วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

แม่พระแห่งกัวดาลูเป (ตอนที่1)

          พระเป็นเจ้าทรงประทานเครื่องหมายหลายอย่างให้แก่เรา  เพื่อทำให้เราแน่ใจและมีความเชื่อที่มั่นคง  เครื่องหมายเหล่านี้ อาทิเช่น  ผ้าห่อพระศพแห่งเมืองตุริน  พระธาตุร่างกายของนักบุญหลายองค์ที่ไม่เน่าเปื่อย  ศีลมหาสนิทที่เปลี่ยนเป็นเนื้อและโลหิตแท้ๆ  รอยแผลศักดิ์สิทธิ์  และยังมีสิ่งอื่นๆอีกมากมาย  พระรูปแม่พระแห่งกัวดาลูเปที่ปรากฏบนผ้าทิลมาของ ฮวน ดิเอโก นับเป็นเครื่องหมายและอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่พระเป็นเจ้าทรงกระทำในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  จึงเป็นเรื่องที่เราควรรู้และศึกษาเป็นอย่างยิ่ง  ก่อนที่จะเข้าถึงรายละเอียดในเรื่องแม่พระแห่งกัวดาลูเปนี้  สมควรที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาวแอสเทค  ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของสถานที่ที่แม่พระทรงประจักษ์มาเสียก่อน  ผมจึงได้รวบรวมข้อมูลเรื่องดังกล่าวจากที่ต่างๆเอาไว้ให้ดังนี้
           แอซเท็ก (อังกฤษ: Aztec Empire) เป็นคำที่หมายถึงกลุ่มชาติพันธ์ในทางตอนกลางของเม็กซิโกโดยเฉพาะกลุ่มที่พูดภาษานาวาตล์ (Nahuatl) ในคริสต์ศตวรรษที่ 14, 15 และ 16
          ส่วนใหญ่แล้ว แอซเท็กมักจะหมายถึงเฉพาะชาวเตนอชตีตลัน (Tenochtitlan) ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะในทะเลสาบเท็กซ์โคโคที่เรียกตนเองว่า เม็กซิกาเทน็อคคาหรือ โคลฮูอาเม็กซิกาเทน็อคคา
บางครั้งคำนี้ก็รวมทั้งผู้ที่พำนักอาศัยของเตนอชตีตลันในนครรัฐพันธมิตรอีกสองเมือง Acolhua แห่ง เตซโกโก และ เทพาเน็คแห่งทลาโคพานที่รวมกันเป็นสามพันธมิตรแอซเท็ก (Aztec Triple Alliance) หรือที่เรียกกันว่า จักรวรรดิแอซเท็ก
 (จาก วิกิพิเดีย)
 
           วิศวกรรมการก่อสร้างอาณาจักรของชาวแอสเทค
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
         บรรพบุรุษของชาว Aztec กลุ่มใหญ่ได้อพยพมาจากทางตอนเหนือของอเมริกา เดินทางมาเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณที่ราบลุ่มใน Central Mexico เมื่อประมาณศริสต์ศักราชที่ 12-13 จึงได้หยุดการอพยพและตัดสินใจตั้งถิ่นฐาน ก่อร่างสร้างเมืองบนเกาะกลางทะเลสาบ Texcoco (ปัจจุบันอยู่ในเมือง Mexico City) โดยมีเมืองหลวงของอาณาจักรชื่อว่า Tenochtitlan และมีช่วงอายุของความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมนับตั้งแต่ ศริสต์ศักราชที่ 13 จนถึง 16
          Aztec เกิดทีหลัง Maya ถึงพันกว่าปี  และถ้าพิจารณาอาณาเขตของอาณาจักร Maya ว่ารุ่งเรืองที่บริเวณใด, Maya อยู่บริเวณ Yucatan Peninsula ครับ (แหลมที่ยื่นออกไปในอ่าวเม็กซิโกในแผนที่) ... แต่ Aztec นี่จะตั้งอยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปอีก (บริเวณ Mexico City) เรียกง่ายๆ คือ อยู่ชายแดนไกลๆ ของอาณาจักรมายา
นอกเหนือจากความชาญฉลาดแล้ว ชาว Aztec ดูเหมือนว่าจะโหดร้าย เพราะนิยมการบูชายัญโดยใช้มนุษย์เป็นเครื่องสังเวยต่อเทพเจ้า (Human Sacrifices) แม้ว่าชาวมายาและชาวอินคาจะกระทำบ้าง แต่ไม่ถือว่าเป็นกิจวัตรหรือแพร่หลายแบบชาว Aztec
