วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน 2025 ยีนหยัดในพระคริสต์

 

โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ลูกา 21:5-19 
(5)ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า (6)‘สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย’ (7)เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น’ 
 (8)พระองค์ตรัสตอบว่า ‘จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา พูดว่า “ฉันเป็นพระคริสต์” และ “เวลากำหนดมาถึงแล้ว” อย่าตามเขาไป (9)เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย’ (10)แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า ‘ชาติหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง (11)แผ่นดินไหว โรคระบาดและความอดอยากอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า(12)‘แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะนำท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจะจองจำท่านในคุก เขาจะนำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา (13)และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา (14)จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาคำแก้ตัวไว้ก่อน (15)เราจะให้คำพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้ (16)บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย (17)ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา (18)แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว (19) ด้วยการยืนหยัดมั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้
******************
 
พี่น้องครับ เนื่องจากอาทิตย์หน้าก็จะเป็นอาทิตย์สุดท้ายของปีพิธีกรรมแล้ว บทอ่านของวันอาทิตย์นี้จึงเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก่อนวาระสุดท้ายหรือวันสิ้นโลกจะมาถึง
 
แม้เราจะไม่รู้ว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะพระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เรื่องวันและเวลานั้นไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น” (มธ 24:36)
 
แต่ถึงจะไม่รู้วันและเวลาว่าจะสิ้นโลกเมื่อใด กระนั้นก็ตามเรารู้แน่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าตรัสผ่านประกาศกมาลาคีในบทอ่านที่หนึ่งวันนี้ว่า “ดูซิ วันนั้นกำลังมาถึง... วันที่จะลุกไหม้เหมือนเตาอบ... วันที่ความเที่ยงธรรมของเราจะขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์”
 
บรรดาคริสตชนในยุคเริ่มแรกต่างพากันเฝ้ารอวันนั้น คือวันสิ้นโลกด้วยใจจดจ่อ จนไม่เป็นอันทำมาหากิน นักบุญเปาโลจึงต้องเตือนในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า “ถ้าผู้ใดไม่อยากทำงานก็อย่ากิน”
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรจะต้องเตรียมตัวอย่างไรสำหรับ “วันนั้น” ที่จะมาถึง?
 
หากเราต้องการจะเตรียมตัวอย่างดีสำหรับวันนั้น วันนี้เราต้องหันกลับมาทบทวนความคิดของเราเกี่ยวกับ “การนมัสการและการสรรเสริญพระเจ้า” เสียใหม่เพราะพระวรสารวันนี้ขึ้นต้นด้วยพระวิหารที่ถูกตกแต่งอย่างงดงาม
 
เกี่ยวกับการนมัสการและสรรเสริญพระเจ้านั้น มีความคิดสุดโต่งอยู่ 2 กลุ่ม
 
กลุ่มแรกคิดและสอนว่าพระเจ้าประทับอยู่ในจิตใจของเราทุกคนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปพบพระองค์ที่วัดเพื่อจะได้นมัสการและสรรเสริญพระองค์ พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ไปวัด
 
ถ้าเราเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ ก็อยากให้ลองแยกท่อนฟืนที่กำลังติดไฟลุกโชติช่วงออกจากกองไฟดูสิ เดี๋ยวเดียวมันก็จะมอดดับ แล้วก็คงเหลือไว้เพียงผงถ่านสีขาวที่ปกคลุมมัน
 
เช่นเดียวกัน เราจะรักษาไฟแห่งความเชื่อของเราไว้ให้ลุกโชติช่วงอย่างมั่นคงจนกว่าจะถึงวันนั้นได้ ก็จำเป็นที่เราจะต้องอยู่ร่วมกับพี่น้องชายหญิงที่มาชุมนุมนมัสการและสรรเสริญพระเจ้าพร้อมเพรียงกันในวัด เหมือนฟืนที่ต้องอยู่รวมกับกองฟืนที่ติดไฟ มันถึงจะลุกโชติช่วงอยู่ได้
 
อีกกลุ่มหนึ่งก็สุดโต่งเหมือนกัน กลุ่มนี้คิดตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก คือพวกเขามองว่าพระเจ้าประทับอยู่ในวัดและในพิธีกรรมต่างๆ เท่านั้น หากจะนมัสการพระเจ้าก็ต้องไปที่วัดสถานเดียว
 
หากเราเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ ก็ขอให้ฟังพระวรสารวันนี้ให้ดี นักบุญลูกาเล่าว่า มีบางคนซึ่งอาจเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าเองก็ได้ ที่ตื่นตะลึงกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งกษัตริย์เฮโรดมหาราชต้องใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 46 ปี
 
โยเซฟุส ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวยิว บรรยายไว้ว่า ภายนอกพระวิหารถูกเคลือบด้วยทองคำ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น มันจะสะท้อนแสงเจิดจ้าจนต้องหลบสายตา และหากมองจากระยะไกลมันจะเหมือนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เพราะส่วนที่ไม่ได้เคลือบทองคำล้วนขาวผ่องสะอาดตา และเมื่อเข้ามาในพระวิหาร ก็จะมองเห็นเสาระเบียงและเสาพระวิหารแต่ละต้นทำจากหินอ่อนก้อนเดียวสีขาวสูงถึง 40 ฟุตหรือ 12 เมตรซึ่งหายากและราคาแพงมาก เครื่องประดับที่มีชื่อเสียงที่สุดในพระวิหารก็คือเถาองุ่นทำด้วยทองคำแท้ แต่ละเถาสูงเท่าคน
 
