่สวรรค์”
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2568

ความรักของพระคริสต์เกินความเข้าใจ

 


เอเฟซัส 3:19 กล่าวว่า "ท่านและบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะได้เข้าใจ.....ทั้งหยั่งรู้ซึ้งถึงความรักซึ่งเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ทั้งปวงของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม"
 
ข้อความนี้มาจากจดหมายของนักบุญเปาโลเขียนถึงชาวเอเฟซัส ซึ่งเป็นหนึ่งในจดหมายที่ท่านเขียนถึงคริสตชนยุคแรก ในข้อความนี้ เปาโลกำลังแสดงความปรารถนาของท่านให้ชาวเอเฟซัส (และถึงผู้มีความเชื่อทุกคนด้วย) เข้าใจและสัมผัสถึงความรักของพระคริสต์อย่างถ่องแท้ ท่านต้องการให้พวกเขาเข้าใจความรักนี้อย่างลึกซึ้ง เพื่อที่พวกเขาจะได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความไพบูลย์ของพระเจ้า  แต่ความรู้นี้เกินกว่าความรู้ทางสติปัญญาเพียงอย่างเดียว 
 
หัวข้อหลักประการหนึ่งของข้อความนี้คือความรักของพระคริสต์นั้นไม่อาจเข้าใจได้ เปาโลไม่ได้พูดถึงความรักแบบธรรมดา แต่เป็นความรักที่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ ความรักของพระคริสต์ไม่มีขอบเขต ไม่อาจวัดได้ และเกินกว่าสิ่งใดๆ ที่เราสามารถจินตนาการหรือหยั่งถึงได้ ความรักของพระคริสต์เป็นความรักที่อยู่เหนือขอบเขตและครอบคลุมทุกแง่มุมของความเป็นมนุษย์ของเรา ความรักนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความดีความชอบหรือความเหมาะสม แต่เป็นความรักที่มอบให้กับทุกคนที่เชื่อในพระคริสต์ด้วยจิตใจอิสระของเขา
 
ความคิดที่ว่าความรักนี้อยู่ “เหนือความรู้” อาจมองว่าขัดแย้งในตัวเอง—คนเราจะรู้จักสิ่งที่เหนือความรู้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เปาโลต้องการพูดคือ ความรักของพระคริสต์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ด้วยสติปัญญาของเราเพียงอย่างเดียว ความรักนี้ต้องมาจากการพิจารณาไตร่ตรองและประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระคริสต์ ความเข้าใจในความรักของพระคริสต์นี้ไม่ใช่แค่การฝึกฝนทางปัญญาเท่านั้น แต่เป็นการเผชิญหน้าส่วนตัวอย่างลึกซึ้งและเปลี่ยนแปลงวิธีที่บุคคลมองเห็นตนเอง มองเห็นผู้อื่น และโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขา
 
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อความที่ว่า “เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ทั้งปวงของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” พูดถึงเป้าหมายสูงสุดในการรู้จักความรักของพระคริสต์ เมื่อผู้มีความเชื่อในพระคริสต์รู้จักและสัมผัสถึงความรักของพระคริสต์อย่างแท้จริง พวกเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความไพบูลย์ของพระเจ้า ความไพบูลย์นี้หมายถึงความสมบูรณ์ครบครัน ความอุดมบริบูรณ์ และไม่มีที่สิ้นสุดในธรรมชาติและคุณลักษณะของพระเจ้า เป็นสถานะที่เต็มเปี่ยมและพอใจอย่างที่สุดกับการประทับอยู่ ด้วยพลัง และความรักของพระเจ้า
 
บริบทของข้อความนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเช่นกัน ในข้อความก่อนหน้า เปาโลอธิษฐานภาวนาเพื่อชาวเอเฟซัส โดยขอให้พระเจ้าทรงเสริมชีวิตภายในของพวกเขาให้เข้มแข็งโดยอาศัยพระจิตของพระองค์ ให้พระคริสต์พำนักในจิตใจของพวกเขาอาศัยความเชื่อ ให้หยั่งรากและตั้งมั่นบนความรักในการอธิษฐานภาวนาและการเติบโตฝ่ายจิต เปาโลแสดงความปรารถนาให้ชาวเอเฟซัสรู้จักความรักของพระคริสต์
 
ความรักของพระคริสต์สามารถมองได้ว่าเป็นแหล่งที่มาของชีวิตที่หลั่งไหลมาจากพระเจ้าเอง เป็นความรักที่นำมาซึ่งการเยียวยารักษา การฟื้นฟู และการเปลี่ยนแปลงให้กับผู้ที่ได้รับ เมื่อผู้มีความเชื่อเต็มเปี่ยมไปด้วยความสมบูรณ์ของพระเจ้าอาศัยการรู้จักและสัมผัสถึงความรักของพระคริสต์ พวกเขาจะได้รับอำนาจในการดำเนินชีวิตตามความเชื่อของตนที่สะท้อนถึงลักษณะและความรักของพระเจ้าต่อโลก
 
โดยสรุป เอเฟซัส 3:19 มีความสำคัญฝ่ายจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งสำหรับผู้มีความเชื่อ ข้อความนี้เน้นถึงความรักที่ไม่อาจเข้าใจได้ของพระคริสต์ ผลกระทบอันลึกซึ้งที่พระคริสต์มีต่อชีวิตของผู้มีความเชื่อ และเป้าหมายสูงสุดในการเติมเต็มตนเองด้วยความสมบูรณ์ของพระเจ้า เรียกร้องให้เราแสวงหาการพบปะส่วนตัวกับพระคริสต์และเปลี่ยนแปลงตนเองในความรักของพระองค์ เพื่อให้ความรักนั้นหล่อหลอมชีวิตของเรา ให้เปี่ยมล้นไปด้วยความรักอันเต็มเปี่ยมของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ คำพูดของนักบุญเปาโลข้อนี้เป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังถึงความลึกซึ้งของความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษยชาติ ที่มีศักยภาพทำให้ผู้มีความเชื่อเปลี่ยนแปลงไปโดยความรักนั้น
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2568

