วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ครบรอบ 99 ปีการประจักษ์ที่ฟาติมา


ความลึกลับยังคงอยู่

เมื่อ 99 ปีก่อน ในวันที่ 13 กรกฏาคม 1917  ขณะที่เลนินได้เริ่มต้นการปฏิวัติรัสเซีย1 ในกรุงเปโตรกราด(Petrograd ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเลนินกราด ปัจจุบันคือเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก)   เด็กเลี้ยงแกะสามคนในฟาติมา ประเทศโปรตุเกส ได้พบกับแม่พระซึ่งประจักษ์มาเป็นครั้งที่สาม โดยพระนางประจักษ์มาหาเด็กๆทุกวันที่ 13 ของเดือน(เริ่มต้นตั้งแต่ 13 พ.ค. , 13 มิ.ย. และ 13 ก.ค. ) และพระนางได้มอบสาส์นความลับสามข้อให้แก่เด็ก

เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยง

และเป็นจุดเริ่มต้นของ สาส์นความลับแห่งฟาติมา

เวลานั้น ในตอนกลางปี 1917 เป็นยุคแห่งความเสื่อมโทรมของยุโรป  ชาติต่างๆในยุโรปเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาได้ 3 ปี   ชายหนุ่มนับร้อยนับพันต้องไปประจำการรบอยู่ที่แนวหน้าฝั่งตะวันตก  สมรภูมิบางแห่ง เช่นที่ เวอร์ดูน    ทหารนับพันคนต้องเสียชีวิตในสนามรบภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง  เมื่อทหารกลุ่มหนึ่งล้มลงที่แนวหน้า  ทหารกลุ่มใหม่ก็เข้าไปแทนที่ ทุกคนต่างมีชีวิตที่ปราศจากความหวัง

สถานการณ์ทางฝั่งตะวันตกมีการคุมเชิงในการรบกันอยู่

สถานการณ์ทางฝั่งตะวันออก ประเทศรัสเซียได้เปลี่ยนรัฐบาลและถอนตัวออกจากสงคราม ทำให้เยอรมนีได้รับชัยชนะในสมรภูมิ

กลางปี 1917 ช่วงเวลานั้นทวีปยุโรป ซึ่งเจริญก้าวหน้าและได้รับฉายาว่าเป็นดินแดนของคริสตชน แต่ละประเทศพากันออกนโยบายที่เท่ากับขุดหลุมฝังศพของตนเอง

ประเทศในยุโรปซึ่งมีรัฐบาลที่เป็นคริสตชน, มีนิติธรรมแบบคริสตชน,การศึกษาแบบคริสตชน และบรรยากาศอันงดงามของคริสตชน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้กำลังถูกรื้อถอนทำลายลงไปสิ้น

ยุโรปตอนกลางอันเป็นที่ตั้งของประเทศ ออสเตรีย-ฮังการี มีรัฐบาลที่เรียกว่า ฮับสเบอร์กคาทอลิก สืบทอดอำนาจมาจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ มีรากฐานหยั่งลึกไปถึงยุคกลางนั้น บัดนี้ถึงกาลเวลาของการล่มสลาย จักรพรรดิคาร์ลและพระมเหสีถูกเนรเทศไปอยู่เกาะมาเดียรา และสหพันธรัฐออสเตรียและฮังการีได้ก่อกำเนิดขึ้นมาแทนซึ่งมีนโยบายไปสู่ความทันสมัยและส่งเสริมลัทธิวัตถุนิยม

ประเทศรัสเซีย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า "รัสเซียอันศักดิ์สิทธิ์" ราชวงศ์โรมานอฟถูกกำจัดโดยเลนิน และลัทธิคอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นศาสนาของรัฐอย่างเป็นทางการ เป็นลัทธิซึ่งไม่เชื่อในพระเป็นเจ้า และทำให้ศาสนจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ถูกเบียดเบียนอย่างโหดเหี้ยม รัฐบาลใหม่ที่กุมอำนาจเปลี่ยนโบสถ์ให้กลายเป็นห้องส้วม

ในเยอรมนี ภายหลังสงคราม, ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐเวียร์มาร์  แทนที่การปกครองของพระเจ้าไกเซอร์ ซึ่งเป็นโปรแตสแตนท์ และไม่นานนักรัฐบาลก็ใช้นโยบายรัฐสังคมนิยมแห่งชาติ

ในขณะที่ประเทศอังกฤษ พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นแองกลิกัน และทรงเป็นประมุขของศาสนจักรด้วย ก็ทรงยอมถอยให้แก่รัฐสภา  และอำนาจในการปกครองก็ไปอยู่ในมือของสภานิติบัญญัติและคณะรัฐมนตรี ทำให้ประเทศอังกฤษเข้าสู่ความเป็นวัตถุนิยมมากยิ่งขึ้น

เด็กสามคนแห่งฟาติมาไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเหตุการณ์เหล่านี้เลย ถึงแม้ผู้ใหญ่และพระสงฆ์ประจำโบสถ์อาจจะได้เคยพูดถึงความโหดร้ายของสงครามให้ฟังอยู่บ้าง รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นแทบทุกแห่งทั่วยุโรปอาทิเช่นการที่ประชาชนละทิ้งคุณค่าของขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา  หันไปฝักใฝ่ในลัทธิสังคมนิยมหรือไม่ก็วัตถุนิยม สิ่งนี้เกิดขึ้นแม้แต่ในประเทศโปรตุเกสของพวกเขาด้วย2

