เมื่อ 99 ปีก่อน ในวันที่ 13 กรกฏาคม 1917 ขณะที่เลนินได้เริ่มต้นการปฏิวัติรัสเซีย1
ในกรุงเปโตรกราด(Petrograd ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเลนินกราด ปัจจุบันคือเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก) เด็กเลี้ยงแกะสามคนในฟาติมา ประเทศโปรตุเกส
ได้พบกับแม่พระซึ่งประจักษ์มาเป็นครั้งที่สาม โดยพระนางประจักษ์มาหาเด็กๆทุกวันที่
13 ของเดือน(เริ่มต้นตั้งแต่ 13 พ.ค. , 13 มิ.ย. และ 13 ก.ค.
) และพระนางได้มอบสาส์นความลับสามข้อให้แก่เด็ก
เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยง
และเป็นจุดเริ่มต้นของ สาส์นความลับแห่งฟาติมา
เวลานั้น ในตอนกลางปี 1917 เป็นยุคแห่งความเสื่อมโทรมของยุโรป ชาติต่างๆในยุโรปเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาได้
3 ปี ชายหนุ่มนับร้อยนับพันต้องไปประจำการรบอยู่ที่แนวหน้าฝั่งตะวันตก สมรภูมิบางแห่ง เช่นที่ เวอร์ดูน ทหารนับพันคนต้องเสียชีวิตในสนามรบภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เมื่อทหารกลุ่มหนึ่งล้มลงที่แนวหน้า ทหารกลุ่มใหม่ก็เข้าไปแทนที่
ทุกคนต่างมีชีวิตที่ปราศจากความหวัง
สถานการณ์ทางฝั่งตะวันตกมีการคุมเชิงในการรบกันอยู่
สถานการณ์ทางฝั่งตะวันออก
ประเทศรัสเซียได้เปลี่ยนรัฐบาลและถอนตัวออกจากสงคราม ทำให้เยอรมนีได้รับชัยชนะในสมรภูมิ
กลางปี 1917 ช่วงเวลานั้นทวีปยุโรป
ซึ่งเจริญก้าวหน้าและได้รับฉายาว่าเป็นดินแดนของคริสตชน แต่ละประเทศพากันออกนโยบายที่เท่ากับขุดหลุมฝังศพของตนเอง
ประเทศในยุโรปซึ่งมีรัฐบาลที่เป็นคริสตชน, มีนิติธรรมแบบคริสตชน,การศึกษาแบบคริสตชน และบรรยากาศอันงดงามของคริสตชน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้กำลังถูกรื้อถอนทำลายลงไปสิ้น
ยุโรปตอนกลางอันเป็นที่ตั้งของประเทศ
ออสเตรีย-ฮังการี มีรัฐบาลที่เรียกว่า ฮับสเบอร์กคาทอลิก
สืบทอดอำนาจมาจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ มีรากฐานหยั่งลึกไปถึงยุคกลางนั้น
บัดนี้ถึงกาลเวลาของการล่มสลาย จักรพรรดิคาร์ลและพระมเหสีถูกเนรเทศไปอยู่เกาะมาเดียรา
และสหพันธรัฐออสเตรียและฮังการีได้ก่อกำเนิดขึ้นมาแทนซึ่งมีนโยบายไปสู่ความทันสมัยและส่งเสริมลัทธิวัตถุนิยม
ประเทศรัสเซีย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า
"รัสเซียอันศักดิ์สิทธิ์" ราชวงศ์โรมานอฟถูกกำจัดโดยเลนิน
และลัทธิคอมมิวนิสต์ได้กลายเป็นศาสนาของรัฐอย่างเป็นทางการ
เป็นลัทธิซึ่งไม่เชื่อในพระเป็นเจ้า
และทำให้ศาสนจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ถูกเบียดเบียนอย่างโหดเหี้ยม
รัฐบาลใหม่ที่กุมอำนาจเปลี่ยนโบสถ์ให้กลายเป็นห้องส้วม
ในเยอรมนี ภายหลังสงคราม, ได้เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐเวียร์มาร์ แทนที่การปกครองของพระเจ้าไกเซอร์ ซึ่งเป็นโปรแตสแตนท์
และไม่นานนักรัฐบาลก็ใช้นโยบายรัฐสังคมนิยมแห่งชาติ
ในขณะที่ประเทศอังกฤษ
พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นแองกลิกัน และทรงเป็นประมุขของศาสนจักรด้วย
ก็ทรงยอมถอยให้แก่รัฐสภา และอำนาจในการปกครองก็ไปอยู่ในมือของสภานิติบัญญัติและคณะรัฐมนตรี
ทำให้ประเทศอังกฤษเข้าสู่ความเป็นวัตถุนิยมมากยิ่งขึ้น
เด็กสามคนแห่งฟาติมาไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเหตุการณ์เหล่านี้เลย
ถึงแม้ผู้ใหญ่และพระสงฆ์ประจำโบสถ์อาจจะได้เคยพูดถึงความโหดร้ายของสงครามให้ฟังอยู่บ้าง
รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นแทบทุกแห่งทั่วยุโรปอาทิเช่นการที่ประชาชนละทิ้งคุณค่าของขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา หันไปฝักใฝ่ในลัทธิสังคมนิยมหรือไม่ก็วัตถุนิยม
