โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์
มัทธิว 11:2-11
(2)ขณะที่ยอห์นถูกจองจำอยู่ในคุก เขาได้ยินข่าวกิจการของพระเยซูเจ้า จึงใช้ศิษย์ไปทูลถามพระองค์ว่า (3)“ท่านคือผู้ที่จะมาหรือเราจะต้องรอคอยใครอีก” (4)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น (5)คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนยากจนได้รับการประกาศข่าวดี (6)ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข” (7)ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังจะจากไป พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนเกี่ยวกับยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายไปดูอะไรในถิ่นทุรกันดาร ไปดูต้นอ้อไหวไปมาตามสายลมหรือ มิใช่เช่นนั้น (8)แล้วท่านไปดูอะไรเล่า ดูคนสวมเสื้อผ้าสวยงามหรือ คนที่สวมเสื้อผ้าสวยงามอยู่ในพระราชวัง (9)ถ้าเช่นนั้นท่านไปดูอะไร ไปดูประกาศกหรือ ถูกแล้ว เราบอกท่าน (10)และเหนือกว่าประกาศกเสียอีก ผู้นี้เองที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า
เราส่งทูตของเรานำหน้าท่าน
เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับท่าน
(11)“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในหมู่ผู้ที่เกิดจากหญิง ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ทำพิธีล้าง ถึงกระนั้น ผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น
******************
มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งอุทิศเวลาของตนให้กับงานของพระเจ้าด้วยการไปเยี่ยมคนเจ็บไข้ คนป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และคนพิการ อยู่มาวันหนึ่งหมอวินิจฉัยว่าหัวเขาของเธอมีปัญหา จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่การผ่าตัดก็ไม่ได้ช่วยให้อาการของเธอดีขึ้น เธอยังต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดและลุกเดินไม่ได้ เธอรู้สึกผิดหวังที่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ฟังคำภาวนาทั้งของเธอและของเพื่อนๆ ที่ช่วยกันวอนขอให้การผ่าตัดได้ผล เธอเปลี่ยนจากคนสดใสร่าเริงเป็นคนซึมเศร้า วันหนึ่งเธอไปปรึกษาพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปและเล่าให้พระสงฆ์ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณของเธอ พระสงฆ์แนะนำให้เธอสวดภาวนาและถามพระเยซูเจ้าว่าทำไมจึงทำกับเธอเช่นนี้ เธอทำตามคำแนะนำของพระสงฆ์ วันต่อมาพระสงฆ์พบเธอมีใบหน้าสงบสุข เธอพูดว่า “คุณพ่อรู้ไหมว่าพระองค์บอกอะไรดิฉัน? ตอนที่ดิฉันมองพระองค์บนไม้กางเขนแล้วเล่าเรื่องหัวเข่าที่เจ็บปวดให้พระองค์ฟัง พระองค์บอกดิฉันว่า ‘ของเราแย่กว่าอีก’”
พี่น้องครับ ยอห์นผู้ทำพิธีล้างก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับสุภาพสตรีผู้นี้ ยอห์นอุทิศเวลาทั้งชีวิตในทะเลทรายให้กับการเฝ้าคอยพระเมสสิยาห์ และยังเตรียมหนทางรับเสด็จพระองค์โดยการเรียกร้องประชาชนให้รับพิธีล้างเพื่อแสดงการกลับใจ แต่ตอนนี้ท่านกลับต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกเพราะไปตำหนิกษัตริย์เฮโรด พระเยซูเจ้าซึ่งเริ่มต้นภารกิจเปิดเผยในฐานะพระเมสสิยาห์แล้วก็ไม่เคยไปเยี่ยมท่านในคุกหรือส่งกำลังใจไปให้ท่านเลย ยอห์นยังได้ยินว่าพระองค์ทรงทำอัศจรรย์ด้วย แล้วทำไมพระองค์ไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ช่วยท่านออกจากคุก ประกาศกอิสยาห์ก็ทำนายไว้ไม่ใช่หรือว่าพระองค์จะทรงปลดปล่อยผู้ถูกจองจำให้เป็นอิสระ? ถ้าพูดกันตามประสามนุษย์ ยอห์นก็น่าจะเป็นคนแรกที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระเพราะท่านเป็นคนทำพิธีล้างให้กับพระเยซูเจ้า พระองค์ก็น่าจะตอบแทนยอห์นบ้าง ยอห์นจึงส่งศิษย์ไปหาพระเยซูเจ้า ทั้งถามทั้งเตือนพระองค์ว่า “ท่านคือผู้ที่จะมาหรือเราจะต้องรอคอยใครอีก”
คำตอบของพระองค์ก็คือ “ใช่ เราคือพระเมสสิยาห์จริงๆ แต่จงอย่าคลางแคลงใจในตัวเราหากมันไม่เป็นไปตามที่ท่านคาดหวัง !”