ที่ฟาติมา วันที่ 13 ตุลาคม 1917 ถือเป็นจุดสำคัญของการประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง ในวันนั้นได้เกิด "อัศจรรย์ของดวงอาทิตย์" ต่อหน้าประชาชนประมาณ 70,000 คน รวมทั้งคนที่ช่างสงสัยไม่เชื่ออะไรง่ายๆ   ปรากฏการณ์ซึ่งผิดธรรมดาและน่าอัศจรรย์ใจปรากฏแก่สายตาของประชาชนซึ่งมีทุกระดับชนชั้น, ทุกฐานะ, ทุกระดับสติปัญญา ช่างภาพได้ถ่ายรูปซึ่งถ่ายให้เห็นคนที่กำลังแหงนหน้ามองดูดวงอาทิตย์ด้วยความพิศวง

เราอาจเรียกเวลานั้นว่า เป็นเวลาแห่งพระพรของพระเป็นเจ้า , พระหรรษทาน, สิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานให้เปล่าๆให้แก่ คนที่มีใจถ่อมตน, คนไร้การศึกษา, คนยากจน, คนร่ำรวย, นักปราชญ์, นักวิทยาศาสตร์, นักการเมือง ฯลฯ

ในเวลานั้นไม่มีคนร่ำรวยหรือยากจน คนฉลาดหรือคนโง่ ไม่มีฐานะและชนชั้น ทุกคนได้รับพระพรได้เห็นอัศจรรย์จากพระเป็นเจ้า เช่นเดียวกับเด็กเลี้ยงแกะสามคนนั้น พวกเราซึ่งไม่ได้รับพระพรให้เห็นอัศจรรย์ดวงอาทิตย์เหมือนคนเหล่านั้น อาจรู้สึกอิจฉาพวกเขา

 *************

พระสันตปาปเบเนดิกต์และฟาติมา : เราไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงสนพระทัยในความลึกลับของการประจักษ์ที่ฟาติมา เมื่อ 13 พฤษภาคม 2010 พระองค์ทรงเสด็จเยือนฟาติมาในโอกาสครบรอบ 93 ปีของการประจักษ์ครั้งแรก คือในวันที่ 13 พฤษภาคม 1917

พระองค์ทรงตรัสแก่ประชาชนในวันนั้นว่า บางคนอาจรู้สึกอิจฉาเด็กสามคนนั้นที่ได้เห็นแม่พระ เพราะไม่มีโอกาสเช่นเดียวกันนั้นบ้าง

นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะทุกคนสามารถรับรู้ถึงพระฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้าได้

พระเป็นเจ้า....ทรงมีอำนาจที่จะมาหาเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจิตใต้สำนึกของเรา เพื่อที่จิตวิญญาณของเราจะได้รับการสัมผัสอย่างอ่อนโยนจากพระองค์จริงๆ สิ่งนี้อยู่เหนือประสาทสัมผัสธรรมดาที่จะรับรู้ได้

เพื่อที่เราจะสามารถรับรู้และสัมผัสพระเป็นเจ้า เราต้องบ่มเพาะฝึกฝนการพินิจไตร่ตรองภายในจิตใจของเรา เรามักไม่ตระหนักถึงพลังอำนาจของจิตใจ สาเหตุจากอิทธิพลของสิ่งต่างๆภายนอกและภาพมายาต่างๆซึ่งรบกวนจิตวิญญาณของเรา

พระราชดำรัสบางตอนของพระสันตปาปา พระองค์ทรงให้ข้อคิดที่น่าสนใจ นั่นคือสาส์นแห่งฟาติมานั้น ยังไม่ได้สิ้นสุด พระองค์ตรัสว่า "สาส์นนั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลง เพราะความจำเป็นในการสำนึกผิดกลับใจของโลกนี้ยังต้องดำเนินอยู่ต่อไป"

เวลาที่กำลังบินไปโปรตุเกสนั้น ขณะที่อยู่บนเครื่องบิน พระสันตะปาปาตรัสกับนักหนังสือพิมพ์ว่า คำทำนายแห่งฟาติมา เกี่ยวกับ ระยะเวลาแห่งความยากลำบากของพระศาสนจักรนั้น ส่วนหนึ่งหมายถึงวิกฤติการณ์ของปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายด้วย

"พระเยซูเจ้าทรงแจ้งให้เราทราบล่วงหน้าแล้วว่า พระศาสนจักรจะประสบความยากลำบากหลายอย่างอยู่เสมอ ตราบจนถึงเวลาอวสานของโลก จุดสำคัญคือ สาส์นซี่งเป็นคำตอบแห่งฟาติมานั้น ไม่ได้พูดกับผู้มีความเชื่อความศรัทธาเป็นการเฉพาะ แต่เรียกร้องให้มนุษย์ตอบสนองในเรื่อง การกลับใจอย่างถาวร, การสำนึกผิด, การสวดภาวนา และคุณค่าหลักสำคัญสามประการ นั่นคือ ความเชื่อ, ความไว้ใจและ ความรัก"

*******************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น