วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2566

พระวาจาวันอาทิตย์ 24 ก.ย. 2023 อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มัทธิว 20:1-16 
(1)“อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผู้หนึ่งซึ่งออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจ้างคนงานมาทำงานในสวนองุ่น (2)ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปทำงานในสวนองุ่น (3)ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้านออกมาก็เห็นคนอื่น ๆ ยืนอยู่ที่ลานสาธารณะโดยไม่ทำงาน (4)จึงพูดกับคนเหล่านี้ว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ (5)คนเหล่านี้ก็ไป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเที่ยงวันและบ่ายสามโมง กระทำเช่นเดียวกัน (6)ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่น ๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’ (8) 
“ครั้นถึงเวลาค่ำ เจ้าของสวนบอกผู้จัดการว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริ่มตั้งแต่คนสุดท้ายจนถึงคนแรก’ (9)เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ (10)เมื่อคนงานพวกแรกมาถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นกัน (11)ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นถึงเจ้าของสวนว่า (12)‘พวกที่มาสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตรำอยู่กลางแดดตลอดวัน’ (13)เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับฉันคนละหนึ่งเหรียญหรือ (14)จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนที่มาสุดท้ายนี้เท่ากับให้ท่าน (15)ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’ (16)“ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับกลายเป็นคนกลุ่มสุดท้าย”
******************
 
 
 
ยกเว้นวิธีการจ่ายค่าจ้างที่เริ่มจากคนที่มาสุดท้ายซึ่งได้รับค่าจ้างเท่ากับคนที่มาแรกๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว รายละเอียดในอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่นที่เราได้ฟังในพระวรสารวันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของชาวยิว
 
ประมาณปลายเดือนกันยายนผลองุ่นจะสุกพร้อมให้เก็บเกี่ยวซึ่งต้องกระทำแข่งกับเวลา หาไม่แล้วจะถูกฝนเดือนตุลาทำลายจนไม่มีอะไรเหลือให้เก็บ ตลอดช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เจ้าของสวนต้องการคนงานทุกคนแม้ทำได้เพียงชั่วโมงเดียวจากห้าโมงถึงหกโมงเย็นก็เอา
 
จากอุปมาในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าต้องการจะสอนเรา 3 เรื่องด้วยกัน
 
เรื่องแรกพระองค์ต้องการเตือนเราว่า คนงานที่มาก่อนตั้งแต่หกโมงเช้าไม่ได้มีสิทธิเหนือคนงานที่มาภายหลังเวลาห้าโมงเย็นฉันใด ผู้ที่เป็นล้างบาปเป็นคริสตชนก่อนจะอ้างสิทธิเหนือผู้ที่ล้างบาปเป็นคริสตชนในภายหลังไม่ได้ฉันนั้น เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคริสตชนเมื่อใด ล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกันเสมอในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะฉะนั้น เราจะไปดูหมิ่นดูแคลนคริสตชนใหม่ไม่ได้
 
นี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการจะเตือนเราในพระวรสารวันนี้ !
 
เรื่องที่สอง พระเยซูเจ้าต้องการแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสผ่านประกาศกอิสยาห์ในบทอ่านที่หนึ่งหมายความว่าอย่างไร
 
อิสยาห์กล่าวว่า “ความคิดของพระเจ้าไม่ใช่ความคิดของเรา ทางของเราก็ไม่ใช่ทางของพระเจ้า... สวรรค์อยู่สูงกว่าแผ่นดินฉันใด ทางของพระเจ้าก็อยู่สูงกว่าทางของเรา และความคิดของพระเจ้าก็อยู่เหนือความคิดของเราฉันนั้น”
 
ความคิดและหนทางของพระเจ้าที่พระเยซูเจ้าต้องการบอกเราก็คือ ไม่มีอะไรจะเลวร้ายเท่าลูกจ้างไม่มีงานทำ พวกเขาต้องเฝ้ารออยู่ที่ลานของหมู่บ้านจนถึงห้าโมงเย็นก็เพราะไม่มีใครจ้างงานพวกเขา พระเจ้าทนเห็นคนไม่มีงานทำไม่ได้ นี่คือความคิดแรกของพระองค์
 
อีกความคิดหนึ่งคือ พระองค์ทราบดีว่าลำพังค่าแรงงานหนึ่งวันก็แทบไม่พอยาไส้สมาชิกในครอบครัวอยู่แล้ว หากยึดเอาความยุติธรรมอย่างเคร่งครัดเป็นที่ตั้ง คนงานที่มาทีหลังก็จะได้รับค่าจ้างน้อยลงไปอีก ครอบครัวของพวกเขาจะต้องอดอยากและหิวโหยแน่ พระองค์จึงทรงเมตตาก้าวไปไกลกว่าความยุติธรรม และทรงประทานค่าจ้างมากกว่าที่พวกเขาสมควรจะได้รับ พระองค์ไม่ได้ผิดความยุติธรรม พระองค์จ่ายค่าแรงให้คนที่มาตั้งแต่เช้าหนึ่งเหรียญตามที่ได้ตกลงกันไว้ เพียงแต่พระองค์ใจกว้างก้าวข้ามความยุติธรรม และประทานความรักและความเมตตาให้แทน
 
