วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

มารีโน เรสทรีโป


มารีโนเกิดในบริเวณเทือกเขาแอนดิสของประเทศโคลัมเบีย  ในเมืองเล็กๆที่ชาวบ้านปลูกกาแฟเป็นส่วนใหญ่ ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวคาทอลิกที่มีความเชื่อเข้มแข็ง  ปฏิบัติตามธรรมเนียมและคำสอนคาทอลิกทุกประการ  มารีโนเป็นบุตรชายคนที่หกในบรรดาลูกสิบคน  ขณะที่อายุ 14 ปี เขาได้ย้ายไปอยู่ในกรุงโบโกตา เมืองหลวงของโคลัมเบีย และสำเร็จการศึกษาในระดับไฮสคูล  เมื่ออายุ 20ปีก็ได้แต่งงาน และย้ายไปอยู่ที่เมืองแฮมเบิร์ก ในเยอรมนี  เขาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแฮมเบิร์กในคณะศิลปศาสตร์  ลูกชายสองคนของเขาก็เกิดที่นี่  หลังจากอาศัยอยู่ในเยอรมนีหกปี  เขาก็ย้ายไปอยู่ในลอสแองเจลิส  คาลิฟฟอร์เนีย  และอาศัยอยู่ที่นี่ตลอดมา  เขาได้ทำงานในอุตสาหกรรมบันเทิงโดยเป็นนักแสดงและผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์  ตั้งแต่ภาพยนตร์การ์ตูนสำหรับเด็กของวอลท์ดิสนีย์  ไปจนถึงภาพยนตร์เขย่าขวัญของฮอลลีวู้ด
ในปี 1985 เขาเซ็นสัญญากับทางโซนี่มิวสิคในกรุงนิวยอร์ก ได้เป็นผู้อำนายการใหญ่ของวงดนตรี ซานตาเฟแบนด์ (band Santa Fe) เขาได้ผลิตอัลบั้มเพลงออกมาจำนวนมากและเดินทางไปเปิดการแสดงที่ต่างๆทั่วโลก  มารีโนอาศัยอยู่ในโลกแห่งความบันเทิงนี้เป็นเวลานาน 20 ปี  และในช่วงเวลานี้เขาใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากพระเป็นเจ้า  เขาเริ่มถอยห่างจากความเชื่อคาทอลิกตั้งแต่เขาย้ายไปอยู่ที่กรุงโบโกตา  เขากลายเป็นคนนอกศาสนาและหันไปหาชีวิตทางโลกอย่างเต็มที่  ซึ่งให้ความสำคัญกับวัตถุอย่างเช่น เงิน  ชื่อเสียง และความพึงพอใจ  เขาเข้าร่วมกิจกรรมกับศาสนาตะวันออกและศาสตร์ลึกลับ  เช่น  โหราศาสตร์  คริสตัล  เทียน  อโรมาเทลาปี  ฟลอราเทลาปี  ทำนายไพ่  การสะกดจิต และไสยศาสตร์ทุกชนิด