สำหรับชาวยิว แม้แต่จะคิดก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่พระวิหารอันยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นนี้จะกลายเป็นกองเถ้าถ่าน
 
สำหรับคนกลุ่มนี้ พระวิหารคือที่ประทับเพียงแห่งเดียวของพระเจ้าบนโลกใบนี้ พวกเขาจึงตกแต่งพระวิหารให้สวยงามตระการตาเพื่อบ่งบอกถึงความเชื่ออันยิ่งใหญ่ของพวกเขา
 
แต่พระเยซูเจ้ากลับตรัสในพระวรสารวันนี้ว่า “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย”
 
ทำไมพระองค์จึงตรัสทำนายเช่นนี้ล่ะ?
 
เพื่อจะตอบคำถามนี้ เราต้องไม่ลืมว่าชาวยิวที่ช่วยกันก่อสร้างและประดับประดาพระวิหารของพระเจ้าให้สวยงามตระการตาเช่นนี้ก็คือชาวยิว ชนชาติเดียวกันกับที่ตรึงกางเขนพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า
 
ถ้าพวกเขามองเห็นพระเจ้าในท่ามกลางหินอ่อนและทองคำที่ใช้ประดับประดาพระวิหาร ทำไมพวกเขาจึงมองไม่เห็นพระเจ้าที่เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ มีเลือดมีเนื้อเหมือนพวกเราล่ะ?
 
เมื่อมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้านอกจากในพระวิหารเท่านั้น พระวิหารนี้จึงถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลองในปี ค.ศ. 70 โดยกองทัพโรมันสมัยจักรพรรดิ์ตีตัส ตามที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสทำนายไว้
 
น่าเสียดายที่พระศาสนจักรในสมัยกลาง ก็เคยเดินตามรอยของชาวยิว มีการลงทุนสร้างมหาวิหารและวัดวาอารามด้วยราคาแพงลิบลิ่ว แต่ชีวิตและสิทธิมนุษยชนกลับมีราคาตกต่ำดำดิ่ง มีการค้าทาส มีสงครามศาสนาที่เรียกกันว่าสงครามครูเสด มีการทรมานคน มีการฆ่า มีการเผาไฟคนที่ถูกสงสัยว่าเป็นแม่มด หรือสอนผิดความเชื่อ เป็นต้น
 
พี่น้องครับ เป็นไปได้มั้ยว่า เรายิ่งยกย่องวัดวาอารามว่าเป็นบ้านของพระเจ้ามากเท่าใด เราก็ยิ่งให้คุณค่าของมนุษย์ซึ่งเป็นฉายาของพระเจ้าลดน้อยลงเท่านั้น?
 
คำถามนี้เราไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะความเชื่อของเราเรียกร้องให้เราตระหนักอยู่เสมอว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ทั้งในตัวเรามนุษย์แต่ละคน และในวัดวาอารามด้วย
 
นักบุญเปาโลบอกชาวโครินธ์ว่าพวกเขามีความศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับพระวิหารเพราะร่างกายของพวกเขาก็คือพระวิหารของพระจิตเจ้านั่นเอง นักบุญเปาโลกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้าทรงพำนักอยู่ในท่าน” (1 คร 3:16) “ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน ท่านได้รับพระจิตนี้จากพระเจ้า” (1 คร 6:19)
 
เพราะฉะนั้น คริสตชนที่มองเห็นพระเจ้าในความยิ่งใหญ่ตระการตาของพระวิหารหรือวัดวาอารามต่างๆ จึงเข้าใจความจริงเพียงครึ่งเดียว ส่วนคนที่คิดว่าพระเจ้าประทับอยู่ในร่างกายของเราแล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปนมัสการและสรรเสริญพระองค์ที่วัดอีกต่อไป คนพวกนี้ก็เข้าใจความจริงเพียงครึ่งเดียวอีกเหมือนกัน
 
เพราะฉะนั้น เพื่อจะเตรียมตัวเราให้ดีที่สุดสำหรับ “วันนั้น” ซึ่งก็คือวันสิ้นโลก เราต้องพยายามมองให้เห็นและรับใช้พระเจ้าทั้งในวัดเวลาเรามาชุมนุมกันนมัสการพระองค์ และในตัวเพื่อนมนุษย์แต่ละคนหลังจากเรานมัสการพระองค์และออกไปจากวัดแล้วด้วย
 
เราต้องไม่ลืมว่า เรารักและปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เพราะพวกเขาประพฤติตนดีสมควรได้รับ แต่เป็นเพราะพระจิตเจ้าที่ทรงประทับอยู่ในตัวเขาต่างหากที่สมควรได้รับ
 
ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าโปรดให้เราเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันนั้นที่พระองค์จะเสด็จมาพิพากษาเราทุกคน ด้วยการดำเนินชีวิตรักและรับใช้พระองค์ผู้ทรงประทับอยู่ทั้งในวัดและในมนุษย์เราแต่ละคนด้วยเทอญ
 
***************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น