วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

นักบุญยอห์น บัพติสและบทสวดในพิธีกรรม


นักบุญยอห์น บัพติส เป็นประกาศกองค์สุดท้ายของพระธรรมเก่า
นักบุญออกัสตินกล่าวถึงท่านว่า “ยอห์นเป็นเสียงที่ร้องในถิ่นทุรกันดาร  แต่พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระวาจา ผู้ทรงเป็นอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มแรก  ยอห์นเป็นเสียงที่ร้องในวาระสุดท้ายของกาลเวลา  พระเยซูคริสต์เป็นพระวจนาตถ์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร  หากนำพระวาจาและความหมายออกไป  แล้วเสียงจะเป็นอะไรเล่า?  มันก็จะเป็นเพียงเสียงที่ไม่มีความหมายและไม่สามารถเข้าใจได้  เสียงที่ปราศจากพระวาจาดังมากระทบหู  แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในหัวใจ”

นี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง เสียงและพระวาจา  นั่นคือ เป็นความเชื่อมโยงระหว่างนักบุญยอห์นและพระเยซูเจ้า  อีกทั้งยังทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของความศักดิ์สิทธิ์ในภาษาที่ใช้ในบทสวดภาวนาของพระศาสนจักรด้วย มิใช่หรือ?

เมื่อพระศาสนจักรสวดภาวนา  ในบทสวดก็จะใช้เครื่องหมายและสัญญลักษณ์ที่มีพลังเพื่อทำให้พระคริสต์ปรากฏมา คำสอนของพระศาสนจักรสอนไว้ดังนี้ – “การประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เป็นการพบปะกันระหว่างบรรดาบุตรชายหญิงของพระเจ้ากับองค์พระบิดา  พระบุตร และพระจิต  การพบปะกันนี้มีรูปแบบของการสนทนาโดยผ่านทางท่าทางและคำพูด”(1153)  ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่นักบุญออกัสตินกล่าวเกี่ยวกับท่านยอห์น บัพติสในคำสอนเรื่องนี้ เราก็จะพูดได้ว่า  พระคริสตเจ้าผู้ทรงได้รับชัยชนะทรงแสดงพระองค์โดยผ่านทางสิ่งที่พระศาสนจักรทำและพูด  นั่นคือ โดยท่าทาง – และเสียง

ยกตัวอย่าง เมื่อเสียงของพระศาสนจักรพูดว่า “เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต” เราก็กำลังกล่าวคำพูดของพระเยซูเจ้าขณะที่ทรงอยู่บนภูเขาแห่งการเสด็จสู่สวรรค์  พระองค์ตรัสสั่งให้บรรดาอัครสาวกออกไปเผยแพร่ข่าวดี  ไปสอนและล้างบาปมนุษย์ทุกชนชาติ  ดังนั้น พระศาสนจักรได้ถ่ายทอดพระวาจาสู่โลกโดยอาศัยเสียงของพระศาสนจักร

และเมื่อพระศาสนจักรพูดว่า “พระเจ้าสถิตกับท่าน” เราได้กล่าวตามคำพูดของโบแอส,บุรุษจากเบ็ทเลเฮม, เมื่อเขากล่าวทักทายบรรดาคนเก็บเกี่ยวข้าวสาลีของเขา(นางรูธอยู่ที่นั่นด้วย) ดังเรื่องราวในหนังสือรูธ และในเวลานั้นเขาเหลือบไปมองเห็นรูธ ผู้ที่จะเป็นเจ้าสาวในอนาคตของเขา  เขาได้เชิญเธอไปร่วมรับประทานอาหาร  และนี่เป็นเสียงของพระศาสนจักรเช่นกันที่พูดเกี่ยวกับการที่องค์พระวจนาตถ์มารับเนื้อหนังเป็นมนุษย์ – พระองค์บังเกิดที่เบ็ทเลเฮมนี้เอง พระองค์ทรงทำให้เกิดผลผลิตมากมายในการเก็บเกี่ยวมนุษยชาติและทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์อย่างอุดมบริบูรณ์ด้วยพระพรต่างๆ

            ขณะที่พระศาสนจักรประกอบพิธีมิสซา พระสงฆ์สวดบทภาวนาและเชิญชวนให้พวกเราสวดภาวนาด้วย  การสวดภาวนาร่วมกันทำให้หัวใจของทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว  เสียงที่เปล่งออกมาในการสวดภาวนาล่องลอยไปสู่องค์พระวจนาตถ์และพระบิดาโดยลมหายใจของพระจิตเจ้า  ดังที่กล่าวไว้  เสียงเปล่งออกมาภายนอกและสัญญาณแห่งเสียงนั้นอยู่ภายใน - ซึ่งก็หมายถึงพระวาจาที่อยู่ภายในใจที่ไม่อาจได้ยินนั่นเอง