ประสบการณ์เริ่มต้นขึ้น

ชีวิตของมารีโนเริ่มหักเหในระหว่างที่เขาเดินทางไปเยี่ยมญาติของเขาที่บ้านเกิดในโคลัมเบีย เที่ยงคืนก่อนวันคริสต์มาสปี 1997  ขณะที่เขากำลังขับรถไปยังบ้านของลุงซึ่งเขาจะพำนักหลับนอนอยู่ด้วยในคืนนั้น  เขาถูกลักพาตัวโดยกลุ่มกบฏโคลัมเบียที่ชื่อ FARC (Revolutionary Arm Forces of Colombia) เพื่อเรียกค่าไถ่  เขาถูกนำตัวเข้าไปอยู่ในป่าเป็นเวลานานถึงหกเดือน สิบห้าวันแรกของการลักพาตัว เขาถูกทิ้งไว้ในถ้ำที่มีฝูงค้างคาวและแมลงหลากชนิด  ระหว่างที่รอให้ผู้ก่อการร้ายกลับมานำตัวเขาไป  ภายในถ้ำแห่งนั้น  เขาก็ได้ตระหนักใจว่า เขาถูกผู้ก่อการร้ายพิพากษาให้ต้องรับความตาย แต่ภายในถ้ำแห่งนั้นเขาได้รับประสบการณ์พิเศษกับพระเป็นเจ้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตลอดไป  ห้าเดือนครึ่งต่อมา  มารีโนถูกปล่อยตัวออกจากถ้ำอย่างน่าอัศจรรย์เมื่อผู้ก่อการร้ายได้รับเงินค่าไถ่แล้ว (ผู้ก่อการร้ายต้องการฆ่าปิดปากเขามากกว่า)  และหลังจากถูกปล่อยตัว เขาได้กลับคืนสู่ความเชื่อคาทอลิก  สิบแปดเดือนต่อมา  เขากลายเป็นมิชชั่นนารีเต็มตัวของพระศาสนจักรคาทอลิก  เขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในอดีต  ละทิ้งสิ่งของทุกอย่างที่เขาเป็นเจ้าของในโลกนี้  เมื่อออกจากถ้ำ เขาได้ไปสารภาพบาปต่อพระสงฆ์ฟรังซิสกัน  ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้แนะนำฝ่ายวิญญาณของเขา  คือ คุณพ่อ Fray Jose Maria de las cinco llagas  ท่านเป็นพระสงฆ์อิตาเลียน ผู้ก่อตั้งคณะสงฆ์ฟรังซิสกันรีนิววัลออเดอร์ในกรุงโคลัมเบีย  มารีโนใช้เวลาสิบสี่เดือนในคาลิฟฟอร์เนียในการเรียนรู้การเป็นคาทอลิกอีกครั้ง โดยไม่รู้ว่ามีภารกิจสำคัญกำลังรอเขาอยู่เบื้องหน้า

