วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

ดร.กลอเรีย โปโล (ตอนที่ 12)

            มันเป็นช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์  น่ามหัศจรรย์ที่สุด  ฉันไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้  เพราะพระเยซูเจ้าทรงโน้มพระกายลงมาดึงตัวฉันออกจากขุมไฟนั่น  พระองค์ทรงยกฉันขึ้นมาไว้บนพื้น  และตรัสกับฉัน...ด้วยความรัก...ว่า “ใช่แล้ว  ลูกจะได้กลับไป และลูกจะมีโอกาสครั้งที่สอง....ไม่ใช่เพราะการสวดภาวนาของครอบครัวของลูกหรอกนะ  เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะต้องวิงวอนขอเพื่อลูกอยู่แล้ว  แต่เป็นเพราะการวอนขอของประชาชนทุกคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับลูกเลย  พวกเขาได้ร้องขอเพื่อลูก  สวดภาวนาและยกจิตใจของพวกเขาด้วยความรักเพื่อลูก”  รู้ไหมว่าฉันได้เห็นอะไรบ้าง?  ฉันได้เห็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของการสวดภาวนาวอนขอ  รู้ไหมว่าเราจะสามารถจะอยู่เบื้องเฉพาะพระพักตร์พระเยซูเจ้าเสมอได้อย่างไร?  โดยการสวดภาวนาทุกวันเพื่อลูกๆของคุณ  แต่จงสวดภาวนาเพื่อเด็กๆทั้งหลายในโลกนี้ด้วย  จงสวดภาวนาเพื่อผู้อื่น  ด้วยวิธีนี้คุณจะอยู่เบื้องเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้าทุกวัน
ฉันได้เห็นลูกไฟลูกเล็กๆเป็นพันๆลูกลอยขึ้นมา...ช่างสวยงามเหลือเกิน...ลอยขึ้นสู่เฉพาะพระพักตร์พระเยซูเจ้า  พวกมันเป็นลูกไฟเล็กๆสีขาวที่เจิดจรัสอบอุ่นด้วยความรัก  พวกมันคือคำภาวนาของคนจำนวนมาก  พวกเขาสวดภาวนาเพื่อฉัน  เพราะรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ดูทีวีและอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน  พวกเขาร้องไห้และขอมิสซาอุทิศให้ฉัน  พระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถให้แก่คนอื่นได้ก็คือมิสซาอันศักดิ์สิทธิ์  ไม่มีสิ่งใดที่ทรงประสิทธิภาพซึ่งสามารถช่วยเหลือคนเราได้มากเท่ากับมิสซาอันศักดิ์สิทธิ์  เป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยมากที่สุด ที่เห็นลูกๆของพระองค์วอนขอเพื่อเพื่อนมนุษย์ของตนและช่วยเหลือพี่น้องของตนเอง  พิธีมิสซาไม่ใช่ผลงานของมนุษย์  แต่เป็นผลงานของพระเป็นเจ้า
ในท่ามกลางลูกไฟเล็กๆเหล่านี้  มีลูกไฟลูกหนึ่งที่ใหญ่และเจิดจรัสยิ่งกว่าลูกอื่น  สวยงามยิ่งนัก  มันยิ่งใหญ่กว่าลูกไฟทุกดวง  รู้ไหมว่าทำไมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ได้?  ทำไมฉันจึงกลับฟื้นคืนชีวิต?  เป็นเพราะในดินแดนของฉันมีนักบุญอยู่องค์หนึ่ง  ฉันเพ่งดูด้วยความอยากรู้  เพื่อจะรู้ว่าใครคือผู้นั้นที่รักฉันมากและสวดภาวนาให้ฉัน  และพระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่า “ชายผู้นั้นที่ลูกเห็น  คือผู้ที่รักลูกมากๆ และเขาไม่รู้จักลูกด้วยซ้ำไป”  พระองค์ทรงให้ฉันเห็นชายชาวนาผู้ยากจนคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่เชิงเขาใน เซียรา เนวาดา แห่งเซนต์มาร์ทา ชายผู้นี้ยากจนมาก  เขาไม่มีอะไรจะกิน  เพราะพืชที่เขาเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวถูกไฟเผาไหม้หมด  แม้แต่ไก่ที่เลี้ยงไว้ ก็ถูกขโมยไปโดยพวก”ผู้ก่อการร้าย”  พวกนี้ยังพยายามจะเอาตัวลูกชายคนโตของเขาไปด้วย  ชายชาวนาผู้นี้ได้เดินลงจากเขาเพื่อไปร่วมพิธีมิสซา  พระเยซูเจ้าทรงให้ฉันได้ยินคำสวดภาวนาของเขา  “พระเยซูเจ้าข้า  ลูกรักพระองค์  ขอขอบพระคุณที่ทรงประทานสุขภาพที่ดี  ขอบพระคุณสำหรับลูกๆของข้าพระองค์  ขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทรงประทานแก่ลูก ลูกขอสรรเสริญพระองค์”
คำภาวนาของเขามีแต่การสรรเสริญ  ขอบพระคุณพระเป็นเจ้าเท่านั้น  พระเยซูเจ้าทรงให้ฉันเห็นเงินในกระเป๋าของเขาซึ่งมีธนบัตร 5,000 เปโซ หนึ่งใบ  และ 10,000 เปโซ อีกหนึ่งใบ  และนี่เป็นทั้งหมดที่เขามี  และเขาทำอย่างไรรู้ไหม?...เขาให้เงิน 10,000 เปโซแก่โบสถ์ และเก็บเงิน 5,000 เปโซเอาไว้