            นักบุญออกัสตินยังพิจารณาเกี่ยวกับนักบุญยอห์น บัพติส ที่เชื่อมโยงถึง “บทสวดในพิธีกรรม” ท่านพูดว่า “ให้เราสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเราแสวงหาทางที่จะยกจิตใจขึ้น เมื่อข้าพเจ้าเริ่มคิดที่จะพูดสิ่งใด  พระวาจาหรือคำพูดก็มาอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้าเรียบร้อยแล้ว  เมื่อข้าพเจ้าต้องการพูดกับท่าน  ข้าพเจ้าก็หาวิธีที่จะแบ่งปันสิ่งที่มีอยู่ในใจของข้าพเจ้าแล้วให้กับท่าน”

            “ข้าพเจ้าหาทางที่จะทำให้คำพูดของข้าพเจ้าไปถึงท่าน  เพื่อที่พระวาจาที่อยู่ในใจข้าพเจ้าแล้วจะได้ไปอยู่ในท่านด้วย  ข้าพเจ้าใช้เสียงนำคำพูดของข้าพเจ้าไปยังท่าน  เสียงของข้าพเจ้านำความหมายแห่งพระวาจาไปยังท่านแล้วเสียงก็หายไป  แต่พระวาจาที่เสียงนำไปนั้นบัดนี้ดำรงอยู่ในหัวใจของท่านแล้ว  และก็ยังคงอยู่ในใจข้าพเจ้าด้วย.....ให้เรายึดมั่นในพระวาจา เราต้องไม่ปล่อยให้พระวาจาหายไปจากใจของเรา”

            พระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระวาจาของพระศาสนจักรถูกส่งมาถึงเราได้อย่างไร?  ก็โดยเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร  เสียงสวดภาวนาที่นำพระวาจาไปด้วย(ซึ่งก็คือพระคริสต์)  และถ้าหากเราจะสามารถได้ยิน “ด้วยหูแห่งหัวใจของเรา” เราก็จะเริ่มเข้าใจได้ว่าองค์พระวจนาตถ์สามารถดำรงอยู่ในตัวเราได้ พระองค์ผู้ทรง “อยู่ในพระเจ้าและทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่เริ่มแรก”

            นักบุญออกัสตินเร้าใจเราว่า “เราต้องเรียนรู้บทเรียบจากยอห์น บัพติส” ท่านเป็นเสียงของพระวาจา ครั้งต่อไปที่ท่านได้ยินเสียงสวดภาวนาของพระศาสนจักร  จงรู้ไว้ว่าเสียงนั้นนำพาพระวาจาแห่งความเชื่อสำหรับหัวใจของท่าน

            “พระวาจา” ดังสะท้อนอยู่บนหน้าหนังสือ Adoremus Bulletin. ของคุณพ่อดาเนียล คาร์โดท่านอาศัยคำแนะนำจากนักบุญออกัสตินนี้ได้เปิดเผยกุญแจสำคัญสามดอกที่จะเป็นประโยชน์ในการเทศน์สอน  คุณพ่อดักลาส มาร์ติสได้ให้ข้อแนะนำเมื่อไม่นานมานี้ในชื่อ comments on silence” กล่าวว่าในพิธีกรรมนั้นความเงียบสามารถทำให้พระวาจา “มีเสียงขึ้นได้อีก” ในจิตใจของเราและในหัวใจของเรา พระวาจามิได้เป็น “สิ่งซ้ำซากน่าเบื่อ” แต่ทรงอำนาจอันเนื่องมาจากลมหายใจที่หวานสดชื่นของพระตรีเอกภาพ,พระจิตเจ้า เป็นเสียงที่ถูกเปล่งออกมาและถูกขับร้องในพระศาสนจักรอย่างสง่าและสวยงาม
            “ในปฐมกาลพระวจนาตถ์ก็ทรงดำรงอยู่แล้ว” ในโอกาสปีใหม่และตรุษจีน 2017 นี้ ขอให้องค์พระวจนาตถ์นี้ที่ถูกประกาศให้มนุษยชาติได้รู้จักโดยนักบุญยอห์น บัพติส ได้อวยพรทุกคนในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

---------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น