สิ่งนี้เกิดขึ้นแม้แต่ในประเทศโปรตุเกสของพวกเขาด้วย2
ที่ฟาติมา วันที่ 13 ตุลาคม 1917
ถือเป็นจุดสำคัญของการประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง ในวันนั้นได้เกิด
"อัศจรรย์ของดวงอาทิตย์" ต่อหน้าประชาชนประมาณ 70,000 คน
รวมทั้งคนที่ช่างสงสัยไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ปรากฏการณ์ซึ่งผิดธรรมดาและน่าอัศจรรย์ใจปรากฏแก่สายตาของประชาชนซึ่งมีทุกระดับชนชั้น,
ทุกฐานะ, ทุกระดับสติปัญญา
ช่างภาพได้ถ่ายรูปซึ่งถ่ายให้เห็นคนที่กำลังแหงนหน้ามองดูดวงอาทิตย์ด้วยความพิศวง
เราอาจเรียกเวลานั้นว่า
เป็นเวลาแห่งพระพรของพระเป็นเจ้า ,
พระหรรษทาน,
สิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานให้เปล่าๆให้แก่ คนที่มีใจถ่อมตน, คนไร้การศึกษา,
คนยากจน, คนร่ำรวย, นักปราชญ์,
นักวิทยาศาสตร์, นักการเมือง ฯลฯ
ในเวลานั้นไม่มีคนร่ำรวยหรือยากจน
คนฉลาดหรือคนโง่ ไม่มีฐานะและชนชั้น
ทุกคนได้รับพระพรได้เห็นอัศจรรย์จากพระเป็นเจ้า
เช่นเดียวกับเด็กเลี้ยงแกะสามคนนั้น พวกเราซึ่งไม่ได้รับพระพรให้เห็นอัศจรรย์ดวงอาทิตย์เหมือนคนเหล่านั้น
อาจรู้สึกอิจฉาพวกเขา
พระสันตปาปเบเนดิกต์และฟาติมา
: เราไม่จำเป็นต้องอิจฉาพวกเขา
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ
เพราะพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ทรงสนพระทัยในความลึกลับของการประจักษ์ที่ฟาติมา เมื่อ
13 พฤษภาคม 2010 พระองค์ทรงเสด็จเยือนฟาติมาในโอกาสครบรอบ 93
ปีของการประจักษ์ครั้งแรก คือในวันที่ 13 พฤษภาคม 1917
พระองค์ทรงตรัสแก่ประชาชนในวันนั้นว่า
บางคนอาจรู้สึกอิจฉาเด็กสามคนนั้นที่ได้เห็นแม่พระ
เพราะไม่มีโอกาสเช่นเดียวกันนั้นบ้าง
นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
เพราะทุกคนสามารถรับรู้ถึงพระฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้าได้
พระเป็นเจ้า....ทรงมีอำนาจที่จะมาหาเราได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจิตใต้สำนึกของเรา
เพื่อที่จิตวิญญาณของเราจะได้รับการสัมผัสอย่างอ่อนโยนจากพระองค์จริงๆ
สิ่งนี้อยู่เหนือประสาทสัมผัสธรรมดาที่จะรับรู้ได้
เพื่อที่เราจะสามารถรับรู้และสัมผัสพระเป็นเจ้า
เราต้องบ่มเพาะฝึกฝนการพินิจไตร่ตรองภายในจิตใจของเรา
เรามักไม่ตระหนักถึงพลังอำนาจของจิตใจ
สาเหตุจากอิทธิพลของสิ่งต่างๆภายนอกและภาพมายาต่างๆซึ่งรบกวนจิตวิญญาณของเรา
พระราชดำรัสบางตอนของพระสันตปาปา
พระองค์ทรงให้ข้อคิดที่น่าสนใจ นั่นคือสาส์นแห่งฟาติมานั้น ยังไม่ได้สิ้นสุด พระองค์ตรัสว่า
"สาส์นนั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลง
เพราะความจำเป็นในการสำนึกผิดกลับใจของโลกนี้ยังต้องดำเนินอยู่ต่อไป"
เวลาที่กำลังบินไปโปรตุเกสนั้น
ขณะที่อยู่บนเครื่องบิน พระสันตะปาปาตรัสกับนักหนังสือพิมพ์ว่า คำทำนายแห่งฟาติมา
เกี่ยวกับ ระยะเวลาแห่งความยากลำบากของพระศาสนจักรนั้น
ส่วนหนึ่งหมายถึงวิกฤติการณ์ของปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายด้วย
"พระเยซูเจ้าทรงแจ้งให้เราทราบล่วงหน้าแล้วว่า
พระศาสนจักรจะประสบความยากลำบากหลายอย่างอยู่เสมอ ตราบจนถึงเวลาอวสานของโลก
จุดสำคัญคือ สาส์นซี่งเป็นคำตอบแห่งฟาติมานั้น ไม่ได้พูดกับผู้มีความเชื่อความศรัทธาเป็นการเฉพาะ
แต่เรียกร้องให้มนุษย์ตอบสนองในเรื่อง การกลับใจอย่างถาวร, การสำนึกผิด, การสวดภาวนา และคุณค่าหลักสำคัญสามประการ นั่นคือ ความเชื่อ, ความไว้ใจและ ความรัก"
*******************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น