วันหนึ่งในระหว่างการเฉลิมฉลองมิสซาวันอาทิตย์ใบลาน  เขาได้รับประสบการณ์พิเศษอีกครั้งหนึ่งกับพระเยซูเจ้าผู้อยู่บนไม้กางเขน  พระองค์ทรงแจ้งให้เขารู้ถึงภารกิจของเขา  และเขาต้องให้คำตอบว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธภารกิจนี้  พระเยซูเจ้ามิได้ทรงบังคับให้เขาปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์  ในไม่ช้า หลังจากสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ผ่านพ้นไป  มารีโนก็เริ่มต้นภารกิจด้วยการเป็นมิชชันนารีเต็มเวลาให้กับการบรรยายเรื่องราวประสบการณ์การกลับใจของเขา  ภารกิจเริ่มต้นในปี 1999 และได้ดำเนินต่อมาทั่วโลก
ในการบรรยายประสบการณ์ของเขา  มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำสอนในหัวข้อต่างๆหลายเรื่อง  มารีโนอธิบายเรื่องต่างๆเหล่านี้อย่างชัดเจน  ด้วยเทววิทยาแบบง่ายๆสำหรับประสบการณ์พิเศษของเขา  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเรียนเทววิทยาหรือเทวศาสตร์มาก่อนเลยก็ตาม  เขาให้ความรู้ที่น่าประทับใจแก่ผู้เข้าฟัง  เขาไม่เคยตระเตรียมการพูดก่อนทำการบรรยาย นอกจากสวดภาวนาและอ่านหนังสือพระวาจาของพระเป็นเจ้าซึ่งเขาจะอ่านให้ผู้ฟังก่อนที่จะเริ่มต้นการบรรยาย
มารีโนมีภารกิจในหลายประเทศ  และทุกภารกิจเกิดจากการได้รับเชิญให้ไปบรรยาย  เมื่อมีที่หนึ่ง ที่อื่นๆก็ตามมา  ไม่มีการรับเงินเพื่อการไปปรากฏตัว  แต่เขาทำทุกสิ่งเพื่อพระคริสตเยซู  และมอบความวางใจทั้งหมดในพระเจ้า
มารีโนสังเกตเห็นความยากจนในพระสงฆ์ที่อยู่ในกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกา  อันได้แก่ โคลัมเบีย  เอกัวดอร์ เปรู  เวเนซูเอลา และปานามา  เขาพบว่าในพิธีมิสซาพระสงฆ์ต้องใช้จอกกาลิกษ์ที่ทำด้วยพลาสติก  และเสื้อผ้าของพระสงฆ์ในการประกอบพิธีก็ดูไม่สมกับศักดิ์ศรี มารีโนจึงเริ่มต้นขอรับบริจาคภาชนะสำหรับพระแท่นที่ไม่ได้ใช้แล้วจากสังฆมณฑลอื่นในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปที่ร่ำรวยกว่า  รวมทั้งเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ในพิธีด้วย  สิ่งของเหล่านี้จะนำไปให้แก่สังฆมณฑลในประเทศที่ยากจนซึ่งยังไม่มีสิ่งจำเป็นเหล่านี้  แต่ก็ยังมีโบสถ์อีกนับร้อยที่ยังขาดแคลนสิ่งเหล่านี้และมารีโนเองก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือได้
มารีโนยังได้รับกระแสเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ  การจัดตั้งกลุ่ม “แสวงบุญแห่งความรัก” The Pilgrims of Love ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้การดูแลทางด้านจิตใจให้แก่ชุมนุมชนที่ยากจน อันได้แก่การประกาศพระวาจาจากพระวรสาร  ไม่เพียงเท่านั้นทางกลุ่มยังช่วยจัดหาสิ่งจำเป็นฝ่ายร่างกายให้แก่พวกเขาด้วย ทั้งอาหาร  ยา  การศึกษาและเครื่องนุ่งห่ม มารีโนสามารถสร้างโบสถ์และวัดน้อยให้แก่ชุมนุมชนหลายแห่ง  รวมทั้งโรงเรียนและสถานบริการสาธารณสุขพื้นฐาน  ภารกิจเหล่านี้มีความเชื่อคาทอลิกเป็นจุดศูนย์กลาง  มารีโนจะอบรมสมาชิกให้รักษาวินัยตามคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างเคร่งครัด  เขามีพระสังฆราชที่คอยให้คำแนะนำและสนับสนุนภารกิจของเขา คือท่านมองซิเยอร์ โรเบอร์โต ออสปินา ซึ่งมาจากศูนย์อภิบาลของ น.เปโตร ในกรุงโบโกตา  มารีโนพอใจในการสนับสนุนของพระศาสนจักรมาก  และเขาจะไม่ทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับพระศาสนจักรเลย
มารีโนรวบรวมสายประคำ  เหรียญพระรูป บทสวดและวัตถุทางศาสนาทุกชิ้นไว้ใช้ในภารกิจของเขาต่อคนยากจน  มีคริสตชนจำนวนมากที่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้ที่เขาไม่ได้ใช้แล้วแก่คนที่ยากจนกว่า  มารีโนจึงได้รับกล่องสายประคำ  เหรียญ และวัตถุทางศาสนามากมายจากประเทศต่างๆ  และเขาก็ได้มอบสิ่งเหล่านั้นแก่คาทอลิกที่ยากจนซึ่งไม่สามารถซื้อหาสิ่งเหล่านี้ได้
 
มารีโนได้รับคำแนะนำในระหว่างที่เขามีประสบการณ์พิเศษภายในถ้ำที่โคลัมเบีย ได้แก่
-                   สวดสายประคำทุกวัน (บางครั้งมารีโนสวดสายประคำสี่สายตามบทรำพึงสี่ข้อ)
-                   บทสวดต่อพระเยซูกุมารแห่งกรุงปาร์ก (สวดทุกวัน)
-                   บทสวดของนักบุญอัครเทวดามีคาแอล
-                   บทสวดขับไล่ปีศาจของนักบุญแพทริก
-                   อ่านพระคัมภีร์ทุกวันตามด้วยประวัตินักบุญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบุญนักปราชญ์ของพระศาสนจักร
-                   พยายามพินิจรำพึงในความเงียบขณะที่อยู่เบื้องหน้าศีลมหาสนิท ในการเฝ้าศีล

มารีโนให้ความสำคัญต่อการนมัสการศีลมหาสนิทเป็นอย่างมาก เขาบรรยายบ่อยๆเกี่ยวกับการไปสารภาพบาปเพื่อรับศีลอภัยบาป  เพื่อที่จะมีวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์เบื้องพระพักตร์พระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ชีวิตฝ่ายจิตของมารีโนได้ใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์กับพระเยซูกุมารยิ่งวันยิ่งมากขึ้น  และเขาไปเยี่ยมคริสตชนคาทอลิกทุกคนเพื่อแบ่งปันความศรัทธานี้ เขาแนะนำทุกคนให้รู้ถึงความสำคัญของการเจริญเติบโตฝ่ายจิต.

