วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2567

คำพูดของนักบุญเกี่ยวกับสวรรค์

 


โดย Fr Lawrence Lew OP CC
 
ผู้ที่รู้ดีที่สุดจะบรรยายถึงความสุขที่รอคอยอยู่
 
เมื่อวันฉลองนักบุญทั้งหลายและวันฉลองวิญญาณในไฟชำระใกล้จะมาถึง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่ดีในการพิจารณาว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราหลังจากความตาย หรือพูดให้เจาะจงมากขึ้นก็คือ วิญญาณอันเป็นนิรันดร์ของเราจะไปอยู่ที่ไหนเมื่อร่างกายของเราตาย
 
โชคดีสำหรับผม นักเขียนอีกคนหนึ่งได้เขียนถึงด้านมืดของความตายสำหรับสื่อ Aleteia ไปแล้ว บทความคู่ขนานของ Brantly Millegan เกี่ยวกับนิมิตที่น่ากลัวของนักบุญในเรื่องนรกและการมองเข้าไปในนรกอย่างมีสติสัมปชัญญะของพวกเขาควรจะเพียงพอที่จะทำให้ใครก็ตามหวาดกลัวและเดินทางไปสู่เส้นทางที่ตรงและแคบอีกครั้ง แต่ความเชื่อที่แท้จริงควรเกี่ยวกับความหวังและความยินดีมากกว่าความกลัวและความน่าสยดสยอง การสำนึกผิดอย่างสมบูรณ์นั้นหมายถึงการรักพระเจ้ามากจนเราไม่ยอมทำเคืองพระทัยพระองค์ได้ ไม่ใช่ความกลัวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเผาไหม้ชั่วนิรันดร์ในนรก
 
ด้วยจิตวิญญาณแห่งความหวังที่จะมองเห็นสิ่งที่รอคอยผู้สัตย์ซื่อหลังความตาย ผมขอเสนอมุมมองสิบประการเกี่ยวกับสวรรค์ตามคำบอกเล่าของนักบุญ ซึ่งนักบุญบางคนโชคดีที่ได้สัมผัสประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง,ก่อนหรือหลังที่เสียชีวิต และรายงานกลับมาให้เราทราบ
 
นักบุญโฟสตินาได้เขียนบันทึกอย่างละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางฝ่ายวิญญาณของเธอไปสู่สวรรค์และไปสู่นรกด้วย,ในไดอารี่ของเธอ ซึ่งได้รับการรับรองจากทางพระศาสนจักรแล้วว่าเป็นการเปิดเผยจากสวรรค์ หลังจากที่นักบุญโฟสตินาได้รับบาดแผลทางจิตใจจากการเห็นนิมิตในนรก เธอได้รับบทภาวนาแห่งพระเมตตาจากพระเยซูเจ้าเพื่อแบ่งปันกับคนทั่วโลกในฐานะอาวุธในการทำสงครามเพื่อช่วยวิญญาณให้รอด แต่ที่น่าเศร้าคือ นิมิตที่ให้กำลังใจเกี่ยวกับสวรรค์ของเธอได้รับความสนใจน้อยกว่า ซึ่งเธอเขียนไว้ว่า:
 
“วันนี้ดิฉันได้ไปอยู่ในสวรรค์ฝ่ายวิญญาณ และดิฉันได้เห็นความงดงามที่เหนือจินตนาการและความสุขที่รอคอยเราอยู่หลังความตาย ดิฉันเห็นว่าสิ่งสร้างทั้งหลายสรรเสริญและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง ดิฉันเห็นว่าความสุขในพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด ซึ่งแผ่ขยายไปถึงสิ่งสร้างทั้งหลาย ทำให้พวกเขามีความสุข และจากนั้นพระสิริรุ่งโรจน์และคำสรรเสริญทั้งหมดที่เกิดจากความสุขนี้จะกลับคืนสู่แหล่งที่มา และพวกเขาจะเข้าสู่ส่วนลึกของพระเจ้า, พิจารณาชีวิตภายในของพระเจ้า พระบิดา พระบุตร และพระจิต ซึ่งพวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจหรือหยั่งถึงได้ แหล่งที่มาของความสุขนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่เป็นสิ่งใหม่เสมอ หลั่งไหลความสุขออกมาสู่สิ่งสร้างทั้งหลาย”
 
นักบุญอัลฟองโซ มาเรีย เดอ ลิโกวรี เล่าเรื่องราวที่อธิการใหญ่ของคณะเยซูอิตเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับท่านอธิการอีกคนหนึ่งที่ปรากฏตัวต่อเขาหลังจากเขาเสียชีวิต และบอกเล่าโดยละเอียดเกี่ยวกับการสิ่งที่ผู้คนจะประสบในสวรรค์ ตามคำบอกเล่าของอธิการที่ล่วงลับไปแล้ว รางวัลแห่งสวรรค์นั้นไม่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคนที่เข้ามา แต่ทุกคนที่เข้ามาจะได้รับความพึงพอใจอย่างเท่าเทียมกัน:
 
“เวลานี้ ข้าพเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว, กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 กษัตริย์แห่งสเปนก็อยู่ในสวรรค์เช่นกัน เราทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับรางวัลนิรันดร์แห่งสวรรค์ แต่สำหรับเรามันแตกต่างกันมาก ความสุขของข้าพเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าของพระองค์ เพราะมันไม่เหมือนกับตอนที่เรายังอยู่บนโลก เพราะตอนนั้นพระองค์เป็นราชาและข้าพเจ้าเป็นสามัญชน เวลานั้นเราอยู่ห่างกันเหมือนแผ่นดินโลกและท้องฟ้า แต่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้าม บนโลก,ข้าพเจ้าต่ำต้อยเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับกษัตริย์ ตอนนี้ข้าพเจ้าเหนือกว่าพระองค์ในความรุ่งโรจน์บนสวรรค์ อย่างไรก็ตาม เราทั้งสองมีความสุข และหัวใจของเราก็พอใจอย่างสมบูรณ์”
 
