นักบุญยอห์น บัพติส เป็นประกาศกองค์สุดท้ายของพระธรรมเก่า
นักบุญออกัสตินกล่าวถึงท่านว่า “ยอห์นเป็นเสียงที่ร้องในถิ่นทุรกันดาร แต่พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระวาจา
ผู้ทรงเป็นอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มแรก
ยอห์นเป็นเสียงที่ร้องในวาระสุดท้ายของกาลเวลา
พระเยซูคริสต์เป็นพระวจนาตถ์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร หากนำพระวาจาและความหมายออกไป แล้วเสียงจะเป็นอะไรเล่า?
มันก็จะเป็นเพียงเสียงที่ไม่มีความหมายและไม่สามารถเข้าใจได้ เสียงที่ปราศจากพระวาจาดังมากระทบหู แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในหัวใจ”
นี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง
เสียงและพระวาจา นั่นคือ
เป็นความเชื่อมโยงระหว่างนักบุญยอห์นและพระเยซูเจ้า อีกทั้งยังทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของความศักดิ์สิทธิ์ในภาษาที่ใช้ในบทสวดภาวนาของพระศาสนจักรด้วย
มิใช่หรือ?
เมื่อพระศาสนจักรสวดภาวนา ในบทสวดก็จะใช้เครื่องหมายและสัญญลักษณ์ที่มีพลังเพื่อทำให้พระคริสต์ปรากฏมา
คำสอนของพระศาสนจักรสอนไว้ดังนี้ – “การประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เป็นการพบปะกันระหว่างบรรดาบุตรชายหญิงของพระเจ้ากับองค์พระบิดา พระบุตร และพระจิต
การพบปะกันนี้มีรูปแบบของการสนทนาโดยผ่านทางท่าทางและคำพูด”(1153)
ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่นักบุญออกัสตินกล่าวเกี่ยวกับท่านยอห์น
บัพติสในคำสอนเรื่องนี้ เราก็จะพูดได้ว่า
พระคริสตเจ้าผู้ทรงได้รับชัยชนะทรงแสดงพระองค์โดยผ่านทางสิ่งที่พระศาสนจักรทำและพูด นั่นคือ โดยท่าทาง – และเสียง
ยกตัวอย่าง เมื่อเสียงของพระศาสนจักรพูดว่า
“เดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต”
เราก็กำลังกล่าวคำพูดของพระเยซูเจ้าขณะที่ทรงอยู่บนภูเขาแห่งการเสด็จสู่สวรรค์
พระองค์ตรัสสั่งให้บรรดาอัครสาวกออกไปเผยแพร่ข่าวดี ไปสอนและล้างบาปมนุษย์ทุกชนชาติ ดังนั้น พระศาสนจักรได้ถ่ายทอดพระวาจาสู่โลกโดยอาศัยเสียงของพระศาสนจักร
และเมื่อพระศาสนจักรพูดว่า “พระเจ้าสถิตกับท่าน”
เราได้กล่าวตามคำพูดของโบแอส,บุรุษจากเบ็ทเลเฮม,
เมื่อเขากล่าวทักทายบรรดาคนเก็บเกี่ยวข้าวสาลีของเขา(นางรูธอยู่ที่นั่นด้วย)
ดังเรื่องราวในหนังสือรูธ และในเวลานั้นเขาเหลือบไปมองเห็นรูธ
ผู้ที่จะเป็นเจ้าสาวในอนาคตของเขา
เขาได้เชิญเธอไปร่วมรับประทานอาหาร
และนี่เป็นเสียงของพระศาสนจักรเช่นกันที่พูดเกี่ยวกับการที่องค์พระวจนาตถ์มารับเนื้อหนังเป็นมนุษย์
– พระองค์บังเกิดที่เบ็ทเลเฮมนี้เอง พระองค์ทรงทำให้เกิดผลผลิตมากมายในการเก็บเกี่ยวมนุษยชาติและทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์อย่างอุดมบริบูรณ์ด้วยพระพรต่างๆ
ขณะที่พระศาสนจักรประกอบพิธีมิสซา
พระสงฆ์สวดบทภาวนาและเชิญชวนให้พวกเราสวดภาวนาด้วย การสวดภาวนาร่วมกันทำให้หัวใจของทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