 
พระเยซูเจ้ายังให้พระพรการรักษาโรคแก่มารีโนด้วย  หลายครั้งมีคนที่ได้รับการรักษาให้หายจากความเจ็บป่วยในระหว่างที่เขาสวดภาวนาและวางมือของเขาบนตัวผู้ป่วย
มารีโนเองมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจและต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด  เวลานี้สุขภาพของเขายังดีอยู่และสามารถเดินทางได้  เขาได้เดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจใน 21 ประเทศทั่วโลก
มารีโนได้เขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ของเขาชื่อ "From Darkness into Light"  และหนังสืออื่นๆอีกหลายเล่ม  และผลิต CD , DVD ที่ให้ความสว่างและหล่อเลี้ยงจิตใจ  และให้การท้าทายที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย  การบรรยายเทศน์สอนของเขามีพื้นฐานอยู่ที่พระวรสาร  พระคัมภีร์และธรรมเนียมอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นซึ่งมีอยู่อย่างเพียบพร้อมในพระศาสนจักรคาทอลิก 
 

จาก Spiriudaily.com

เมื่อทางเราได้เขียนเมล์สอบถามมารีโนเกี่ยวกับประสบการณ์บางอย่างที่เขาได้รับขณะที่อยู่ภายในถ้ำ  มารีโนได้ตอบมาทางอีเมล์ดังนี้

 “รอบตัวผมเต็มไปด้วยค้างคาวนับพันตัว  พื้นถ้ำที่ผมตกลงไปเปียกชื้นและถูกปกคลุมด้วยขี้ค้างคาว  แมลงนับพันตัวออกมาจากขี้ค้างคาวและคลานขึ้นมาบนเสื้อของผม  พวกมันกัดผมตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้า  การกัดแต่ละครั้งทำให้ผมได้รับความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน  บางครั้งมันเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต  บางครั้งทำให้ผิวหนังอักเสบ”
แต่ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ –ซึ่งเขาคิดว่าเขากำลังจะตาย – มารีโนก็ได้รับประสบการณ์พิเศษ  เขาได้เห็นชีวิตทั้งหมดของเขา  เหมือนกับบางคนที่ได้รับประสบการณ์ใกล้ตาย  นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับใจของเขา  เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวออกจากถ้ำ  เขาได้เล่าว่า  พระเยซูเจ้าทรงมาหาเขาในเสียงที่ไม่อาจพรรณนาได้  พระองค์แสดงให้เขาเห็นชีวิตทั้งหมดของเขาเป็นฉากๆในภาพนิมิต
มารีโนได้เล่าว่า
“ระหว่างที่ผมได้รับประสบการณ์พิเศษภายในถ้ำ  ขณะที่อยู่ในความว่างเปล่า ผมถูกนำตัวไปวางไว้ในทะเลสาบและน้ำท่วมตัวผมถึงเอว  ผมเห็นหินก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้าผมและผมก็รู้ในทันทีว่า พระเยซูเจ้ากำลังปรากฏแก่ผม – ตอนแรกผมได้ยินแต่เสียงของพระองค์เท่านั้น  แต่เวลานี้ผมรู้ว่าผมกำลังจะได้เห็นพระองค์ด้วย  และผมก็รู้สึกตัวว่าผมไม่อาจมองพระองค์ได้  เนื่องมาจากสถานะในบาปหนักของผม”
“ในเวลานั้นเอง  ผมได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของปีศาจชั่วร้ายนับพันๆซึ่งอยู่ในทะเลสาบที่ผมจมอยู่”
 “ปีศาจแต่ละตัวมีความเชื่อมโยงกับบาปของผม  ผมรู้จักมันแต่ละตัว  ผมเคยเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมัน  พวกมันคือบาปของผมในระยะเวลา 33 ปี”
“ผมเข้าใจทันทีถึงความร้ายแรงของการกระทำของผมที่เป็นการขัดสู้กับพระเป็นเจ้า  พวกมันทั้งหมดมาปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเยซูเจ้า  มันคือการฟ้องร้องกล่าวหาของชีวิตที่อยู่ห่างไกลจากพระเป็นเจ้าและการกระทำทุกอย่างนั้นยังคงดำรงอยู่ – บาปทุกประการที่ผมทำ ยังคงอยู่  จิตทุกจิตที่เชื่อมโยงกับบาปเหล่านั้นยังเคลื่อนไหวอยู่ในตัวของผมและมีช่องว่างระหว่างหัวใจของผมกับวิญญาณ”

“ผมหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว”

“ผมถูกบดขยี้และผมรู้สึกถึงความชั่วร้าย  ความมืดมิดแสนสาหัสอยู่เหนือผม – มันเหมือนเงาทมึนใหญ่ที่แผ่ปกคลุมชีวิตทั้งหมดของผม  เหมือนผ้าห่มจากนรก”
 “แต่เบื้องบนก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าทะเลสาบ  อารักขเทวดาของผมปรากฏกายขึ้น  ท่านสวมเสื้อคลุมยาวสีงาช้าง  สีที่คล้ายกับใบหน้าของท่าน  ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างของท่าน
“ผมรู้ทุกสิ่งที่ท่านพูด (โดยที่ไม่ได้ยินเสียง)  มันเป็นความรู้อย่างสมบูรณ์  เทวดาพูดว่า “เจ้ากำลังยืนอยู่ในดินแดนแห่งบาปทุกประการของเจ้า  เจ้าดำเนินชีวิตในวิถีทางที่เป็นปฏิปักษ์กับพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าทุกประการ”  ท่านชี้ไปยังปีศาจที่อยู่รอบๆตัวของผมและดวงตาของท่านเหมือนคบเพลิง
“ผมสามารถมองเห็นการปรากฏอยู่ของท่านในทุกขณะระหว่างที่ผมมีชีวิตอยู่และการกระทำของท่านที่พยายามจะทำให้ผมต่อสู้กับชีวิตในบาปของผม”
 “ผมยังมองเห็นการปรากฏของเทวดาองค์อื่นๆอีกมากมายด้วย – คืออารักขเทวดาของญาติๆของผม หรือของคนที่ผมได้ทำร้าย  ผมได้เห็นสงครามการสู้รบของจิตวิญญาณ  ตลอดชีวิตของผม – การต่อสู้ของเหล่าทูตสวรรค์ของพระเป็นเจ้ากับเหล่าเทวดาตกสวรรค์ (ปีศาจ)
“ผมมีชีวิตอยู่กับพวกมันเป็นเวลานานโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลย”
“มันเป็นช่วงเวลาที่น่าเศร้ามาก  ที่ได้เห็นพระหรรษทานจำนวนมากที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์  -- มันเจ็บปวดมาก”
อย่างไรก็ตาม  ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้  มีการปลอบประโลมใจจากพระแม่มารีย์  ผู้ทรงปรากฏแก่มารีโน “ทรงเป็นสุภาพสตรีในวัยรุ่นที่สวยงามที่สุดและทรงอำนาจในความบริสุทธิ์และความถ่อมพระองค์อันหาที่เปรียบมิได้  จนทำให้ผมไม่อาจจ้องมองพระนางได้”
“ผมต้องหันไปมองทางอื่นที่น้ำในทะเลสาบ  และผมมีประสบการณ์ในแบบเดียวกันกับอารักขเทวดาของผม  ผมสามารถเข้าใจทุกสิ่งที่แม่พระตรัสกับผม  ทั้งๆที่ไม่มีเสียงตรัส “พระนางตรัสกับผมว่า  ลูกต้องวางใจในพระเยซูเจ้า  พระเจ้าของลูก  ลูกต้องเปิดหัวใจให้พระองค์เข้าไป  และยอมรับความรักและการให้อภัยจากพระองค์  พระเยซูเจ้าทรงรักลูก  พระองค์ทรงให้อภัยแก่ลูก”  เกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะยอมรับพระวาจาของพระแม่  ผมไม่ยอมรับการให้อภัยของพระเยซูเจ้า  เพราะผมไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