พระสันตปาปาเกรกอรีที่ 2 ตรัสถึงความเป็นหนึ่งเดียวเหนือธรรมชาติระหว่างของบรรดานักบุญในสวรรค์,และความรู้ที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดของพวกท่านว่า “นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว, พระหรรษทานอันวิเศษยังหลั่งมาสู่บรรดานักบุญในสวรรค์อีกด้วย เพราะพวกเขาไม่เพียงรู้จักผู้ที่พวกเขาเคยรู้จักในโลกนี้เท่านั้น แต่ยังรู้จักผู้ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย และสนทนากับพวกเขาในลักษณะที่คุ้นเคยราวกับว่าเคยเห็นและรู้จักกันในอดีตกาล ดังนั้น เมื่อพวกเขาจะได้เห็นปิตาจารย์ในสมัยโบราณในสถานที่แห่งความสุขชั่วนิรันดร์นั้น พวกเขาจะรู้จักท่านด้วยสายตา ราวกับว่าพวกเขารู้จักท่านอยู่เสมอในชีวิตบนโลกและการสนทนาของพวกเขาก็เกิดขึ้น เพราะพวกเขาเห็นว่าในสถานที่นั้น พวกเขากระทำด้วยความสดใสที่ไม่อาจบรรยายได้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคน มองดูพระเจ้าเถิด มีอะไรอีกบ้างที่พวกเขาไม่รู้ พวกเขาจะได้รู้จากพระองค์ผู้ทรงรู้ทุกสิ่ง”
 
ในขณะเดียวกัน นักบุญท่านอื่นๆ ก็ได้ให้ภาพนิมิตและคำบรรยายเกี่ยวกับสวรรค์ที่น่ายินดีในลักษณะเดียวกัน:
 
นักบุญออกัสติน: “ที่นั่น ความดีจะอยู่อย่างเป็นระเบียบในตัวเรา,จนเราไม่มีความปรารถนาอื่นใดนอกจากจะอยู่ที่นั่นชั่วนิรันดร์”
 
นักบุญฟิลิป เนรี: “ถ้าเราเพียงแต่เราได้ไปสวรรค์เท่านั้น ช่างเป็นความอ่อนหวานและน่ายินดีเหลือเกินในการที่เราจะได้ประสานเสียงพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์และนักบุญว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์’”
 
นักบุญอันแซล์มแห่งแคนเทอร์เบอรี: “ไม่มีใครจะมีความปรารถนาอย่างอื่นในสวรรค์นอกจากสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และความปรารถนาของคนคนหนึ่งจะเป็นความปรารถนาของทุกคน และความปรารถนาของทุกคนและของแต่ละคนจะเป็นความปรารถนาของพระเจ้าเช่นกัน”
 
นักบุญยอห์น เวียนเนย์: “โอ พี่น้องที่รักของพ่อ ขอให้เราพยายามไปสวรรค์กัน! ที่นั่นเราจะได้พบพระเจ้า ความสุขมากเพียงใดที่เราจะรู้สึก! ถ้าสัตบุรุษทุกคนกลับใจ,เราจะไปที่นั่นพร้อมกับเป็นขบวนโดยคุณพ่อเจ้าอาวาสอยู่หัวขบวน … เราต้องไปสวรรค์ให้ได้!”
 
นักบุญเบอร์นาแด็ตต์ ซูบีรูส: “มงกุฎของฉันในสวรรค์จะเปล่งประกายด้วยความบริสุทธิ์ และดอกไม้ในนั้นควรเปล่งประกายดุจดั่งดวงอาทิตย์ การทำพลีกรรมคือดอกไม้ที่พระเยซูและพระแม่มารีย์ทรงเลือก”
 
นักบุญโทมัส มอร์: “โลกไม่มีความโศกเศร้าใดที่สวรรค์รักษาไม่ได้”
 
สวรรค์เป็นสถานที่ที่สวยงาม และเราทุกคนควรพยายามไปให้ถึง แต่คำพูดที่ให้กำลังใจมากที่สุดเกี่ยวกับ “สวรรค์” มาจากนักบุญเทเรซาแห่งลิซีเออร์ “ดอกไม้น้อย” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้สวรรค์จะงดงามเพียงใด พระเจ้าก็ยังทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทรงมีบุตรของพระองค์อยู่ด้วย “พระเจ้าไม่ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ทุกวันเพื่อมาประทับในจานลองศีลทองคำ พระองค์เสด็จมาเพื่อพบกับสวรรค์อีกแห่งที่พระองค์รักยิ่งนัก—สวรรค์แห่งวิญญาณของเรา ซึ่งสร้างขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระองค์ วิหารที่มีชีวิตของพระตรีเอกภาพที่น่ารัก”
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พิจารณาถึงสวรรค์บ่อยๆ

 


เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณของเรามากในการคิดและฝันถึงสวรรค์ โดยการพิจารณาใคร่ครวญว่าสวรรค์จะเป็นอย่างไร,จะสวยงามและสมบูรณ์แบบเพียงใด 
 
พวกเราส่วนใหญ่มักไม่ค่อยคิดนึกถึงสวรรค์และความสุขที่เราจะประสบในอ้อมพระอุระอันเป็นนิรันดร์ของพระบิดา
 
นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะการนึกถึงสวรรค์สามารถเป็นแรงผลักดันที่ทรงพลังในชีวิตนี้ของเราบนโลกได้ โดยผลักดันให้เราเดินหน้าต่อไปในการปฏิบัติคุณธรรมความดี
 
ยิ่งเรานึกถึงสวรรค์มากเท่าไร เราก็ยิ่งต้องการไปที่นั่นมากขึ้นเท่านั้น
 
สวรรค์จะเป็นอย่างไร?
 
นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ กระตุ้นให้คริสตชนคิดถึงสวรรค์ในหนังสือคำแนะนำสู่ชีวิตศรัทธา โดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่งดงามที่สุดบนโลก:
 
[นำมาสู่จิตใจ] ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ จงมองดูท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดาวดาราจำนวนมากมายมหาศาล แล้วคิดถึงความงามที่ท่านเคยเห็นในฤดูใบไม้ผลิที่สดชื่น ความสว่างเจิดจ้าของดวงอาทิตย์สะท้อนให้เห็นในความสวยสดงดงามของดวงจันทร์และหมู่มวลดารา ความงามเหล่านี้,จะเทียบกับความสง่ารุ่งโรจน์แห่งสวรรค์ไม่ได้เลย โอ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเจิดจรัส โอ สถานที่อันรุ่งโรจน์สวยงามและน่าพิศมัย
 
แล้วท่านนักบุญก็เปลี่ยนจุดสนใจของเราจากความสวยงามของสวรรค์ไปที่ความรุ่งโรจน์ของทุกคนที่อาศัยอยู่ในนั้น:
 
จงพิจารณาถีงความงดงามสมบูรณ์ของผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ซึ่งมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน พร้อมด้วยมวลหมู่เหล่าทูตสวรรค์นับล้านล้านองค์ เครูบิมและเซราฟิม ความรุ่งโรจน์ของบรรดาอัครสาวก มรณะสักขี,เหล่าพรหมจรรย์,นักบุญ โอ บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผู้เป็นสมาชิกในสหพันธ์อันรุ่งเรือง การได้เห็นพวกท่านเหล่านั้นจะทำให้เกิดความชื่นชมยินดีสักเพียงไร เราจะได้ส่งเสียงร้องเพลงอันไพเราะกับพวกท่าน บทเพลงอันไพเราะของพระชุมพา! พวกท่านชื่นชมยินดีด้วยความยินดีจากดวงใจ พวกท่านจะแบ่งปันความยินดีที่ไม่อาจพรรณนาและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
 
แม้ว่าสิ่งนี้จะดูรุ่งโรจน์ แต่ก็เทียบไม่ได้กับการอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า:
 
จงพิจารณาเถิดว่า พวกท่านมีความชื่นชมยินดีมากล้นสักเพียงไรเมื่อได้เห็นพระเป็นเจ้า พระผู้ทรงทำให้ความยินดีของพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยการประจักษ์มาของพระองค์ พระผู้ทรงเป็นมหาสมุทรแห่งความยินดีอันสมบูรณ์ ความยินดีที่พวกท่านจะได้ชิดสนิทกับพระองค์ตลอดไป พวกท่านเป็นเหมือนวิหคที่เริงร่า บินฉวัดเฉวียนและส่งเสียงร้องบรรเลงในความศักดิ์สิทธิ์อยู่ชั่วนิรันดร์ หัวใจท่านเต็มเปี่ยมด้วยความสุขเหลือล้น แต่ละท่านร้องบรรเลงเพลงสรรเสริญองค์พระผู้สร้าง “จงสรรเสริญพระองค์เสมอไปชั่วนิรันดร” โอ พระเป็นเจ้าสุดที่รักและพระผู้ไถ่ พระองค์ทรงประทานพระเกียรติรุ่งโรจน์ของพระองค์แก่พวกเราด้วยพระทัยอิสระ “พวกเขาต่างร้องสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกัน และพระองค์, ขณะที่ทรงผินพระพักตร์มา , ทรงหลั่งพร่างพรมพระพรอันมิรู้หมดสิ้นมายังบรรดานักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์” – “เราอวยพรพวกท่านทั้งหลาย ผู้เป็นของเราตลอดไปชั่วนิรันดร เพราะท่านได้รับใช้เราอย่างสัตย์ซื่อและกล้าหาญ”
 
นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์เชื่อว่าหลังจากการพิจารณาใคร่ครวญเกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ของสวรรค์แล้ว เราควรได้รับแรงบันดาลใจให้ตรวจสอบชีวิตของตนเองและขจัดสิ่งใดก็ตามที่จะขัดขวางเราไม่ให้เข้าถึงความสุขชั่วนิรันดร์
 
สวรรค์เป็นสถานที่ที่สวยงามอย่างแน่นอนในการคิดพิจารณาของเรา แต่หากเราต้องการที่จะไปอยู่ที่นั่นสักวันหนึ่ง เราต้องกระทำในเวลานี้เพื่อให้แน่ใจว่าใจของเราเปิดรับพระหรรษทานของพระเจ้าในวันที่เราตาย
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2024 ผู้ที่เป็นใหญ่ในสวรรค์

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 10:35-45 
(35)ยากอบและยอห์น บุตรของเศเบดี เข้ามาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าทั้งสองปรารถนาให้พระองค์ทรงกระทำตามที่ข้าพเจ้าจะขอนี้” (36)พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านปรารถนาให้เราทำสิ่งใด” (37)ทั้งสองทูลตอบว่า “ขอโปรดให้ข้าพเจ้าคนหนึ่งนั่งข้างขวา อีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์เถิด” (38)พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้ไหม หรือรับการล้างที่เราจะรับได้หรือไม่” (39)ทั้งสองทูลว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ถ้วยที่เราจะดื่มนั้น ท่านจะได้ดื่ม และการล้างที่เราจะรับนั้น ท่านก็จะได้รับ (40)แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้” 
(41)เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธยากอบและยอห์น (42)พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกเขาทั้งหมดมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่า คนต่างชาติที่คิดว่าตนเป็นหัวหน้าย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้เป็นใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ (43)แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น (44)และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน (45)เพราะบุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์”
******************
 
 
 
มีพ่อคนไหนอยากเห็นลูกของตนล้มเหลวบ้างไหม ทุกคนต่างก็อยากเห็นลูกของตนประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาของเราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงสร้างเรามาก็เพื่อให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ล้มเหลว
 
แต่ที่เป็นปัญหาของเราวันนี้ก็คือ อะไรคือความสำเร็จ และอะไรคือความล้มเหลว ?
 
สำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึงยากอบและยอห์นในพระวรสารวันนี้ด้วย ความสำเร็จก็คือการได้เป็นใหญ่ ได้เป็นเจ้าคนนายคน อย่างที่พระเยซูเจ้าตรัสวันนี้ว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่า คนต่างชาติที่คิดว่าตนเป็นหัวหน้าย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้เป็นใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ”
 
ด้วยมีความคิดอยากเป็นใหญ่เหนือคนอื่นนี่แหละ ยากอบกับยอห์นจึงเข้าไปหาพระเยซูเจ้า ไม่ใช่เพื่อขอให้ได้เข้าสู่พระอาณาจักรของพระองค์ แต่เพื่อขอให้คนหนึ่งได้นั่งข้างขวา อีกคนหนึ่งได้นั่งข้างซ้ายของพระองค์
 
พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนพวกเขาให้เข้าใจความหมายใหม่ของคำว่า“สำเร็จ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตจริงของพระองค์ และเป็นไปตามคำทำนายของประกาศกอิสยาห์
 
อิสยาห์ได้ทำนายถึงพระองค์ไว้ในบทอ่านที่หนึ่งว่า “พระยาห์เวห์พอพระทัยให้เขา(พระเยซูเจ้า)ถูกขยี้ด้วยความทุกข์ทรมาน เมื่อเขามอบตนเพื่อชดเชยบาป... พระประสงค์ของพระยาห์เวห์จะสำเร็จไปอาศัยเขา” และเมื่อเขาทำให้พระประสงค์ของพระยาห์เวห์สำเร็จแล้ว “เขาจะได้เห็นแสงสว่างและจะพอใจ” อีกทั้ง “จะนำความชอบธรรมมาให้แก่คนจำนวนมาก”
 
เพราะฉะนั้น สำหรับพระเยซูเจ้า ความสำเร็จก็คือการที่คนคนหนึ่งค้นพบและตระหนักถึงพระประสงค์ของพระเจ้า แล้วทำให้พระประสงค์นี้สำเร็จลุล่วงเป็นจริง
 
ตามความคิดของพระองค์ คนคนหนึ่งเมื่อเกิดมา ไม่ใช่นึกอยากจะเป็นอะไรก็ได้ แต่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับเราแต่ละคนไว้ล่วงหน้าแล้ว เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเขียน Job Description ให้กับตนเอง แต่พระเจ้าทรงเขียน Job Description พร้อมกับมอบคุณสมบัติที่จำเป็นทั้งทางร่างกายและทางสติปัญญาให้แก่เราแล้วตั้งแต่เกิด เพื่อเราจะได้ทำให้ Job หรือทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จเป็นจริง
 
ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดีก็คือกรณีของแม่พระ Job Description ที่พระเจ้าประสงค์จะให้แม่พระทำก็คือการเป็น “แม่” ของพระบุตรของพระองค์ และพระเจ้าก็ทรงเตรียมแม่พระเป็นพิเศษให้พร้อมสำหรับงานนี้ ชนิดที่ไม่มีทางที่สตรีคนใดจะทำได้อาศัยความพยายามและความทะเยอทะยานของตนเอง
 
และเพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับยากอบและยอห์นว่า “การจะนั่งข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้”
 
แต่ทั้งนี้คำว่า “ผู้ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้” มิได้หมายความว่าพระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้ผู้หนึ่งประสบความสำเร็จ อีกผู้หนึ่งประสบความล้มเหลว ให้คนหนึ่งไปสวรรค์ อีกคนหนึ่งไปนรก เราเรียกความคิดทำนองนี้ว่า determinism ซึ่งพระศาสนจักรไม่ยอมรับ
 
ส่วนความคิดที่ถูกต้องก็คือ พระเจ้าทรงเตรียมความสำเร็จไว้ให้เราทุกคนล่วงหน้าแล้ว แต่เราจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับว่าเราจะร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้าอย่างไร พระองค์ทรงให้อิสระแก่เราว่าจะร่วมมือกับพระพระองค์หรือไม่ (predestination)
 
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมพระเจ้าซึ่งทรงเตรียมแม่พระไว้ล่วงหน้าแล้ว ให้เป็น “แม่” ของพระผู้ไถ่ ยังต้องส่งทูตสวรรค์ไปแจ้งข่าวเพื่อขอรับความสมัครใจจากแม่พระด้วย
 
และก็เป็นแม่พระนี่แหละที่เป็นตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะแม่พระตอบทูตสวรรค์ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” (ลก 1:38) และแม่พระไม่ได้แค่พูด “เยส” หรือทำหน้าที่แค่ให้กำเนิดพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่แม่พระทรงทำหน้าที่ของแม่อย่างดีที่สุดจวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพระเยซูเจ้า
 
และรางวัลแห่งความสำเร็จของแม่พระก็คือการได้รับเกียรติยกขึ้นสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ !
 