สาเหตุที่ยอห์นผิดหวังก็เพราะยอห์นคาดหวังผิดๆ ยอห์นคาดหวังว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาช่วยท่านให้พ้นคุก มาช่วยชาวยิวให้พ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของชาวโรมัน และกลับมายิ่งใหญ่ร่ำรวยมั่งคั่งเหมือนในสมัยของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความคาดหวังภายนอก
โชคร้ายที่ความคาดหวังเช่นนี้ยังคงสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ คือเราหวังแต่เรื่องภายนอกทั้งๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เห็นตลอดชีวิตของพระองค์ว่า เป้าหมายอันดับแรกที่พระองค์เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ก็คือเรื่องของความรอดพ้นซึ่งเป็นเรื่องของจิตใจและวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องของวัตถุสิ่งของหรือความยิ่งใหญ่มั่งคั่งภายนอก
จริงอยู่ พระองค์ทรงทำให้ “คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนยากจนได้รับการประกาศข่าวดี” (มธ 11:5) แต่อัศจรรย์ภายนอกเหล่านี้ ล้วนบ่งบอกถึงพระพรฝ่ายวิญญาณทั้งนั้น เพราะว่าจะมีประโยชน์อันใดที่ตาของเรามองเห็นและเท้าของเราเดินได้ แต่วิญญาณของเรากลับบอดมืดและง่อยเปลี้ยสิ้นเรี่ยวแรง เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณนี่แหละที่จะทำให้จิตใจของเราเข็มแข็งและส่งผลดีต่อร่างกายของเราซึ่งเป็นเรื่องรอง เรื่องแรกคือเรื่องของจิตวิญญาณ
มีชายตาบอดคนหนึ่งที่ผันตัวมาเป็นนักเทศน์ ฝูงชนจำนวนมากศรัทธาและฟังเขาเพราะแม้ตาของเขาจะบอดแต่เขาเริ่มเทศน์ทุกครั้งด้วยการประกาศว่า “ตาของข้าพเจ้าบอด แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามองเห็น”
อนึ่ง เมื่อเรารู้สึกว่าร่างกายภายนอกของเรากำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหมือนยอห์นผู้ทำพิธีล้าง ขอให้เราฟังนักบุญยากอบในบทอ่านที่สองวันนี้ “จงดูชาวนาเถิด เขาย่อมรอผลมีค่าจากแผ่นดินด้วยความพากเพียร รอจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู ท่านก็เช่นเดียวกัน จงมีความพากเพียร ทำจิตใจให้เข้มแข็งเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะเสด็จมาแล้ว” (ยก 5:7-8)
นักบุญยากอบนำเรื่องของธรรมชาติและเรื่องของชาวนา มาเป็นตัวอย่างเพื่อบอกเราว่าความพากเพียรอดทนเป็นสิ่งจำเป็น จริงอยู่ชาวนาต้องทนทุกข์เมื่อเริ่มหว่านเมล็ดข้าว ตอนฝนต้นฤดู แต่ก็เป็นชาวนาคนเดียวกันนี้เองที่ร่าเริงยินดีเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวตอนฝนปลายฤดู เพียงแต่ว่าระหว่างเริ่มต้นหว่านกับเก็บเกี่ยว มันเป็นช่วงเวลายาวนานที่ต้องรอคอยด้วยความพากเพียรอดทน อีกทั้งในสมัยโบราณ ระหว่างรอคอยนี้ก็มักจะเกิดความแห้งแล้งกันดารอาหารอีกด้วย จึงยิ่งต้องพากเพียรอดทนยิ่งขึ้นไปอีก กระนั้นก็ตามชาวนาก็ยังรอคอยด้วยความสุขเพราะมีความหวังว่าเมื่อฤดูเก็บเกี่ยวมาถึง เขาจะมีอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์
ดังนั้น ความพากเพียรอดทนจึงหมายถึง “การเข้าใจว่าความทุกข์ยากในขณะนี้เป็นสิ่งจำเป็นและมีความหมาย”
ในบทอ่านที่สอง นักบุญยากอบให้เหตุผลที่เราจะต้องเพียรทนว่าเป็นเพราะ “องค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้จะเสด็จมาแล้ว” ความรอดพ้นใกล้เข้ามาแล้ว
พี่น้องครับ เราต่างก็เฝ้าคอยพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกับยอห์นผู้ทำพิธีล้าง และเหมือนชาวนาเฝ้าคอยฤดูเก็บเกี่ยว คำถามก็คือ เทศกาลเตรียมรับเสด็จปีนี้ “เราคาดหวังอะไร?”
พระวรสารวันนี้เตือนใจเราว่า แม้เรายังจะคาดหวังสิ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างกายเช่นขอให้มีสุขภาพดี ขอให้ร่ำรวยวัตถุสิ่งของภายนอกจากพระองค์เหมือนยอห์นและเหมือนชาวนาได้ แต่สิ่งที่เราต้องคาดหวังเป็นอันดับแรกเหนือสิ่งอื่นใดก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณและความพากเพียรอดทนของเรา
พ่อขออวยพรให้ความคาดหวังด้านวิญญาณนี้เป็นจริงสำหรับพี่น้องทุกคน เพื่อเราทุกคนจะได้สุขสันต์วันคริสต์มาสได้อย่างเต็มเปี่ยม
***************************

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น