วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2025 อุปมาเรื่องบิดาผู้ใจดี

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ลูกา 15:1-3, 11-32 
(1)บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า (2)ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า ‘คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา’ (3)พระองค์จึงตรัสเรื่องอุปมานี้ให้เขาฟัง
 (11)‘ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน (12)บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า “พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด” บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน (13) ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น (14)เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน (15)จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา (16)เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ (17)เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า “คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว (18)ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า “พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ (19)ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด” 20)เขาก็กลับไปหาบิดา
‘ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา (21)บุตรจึงพูดกับบิดาว่า “พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก” (22)แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า “เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ (23)จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด (24)เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น 
(25)‘ส่วนบุตรคนโตอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ (26)จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น (27)ผู้รับใช้บอกเขาว่า “น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย” (28)บุตรคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน บิดาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป (29)แต่เขาตอบบิดาว่า “ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ (30)แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย” (31)‘บิดาพูดว่า “ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก (32)แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก”’
******************
 
 
 
พี่น้องครับ ธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ไม่ว่าจะใหม่เอี่ยมหรือยับยู่ยี่ก็ล้วนมีคุณค่าและเป็นที่ต้องการในสายตาของเราฉันใด ไม่ว่าคนดีเรียบร้อย หรือคนเลวป่าเถือน ขึ้นชื่อว่าคนแล้วก็ล้วนมีคุณค่าและเป็นที่รักในสายพระเนตรของพระเจ้าฉันนั้น
 
และจริงๆ แล้ว ต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครดีไปกว่ากัน นักบุญเปาโลบอกว่า “ไม่มีความแตกต่างใดๆ อีก ทุกคนกระทำบาปและขาดพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (รม3:23) นั่นคือทุกคนเท่าเสมอกันเพราะต่างก็เป็นคนบาปเหมือนกัน
 
พระวรสารวันนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่มีบุตรสองคน ตอนแรกดูเหมือนบุตรคนเล็กจะเลว ส่วนบุตรคนโตดูเหมือนจะดี แต่ลงท้ายทั้งคู่ก็ทำให้ครอบครัวไม่มีความรัก ไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เป็นบิดาต้องการอย่างยิ่ง
 
ปัญหาเริ่มที่บุตรคนเล็กไปขอส่วนแบ่งมรดกของตนทั้งๆ ที่บิดายังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ละทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบในครอบครัว ออกไปดำเนินชีวิตเหลวแหลกนอกบ้าน ผลาญเงินทองจนตกอับ จากลูกเศรษฐีมาเป็นยาจกตกต่ำสุดขีดจนต้องไปรับจ้างเลี้ยงหมู ซึ่งเป็นสัตว์มีมลทินสำหรับชาวยิว แถมยังคิดจะแย่งอาหารหมูกินซะอีก นี่แหละ บาปมันทำให้ชีวิตของเราตกอยู่ในสภาพไร้ยางอาย ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
 
กระนั้นก็ตาม แม้ว่าบาปมันจะทำให้บุตรคนเล็กต้องพลัดหลงและตะเลิดเปิดเปิงห่างไกลจากบ้านของบิดา แต่ยังดีที่เขาไม่หยิ่งจองหองเกินกว่าจะกลับบ้านเพื่อไปขอโทษบิดา
 
ขณะที่เขาเดินทางกลับบ้านด้วยหัวใจที่เต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าบิดาจะยกโทษให้หรือไม่ แต่ “ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา” และยังไม่ทันที่เขาจะสารภาพผิดและขอโทษ บิดาผู้เปี่ยมล้นด้วยความยินดีก็สั่งผู้รับใช้ว่า “เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก” แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น
 
มาถึงจุดนี้ เรื่องราวก็เผยให้เราเห็นข้อบกพร่องของบุตรคนโตซึ่งทีแรกคิดว่าเป็นคนดี เพราะแทนที่เขาจะยินดีที่ได้น้องผู้หลงผิดกลับคืนมา เขากลับโกรธบิดา ไม่ยอมเข้าบ้าน ไม่ยอมร่วมงานเลี้ยงฉลอง กล่าวหาบิดาว่าไม่แฟร์ ซึ่งเป็นคำที่บ่งบอกถึงความโกรธ ความไม่พอใจ และความคิดว่าตนเองถูก ตนเองดีกว่าคนอื่น และโดยวิธีคิดและวิธีทำแบบนี้นี่แหละ เขาก็เลยทำให้ครอบครัวของบิดาแตกแยกและนำความเสียใจใหญ่หลวงมาสู่ผู้เป็นพ่อ
 
ไม่ว่าจะเป็นบาปของบุตรคนเล็กที่ยังไม่ดีพอ หรือบาปของบุตรคนโตที่ดีเกิน ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคต่อความเป็นหนึ่งเดียวกันในครอบครัวของบิดาด้วยกันทั้งนั้น
 
ด้วยเหตุนี้แหละ นักบุญเปาโลจึงกล่าวว่า “ทุกคนกระทำบาปและขาดพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (รม 3:23) ซึ่งหมายความว่าเราทุกคนเป็นคนบาป ไม่ว่าบาปของเราจะเห็นได้ชัดเจนเหมือนบาปของบุตรคนเล็ก หรือซ่อนเร็นเหมือนบาปของบุตรคนโตก็ตามที
 
ด้วยเหตุนี้ เราทุกคนจึงจำเป็นต้องกลับใจ และกลับบ้านมาหาพระบิดาของเรา กลับมาคืนดีกับพระองค์
 
ครั้งหนึ่ง นักบุญเอากุสตินก็เคยเป็นเหมือนบุตรคนเล็กในพระวรสารวันนี้ ท่านเที่ยวเตร่แทบจะทุกซ่องในกรุงโรม แต่เมื่อกลับใจมาเป็นคริสตชน ทุกสิ่งในชีวิตของท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
 
วันหนึ่งขณะเดินผ่านซ่อง โสเภณีคนหนึ่งจำท่านได้ จึงร้องเรียกว่า “เอากุสติน เอากุสติน นี่ฉันเอง!” แต่นักบุญเอากุสติน กลับวิ่งหนี พร้อมกับบอกตนเองว่า “นี่ไม่ใช่ฉัน! นี่ไม่ใช่ฉัน!” คือท่านไม่ใช่เอากุสติน คนเดิมอีกแล้ว
 
นักบุญเปาโลจึงบอกเราในบทอ่านที่สองวันนี้ว่า “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว” (2 คร 5:17)
 
พี่น้องครับ เราคริสตชนได้รับศีลล้างบาปแล้ว ได้ชื่อว่ากลับใจและคืนดีกับพระเจ้าและเป็นสิ่งสร้างใหม่แล้ว จึงจำเป็นที่เราจะต้องดำเนินชีวิตให้สมกับสภาพใหม่เช่นเดียวกับนักบุญเอากุสตินด้วย
 
อนึ่ง การคืนดีกับพระเจ้านั้นเป็นเสมือนเหรียญ 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นอดีต นั่นคือพระเจ้าทรงอภัยบาปของเราและทำให้เรากลับมาเป็นบุตรของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นอนาคต กล่าวคือเราต้องแบ่งปันข่าวดีเรื่องความรักและการให้อภัยของพระเจ้าแก่คนอื่นด้วย ดังที่นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สองว่า “พระเจ้าทรงมอบภารกิจการคืนดีนี้ให้กับเรา ทรงมอบให้เราประกาศสารแห่งการคืนดีนี้” เราจึงเป็น “ทูตแทนพระคริสตเจ้า พระองค์ทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด”
 
พี่น้องครับ จดหมายของนักบุญเปาโลมีถึงชาวโครินธ์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้นำของพระศาสนจักร การเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้าเพื่อเชิญชวนผู้อื่นให้ยอมคืนดีกับพระเจ้าจึงเป็นหน้าที่ของเราคริสตชนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะผู้นำของพระศาสนจักรหรือผู้รับศีลบวชเท่านั้น
 
เราจึงไม่เป็นเพียงผู้ที่จะต้องคืนดีกับพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่จะต้องทำให้ผู้อื่นคืนดีกับพระเจ้าด้วย !!!
 
พี่น้องครับ ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องลูกล้างผลาญ จริงอยู่ผู้ที่ต้องทนทุกข์มากที่สุดก็คือวัวขุนตัวนั้นที่ถูกนำไปฆ่าเพื่อเลี้ยงฉลอง แต่ผู้ที่ทนทุกข์รองลงมาก็คือบุตรคนโตที่คิดว่าตนดีแล้วนั่นเอง เขาอดลิ้มรสเนื้อขุนที่เขาลงทุนลงแรงเลี้ยงมากับมือของเขาเอง
 
เพราะฉะนั้น เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุตรคนโตหรือคนเล็ก จงคืนดีกับพระเจ้า โดยเฉพาะในเทศกาลมหาพรตนี้เถิด
 
***************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น