ตรงกันข้ามกับแม่พระก็คือยากอบกับยอห์น ทั้งสองเป็นตัวแทนความคิดของคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ ที่มองว่าตนนึกจะเป็นอะไรก็ได้ พระเจ้าไม่เกี่ยว ความคิดเช่นนี้มันทำให้เรามีความทะเยอทะยานและแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน
 
ส่วนคำสอนของพระเยซูเจ้าเรื่องความสำเร็จนั้น มันกระตุ้นให้เราแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าและร่วมมือกัน
 
คำสอนนี้ยังทำให้หัวใจของเราเป็นสุขที่ได้รับรู้ว่า ทุกคนล้วนประสบความสำเร็จได้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้กับเราแต่ละคนแตกต่างกัน
 
ความทะเยอทะยานของเราจึงควรเป็นการค้นให้พบพระประสงค์ของพระเจ้า และดำเนินชีวิตเพื่อทำให้พระประสงค์นั้นเป็นจริง เพราะนี่คือความสำเร็จที่แท้จริง !
 
ตรงกันข้าม หากเราแข่งขันกันเพื่อจะบรรลุความใฝ่ฝันเดียวกัน คือทุกคนต่างก็ต้องการเป็นที่หนึ่ง นี่แหละคือความล้มเหลว และก็เป็นความล้มเหลวที่ทำให้ทั้งยากอบและยอห์นต้องมีปัญหากับบรรดาอัครสาวกที่เหลือ !
 
วันนี้จดหมายถึงชาวฮีบรูลงเอยว่า “ดังนั้น เราจงเข้าไปสู่พระบัลลังก์แห่งพระหรรษทานด้วยความมั่นใจเพื่อรับพระกรุณา และพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เราต้องการ”
 
เพราะฉะนั้น วันนี้ ขอให้เราอย่าหลบหน้าจากพระองค์เหมือนอย่างอาดัมและเอวาหลังจากรู้ว่าทำผิด แต่ขอให้เราเข้ามาหาพระองค์เพื่อพระองค์จะได้ประทานพระหรรษทานช่วยเราให้กลับมาเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ เป็นผู้ยิ่งใหญ่แท้จริง และเป็นที่หนึ่งในดวงใจของพระองค์ ด้วยการทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่นตามพระประสงค์ของพระองค์
 
***************************


วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ฟาติมา สิ่งที่ซ่อนอยู่

 


วันที่ 13 ตุลาคม เป็นวันครบรอบ 107 ปีของการประจักษ์ที่ฟาติมาและอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์
 
หลายคนยังไม่รู้เรื่องราวที่น่าสนใจและซ่อนเร้นเกี่ยวกับฟาติมา แม้ว่าจะมีการพูดถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้งจนดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้นก็ตาม
 
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่ามีปรากฏการณ์ลึกลับเกิดขึ้นที่ฟาติมา รวมถึงเมืองใกล้เคียง (รวมถึงการประจักษ์ของอัครทูตสวรรค์มีคาแอล) ก่อนที่พระแม่มารีย์จะประจักษ์มาในปี 1917
 
(ตัวอย่างหนึ่งก็คือ: ในช่วงปี 1400 ก่อนการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมา,เด็กหญิงหูหนวกคนหนึ่งจากหมู่บ้านใกล้เคียงอีกแห่งชื่อ Casal Santa Maria ซึ่งอยู่ห่างจากฟาติมาประมาณหนึ่งไมล์ครึ่ง ได้เห็นพระแม่มารีย์เหนือพุ่มไม้ Ortiga แม่พระทรงยิ้มและขอร้องเด็กหญิงเรื่องหนึ่ง พระนางทรงถามเด็กหญิงที่ได้ยินในทันทีว่าพระนางทรงต้องการลูกแกะตัวหนึ่งของเธอ นั่นเป็นการทดสอบการเชื่อฟัง ทันใดนั้น เด็กหญิงก็พูดได้ราวกับว่าเธอไม่เคยหูหนวกมาก่อน )
 
และหลายคนคงไม่ทราบว่ามีน้ำพุอัศจรรย์ที่เกี่ยวข้องกับฟาติมาด้วย ไม่ เราไม่ได้กำลังสับสนกับที่ลูร์ด
 
โซลต์ อาราดี เขียนไว้ในหนังสือของเขา Understanding Miracles ว่า "มิสซาครั้งแรกที่โควา ดา อีเรีย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 1921 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1921 น้ำพุเริ่มไหลที่บริเวณที่แม่พระทรงประจักษ์" ปัจจุบันมีการเก็บรวบรวมน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่น้ำพุ
 
ในศตวรรษที่ 14 ประมาณปี 1380 พบน้ำพุอัศจรรย์อีกแห่งใกล้กับอัลจูบาโรตา Aljubarrota [ห่างจากฟาติมาประมาณ 15 ไมล์] และเกี่ยวข้องกับหญิงยากจนชื่อคาทารินา อาเนส Catarina Anes ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ วันหนึ่งแคทารินาได้ไปที่ป่าบนภูเขาแห่งหนึ่งชื่อ Valle de Deus เพื่อหาฟืน และเมื่อได้ยินเสียงนั้น ซึ่งเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เสนอตัวจะช่วยเหลือเธอ ต่อมาเมื่อแคทารินาขึ้นไปบนยอดเขาตามคำสั่งของเสียงนั้นและขุดหลุม ก็ปรากฏน้ำพุใสราวกับคริสตัล “จงไปบอกชาวบ้านในหมู่บ้านของลูกว่าที่นี่พวกเขาจะพบยารักษาโรคทั้งหมด” หญิงผู้นั้นกล่าว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นพระแม่มารีย์ (จากหนังสือ The Last Secret)
 
แต่อัศจรรย์ที่สำคัญที่สุดก็คือวันที่ 13 ตุลาคม 1917 “เป็นอัศจรรย์ที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดจนไม่มีอัศจรรย์ใดที่มีบันทึกไว้เทียบได้ตั้งแต่โบราณมา” หนังสือดังกล่าวบอกว่า “มีผู้คนนับหมื่นในทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ความเชื่อหรือไม่มีความเชื่อก็ตาม ปรากฏตัวที่นั่นทั้งหมด 70,000 คน พวกเขาได้ยินเสียงฟ้าร้อง เห็นฟ้าแลบ และสังเกตเห็นการแยกตัวของเมฆ
 

“เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ มีเพียงเด็กๆ เท่านั้นที่มองเห็นแม่พระ และมีเพียงเด็กๆ เท่านั้นที่ได้ยินแม่พระตรัส แต่ขณะที่เด็กๆ ฟังแม่พระตรัสอยู่นั้น ฝูงชนก็ได้เห็นสิ่งอื่น หลังจากฝูงชนสวดสายประคำแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้มก็เปิดออก และดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า,สีฟ้าใส ทันใดนั้นก็เริ่มสั่นไหวและหมุนตัวอย่างรวดเร็วเหมือนล้อไฟขนาดใหญ่ ปล่อยรังสีแสงยาวๆ ออกมาซึ่งทำให้พื้นโลกมีสีสัน [ภาพจริง ด้านล่างที่มีผู้ถ่ายไว้] ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นเวลาสิบนาที และสามารถมองเห็นได้ในระยะทางยี่สิบห้าไมล์ จากนั้นดวงอาทิตย์ก็หลุดออกจากท้องฟ้าและพุ่งลงมาในอากาศโดยตรงเหนือผู้คน พวกเขาคุกเข่าลงทันที ร้องขอการอภัยบาปของพวกเขา นักจิตวิทยาบอกว่าการสะกดจิตหมู่และภาพหลอนไม่สามารถทำให้ผู้คนถึง 70,000 คนเห็นพร้อมกันได้ นักวิจารณ์ที่เคร่งขรึมเชื่อว่าอัศจรรย์นี้อาจชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ในอนาคต (ตามความลับข้อที่สามจบลงด้วยการแสดงให้เห็นว่ามีทูตสวรรค์ปรากฏมาพร้อมที่จะเผาทำลายโลก) หรือเป็นเพียงการยืนยันถึงการประจักษ์ของแม่พระเท่านั้น (และคล้ายกับศีลมหาสนิทซึ่งเด็กๆเห็นพร้อมกับทูตสวรรค์ก่อนที่แม่พระจะทรงประจักษ์ครั้งแรก)
 
นี่อาจเป็นรูปภาพอัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่มีผู้ถ่ายไว้ได้ The Truth Behind the Popular Photo
 
ตั้งแต่นั้นมา ก็มีรายงานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ในหลายๆ สถานที่และสถานที่ที่เชื่อว่ามีปรากฏการณ์ดังกล่าว เช่นที่เบทาเนีย ประเทศเวเนซุเอลา แต่ไม่มีแห่งใดเกิดขึ้นมากกว่าเมดจูกอร์เรจ์ในประเทศบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา ซึ่งผู้คนหลายร้อยหรือหลายพันคน (บางทีอาจรวมถึงหลายล้านคนในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา) ได้เห็นดวงอาทิตย์ส่องแสงเป็นเส้นหลากสี เต้นบนท้องฟ้า เคลื่อนที่ พุ่งลงสู่พื้นโลก (แบบเดียวกับฟาติมา) หรือกลายเป็น "ดวงอาทิตย์" สองดวงตั้งแต่ปี 1981 ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้รับการรายงานเป็นประจำทุกวันตั้งแต่ปี 1981 และยังคงมีรายงานอยู่ที่นั่น
 
[resources: Books on Fatima and The Last Secret]
 

************************
 

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

รู้สึกท้อแท้เมื่อแพ้ต่อการประจญหรือ?

 


บางครั้งเราอาจท้อแท้เมื่อความพยายามละทิ้งบาปและพยายามดำเนินชีวิตที่ศรัทธา  แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และกลับไปสู่ชีวิตเดิมๆอีก ตัวอย่างเช่น คนที่พยายามไม่โกรธเกลียดคนบางคน หรือคนที่ชอบพูดจาว่าร้ายผู้อื่น ฯลฯ
 
มีอุปสรรคมากมายในชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราพยายามปรับปรุงการดำเนินชีวิตของเราและเริ่มก้าวหน้าในคุณธรรม แต่แล้วเราก็หวนกลับไปสู่พฤติกรรมเก่าๆ ทำให้เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคริสตชนที่ดีได้
 
เราอาจรู้สึกท้อแท้และหมดหวังเมื่อพบกับความล้มเหลว
 
อย่างไรก็ตาม ในความปรารถนาที่จะเป็นคนดีสมบูรณ์แบบ เราต้องมีความตั้งใจจริงและมั่นใจในพระเมตตาของพระเจ้า การชำระล้างจิตวิญญาณของเราบนโลกจะไม่สิ้นสุดลงจนกระทั่งเราตาย
 
นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ กล่าวถึงประสบการณ์นี้ในหนังสือคำแนะนำสู่ชีวิตศรัทธา:
 
“เราต้องกล้าหาญและอดทนในการดำเนินการนี้ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เห็นวิญญาณหนึ่งเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและท้อแท้ เพราะพวกเขาพบว่าตนเองยังคงตกอยู่ภายใต้ความไม่สมบูรณ์ครบครันหลังจากพยายามดำเนินชีวิตที่ศรัทธามาบ้างแล้ว และเกือบจะยินยอมต่อการประจญให้ยอมแพ้,สิ้นหวังและถอยหลัง”
 
ส่วนแรกของคำแนะนำของนักบุญคือ ให้มองสิ่งต่างๆในมุมมองที่เหมาะสมเสมอ ไม่มีใครกลายเป็นนักบุญได้ในทันที ในความเป็นจริงแล้ว ถนนสายนี้ยาวไกลมากและไม่สิ้นสุดลงจนกว่าจะถึงเวลาแห่งความตาย:
 
งานของการชำระล้างวิญญาณไม่สามารถสิ้นสุดลงได้ จงอย่าท้อแท้กับความไม่สมบูรณ์ครบครันของเรา ความสมบูรณ์ครบครันของเราอยู่ที่การต่อสู้กับการประจญเหล่านั้นอย่างขยันขันแข็ง และเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้โดยไม่เผชิญหน้ากับมัน หน้าต่อหน้า หรือเอาชนะได้โดยไม่พบเห็นสิ่งเหล่านั้นโดยตรง
 
แทนที่จะยอมแพ้เพราะความสิ้นหวัง เราควรปล่อยให้พระเจ้า,พระบิดา,ทรงช่วยเหลือพยุงเราขึ้นมา ปัดเป่าความท้อแท้ของเราออกไป และนำเรากลับมาสู่เส้นทางแห่งคุณธรรมอีกครั้ง
 
เราจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลมากขึ้นในใจ โดยตระหนักว่าเราสามารถก้าวหน้าได้ทีละเล็กทีละน้อย และก้าวไปข้างหน้าเสมอ
 
ความจริงอีกอย่างทางด้านจิตวิญญาณที่สำคัญที่ต้องจำไว้คือ พระเจ้าเป็นพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะรับเราไว้ในอ้อมแขนของพระองค์เสมอ
 
เมื่อใดก็ตามที่เราล้มลง เราก็ควรวิ่งเหมือนเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมอกอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า
 
#Catholic 4 Life
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบาป

 

บาปไม่ใช่สิ่งเหล่านี้
 
จากมุมมองของคาทอลิก
 
ในเทววิทยาคาทอลิก บาปเป็นการกระทำผิดโดยเจตนาต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์แตกร้าว
 
การทำความเข้าใจบาปไม่เพียงแต่ต้องรู้ว่าบาปคืออะไร แต่ยังต้องชี้แจงความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับบาปอีกด้วย
 
ข้อคิดเห็นเหล่านี้จะช่วยชี้แจงความเข้าใจผิดและทำให้เข้าใจเทววิทยาทางศีลธรรมในคำสอนคาทอลิกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
 
1. บาปไม่ใช่ความผิดพลาดหรือข้อผิดพลาด 
บาปไม่ใช่แค่ความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รู้หรืออุบัติเหตุ 
บาปที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับการไม่เชื่อฟังโดยเจตนาและการเลือกอย่างมีสติในการฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้า 
บาปเป็นมากกว่าความผิดพลาดในการตัดสินใจเลือกกระทำ แต่รวมถึงความตั้งใจที่จะปฏิเสธสิ่งที่ถูกต้องด้วย
 
---
 
2. บาปไม่ใช่การกระทำภายนอกเพียงอย่างเดียว 
บาปไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกระทำภายนอกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงความคิดและความปรารถนาภายในด้วย 
มัทธิว 5:28 กล่าวว่า “แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว” 
บาปเริ่มต้นที่ใจและความคิดก่อนที่จะเกิดขึ้นในการกระทำ
 
---
 
3. บาปไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนพระบัญญัติเท่านั้น 
บาปไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนพระบัญญัติเท่านั้น แต่ยังทำลายความสัมพันธ์อีกด้วย 
แก่นแท้ของบาปอยู่ที่การแตกแยกจากความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ 
บาปเป็นความผิดที่ขัดขวางความรักและความไว้วางใจที่เราได้รับเรียกให้ปลูกฝังกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
 
---
 
4. บาปไม่เหมือนกันสำหรับทุกคน 
บาปไม่เหมือนกันสำหรับทุกคนเสมอไป เนื่องจากความรับผิดชอบทางศีลธรรมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความรู้ เสรีภาพ และเจตนา 
ตัวอย่างเช่น ผู้ที่กระทำบาปโดยไม่รู้หรือถูกบังคับอาจไม่ต้องรับโทษทางศีลธรรมเท่ากับผู้ที่กระทำบาปโดยรู้ตัวและเต็มใจ
 
---
 
5. บาปไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจในตัวของมันเอง 
แม้ว่าการประจญล่อลวงจะน่าดึงดูดใจ แต่บาปเองไม่ได้น่าดึงดูดใจเลย  บาปนำไปสู่ความตายและความทุกข์ทางจิตวิญญาณในที่สุด 
สิ่งที่ดูน่าดึงดูดใจเกี่ยวกับบาปก็คือการดึงดูดใจด้วยความสุขหรือผลประโยชน์ชั่วคราวเพื่อปกปิดอันตรายที่ลึกซึ้งกว่าที่มันก่อให้เกิดกับจิตวิญญาณ
 
---
 
6. บาปไม่ใช่สิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ 
บาปไม่ใช่สิ่งที่ให้อภัยไม่ได้หากมีการกลับใจอย่างแท้จริง 
1 ยอห์น 1:9 กล่าวว่า "พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและทรงเที่ยงธรรม ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์จะทรงอภัยบาปของเรา และทรงชำระเราให้สะอาดจากความอธรรมทั้งปวง" 
พระเมตตาของพระเจ้ามีให้สำหรับทุกคนที่แสวงหาด้วยใจจริง
 