“พระแม่ทรงแสดงให้ผมเห็น  เวลาที่ผมได้รับการอวยพรอันยิ่งใหญ่ในเวลาที่ผมเป็นเด็กเล็กๆ  เวลานั้นเป็นช่วงเวลาสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเกิดเมืองนอนของผม  ตอนนั้นผมเป็นคนเป่าทรัมเป็ตในโรงเรียนและผมได้เป่าทรัมเป็ตในขบวนแห่ของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์  พระแม่ทรงแสดงให้ผมเห็นพระพรที่ผมได้รับในขณะที่ผมอยู่กับญาติที่เจ็บป่วย  ตอนนั้นผมอายุเจ็ดขวบ – เวลาที่ผมอยู่กับพี่น้องชายหญิงที่บ้านและเวลานั้นพวกเรายังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา พวกเราถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างอันสวยงาม”
“และในทันใดนั้น  พระนางทรงแสดงให้ผมเห็น  เวลาที่ผมสูญเสียความไร้เดียงสา และอันตรายที่ตามมา”
ภายในถ้ำ  ประสบการณ์ในอันตรายเหล่านั้นติดตัวมารีโนอย่างถาวรไม่จางหายแม้แต่เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวออกจากถ้ำแล้ว  เขาได้รับความรู้ความเข้าใจจากพระเยซูเจ้า  เขารอบรู้ในทุกสิ่งตั้งแต่การตกต่ำของมนุษยชาติไปจนถึงสาเหตุที่ปีศาจและสมุนของมันโจมตีพวกเรา  ทุกหน้าในหนังสือที่เขาเขียนเล่าประสบการณ์มีพลัง “พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ผมเห็นว่า ยุคสมัยของเราที่เป็นอยู่เวลานี้เลวร้ายยิ่งกว่าในสมัยของบาบิโลนและเมืองโซโดมและโกโมราห์  ทุกสิ่งได้ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อที่เราจะดำเนินชีวิตในโลกโดยไม่เกี่ยวข้องอย่างสิ้นเชิงกับพระบัญญัติสิบประการของพระเป็นเจ้า”
และสำหรับโลกนี้  มารีโนกล่าวว่าพระเยซูเจ้าทรงบอกกับเขาว่า “มันจะเป็นโลกที่ปราศจากพระเจ้าและเป็นวัตถุนิยมมากยิ่งๆขึ้น”
 “ศาสนาจะเป็นเพียงความสนใจส่วนบุคคลและไม่สามารถปฏิบัติในที่สาธารณะได้  เพราะจะถูกเฝ้ามองและควบคุมจากรัฐบาล”  พระศาสนจักรที่แท้จริงจะเป็นเหมือนคริสต์ศาสนาในยุคแรกๆ  พระองค์ทรงบอกกับผมว่าการกลับใจของอิสราเอลจะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า  “การกลับใจนั้นจะเกิดขึ้นในเวลากลางคืนตลอดทั้งคืน  และจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมากในหมู่ชาวยิว  หลายคนในพวกเขาจะฆ่ากันเองเมื่อการกลับใจเริ่มต้นขึ้น  พระเยซูเจ้าทรงบอกว่ามันจะเป็นเหมือนการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน  การกลับใจของชาวยิวก็จะเป็นเช่นนั้น  และเวลานั้นก็อยู่ไม่ไกลนัก  แต่ผมได้รู้บางอย่างเกี่ยวกับเวลาของพระเยซูเจ้า  “มันไม่เหมือนกับเวลาของมนุษย์เลย”
เกี่ยวกับคริสตชน  มารีโนกล่าวว่า
             “หลายคนจะหลงออกจากความเชื่อภายในปีหน้า  พระเยซูเจ้ากำลังทำความสะอาดบ้านของพระองค์  สิ่งสกปรกจำนวนมากกำลังถูกกำจัดออกไป  สิ่งที่ซ่อนเร้นปิดบังตนเองอยู่จะถูกนำมาอยู่ในแสงสว่าง หลายคนจะสูญเสียความเชื่อของเขา  พระศาสนจักรของเราจะเล็กลง  แต่จะเป็นพระศาสนจักรของผู้มีความเชื่อที่แท้จริง  ยุคสมัยที่เราต้องเผชิญจะเป็นสิ่งที่เกินจะทนทานได้ถ้าปราศจากความเชื่ออันมีจุดศูนย์กลางในความนบนอบเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์”

             มารีโน  บรรยายที่นิวซีแลนด์

1 ความคิดเห็น: