ผู้รับใช้ของพระเจ้า
มาเรีย เอสเปแรนซา (1928-2004)
มาเรีย เอสเปแรนซา เมดราโน เดอ เบียนชินี
เกิดที่เมืองบาร์แรนคาส Barrancas ในเวเนซูเอล่า ตรงกับวันฉลองนักบุญ เซซีเลีย วันที่ 22 พ.ย. 1928 มารดาของเธอคือนางมาเรีย ฟิลโลมีนา Maria
Filomena และบิดาคือ แอนนีเซโต เมดราโน Aniceto Medrano ดีใจที่ได้ลูกสาว เพราะทั้งคู่มีลูกชายสามคนแล้ว มารดาจึงได้วอนขอแม่พระให้ประทานลูกสาว ในระหว่างตั้งครรภ์มารดาสวดภาวนาต่อหน้าพระรูปแม่พระเสมอ
และมอบถวายลูกแก่พระแม่มารีย์
ทั้งสัญญาว่าจะตั้งชื่อลูกสาวว่ามาเรีย (ภาษาสเปน=มารีย์)
คำว่า เอสเปแรนซา ในภาษาสเปนแปลว่า “ความหวัง”
ในตอนที่ยังเป็นเด็กเล็ก มาเรียเจ็บป่วยบ่อยๆ
แต่ก็หายป่วยอย่างอัศจรรย์เสมอ อาการส่วนใหญ่จะเป็นที่หัวใจและการหายใจ ดูเหมือนว่าพระเป็นเจ้าจะทรงเตรียมเธอและชำระล้างเธอโดยผ่านทางความทุกข์ยาก
มาเรียแสดงความสนใจในศาสนาตั้งแต่เป็นเด็ก
เธอมักจะเล่นตุ๊กตาที่แต่งตัวเป็นพระสงฆ์หรือซิสเตอร์
ประสบการณ์พิเศษครั้งแรก
ประสบการณ์พิเศษครั้งแรก
เมื่ออายุ
5 ขวบ มาเรียได้รับประสบการณ์พิเศษครั้งแรก
ขณะที่เธอกำลังล่ำลามารดาผู้ที่กำลังออกเดินทางโดยทางเรือ มาเรียได้เห็นนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูปรากฏขึ้นมาจากน้ำในแม่น้ำโอริโนโค
Orinoco River นักบุญโยนดอกกุหลาบมาให้มาเรีย และเธอรับเอาไว้ มันเป็นกุหลาบสีแดงผิวกลีบอ่อนนุ่มเป็นกำมะหยี่
มาเรียมอบดอกกุหลาบให้มารดาผู้ซึ่งประหลาดใจเป็นอันมากเพราะแถวนั้นไม่มีดอกกุหลาบเลย
หายจากเจ็บป่วยอย่างอัศจรรย์
หายจากเจ็บป่วยอย่างอัศจรรย์
เมื่ออายุ 12 ปี เธอเป็นโรคนิวมอเนียร้ายแรง
และแพทย์มีความเห็นว่าเธอคงจะไม่รอดภายในสามวัน
มาเรียสวดภาวนาต่อแม่พระว่า “พระแม่ของลูก
พระแม่ปรารถนาให้ลูกไปพบพระแม่หรือ?” เธอปิดตาลงสวดภาวนาและรอคอยคำตอบ เมื่อเธอเปิดตาขึ้น
เธอก็เห็นแม่พระทรงยิ้มอยู่ต่อหน้าเธอ แม่พระทรงประจักษ์แก่มาเรียในฐานะ
พระนางพรหมจารีย์แห่งหุบเขามากาเรียตตา Virgin
of the Valley of Margarita
(การประจักษ์ของแม่พระอีกแห่งหนึ่งในเวเนซูเอลา) พระนางตรัสแก่มาเรียว่าเธอต้องได้รับการรักษาอย่างไร
มาเรียมารู้ในภายหลังว่าบิดาของเธอมีความศรัทธาต่อแม่พระแห่งหุบเขามาก และในเวลาใกล้ตายเขาได้วอนขอแม่พระให้ปกป้องภรรยาและลูกๆของเขา ดังนั้นแม่พระจึงทรงบอกวิธีทางการแพทย์ที่ใช้รักษามาเรีย
เห็นพระเยซูเจ้า
ในขณะที่เป็นวัยรุ่น มาเรียได้รับความทุกข์อีก เธอเจ็บป่วยมากจนต้องให้อาหารทางสายยาง
มาเรียสวดภาวนาด้วยความเชื่อต่อพระเยซูเจ้า ขอให้พระองค์มารับเธอไปเสียเพื่อที่จะได้ไม่เป็นภาระของครอบครัวอีกต่อไป
เมื่อมาเรียเปิดตาขึ้นและครั้งนี้เธอเห็นดวงพระทัยของพระเยซูเจ้า มีแสงสว่างเจิดจ้าและจุ่มโชกอยู่ในพระโลหิต มาเรียเล่าว่า “พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพละกำลัง ดวงพระเนตรทิ่มแทงมาเหมือนแสงรังสี
เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่คุณ ช่างสวยงามเหลือเกิน ดวงพระเนตรนั้น...พระพักตร์ของพระองค์ช่างอ่อนโยนยิ่งนัก”
พระเยซูเจ้าประจักษ์แก่มาเรียและทรงเรียกเธอว่าเป็น “ดอกกุหลาบสีขาวแห่งความรักของฉัน”
