สวัสดีครับทุกท่าน
พระเป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์อย่างไรเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ชายหญิง คู่แรก
ทำไมมนุษย์จึงแบ่งเป็นชาติพันธุ์ต่างๆมากมาย และชาติพันธุ์นั้นมีอยู่จริงหรือ?
เราจะมาหาคำตอบในเรื่องนี้ด้วยกัน
คำถาม
: ชาติพันธุ์มนุษย์มีจำนวนเท่าไรในโลกปัจจุบันนี้?
a. 1
b. 6
c. 8
d. มากกว่า 10
e. มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย
ผมเคยถามหลายคนด้วยคำถามนี้ และพวกเขาตอบว่า
มนุษย์มีชาติพันธ์อยู่มากมาย ก่อนจะตอบคำถามนี้ผมขอยกคำพูดของ C. Loring Brace
นักมนุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งกล่าวไว้เมื่อปี 1995 ว่า
"ชาติพันธุ์
เป็นโครงสร้างทางสังคมซึ่งเกิดจากสภาวะของการพัฒนาการจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
และมันไม่เกี่ยวข้องกับความจริงทางชีววิทยาขั้นพื้นฐาน"
มีคำถามหนึ่งซึ่งผมขอถามพวกคุณก่อน
เราสามารถแต่งงานกับญาติพี่น้องของเราได้ไหม?
a. ได้
b. ไม่ได้
c. บางทีอาจจะได้
d. ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน
เมื่อผมถามบางคนด้วยคำถามนี้ ส่วนใหญ่พวกเขาตอบว่า ไม่ได้
และผมบอกพวกเขาว่า อันที่จริงแล้ว เมื่อคุณแต่งงานกับใครสักคน
คุณได้แต่งงานกับญาติของคุณนั่นแหละ เพราะคุณแต่งงานกับมนุษย์
คุณไม่ได้แต่งงานกับชาติพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ใช่ไหม
มันไม่ผิดอะไรที่คุณจะแต่งงานกับญาติของคุณ แต่ปัญหาที่แท้จริงก็คือ
มันผิดไหมที่คุณจะแต่งงานกับญาติที่ใกล้ชิดกันทางสายเลือด เช่น พี่น้องหรือหลาน
ในพระคัมภีร์ไบเบิล โครินทร์ 15:45 บอกเราไว้ดังนี้
"ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า อาดัม มนุษย์คนแรก
ถูกสร้างขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิต อาดัมคนสุดท้ายเป็นจิตซึ่งประทานชีวิต
สิ่งที่มาก่อนมิใช่กายที่มีจิตเป็นชีวิต แต่เป็นกายตามธรรมชาติ
ภายหลังจึงเป็นกายที่มีจิตเป็นชีวิต มนุษย์คนแรกมาจากดิน มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์
มนุษย์ดินคนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินตนอื่นๆก็เป็นอย่างนั้น
มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์คนอื่นๆก็เป็นอย่างนั้น"
และในปฐมกาล 3:20 "อาดัมเรียกภรรยาของตนว่า เอวา
เพราะนางเป็นมารดาของมนุษย์ทั้งปวง"
สรุปก็คือพระคัมภีร์ยืนยันว่า มนุษย์เริ่มต้นจาก
ชายคนเดียวและหญิงคนเดียว ดังนั้นมนุษย์จึงมีสายเลือดเดียว เป็นชาติพันธุ์เดียว
แล้วกาอินได้ภรรยามาจากไหนล่ะ? ในพระคัมภีร์ปฐมกาล 5:4 เขียนไว้ว่า
"เมื่ออาดัมอยู่มาได้ 130 ปี เขามีบุตรชายชื่อ เสท
ตั้งแต่อาดัมมีบุตรคือเสทแล้วก็มีอายุอีก 800 ปี
มีบุตรชายและบุตรสาวอีกมากมาย"
อาดัมจึงมีทั้ง ลูกชาย และ ลูกสาว เพราะฉะนั้น กาอินได้ภรรยาจากที่ไหน
คำตอบคือ จากน้องสาวคนหนึ่งของเขานั่นเอง
ครั้งหนึ่งผมไปสัมนาที่จัดขึ้นในภัตราคารแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน
พ่อครัวที่นั่นได้ถามผมว่า "คุณเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิลหรือเปล่า?" ผมตอบเขาว่า
"ใช่ ผมเชื่อ" "แล้วกาอินได้ภรรยามาจากไหนล่ะ?" เขาถาม ผมได้อ้างพระคัมภีร์ที่กล่าวมาแล้ว "อาดัมมีทั้งลูกชายและลูกสาว"
เขาพูดว่า "เออ ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย" ความจริงแล้วการแต่งงานกับญาติสนิทที่ใกล้ชิดกันนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับมนุษย์ในสมัยเริ่มแรก
จนกระทั่งถึงสมัยของโมเสส พระเป็นเจ้าจึงได้ทรงตั้งกฏบัญญัติห้ามเอาไว้ ในเลวีนิติ
18:6 ซึ่งเป็นข้อห้ามเกี่ยวกับการร่วมประเวณีได้เขียนไว้อย่างละเอียด
"อย่าร่วมประเวณีกับญาติพี่น้องคนใดของเจ้า......เราเป็นพระเจ้าของเจ้า"
ผมจะขออธิบายในเรื่องต่อไป ผมได้พบบทความหนึ่งในอินเตอร์เน็ต
เป็นบทความของ ABC
News web site เขียนว่า
" In
the field of genetics, reserchers have concluded that the
genetic differences between so-called races account for 0.012 percent
of human biological variation" Science page ABC News web site,"We '
re all the same" 9/10/98
"ตามหลักพันธุศาสตร์ นักวิจัยได้สรุปว่า
ในแง่ของความแปรผันทางชีววิทยาของมนุษย์
ความแตกต่างของมนุษย์ในระหว่างชาติพันธุ์คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้เพียง 0.012
เปอร์เซ็นต์เท่านั้น "
นั่นอธิบายว่าอย่างไร นั่นหมายความว่า ประชาชนทั่วโลก
ซึ่งแต่ละคนดูเหมือนแตกต่างกันจนคุณพูดว่าคนเรานั้นช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน
แต่ความแตกต่างเหล่านั้นมีนัยสำคัญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ที่เรามองว่ามันแตกต่างกันมากก็เพราะเราถูกสั่งสอนกันมาอย่างนั้น
แต่ในทางชีววิทยาแล้วเราแทบไม่แตกต่างกันเลย
เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจที่เราแบ่งแยกชาติพันธุ์มนุษย์ออกเป็นลักษณะต่างๆหลายแบบ
ดังเช่นข้างล่างนี้
กลุ่มชาติพันธ์หลัก
คอเคซัส= ชาวยุโรป ผิวขาว
มองโกลอยด์= ชาวจีน อเมริกันอินเดียน
นิโกร=ชาวอัฟริกัน ผิวดำ
ออสเตรลอยด์=ชาวออสเตรเลีย อาบอริจีน
นี่เป็นความเข้าใจผิดที่น่าเศร้าใจจริงๆ ความเข้าใจผิดนี้มีสาเหตุมาจากทัศนะคติที่ไม่ถูกต้องของทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน ทำให้เรื่องนี้เป็นโศกนาตกรรมของประวัติศาสตร์มนุษยชาติไป คุณจะเห็นว่าการจัดแบ่งชาติพันธุ์มนุษย์ออกเป็นลักษณะที่แตกต่างกันตามข้างบนนี้ ถือเอาลักษณะบางประการของคนเป็นหลัก เช่น สีของ ผิว รูปร่างของตา เป็นต้น แต่วิทยาศาสตร์ค้นพบว่าในคนสองคน ลักษณะทางพันธุกรรมมีความแตกต่างกันเพียง 0.2 % เท่านั้น และความแตกต่างของสีผิวนั้น ก็มีเพียง 6 % จากใน 0.2 % นั้น ซึ่งก็เท่ากับ 0.012 % ซึ่งแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย ดังนั้นความแตกต่างทางพันธุกรรมจึงไม่มีนัยสำคัญเลย
ลองพิจารณาความแตกต่างทางสีผิวตามในรูป คนผิวสีขาว สีดำ มีความแตกต่างกันหรือ
ไม่เลย แต่เพราะเราถูกสั่งสอนมาให้เชื่อว่าสีผิวเป็นความแตกต่าง
มาลองดูสีผิวที่เหมือนกันบ้าง สีผิวขึ้นอยู่กับรงควัตถุ(pigment) ที่เรียกว่า
เมลานิน คนเราอาจมีเมลานินสีน้ำตาล สีฟ้า ฯลฯ
ถ้าคุณมีเมลานินสีน้ำตาลมากคุณก็มีผิวสีเข้ม ถ้ามีเมลานินสีฟ้ามากคุณก็มีผิวสีอ่อน
อัตราส่วนของคนทั่วโลกจะมีสีกลางๆ ไม่เข้มหรือซีดเกินไป
เมื่อเราพูดถึงเรื่อง การคัดสรรตามธรรมชาติ เราจะหมายถึงการพูดถึง
ยีนส์ ซึ่งเราใช้ตัวอักษร A B
a b แทนยีนส์บอกลักษณะต่างๆ
การจัดรูปแบบของยีนส์ที่ทำให้เกิดสีผิวต่างๆนั้นเป็นเรื่องสลับซับซ้อน
แต่พูดให้เข้าใจง่ายๆคือมี ยีนส์ 6 ตัวที่เป็นตัวควบคุมสีผิวซึ่งอยู่ในเมลานิน
B หมายถึงมีเมลานินมาก
a หมายถึงมีเมลานินน้อย
b หมายถึงมีเมลานินน้อยตามในรูป ถ้ายีนส์เป็น AABB นั่นหมายความว่าคุณมีเมลานินมาก คุณก็จะมีผิวสีดำ
ถ้ายีนส์เป็น aabb นั่นหมายความว่าคุณมีเมลานินน้อยมาก คุณก็จะมีผิวสีขาว
ถ้ายีนส์เป็น AaBb นั่นหมายความว่าคุณมีเมลานินปานกลาง
คุณก็จะมีผิวสีกลางๆไม่อ่อนหรือแก่เกินไป คนเรามีสีผิวที่แตกต่างกันด้วยเหตุผลนี้
แม้แต่ในคู่แฝดก็อาจมีสีผิวต่างกันได้
มีคู่แฝดในอังกฤษคู่หนึ่งที่คนหนึ่งมีสีผิวเข้มมาก และอีกคนมีสีผิวขาวมาก
ทำให้คนทั่วไปที่ได้เห็นสงสัยว่า เด็กสองคนนี้มีพ่อหรือแม่คนเดียวกันหรือไม่?
คนที่มีความสงสัยเช่นนั้นเป็นเพราะเขาไม่รู้และไม่เข้าใจในเรื่องหลักของพันธุกรรม
ถ้าคนเหล่านั้นมีความเข้าใจในเรื่องพันธุกรรมแล้ว เขาก็จะไม่สงสัยแบบนี้แน่
เมื่อมนุษย์มีจำนวนทวีขึ้นมาก การผสมผสานของยีนส์ก็มีมากขึ้น ตัวอย่างจากในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ เรื่องหอบาเบล เมื่อพระเป็นเจ้าทำให้มนุษย์มีภาษาที่แตกต่างกัน คนเหล่านั้นก็แยกย้ายกันไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก เมื่อเริ่มต้นจากคนที่มียีนส์ AB มาจับคู่กับยีนส์ AB จะได้รุ่นลูกเป็น AABB ซึ่งมีผิวสีดำ ต่อมาก็เกิดมีการจับคู่กับยีนส์ ab รุ่นถัดมาหลายรุ่นก็จะมีบางส่วนที่เป็น AaBb ซึ่งจะมีสีผิวจางลง และที่สุดจะได้เป็น aabb สีผิวก็จะกลายเป็นสีขาว สีผิวจะค่อยๆจางลงตามในรูปที่แสดงไว้
เมื่อมนุษย์มีจำนวนทวีขึ้นมาก การผสมผสานของยีนส์ก็มีมากขึ้น ตัวอย่างจากในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ เรื่องหอบาเบล เมื่อพระเป็นเจ้าทำให้มนุษย์มีภาษาที่แตกต่างกัน คนเหล่านั้นก็แยกย้ายกันไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก เมื่อเริ่มต้นจากคนที่มียีนส์ AB มาจับคู่กับยีนส์ AB จะได้รุ่นลูกเป็น AABB ซึ่งมีผิวสีดำ ต่อมาก็เกิดมีการจับคู่กับยีนส์ ab รุ่นถัดมาหลายรุ่นก็จะมีบางส่วนที่เป็น AaBb ซึ่งจะมีสีผิวจางลง และที่สุดจะได้เป็น aabb สีผิวก็จะกลายเป็นสีขาว สีผิวจะค่อยๆจางลงตามในรูปที่แสดงไว้
จาก ABC News Science page กล่าวไว้ดังนี้
"What the fact show is that there are differences among us , but
they stem from culture, not race."
"ความจริงได้ปรากฏแล้วว่ามีความแตกต่างกันในระหว่างพวกเรา
แต่ความแตกต่างนั้นเนื่องมาจากวัฒนธรรม ไม่ใช่ชาติพันธ์"
นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสำคัญมากที่ควรทำความเข้าใจ
เพราะนักทฤษฏีวิวัฒนาการวิทยาบอกว่าความแตกต่างของสิ่งมีชีวิตนั้นมาจากการวิวัฒนาการ
แต่อันที่จริงความแตกต่างมีที่มาจากวัฒนธรรมซึ่งเกิดจากการที่ประชากรได้พัฒนาทัศนะคติของความหลากหลายขึ้นมาโดยใช้เวลาหลายๆปี
บางคนเคยพูดกับผมว่า มนุษย์ยุคแรกก่อนพระคัมภีร์เป็นคนโง่เขลา
ไม่มีสติปัญญาเหมือนพวกเราในสมัยนี้ ผมบอกเขาในฐานะคริสตชนว่า
มนุษย์ยุคนั้นอาจมีสติปัญญามากกว่าที่คุณคิดนะ รู้ไหม
เมื่อพระเป็นเจ้าสร้างอาดัมและเอวานั้น พวกเขามีความเฉลียวฉลาด
มีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์แล้ว มีมันสมองที่มีสติปัญญา
ในพระคัมภีร์ยังบอกว่า มนุษย์บางคนเป็นนักดนตรี บางคนเป็นช่างเหล็ก
เมื่อคุณศึกษาพระคัมภีรไบเบิล คุณจะมองสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น
และผมเชิญชวนให้คุณใช้แว่นตาของพระคัมภีร์ในการมองดูสิ่งต่างๆด้วยมุมมองของพระคัมภีร์สำหรับเรียนรู้ประวัติศาสตร์โลก
และประยุกต์วิธีการนี้สำหรับเหตุการณ์ทุกอย่างด้วย
คุณรู้ไหมว่า ชนหลายกลุ่มในโลกต่างก็มีเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ที่ฟังคล้ายๆกับเรื่องราวในปฐมกาล เช่นเรื่องที่คล้ายกับเรื่องของโนอา เรื่องของน้ำท่วมโลก และเรื่องเหล่านี้ก็นำไปสู่เรื่องของมนุษย์คู่แรก ดังนั้นมนุษย์ทุกคนก็เป็นญาติพี่น้องกัน คุณกับผมและทุกๆคนต่างก็สืบเชื้อสายมาจากอาดัม และนั่นเข้ากันได้กับประวัติศาสตร์โลก
เอาล่ะ เรามาดูรูปภาพที่แสดงเป็นบล็อกอยู่สองด้าน พวกคุณก็จะเข้าใจได้ว่า เมื่อมีรากฐานเป็นจุดเริ่มต้นจากพระวาจาของพระเจ้า ได้ก่อให้เกิดมนุษย์ชาติพันธุ์เดียวเท่านั้น และทำให้คุณเข้าใจต่อไปว่าการแต่งงานมีความหมายอย่างไร มาตรฐานของความดีความชั่ว ความถูกความผิด และที่สุดคุณก็ได้รู้ถึงความหมายของชีวิต
แต่ถ้าคุณเริ่มต้นจาก ทฤษฏีวิวัฒนาการ
ซึ่งบอกว่าวิวัฒนาการทำให้เกิดความก้าวหน้าต่างเช่นมี
แบ่งแยกมนุษย์เป็นหลายชาติพันธุ์ เกิดปัญหาการรักร่วมเพศ ปัญหาการทำแท้ง และอื่นๆ
ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่า มันจะมีท่าทีอย่างไรต่อพัฒนาการของชาติพันธุ์ตามที่ผมได้บรรยายไปแล้ว
และต่อไปเราคงได้พูดกันถึงคำตอบที่แท้จริงของชาติพันธุ์มนุษย์
ซึ่งคำตอบที่แท้จริงก็คือชาติพันธ์มนุษย์มีจุดเริ่มต้นจากพระวาจาของพระเป็นเจ้า
สิ่งหนึ่งที่เราได้เห็นว่ามันเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ก็คือ
การล่มสลายของมุมมองต่อโลกของคริสตชนในเมื่อรากฐานของพระวาจาของพระเป็นเจ้าถูกถอดถอนออกไป
ด้วยการแทนที่ของทฏษฏีวิวัฒนาการ ซึ่งอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาจากการวิวัฒนาการ
ผลลัพท์ที่ได้คือ นักเรียนถูกสอนว่า ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระผู้สร้างมนุษย์หรือสัตว์
ไม่มีใครที่เป็นผู้ตัดสินความดีความชั่วความถูกความผิด
ดังนั้นเรามนุษย์แต่ละคนคือผู้ตัดสิน ทุกคนจึงสามารถทำอะไรก็ได้ตามความพอใจ
ทำให้เราสับสนสงสัยว่า ทำไมผมไม่ทำสิ่งนี้ ทำไมผมไม่เหมือนคนอื่น
และปัญหาอื่นๆก็ตามมา
ด้วยเหตุนี้ผมจึงมักแสดงรูปภาพนี้บ่อยๆให้คนที่มาฟังการบรรยาย
เป็นภาพของการสู้รบระหว่าง สองวัฒนาธรรม นั่นคือ
ระหว่างวัฒนธรรมที่มีจุดเริ่มต้นจากทฤษฏีวิวัฒนาการ
ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความวุ่นวายในโรงเรียน เกิดการแบ่งแยกชาติพันธุ์
เกิดปัญหาการทำแท้ง และอื่นๆ เพราะเป็นรากฐานที่บอกว่าไม่มีพระเจ้า
ดังนั้นคุณสามารถทำทุกสิ่งได้ตามความพอใจของคุณ ไม่มีความถูกหรือความผิด
นั่นคือคุณเป็นผู้ตัดสินความถูกความผิดด้วยตัวคุณเอง
สุดท้ายนี้ผมขอแนะนำหนังสือสองเล่ม
1. ตัวอย่างของการแต่งงานในเครือญาติก็คือ ชาร์ล ดาร์วิน เจ้าของทฤษฏีวิวัฒนาการนั่นเอง ชาร์ล ดาร์วินแต่งงานกับ เอมม่า เว็ดจ์วูด ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ทั้งสองมีลูกทั้งหมด 10 คน แต่ลูก 2 คนแรกเสียชีวิตตั้งแต่เป็นทารก ลูกสาวชื่อ แอนนี่ เสียชีวิตเมื่ออายุ 10 ปี ดาร์วินเป็นพ่อที่ดูแลเอาใจใส่ลูกๆ แต่ลูกของเขาต่างก็มีสุขภาพไม่ดี เมื่อลูกทั้งหมดเจ็บป่วย ดาร์วินก็เริ่มสงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากการแต่งงานในเครือญาติที่มีสายเลือดใกล้ชิด
2. เมื่อพระเป็นเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง พระองค์ทรงทอดพระเนตรสิ่งเหล่านั้นและทรงตรัสว่า ดีมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น