---
 
7. บาปไม่ใช่เพียงแนวคิดของมนุษย์เท่านั้น 
บาปไม่ใช่แนวคิดของมนุษย์ที่คิดค้นขึ้นเพื่อควบคุมพฤติกรรม 
บาปเป็นความจริงทางจิตวิญญาณที่หยั่งรากลึกในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า 
บาปเกี่ยวข้องกับการละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้าและความรักของพระเจ้าโดยเจตนา ซึ่งจะส่งผลชั่วนิรันดร์
 
---
 
8. บาปไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับการใช้ชีวิตอย่างไม่มีความผิด 
บาปไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้ามเพราะความเมตตาของพระเจ้า 
โรม 6:1-2 เตือนไม่ให้ทำบาปต่อไปโดยคิดว่าจะได้พระหรรษทานของพระเจ้ามากขึ้น 
แม้ว่าพระเจ้าจะทรงมีพระเมตตา แต่เราถูกเรียกให้พยายามดำรงชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แสวงหาประโยชน์จากการให้อภัยของพระองค์
 
---
 
9. บาปไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ 
แม้ว่ามนุษย์จะตกต่ำและมีความโน้มเอียงที่จะทำบาป แต่บาปไม่ใช่สภาพธรรมชาติของเรา 
เราถูกสร้างขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระเจ้าและถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ 
บาปกำเนิดทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ผิดเพี้ยน แต่ผ่านทางพระคริสต์ เราถูกเรียกให้กลับคืนสู่ความชอบธรรม
 
---
10. บาปไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมองเห็นได้เสมอไป 
บาปไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในที่สาธารณะเสมอไป บาปบางอย่างเกิดขึ้นอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงบุคคลที่กระทำและพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ 
แม้แต่บาปส่วนตัว เช่น ความอิจฉาหรือความเย่อหยิ่ง ก็ทำลายจิตวิญญาณและความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ 
สดุดี 139:2 เตือนเราว่าพระเจ้าทรงทราบแม้แต่ความคิดที่ซ่อนอยู่ในใจของเรา
 
---
 
11. บาปไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
แม้ว่าเราทุกคนจะเสี่ยงต่อบาป แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า, ศีลศักดิ์สิทธิ์, และชีวิตที่มีคุณธรรม เราสามารถต้านทานการล่อลวงและเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์ได้ 
1 โครินธ์ 10:13 รับรองกับเราว่าพระเจ้าจะไม่ยอมให้เราถูกทดลองเกินกำลังของเรา
 
---
 
12. บาปไม่ได้เป็นเพียงกฎเกณฑ์ทางศาสนาเท่านั้น 
บาปไม่ได้เกี่ยวกับการยึดมั่นตามกฎเกณฑ์ทางศาสนา 
พระเยซูทรงตำหนิพวกฟาริสีที่มุ่งเน้นไปที่ธรรมบัญญัติภายนอก แต่กลับละเลยความรัก ความเมตตา และความยุติธรรม (มัทธิว 23:23) 
บาปคือการฝ่าฝืนกฎแห่งความรัก—ไม่รักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ตามที่ถูกเรียก
 
---
 
13. บาปไม่ได้ไร้ซี่งผลสืบเนื่อง 
บาปไม่ได้ไร้ผลสืบเนื่อง แม้ว่าจะดูเหมือนไม่เป็นอันตรายก็ตาม 
โรม 6:23 สอนว่า "ค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความตาย" บาปทำให้เกิดการแยกทางฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า และหากไม่กลับใจ บาปอาจนำไปสู่การสูญเสียนิรันดร์ 
บาปทำร้ายทั้งตัวบุคคลและชุมชน แม้ว่าผลกระทบจะไม่ปรากฏชัดในทันที
 
---
 
14. บาปทุกอย่างไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นบาปหนักเสมอไป 
บาปไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบาปหนักเสมอไป แต่สามารถเป็นบาปเบาได้ 
พระศาสนจักรโรมันคาธอลิกแบ่งแยกระหว่างบาปหนักและบาปเบาตามความร้ายแรงของความผิด ความรู้ และอิสรภาพ 
บาปหนักจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับพระเจ้า ในขณะที่บาปเบาจะทำร้ายความสัมพันธ์นั้นแต่ไม่ได้ทำลายความสัมพันธ์นั้นทั้งหมด (1 ยอห์น 5:16-17)
 
---
 
15. บาปไม่คงอยู่ถาวรหากกลับใจแล้ว 
บาปไม่คงอยู่ถาวรเว้นแต่ว่าเราจะเลือกที่จะคงอยู่ในนั้น 
โดยผ่านทางศีลอภัยบาป (ศีลแห่งการคืนดี) คริสตชนคาทอลิกได้รับโอกาสในการคืนดีกับพระเจ้าและพระศาสนจักร 
อิสยาห์ 1:18 ประกาศว่า "แม้บาปของท่านเป็นสีแดงเหมือนผ้าสีเลือดหมู ก็จะขาวอย่างหิมะ"
 
---
 
บทสรุป:
 
ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับบาป
 
ในมุมมองของพระศาสนจักรคาทอลิก บาปเป็นความผิดทางจิตวิญญาณที่ร้ายแรงซึ่งเป็นมากกว่าการไม่เชื่อฟังหรือการฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ
 
บาปคือการละทิ้งพระเจ้าโดยเจตนา ทำลายจิตวิญญาณและความสัมพันธ์ของตนเองกับเพื่อนมนุษย์
 
โดยการเข้าใจว่าบาปไม่ใช่*สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา* คริสตชนคาทอลิกสามารถพัฒนาความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของบาปและผลที่ตามมา ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความปรารถนาอย่างจริงใจในการกลับใจ การคืนดี และการเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์
 
************************