เสียงที่เปล่งออกมาในการสวดภาวนาล่องลอยไปสู่องค์พระวจนาตถ์และพระบิดาโดยลมหายใจของพระจิตเจ้า ดังที่กล่าวไว้ เสียงเปล่งออกมาภายนอกและสัญญาณแห่งเสียงนั้นอยู่ภายใน
- ซึ่งก็หมายถึงพระวาจาที่อยู่ภายในใจที่ไม่อาจได้ยินนั่นเอง
นักบุญออกัสตินยังพิจารณาเกี่ยวกับนักบุญยอห์น
บัพติส ที่เชื่อมโยงถึง “บทสวดในพิธีกรรม” ท่านพูดว่า “ให้เราสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเราแสวงหาทางที่จะยกจิตใจขึ้น
เมื่อข้าพเจ้าเริ่มคิดที่จะพูดสิ่งใด พระวาจาหรือคำพูดก็มาอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อข้าพเจ้าต้องการพูดกับท่าน
ข้าพเจ้าก็หาวิธีที่จะแบ่งปันสิ่งที่มีอยู่ในใจของข้าพเจ้าแล้วให้กับท่าน”
“ข้าพเจ้าหาทางที่จะทำให้คำพูดของข้าพเจ้าไปถึงท่าน เพื่อที่พระวาจาที่อยู่ในใจข้าพเจ้าแล้วจะได้ไปอยู่ในท่านด้วย
ข้าพเจ้าใช้เสียงนำคำพูดของข้าพเจ้าไปยังท่าน เสียงของข้าพเจ้านำความหมายแห่งพระวาจาไปยังท่านแล้วเสียงก็หายไป แต่พระวาจาที่เสียงนำไปนั้นบัดนี้ดำรงอยู่ในหัวใจของท่านแล้ว
และก็ยังคงอยู่ในใจข้าพเจ้าด้วย.....ให้เรายึดมั่นในพระวาจา
เราต้องไม่ปล่อยให้พระวาจาหายไปจากใจของเรา”
พระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระวาจาของพระศาสนจักรถูกส่งมาถึงเราได้อย่างไร? ก็โดยเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร เสียงสวดภาวนาที่นำพระวาจาไปด้วย(ซึ่งก็คือพระคริสต์) และถ้าหากเราจะสามารถได้ยิน “ด้วยหูแห่งหัวใจของเรา”
เราก็จะเริ่มเข้าใจได้ว่าองค์พระวจนาตถ์สามารถดำรงอยู่ในตัวเราได้ พระองค์ผู้ทรง “อยู่ในพระเจ้าและทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่เริ่มแรก”
นักบุญออกัสตินเร้าใจเราว่า
“เราต้องเรียนรู้บทเรียบจากยอห์น บัพติส” ท่านเป็นเสียงของพระวาจา
ครั้งต่อไปที่ท่านได้ยินเสียงสวดภาวนาของพระศาสนจักร จงรู้ไว้ว่าเสียงนั้นนำพาพระวาจาแห่งความเชื่อสำหรับหัวใจของท่าน
“พระวาจา”
ดังสะท้อนอยู่บนหน้าหนังสือ Adoremus
Bulletin. ของคุณพ่อดาเนียล
คาร์โดท่านอาศัยคำแนะนำจากนักบุญออกัสตินนี้ได้เปิดเผยกุญแจสำคัญสามดอกที่จะเป็นประโยชน์ในการเทศน์สอน คุณพ่อดักลาส
มาร์ติสได้ให้ข้อแนะนำเมื่อไม่นานมานี้ในชื่อ “comments
on silence”
กล่าวว่าในพิธีกรรมนั้นความเงียบสามารถทำให้พระวาจา “มีเสียงขึ้นได้อีก”
ในจิตใจของเราและในหัวใจของเรา พระวาจามิได้เป็น “สิ่งซ้ำซากน่าเบื่อ” แต่ทรงอำนาจอันเนื่องมาจากลมหายใจที่หวานสดชื่นของพระตรีเอกภาพ,พระจิตเจ้า
เป็นเสียงที่ถูกเปล่งออกมาและถูกขับร้องในพระศาสนจักรอย่างสง่าและสวยงาม
“ในปฐมกาลพระวจนาตถ์ก็ทรงดำรงอยู่แล้ว” ในโอกาสปีใหม่และตรุษจีน 2017 นี้ ขอให้องค์พระวจนาตถ์นี้ที่ถูกประกาศให้มนุษยชาติได้รู้จักโดยนักบุญยอห์น
บัพติส ได้อวยพรทุกคนในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
---------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น