วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฏาคม 2024 อัครสาวกกลับมารายงาน

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 6:30-34 
(30)บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้าและทูลรายงานให้ทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำและได้สอน (31)พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด” เพราะมีคนไปมาจนเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินอาหาร (32)พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปยังที่สงัดพร้อมกับบรรดาอัครสาวก (33)ประชาชนหลายคนเห็นพระเยซูเจ้ากับบรรดาอัครสาวกแล่นเรือออกไป ก็คาดคะเนได้ว่า พระองค์จะทรงไปที่ใด จึงรีบเดินเท้าออกจากเมืองต่าง ๆ ไปที่นั่นและไปถึงก่อน (34)เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง
******************
 
 
 
ดูเหมือนพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้จะเห็นแก่ตัว เพราะทั้งๆ ที่มีฝูงชนมากมายมารอรับความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์กลับหันหลังให้พวกเขา แล้วพาบรรดาอัครสาวกหลบไปหาที่สงัดเพื่อจะได้พักผ่อนกันตามลำพัง
 
แต่เบื้องหลังที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระวรสารวันนี้ก็คือ ก่อนหน้านี้ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกทั้งสิบสองคนออกไปประกาศข่าวดีเป็นคู่ๆ ดังที่เราได้ฟังในพระวรสารเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว
 
วันนี้ นักบุญมาระโกเล่าว่า “บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้า และทูลรายงานให้ทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำและได้สอน”
 
พร้อมๆ กับการกลับมาของบรรดาอัครสาวกก็คือฝูงชนจำนวนมากที่ประสบปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ จนว่าพวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหาร (มก 6:31)
 
พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเราตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด”
 
เพื่อจะแสวงหาสถานที่เงียบสงัด “พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปพร้อมกับบรรดาอัครสาวก” โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ฟากตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี
 
จากจุดที่พระองค์เสด็จลงเรือจนถึงอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบมีระยะทางประมาณ 6.5 ก.ม. แม้ว่าการเดินเท้าเลียบชายฝั่งไปทางเหนือของทะเลสาบจะมีระยะทางประมาณ 16 ก.ม. ซึ่งไกลกว่าการเดินทางโดยเรือมาก แต่กรณีที่เกิดลมพัดแรงจัดหรือพัดสวนทางกับเรือ ผู้ที่เดินทางเท้ามักจะมาถึงจุดหมายปลายทางก่อนผู้ที่มาทางเรือ
 
และนี่คือสิ่งที่บังเอิญเกิดขึ้นจริง เพราะ “เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นจากเรือ ก็ทรงแลเห็นประชาชนมากมาย”
 
พี่น้องครับ เรื่องราวในพระวรสารวันนี้ ทำให้เราเห็นภาพที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน 2 ด้านของพระเยซูเจ้า
 
ภาพแรก เราเห็นพระองค์เป็นคนแข็ง ไม่ยอมงอ ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกที่จะสงสารฝูงชนด้วยซ้ำไป พระองค์หันหลังให้กับฝูงชนมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์
 
ภาพที่สอง นักบุญมาระโกเล่าว่า “เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง”
 
ภาพนี้พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่สงสารและเอาใจใส่ทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์พร้อมที่จะเปลี่ยนแผนการที่ตั้งใจไว้และยกเลิกการพักผ่อนที่พระองค์สมควรจะได้รับ แล้วหันมาเอาใจใส่ฝูงชนที่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือทั้งๆ ที่ไม่สมควรจะทำในยามนี้ที่พระองค์ก็ต้องการความเป็นส่วนตัวและต้องการการพักผ่อนเหมือนกับคนทั่วๆ ไป
 
ตกลงแล้วพระเยซูเจ้าเป็นคนเช่นใด?
 
พวกเราส่วนใหญ่ เมื่ออ่านพระคัมภีร์แล้วมองเห็นภาพหรือบุคลิก 2 ด้านของพระเยซูเจ้าที่แตกต่างกันเช่นนี้ เราก็มักจะเลือกเอาด้านที่ตรงกับลักษณะนิสัยของตนเอง อย่างเช่นคนที่มีนิสัยเคร่งครัดก็มักจะมองว่าพระเยซูเจ้าเป็นคนเคร่งครัด มีระเบียบวินัยเหมือนตนเอง ส่วนคนที่ใจดี ใจบุญ วันนี้ก็จะมองพระองค์เป็นคนใจดี มีเมตตาต่อผู้อื่นเหมือนตนเองเช่นกัน
 
แต่พี่น้องคิดว่าพระคัมภีร์มีไว้เพียงเพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นตัวตนของตนเองแค่นี้หรือ?
 
หรือว่าพระคัมภีร์เป็นแค่เครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับนิสัยและวิถีดำเนินชีวิตของเราเท่านั้นเองหรือ?
 
อันที่จริง พระคัมภีร์มีไว้เพื่อเชิญชวนและท้าทายเราให้เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนนิสัย และเปลี่ยนวิถีดำเนินชีวิตของเรา ให้ละม้ายคล้ายพระเยซูเจ้า
 
ถ้าเราตั้งใจอ่านพระคัมภีร์เพื่อวัตถุประสงค์นี้ เราก็จะเห็นภาพของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้เป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากว่าพระองค์ทรงเปี่ยมล้นด้วยความเมตตาสงสาร นักบุญมาระโกเล่าว่า “เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง”
 
พระองค์ทรงสนพระทัยในความต้องการของผู้อื่นมากกว่าจะมัวแต่เรียกร้องสิทธิส่วนตัวของพระองค์ในอันที่จะพักผ่อน
 
นี่แหละคือ “ผู้เลี้ยงแกะที่ดี” ที่พระเจ้าทรงสัญญาผ่านทางประกาศกเยเรมีย์ในบทอ่านที่หนึ่งว่า “เราจะแต่งตั้งผู้เลี้ยงให้เลี้ยงดูเขา...” และนักบุญเปาโลเสริมในบทอ่านที่สองว่า “พระองค์คือสันติของเรา”
 
ใช่ ภาพแรกดูเหมือนพระเยซูเจ้าจะไม่ทรงเมตตาสงสารฝูงชนก็จริง แต่พระองค์ทรงเมตตาสงสารบรรดาอัครสาวก เพราะพวกเขาเหนื่อย ต้องการการพักผ่อน
 
ส่วนภาพที่สอง พระองค์ทรงเมตตาสงสารฝูงชน
 
ไม่มีครั้งใดเลยที่พระองค์จะทรงคิดถึงตัวพระองค์เอง พระองค์มีแต่เมตตาสงสารและก็เมตตาสงสาร !
 
พี่น้องครับ วันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้า โปรดทรงประทานจิตใจที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตาสงสารของพระองค์แก่เรา เพื่อเราจะได้รับรู้และตอบสนองความต้องการของผู้คนรอบข้างเรา และขอพระองค์โปรดให้เราพร้อมที่จะดำเนินชีวิตด้วยความเมตตาสงสาร แม้มันจะเรียกร้องให้เราต้องเปลี่ยนโปรแกรมวันหยุดพักผ่อนของเรา หรือต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่างบ้างก็ตาม
 
***************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น