วิธีการของปีศาจ

 
รูปภาพ - พระสันตปาปากำลังสารภาพบาป
 
โดย มองซิเยอร์ โรเซตตี พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจ
 
ปีศาจมักจะดูถูก คุกคาม และทรมานผู้คน พวกมันรู้จุดอ่อนของผู้คนและใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนเหล่านั้น ปีศาจมักจะทรมานผู้คนด้วยบาปในอดีต โดยใช้มันเพื่อดูถูก ทำลายล้าง และล่อลวงให้พวกเขาสิ้นหวัง ผู้ที่ถูกปีศาจสิงมักจะตกเป็นเป้าโจมตีของปีศาจที่คอยคุกคามพวกเขาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีความเห็นอกเห็นใจหรือสงสาร
 
ตัวอย่างเช่น ปีศาจเตือนผู้ติดยาให้นึกถึงจุดอ่อนและบาปในอดีตของพวกเขา ล่อลวงให้พวกเขากลับไปเสพยาอีก ในกรณีหนึ่งของเรา ปีศาจเพิ่งส่งข้อความแก่ผู้ติดยาที่กำลังฟื้นตัวว่า "สนุกกับการสูดดมเถอะ ไม่มีใครสนใจหรือสังเกตเห็นด้วยซ้ำ" และอีกครั้ง "เสพเฮโรอีนซิ มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณรู้สึกสบายใจในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและความเศร้าโศก" ในทำนองเดียวกัน ผู้ติดสุราที่กำลังฟื้นตัวซึ่งถูกปีศาจสิงก็พบว่าขวดแอลกอฮอล์ปรากฏอยู่รอบๆ ตัวเขาอย่างลึกลับ และมีกลิ่นแอลกอฮอล์ที่รุนแรง สำหรับพวกเขา การกลับไปเสพยาอีกครั้งจะทำให้อำนาจของปีศาจที่มีต่อพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก
 
นักบุญโฟสตินา แม่ชีชาวโปแลนด์ผู้เผยแพร่ความศรัทธาต่อพระเมตตาของพระเยซูเจ้า ได้รับนิมิตจากพระเจ้าเกี่ยวกับนรก เธอเล่าว่าการทรมานในนรกมี 7 ประการ ประการแรกคือการไม่มีโอกาสเห็นพระเจ้าตลอดนิรันดร แต่ประการที่สองคือ "ความสำนึกผิดชั่วนิรันดร์ของมโนธรรม" ในการทรมานนี้ จิตสำนึกจะประณามวิญญาณชั่วนิรันดร์สำหรับบาปของตน วิญญาณมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการสำหรับชีวิตทางโลกของตน และมองเห็นจำนวนครั้งนับไม่ถ้วนที่เขาปฏิเสธพระเจ้าและเลือกที่จะทำชั่ว
 
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากนักบุญและผู้ได้รับพระพรพิเศษบางคนที่ได้เห็นปีศาจในนรกทรมานผู้ถูกสาปแช่ง วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทรมานพวกเขาใน "ร่างกาย" เท่านั้น แต่ยังทรมานจิตใจของพวกเขาโดยเฉพาะ โดยเยาะเย้ยพวกเขาด้วยบาปในอดีตทุกครั้ง พวกมันพยายามทำลายพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกไร้ค่า ไม่เป็นที่รัก และไม่ได้รับการอภัย
 
ปีศาจนำพฤติกรรมอันเลวร้ายนี้มาด้วยในการเยาะเย้ยผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่ถูกสิง และมนุษย์โดยทั่วไป พวกมันชอบทำให้เราต้องทนทุกข์ทรมานจากบาปของเราอย่างโหดร้าย และอยากให้เราเชื่อว่าไม่มีการให้อภัยหรือการบรรเทาทุกข์ใดๆ น่าเศร้าที่เรื่องนี้เป็นจริงสำหรับวิญญาณที่ตกนรก พวกเขาถูกทรมานด้วยบาปของตนชั่วนิรันดร์ เพราะพวกเขาปฏิเสธแหล่งที่มาแห่งการให้อภัยและการบรรเทาทุกข์เพียงแห่งเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
แต่สำหรับเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ความเป็นไปได้ของการบรรเทาทุกข์ยังคงอยู่ นักบุญเยอร์ทรูดผู้ยิ่งใหญ่เขียนไว้ว่า สำหรับผู้ที่สำนึกผิดและยอมรับการให้อภัยของพระเยซู:
 
"พระเจ้าไม่ทรงจดจำบาปอีกต่อไป...ยังคงมีรอยตำหนิของความผิดของเราอยู่บ้าง เพื่อเตือนให้เราสรรเสริญความดีของพระองค์ที่ทรงอภัยบาปให้เรา และ
 
ที่ทรงหลั่งความโปรดปรานของพระองค์ลงมาเหนือเรา ราวกับว่าเราไม่เคยล่วงเกินพระองค์"
 
------------------------
 
นำมาจาก "The Life and Revelations of Saint Gertrude the Great," Chpt. 28, p. 380
 
************************