นี่แหละที่ทำให้ความคิดและหนทางของพระเจ้าอยู่เหนือความคิดและหนทางของเรามนุษย์
 
เรื่องที่สามเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า ในบทภาวนาของประธาน เราได้ยินพระสงฆ์สวดว่า “พระองค์ทรงกำหนดให้ความรักต่อพระองค์ และเพื่อนมนุษย์ เป็นหัวใจของธรรมบัญญัติทั้งหมด” นั่นก็คือพระองค์ต้องการ ให้เรารักและช่วยเหลือกัน เพราะเราต่างก็เป็นสมาชิกในครอบครัวที่มีพระบิดาองค์เดียวกัน
 
พี่น้องลองคิดดูสิว่าคนงานกลุ่มแรกในพระวรสารวันนี้มีความสุขไหม? แม้ขณะรับค่าจ้างตามที่ตกลงกันกับเจ้าของสวน พวกเขาก็ยังไม่พอใจและยังบ่นว่าเจ้าของสวนอยู่เลย
 
คราวนี้เราลองหันกลับมาดูชีวิตของชาวนาในชนบทสิ เมื่อข้าวสุกพร้อมเก็บเกี่ยว ทุกคนในครอบครัวก็จะออกไปทำงานในทุ่งนา เพียงแต่ว่าไปคนละเวลากัน พ่อและพี่คนโตจะออกไปทำงานในทุ่งนาตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนแม่และน้องคนเล็กจะตามไปทีหลัง เมื่อสองแม่ลูกมาถึงทุ่งนา เจ้าคนเล็กก็แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากถามโน่นถามนี่ตามประสาเด็กๆ ตกเย็นทุกคนพากันกลับบ้าน ระหว่างอาหารเย็น ไม่มีใครเลยที่เสนอให้แต่ละคนกินอาหารตามจำนวนผลงานที่ทำได้ กลับเป็นน้องคนเล็กนั่นแหละที่ทุกคนคอยเอาอกเอาใจและก็ได้กินอาหารที่ดีที่สุด ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครอิจฉา ทุกคนมีแต่ความสุข
 
เราอาจจะนึกถามในใจ ทำไมคนงานในสวนองุ่นจึงไม่พอใจและเอาแต่บ่น ในขณะที่คนที่ทำงานในครอบครัวชาวนากลับไม่บ่น และมีแต่ความสุข ?
 
คำตอบก็คือความคิดและวิธีในการให้รางวัลหรือให้ค่าตอบแทนในครอบครัวนั้นต่างจากสังคมโลกอย่างสิ้นเชิง
 
ความคิดและความสนใจของชาวโลกก็เหมือนกับคนงานที่มาตั้งแต่เช้านั่นแหละ คือทำอย่างไรจึงจะได้ค่าตอบมากกว่าคนอื่น นี่เป็นจิตตารมณ์ของชาวโลกที่ชอบแข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกัน เอาเปรียบกัน อิจฉากัน อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ใช่หนทางของพระเจ้า
 
ตรงกันข้ามกับคนงานที่มาทำงานหลังสุด มัทธิวเล่าว่า “ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ทำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปทำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’”
 
เห็นไหม มีแต่คำเชิญชวนของเจ้าของสวนให้ไปทำงาน ไม่มีการตกลงเรื่องค่าจ้าง ไม่มีสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความวางใจในความรักและความเมตตาของนายจ้าง เหมือนครอบครัวของชาวนาที่ไม่ต้องมีสัญญาจ้างอะไรเลย ทุกคนอยู่รวมกันด้วยความรัก ด้วยความวางใจ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามความสามารถของแต่ละคน
 
โลกอาจจะเห็นผู้ที่ดำเนินชีวิตแบบครอบครัวชาวนานี้ต่ำต้อยและอยู่อันดับท้ายๆ แต่พวกเขาจะกลับเป็นที่ต้นในสวรรค์
 
พี่น้องครับ วันนี้พระเยซูเจ้านอกจากจะเตือนเรา มิให้ถือสิทธิ์เหนือผู้มาใหม่ และทรงแสดงให้เราเห็นความคิดและหนทางของพระเจ้าแล้ว พระองค์ยังทรงเชิญชวนเราให้ก้าวข้ามการเน้นความยุติธรรมอย่างเคร่งครัดแต่เพียงอย่างเดียว แล้วหันมาดำเนินชีวิตเป็นดังครอบครัวเดียวกัน ที่ซึ่งทุกคนต่างมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือกันและกันตามความจำเป็นและตามความสามารถของเราแต่ละคน ดังที่พระเจ้าพระบิดาของเราทรงรักและทรงใจกว้างกับเราทุกคน
 
***************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น