หลักฐานทางโบราณคดีและข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้บ่งชี้กรณีการสังเวยครั้งใหญ่คือเมื่อตอนการเฉลิมฉลอง Great Pyramid of Tenochtitlan ในปี ค.ศ.1487 โดยชาว Aztect อ้างว่าพวกเขาได้สังเวยเชลยถึง 84,400 คน ในช่วงเวลาสี่วัน (ในช่วงนั้นชาว Aztec ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมีทั้งสิ้นประมาณ 80,000 ถึง 120,000 คนเท่านั้น) เรียกได้ว่าฆ่าเชลยที่จับมาได้เกือบเท่ากับจำนวนประชากรของตนเลยทีเดียว


             ด้วยวัฒนธรรมที่เน้นการบูชายัญเป็นหลัก จึงเป็นสาเหตุให้ชาว Aztec เป็นศัตรูกับอาณาจักรข้างเคียงและมีการทำสงครามกันหลายครั้งเพื่อจับคนจากอาณาจักรอื่นๆ มาเป็นเชลยเพื่อใช้ในการบูชายัญนอกจากจะทำสงครามเพื่อแย่งชิงเชลยแล้ว ชาว Aztec ยังต้องทำสงครามปกป้องอาณาเขตที่อุดมสมบูรณ์ของตนกับผู้รุกรานอยู่เสมอ
ชาว Aztec ทำสงครามขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวาง โดยมีเมืองหลวงอยู่บริเวณเกาะกลางน้ำ ส่วนพื้นที่รอบๆ จะเป็นของชาวพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ที่ Aztec ชนะสงครามและปรับให้เป็นเมืองประเทศราชไป โดยที่เมืองประเทศราชเหล่านี้ต้องส่งส่วยไปให้ชนชั้นปกครองที่เมืองหลวงโดยตลอด

ชาว Aztec มีการแบ่งชนชั้นออกเป็นสองระดับคือ กลุ่มที่เรียกว่า Commoners คือประชาชนทั่วๆ ไป อีกกลุ่มหนึ่งคือ Nobility ซึ่งคือนักปกครอง นักบวช และนักรบ

จักรวรรดิ Aztec ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว้างขวางแต่กลับเปราะบางเพียงแต่ดำรงอยู่ได้ด้วยสายใยบางๆ ของการค้าขายและการแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรเท่านั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับจักรวรรดิมายาอย่างสิ้นเชิง เหตุผลหลักที่ทำให้จักรวรรดิอ่อนแอ เพราะชาว Aztec มีจุดประสงค์การขยายพื้นที่อาณาเขตเพื่อการล่าเชลยศึกเพื่อนำมาบูชายัญและเรียกร้องเอาเครื่องบรรณาการจากหัวเมืองต่างๆเท่านั้น โดยนักปกครองเมืองหลวงจะปกครองหัวเมืองต่างๆ แบบทิ้งๆ ขว้างๆ และไม่แสดงท่าทีที่จะบังคับหรือสั่งสอนให้ประชาชนในหัวเมืองเคารพและจงรักภักดีต่อกษัตริย์ในเมืองหลวง ดังนั้นในช่วงเวลาที่ชาวสเปนรุกรานอเมริกากลาง ชาวสเปนจึงสามารถโน้มน้าวจิตใจของหัวเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิให้มาเป็นพันธมิตรเพื่อรบกับชาว Aztec ได้
สภาพของพื้นที่ Mesoamerica ในช่วงสมัยก่อนนั้นแต่ละพื้นที่ก็ถูกครอบครองด้วยชนเผ่าต่างๆ หลายร้อยเผ่า บ้างก็รวมตัวกันอย่างหนาแน่น เช่น มายา เป็นต้น...... บ้างก็ไม่รวมกัน แต่กระจัดกระจายกันครอบครองพื้นที่เป็นส่วนๆ อาจมีการติดต่อค้าขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้ากันบ้างในบางคราว
กลุ่มชนชาว Aztec เป็นชนกลุ่มที่ไม่ถูกยอมรับจากชนเผ่าอื่นๆที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เพราะเรื่องค่านิยมในการบูชายัญนั่นเอง ชนเผ่าต่างๆ จึงได้พยายามกดดันให้ชาว Aztec ต้องเดินทางลงมาทางใต้เรื่อยๆ เพื่อหาที่อยู่เองโดยที่จะไม่ต้องติดต่อกับพวกเผ่าอื่นๆ
บรรพบุรุษของชาว Aztec เดินทางมาจนถึงบริเวณทะเลสาบ Texcoco ซึ่งเป็นบริเวณที่ชนเผ่าอื่นๆ เห็นว่าเป็นดินแดนที่ไม่น่าครอบครอง....แต่ชาว Aztec ซึ่งไม่อยากเดินทางต่อไปอีกแล้ว กลับตัดสินใจตั้งถิ่นฐานบริเวณเกาะกลางน้ำ และพยายามสร้างบ้านแปลงเมืองจนยิ่งใหญ่
ในสมัยนั้นชนเผ่าต่างๆ พากันดูถูกชาว Aztec ว่าเป็นชนเผ่าที่ไม่เจริญ (least civilization) ดังนั้นชาว Aztec จึงพยายามปรับประยุกต์เอาความเชื่อเรื่องศาสนาของชนเผ่าต่างๆ ซึ่งศาสนาหลักก็คือ Toltec เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความเชื่อ ทั้งนี้เพื่อประกาศถึงความศิวิไลซ์ของตน
เวลาผ่านไปไม่นาน ภายหลังชาว Aztec ได้พัฒนาการตนตรีและศิลปะตลอดจนการกสิกรรมที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ จึงทำให้ชนเผ่าต่างๆ หันมาเกรงในอำนาจและความยิ่งใหญ่ของ Aztec เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรวมถึงการที่ชาว Aztec เก่งกาจทางด้านการทำสงครามแย่งชิงเชลยศึก และระบบค้าขายแลกเปลี่ยนรวมถึงระบบการติดต่อขนส่ง จึงทำให้ชาว Aztec สามารถขยายพื้นที่จนตั้งเป็นจักรวรรดิได้ในที่สุด
ชาว Aztec มีชื่อเสียงเรื่องการเกษตรกรรมเพราะคิดค้นระบบการทำเกษตรกรรมในทะเลสาบได้ด้วยตนเอง โดยการสร้างสวนลอยน้ำขึ้นมาเพื่อทำการเพาะปลูกพืช เช่น ข้าวโพด ถั่ว พริก มะเขือเทศ อโวคาโด บางครั้งอาจใช้ในการปลูกดอกไม้ด้วย
             สวนลอยน้ำนี้มีชื่อว่า Chinampas สร้างโดยการนำท่อนไม้มาปักลงบนพื้นที่ตื้นของทะเลสาบ ทำให้เป็นรั้วลักษณะสี่เหลียมผืนผ้า หลังจากนั้นแต่ละมุมของรั้วไม้นี้จะปลูกไม้ยืนต้น เพื่อให้รากไม้ซอนลงไปในดินและสร้างความแข็งแรงให้กับรั้วไม้นี้ หรือปักด้วยหมุดขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มความแข็งแรง หลังจากนั้นจะนำเสื่อที่สานจากต้นกกมาปูทับข้างบน (น่าจะใช้ท่อนไม้ปูก่อนเพื่อเป็นคานรองรับ) แล้วจึงนำโคลนที่ขุดได้รอบ ๆขึ้นมาแผ่ไว้บนเสื่อเพื่อใช้เป็นดินสำหรับการเพราะปลูก นอกจากจะคลุมเสื่อด้านบนแล้ว บางแห่งก็จะเอาเสื่อมาหุ้มที่รั้วไม้อีกทีเพื่อกันน้ำเข้า
ด้วยเทคนิคการทำเกษตรกรรม จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Aztec ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมีอาหารและพืชผลทางการเกษตรรับประทานตลอดปี นอกจากนั้นชาว Aztec ยังใช้เทคนิคเดียวกับการสร้างสวนลอยน้ำในการขยายเมืองออกไปอีกด้วย จึงทำให้เกาะกลางน้ำเพิ่มพื้นที่ไปเรื่อยๆ
นอกจากความชาญฉลาดในเรื่องของการทำเกษตรกรรมแล้ว เรื่องโหราศาสตร์ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งในความรู้ที่นักโบราณคดีต่างชื่นชมและยอมรับในความสามารถของชาว Aztec เพราะว่าด้วยองค์ความรู้ที่ตนมีเมื่อหลายพันปีรวมถึงอารยธรรมมายา ทำให้ชาวชาว Aztec สามารถคิดค้นปฏิทินขึ้นมาใช้เพื่อการทำพิธีต่างๆ และปฏิทินนั้นได้รับการยอมรับจากนักโบราณคดีว่าถูกต้องมากกว่าปฏิทินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม...เมื่อมีเจริญสูงสุด...ก็ย่อมมีการเสื่อมสลาย ....จักรวรรดิ Aztec ล่มสลายเพราะพ่ายแพ้ให้กับการรุกรานของกองทัพจากสเปน โดยการนำของ Hernan Cortes
แม้ว่า Cortes จะมีกำลังเพียงแค่ 500 คน แต่ก็ได้พันธมิตรจากชนเผ่าอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาว Aztec เข้าช่วยเหลือในการสู้รบ ในขณะที่ชาว Aztec ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ณ ฐานที่มั่นบนเกาะกลางน้ำของตน
ด้วยกำลังรบของ Cortes บวกกับชนเผ่าต่างๆ อีก รวมทั้งสิ้น ประมาณ 150,000 – 200,000 คน ชาว Aztec แทบจะไม่มีทางชนะ  ซ้ำร้ายชาวเมือง Aztec ยังประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารและเป็นโรคฝีดาษ  ซึ่งชาวสเปนเป็นผู้นำมาแพร่ให้แก่ชนพื้นเมือง   จึงทำให้กองกำลังของ Aztec อ่อนแอและพ่ายแพ้ในที่สุด (ชาวแอสเทคเสียชีวิตด้วยโรคฝีดาษมากกว่าอย่างอื่น)  ดังนั้นกองกำลังพันธมิตรชาวสเปนจึงครอบครอง Tenochtitlan ได้ในวันที่ 13 สิงหาคม คริสต์ศักราช 1521
ในช่วงที่มีการเสียเมืองให้กับข้าศึก...กวีชาว Aztec ได้เขียนบทกลอนไว้ว่า
How can we save our homes, my people      (เราจะรักษาบ้านและประชาชนของเราได้อย่างไร)
The Aztecs are deserting the city                  (แอสเทคกำลังจะเป็นเมืองร้าง)
The city is in flames and all is darkness and destruction   (เมืองที่ร้อนเร่าด้วยเปลวเพลิงทุกสิ่งเป็นความมืดและการทำลายล้าง)
Weep my people                                             (ประชาชนของเราร่ำไห้)
Know that with these disasters                       (เพราะรู้ว่าด้วยหายนะภัยเหล่านี้)
We have lost the Mexacan nation                  (เราจะสูญเสียความเป็นชาติแห่งชาวเม็กซิกัน)
The water has turned bitter                             (น้ำกลับกลายเป็นของขม)
Our food is bitter                                             (อาหารกลายเป็นของขม)
These are the acts of the Giver of Life
           (สิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำของพระผู้ทรงประทานชีวิต)
(จากเวปไซต์ OK nation Blog : http://www.oknation.net/blog/talkwithMetha/2011/06/01/entry-2 )
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
การรุกรานของสเปน - อารยธรรม Aztec สาบสูญ
(ผู้เขียน : ศ. ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน)
เอร์นัน กอร์เตส (Hernando Cortes) คือนายพลชาวสเปนผู้พิชิตเม็กซิโก และทำลายอาณาจักร Aztec ในเม็กซิโกเมื่อประมาณ 480 ปีก่อนนี้ เขาเกิดที่เมือง Medellin ในประเทศสเปน เมื่อ ค.ศ. 1485 ในวัยหนุ่มเขาได้เดินทางออกจากบ้านเกิดไปศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัย Salamanca จนสำเร็จ และได้ไปทำงานที่ West Indies เป็นทหารภายใต้การนำของจอมทัพ Diego Velasquez แห่งสเปน ในขณะที่มีอายุได้เพียง 27 ปี และเมื่อ Velasquez ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการของสเปนในคิวบา เขาได้มีคำสั่งให้ Cortes นำทหารบุกแหลม Yucatan ของเม็กซิโก เพราะได้มีรายงานการพบมหาสมบัติมากมายในดินแดนนั้น แต่เมื่อ Velasquez ล่วงรู้ว่า Cortes เป็นคนที่ทะเยอทะยานใฝ่สูง เขาจึงได้ยกเลิกคำสั่งทันที แต่กองทัพเรือของ Cortes ก็ได้ออกเดินทางไปเรียบร้อยแล้ว
กองทัพของ Cortes ซึ่งประกอบด้วยเรือและกะลาสี 11๐ คน ทหาร 553 คน ปืนใหญ่ 14 กระบอก และม้า 16 ตัว เดินทางถึง Yucatan ในเดือนเมษายนของ ค.ศ. 1520 ในการทำสงครามครั้งนั้น Cortes ได้สืบรู้ล่วงหน้าว่าประเทศเม็กซิโกในขณะนั้นกำลังถูกชนเผ่า Aztec ปกครอง และเป็นอาณาจักรที่มีอัญมณีมีค่ามากมาย เขาจึงตัดสินใจล้มล้างอาณาจักร Aztec ทันที โดยได้ออกคำสั่งให้ทหารเผาเรือทุกลำ และเมื่อไม่มีเรือจะโดยสารกลับสเปนทหารของ Cortes ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต้องเดินหน้าฆ่า Aztec ทุกคนหรือมิฉะนั้นก็จะถูก Aztec ฆ่าตาย
ด้วยกำลังและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า  กองทัพ Cortes ยึดเมือง Tabasco ได้อย่างง่ายดาย และเมื่อเขาปราบกองทัพของอินเดียนเผ่า Tlaxcalan ได้แล้ว เขาก็ได้เกลี้ยกล่อมให้คนเผ่านี้ (ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของชนเผ่า Aztec) มาเป็นพวกเดียวกับเขาในการต่อสู้กับ Aztec ต่อไป
จากนั้นกองทัพของ Cortes ได้เดินทางต่อถึงเมือง Tenochtitlan อันเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร Aztec เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 1519 จักรพรรดิ Montezuma ที่ 2 และพสกนิกรไม่เคยเห็นชาวยุโรปผิวขาวมาก่อนในชีวิต พระองค์จึงทรงคิดว่า Cortes คือเทพเจ้า Quetzaleoatl ที่สวรรค์ทรงส่งมาช่วยอาณาจักร Aztec ให้เป็นสุข พระองค์จึงทรงนำทองคำ ผ้าฝ้าย และอัญมณีมีค่ามากมายมามอบให้ Cortes   แต่ด้วยความโลภและความกระหายอำนาจได้ทำให้ Cortes จับองค์จักรพรรดิเป็นเชลย และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นเจ้าปกครองอาณาจักร Aztec ทันที
ในเวลาต่อมา Cortes ได้ข่าวว่า นายพล Velasquez ส่งกองทัพมาตาม Cortes จึงได้ออกไปพบกับนายทัพที่ถูกส่งมาที่เมือง Vesacruz โดยได้ทิ้งเมือง Tenochtitlan ให้นายทหารคนสนิทปกครอง เมื่อ Cortes ไม่อยู่ อินเดียนชนเผ่า Aztec โดยองค์จักรพรรดิ Montezuma ที่ 2 ถูกราษฎรสำเร็จโทษด้วยก้อนหิน Cortes จึงได้รวบรวมกองทัพกลับมาพิชิต Tenochtitlan อีก จนสำเร็จในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1521 และได้ตั้งตัวเป็นผู้สำเร็จราชการของสเปนครอบครองอาณาจักร Aztec ทันที
นักประวัติศาสตร์ได้สรุปสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Cortes มีชัยชนะเหนืออาณาจักร Aztec ทั้ง ๆ ที่มีกำลังน้อยนิด (5๐๐ คน) ก็สามารถพิชิตอาณาจักรที่มีกำลังคนถึง 5 ล้านได้ ว่ามาจากสาเหตุ 2 ประการคือ ความสามารถด้านการทูตของ Cortes ในการเกลี้ยกล่อมอินเดียนเผ่าอื่น ๆ ให้มารวมใจสู้ชนเผ่า Aztec ได้สำเร็จ  และสาเหตุที่สองคือ ความเชื่อที่ว่า Cortes คือเทพเจ้า เพราะในตำนานของ Aztec นั้น มีเทพเจ้าองค์หนึ่งชื่อ Quetzaleoatl มีผิวขาว เครายาวและสูง ซึ่งได้สัญญากับบรรพบุรุษของเผ่าว่า วันหนึ่งจะเดินทางกลับมาหาชนเผ่านี้อีก  ดังนั้นเมื่อชนเผ่านี้ได้เห็น Cortes มีรูปลักษณ์ตรงตามคำทำนาย จึงไม่คิดจะสู้เลย




(..กษัตริย์ของชนเผ่านี้ได้ส่งทูตมาหาคอร์เตสพร้อมด้วยเครื่องบรรณาการมากมาย  หนี่งในเครื่องบรรณาการก็คือทองคำ  พวกเขาเชิญคอร์เตสเข้าไปในเมือง และทำการบูชายัญด้วยคน 5 คนให้แก่คอร์เตส  และเฉือนเนื้อของเครื่องสังเวยบางส่วนออกมาให้คอร์เตสกิน  ซึ่งแน่นอนว่าคอร์เตสคงไม่กิน  ทำให้กษัตริย์แอสเทคแน่ใจว่าคอร์เตสคือเทพเจ้าในตำนาน  เพราะในตำนานบอกว่าเทพเจ้าองค์นี่ไม่ชอบการสังเวยและไม่ชอบกินเนื้อคนด้วย ..)


ในการปกครองอาณาจักร Aztec นายพล Cortes ได้เปลี่ยนภาษา ศาสนาและอารยธรรมต่าง ๆ ของชนอินเดียนใหม่   แต่ถูกชนอินเดียนต่อต้านและเมื่อนายทหารใต้บังคับบัญชาของ Cortes ไม่เชื่อฟังคำบังคับบัญชา Cortes จึงถูกพระเจ้า Charles ที่ 5 แห่งสเปนทรงเรียกตัวกลับสเปน ใน ค.ศ. 1529 และถูกสั่งไม่ให้หวนกลับไปเม็กซิโกอีกจนกระทั่งเสียชีวิตที่ Castilleha de la Cuesta ใกล้เมือง Seville ในประเทศสเปน เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1547 ขณะที่มีอายุได้ 62 ปี
เมื่อ Cortes และกองทัพล่าอาณานิคมพิชิตอาณาจักร Aztec ได้สำเร็จ เขาได้พบว่าชนเผ่านี้มีอารยธรรมที่น่าสนใจมาก เช่น อารยธรรมในการสื่อสาร ซึ่งใช้วิธีวาดรูปภาพลงบนหนังกวาง หรือเปลือกไม้ และเนื้อหาที่บันทึกก็มักจะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา จะอย่างไรก็ตาม หนังสือภาพ (Codex) เหล่านี้หลายเล่ม ถูกนักบวช Aztec เผาทำลายไปจนหมดในขณะที่อาณาจักร Aztec กำลังล่มสลายนั่นเอง พออีก 2 ทศวรรษต่อมา พระนักบวชชาวสเปนที่ได้ไปเทศนาสั่งสอนอยู่ที่นั่นก็ได้ว่าจ้างให้ศิลปินชาว Aztec บันทึกข้อมูลของอารยธรรมที่กำลังจะสาบสูญอีกครั้งหนึ่ง
ในบรรดาหนังสือภาพ (Codex) ที่ถูกเขียนขึ้นทั้งหมด ไม่มีหนังสือภาพใดสวยและอุดมด้วยเนื้อหาดีเท่าหนังสือภาพที่ชื่อ Codex Mendoza ซึ่งผู้สำเร็จราชการชาวสเปนชื่อ Antonio de Mendoza ได้สั่งให้ทำขึ้นเพื่อถวายแด่พระเจ้า Charles ที่ 5 แห่งสเปน
หนังสือภาพนี้ประกอบด้วยแผ่นพับ 71 ชุด และมีภาพซึ่งถูกวาดโดยศิลปิน Aztec ที่มีชื่อเสียง ภาพได้รวบรวมความรู้ของชน Aztec ในสมัยนั้นไว้ได้พอสมควร แต่เนื่องจากศิลปินถูกบังคับให้รีบวาด เพราะเรือที่จะนำหนังสือไปถวายพระเจ้า Charles ที่ 5 ต้องรีบออกเดินทางก่อนที่ฤดูลมเฮอริเคนจะมาถึง แต่ Codex Mendoza ก็ไม่ได้ถึงพระหัตถ์ของพระเจ้า Charles ที่ 5 แต่ประการใด เพราะเรือสเปนที่นำหนังสือได้ถูกกองทัพเรือฝรั่งเศสยึดไว้ ดังนั้น หนังสือภาพจึงตกอยู่ในอุ้งมือของ Andus Thevet แห่งราชสำนักของพระเจ้า Henri ที่ 2 ของฝรั่งเศส
และหลังจากที่ Thevet ถึงแก่กรรม Codex Mendoza ก็ได้ถูกนำไปขายต่อและเปลี่ยนเจ้าของหลายคน จนกระทั่ง ค.ศ. 1940 J.C. Clark ได้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกเผยแพร่ และได้สร้างความฮือฮาให้แก่วงการโบราณคดีมาก เพราะ Codex Mendoza ได้กล่าวถึงวิถีชีวิตของชาว Aztec ตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 และความเป็นมาของชนเผ่าต่าง ๆ ในอาณาจักร รวมทั้งการสถาปนา Tenochtitlan เป็นนครหลวงใน ค.ศ. 1325 ด้วย จึงทำให้เรารู้ว่าภายในเวลาเพียง 2 ปีมหานครแห่งนี้ก็ได้มีประชากรถึง 2๐๐,๐๐๐ คน
ในบทสุดท้ายของ Codex Mendoza ได้มีการกล่าวถึงวัฏจักรชีวิตของชาว Aztec ทั้งที่มีคุณค่าและไม่มีค่าใด ๆ เช่น คนที่ทำงานหนัก ชีวิตในบั้นปลายก็จะสุขสบาย ส่วนคนขี้เมาหรือขโมยก็จะถูกชาวเมืองอื่น ๆ เหยียดหยามและลงโทษ เป็นต้น
Codex Mendoza ยังได้บันทึกอีกว่าชนชาว Aztec นิยมเล่นเกม Chaah ซึ่งประกอบด้วยลูกบอลที่ยืดหยุ่นมาก เพราะเวลาลูกบอลกระทบพื้น มันจะกระดอนขึ้นสูงอย่างแทบไม่น่าเชื่อ Pedro Martyr นักประวัติศาสตร์แห่งราชสำนักของสเปนซึ่งได้เดินทางถึง Tenochtitlan ใน ค.ศ. 1530 ได้บันทึกเพิ่มเติมว่า ชาว Aztec ผลิตลูกบอลนี้ โดยใช้น้ำยางจากต้นไม้พื้นเมืองชนิดหนึ่ง ผสมกับน้ำหวานที่ได้จากไม้เลื้อยพันธุ์พื้นเมืองเช่นกัน
นี่คือข้อมูลเท่าที่มี ดังนั้น สูตรการทำลูกบอลยางจึงเป็นสูตรที่ได้ถูกปกปิดกันมานานร่วม 5๐๐ ปี
มาบัดนี้ F. Bates แห่งมหาวิทยาลัย Mennesola ที่เมือง Minneapolis ในสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยสูตรดังกล่าว
ในวารสาร Science ฉบับเร็ว ๆ นี้ว่า ชนเผ่า Aztec ใช้เทคโนโลยีชีวภาพทำลูกบอลสำหรับเล่มเกม Chaah ที่มีคนดูนับพัน โดยใช้ยางจากเปลือกของต้น Castilla Elastica มาผสมกับน้ำที่คั้นได้จากต้น Morning Glory เพราะเขาได้พบว่า ภายในเวลาเพียง 1๐ นาที เท่านั้นเอง ยางเหนียวของต้นไม้ดังกล่าวจะตกตะกอนและจับตัวแข็งเป็นลูกบอล
การล่วงรู้สูตรที่ชาว Aztec ใช้ในการทำบอลครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่าชน Aztec เมื่อ 5๐๐ ปีก่อน มีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของต้นไม้ดีถึงระดับที่สามารถนำไปใช้ในการผลิตเป็นอุตสาหกรรมได้ เพราะประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า ในสมัยนั้นเจ้าเมืองต่าง ๆ ที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอีกเจ้าเมืองหนึ่ง ต้องส่งส่วยเป็นลูกบอลยางลักษณะนี้ถึง 16,๐๐๐ ลูก เพื่อใช้ในพิธีทางศาสนา และการละเล่นต่าง ๆ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น