เขาให้เงินจำนวนมากที่มี  แต่เก็บเงินจำนวนน้อยไว้  ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเงินทั้งหมดของเขา แต่เขาก็ไม่ได้เสียดาย หรือบ่นว่าในความยากจนของตน  แต่เขาขอบพระคุณและสรรเสริญพระเป็นเจ้า  หลังจากนั้น...เขาออกจากโบสถ์และไปซื้อสบู่ก้อนหนึ่ง  สบู่ถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์“O Espectador”ฉบับเมื่อวาน ในหนังสือพิมพ์มีเหตุการณ์ของฉันและรูปภาพของฉันซึ่งร่างกายทั้งหมดถูกเผาไหม้
เมื่อเขาเห็นรูปภาพและอ่านข่าวอย่างช้าๆ  เขารู้สึกสะเทือนใจมากและร้องไห้เสียใจราวกับว่า  สำหรับเขาแล้ว...ฉันเป็นคนที่เขารักมากที่สุด   เขาก้มหน้าลงกับพื้นดิน  วิงวอนต่อพระเป็นเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจของเขา...กล่าวว่า “พระบิดา  พระเจ้าของลูก  โปรดเมตตาน้องสาวคนเล็กผู้นี้ของลูกด้วยเถิด  โปรดช่วยเธอด้วย  พระเจ้าข้า  โปรดช่วยเธอด้วยเถิด  ถ้าพระองค์ช่วยน้องสาวผู้นี้ของลูก  ลูกสัญญาว่าจะไปแสวงบุญที่“Sanctuary of Buga”เป็นการทดแทน  แต่ขอพระองค์ช่วยเธอด้วยเถิด”  คิดดูเถิด ชายผู้ยากจน  ผู้ไม่เคยกล่าวคำสบถ หรือบ่นว่าความทุกข์ ความอดหยากของครอบครัว  แต่ตรงกันข้าม เขาสรรเสริญและขอบพระคุณพระเป็นเจ้า...และมีความรักต่อเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง  แม้ว่าจะไม่มีอะไรจะกิน  แต่เขาก็ยังข้ามภูเขาของเมืองเพื่อทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้เพื่อคนที่เขาก็ไม่รู้จัก
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “นี่คือความรักที่แท้จริงต่อเพื่อนมนุษย์  เช่นนี้แหละที่ลูกต้องทำในการรักเพื่อนมนุษย์...” และด้วยเหตุการณ์นี้...พระองค์ทรงมอบภารกิจให้แก่ฉัน  “ลูกจะกลับไป  เพื่อเป็นพยานยืนยันในเรื่องนี้  และลูกต้องเป็นพยานไม่เพียง 1,000 ครั้งเท่านั้น  แต่ 1,000 x 1,000 ครั้ง  วิบัติแก่ผู้ที่ได้ฟังเรื่องของลูก   แต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง  เพราะเขาจะถูกพิพากษาอย่างรุนแรงยิ่งนัก  และเป็นเช่นเดียวกันสำหรับลูกด้วยในการกลับสู่ชีวิตครั้งที่สอง  สำหรับนักบวชคือพระสงฆ์ของเรา  และแม้แต่คนที่ไม่ได้ฟังเรื่องของลูก  เพราะไม่มีคนหูหนวกคนใดที่ไม่ต้องการได้ยิน  และไม่มีคนตาบอดคนใดที่ไม่ต้องการเห็น"
นี่แหละ  พี่น้องที่รัก  นี่ไม่ใช่การบังคับ  ตรงกันข้าม  พระเยซูเจ้าไม่ทรงต้องการบังคับใคร  นี่เป็นโอกาสครั้งที่สองของฉัน  และมันเป็นโอกาสของพวกคุณด้วย นี่เป็นเครื่องหมายแสดงว่าพระเป็นเจ้าทรงรักพวกเรา  และทรงนำกระจกนี้วางไว้ต่อหน้าสายตาของพวกคุณ  ซึ่งก็คือตัวฉันเอง กลอเรีย โปโล  เพราะพระเป็นเจ้าไม่ทรงต้องการให้เราสาปแช่งตัวเราเอง  แต่ปรารถนาให้เราได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์  แต่เพื่อสิ่งนี้เราต้องยอมให้พระองค์ปรับเปลี่ยนตัวของเรา  เมื่อเวลาของเรามาถึงที่จะต้องจากโลกนี้ไป  พวกเราแต่ละคนจะเปิด “หนังสือแห่งชีวิต”ของตนเองเมื่อตายไป  พวกเราทุกคนต้องผ่านช่วงเวลานี้  เหมือนเช่นที่ฉันได้ผ่านมาแล้ว  ที่นั่น...เราจะได้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนเวลานี้  แต่แตกต่างออกไป  เราจะได้เห็นทั้งความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของเรา  การกระทำต่างๆและผลต่อเนื่อง  การละเว้นไม่กระทำและผลต่อเนื่องของมัน....ทั้งหมดจะอยู่เบื้องเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า  แต่สิ่งที่สวยงามมากที่สุดก็คือเราแต่ละคนจะได้เห็นพระเป็นเจ้า...หน้าต่อหน้า  และสิ่งที่พระองค์ทรงขอจากเราคือขอให้เรากลับใจ  แม้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต  พระองค์ก็จะยังทรงขอสิ่งนี้จากเรา  เพื่อที่เราจะเริ่มต้นเป็นสิ่งสร้างใหม่ของพระองค์ในพระสัจจะธรรม  เพราะถ้าปราศจากพระองค์  เราจะทำอะไรไม่ได้เลย

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 เมษายน 2557 เวลา 23:02

    ขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ส่งสารนี้มายังพวกลูก

    ตอบลบ
  2. รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

    ตอบลบ
  3. รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

    ตอบลบ