พระเยซูเจ้าและพระมารดาเสด็จมาเยี่ยมมาเรียเพื่อรักษาเธอให้หาย
แต่ทั้งสองพระองค์ทรงอธิบายแก่เธอว่าชีวิตเป็นการทดสอบที่ต่อเนื่องยาวนาน และสะพานทอดไปสู่สวรรค์นั้นสร้างขึ้นด้วยการทดสอบ,
การชำระล้าง และด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แม่พระตรัสกับเธอว่า “ลูกสาวของแม่ เมื่อลูกเริ่มต้นในการเดินทางแสวงบุญ ลูกจะได้รับความทุกข์ยากลำบากหลายอย่าง
ความทุกข์เหล่านั้นคือความเจ็บปวดของแม่เอง จงช่วยเหลือแม่ -
ช่วยแม่ในการช่วยโลกนี้ซึ่งกำลังหลงทางไป” นั่นเป็นการเริ่มต้นของการเดินทางอันลึกลับของมาเรียเมื่อมีอายุ
12 ปี
มาเรียได้รับพระพรพิเศษหลายอย่างตั้งแต่อยู่ในวัยรุ่น อาทิเช่น การอ่านใจคนได้ เธอมักจะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีใครมาเยี่ยมบ้าง
หรือรู้ว่าคนในครอบครัวหรือเพื่อนคนใดจะล้มป่วย
หรือจะมีเหตุการณ์พิเศษอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา
ครั้งหนึ่งมาเรียบอกกับบุคคลผู้หนึ่งที่มีอาการของโรคมะเร็งว่า
“คุณมีปัญหาที่ถุงเล็กๆและฉันรู้สึกว่าคุณต้องได้รับการผ่าตัดในทันที” ชายผู้นั้นได้รับการผ่าตัดและเขาก็หายเป็นปกติ
มาเรียยังได้สวดภาวนาเหนือเด็กเล็กๆคนหนึ่งที่เป็นไข้ไทฟอยด์และเด็กผู้นั้นก็หายเป็นปกติ อีกครั้งหนึ่ง
มาเรียบอกกับหญิงคนหนึ่งที่เป็นโรคเรื้อนให้ไปรับการรักษาทางการแพทย์ที่เฉพาะทาง
หญิงผู้นั้นทำตามที่มาเรียบอกและเธอก็หายเป็นปกติ
เห็นนิมิตและได้รับพระพรจากสวรรค์
เมื่อมาเรียเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในปี 1954มาเรียปรารถนาที่จะบวชเป็นซิสเตอร์และเข้าสู่อาราม และในวันที่ 3 ตุลาคมของปีนั้น เมื่อพิธีมิสซาจบลง
มาเรียได้รับนิมิตจากนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูที่ประจักษ์แก่เธอ
นักบุญได้โยนดอกกุหลาบมาให้เธออีกครั้งหนึ่ง
แต่ครั้งนี้ขณะที่มาเรียไปหยิบดอกกุหลาบเหมือนเช่นที่เคยทำเมื่อตอนอายุ
5 ขวบ สิ่งที่เธอหยิบได้กลับไม่ใช่ดอกกุหลาบ
แต่เป็นบางอย่างที่ทิ่มแทงบนฝ่ามือของเธอทำให้เลือดออกจากมือ นั่นคือการประทับลงของรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ แล้วนักบุญเทเรซาพูดกับเธอว่า “นี่ไม่ใช่กระแสเรียกของเธอ กระแสเรียกของเธอคือการเป็นภรรยาและมารดา”
มาเรียรู้สึกในทันทีว่าเธอต้องจากอารามไปและไปรับใช้พระเยซูเจ้าในโลกภายนอกในฐานะภรรยาและมารดา
ไม่กี่วันต่อมาในวันที่ 7 ตุลาคม 1954
ในวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ
พระมารดาแห่งพระเป็นเจ้าทรงประทานสาส์นนี้แก่มาเรีย “นอกเหนือจากการไปรับศีลมหาสนิท การอดอาหาร การสวดภาวนา
และการทำกิจใช้โทษบาปแล้ว
ลูกต้องปฏิบัติกิจรักษาสันโดษอย่างเคร่งครัด เพราะแม่จะมาหาลูกอีกครั้งในวันที่ 12
ตุลาคมนี้
ดังนั้นลูกจึงต้องเตรียมจิตใจของลูกไว้เพื่อจะได้เป็นมารดาฝ่ายจิตของวิญญาณทั้งหลาย และดังนั้นแม่จะได้ปิดผนึกสิ่งนี้ไว้ตลอดไป ลูกจะได้เป็นมารดาของลูกเจ็ดคน โดยเป็นดอกกุหลาบหกคน และเป็นหน่อหนึ่งคน”
การแต่งงานกับ
จีโอ เบียนชินี กิอานี่
ในไม่ช้ามาเรียได้เดินทางไปที่กรุงโรมและพักอาศัยอยู่ที่สถาบันราวาสโค
Ravasco
Institute ในวาติกัน
ซึ่งดำเนินงานโดยคณะบุตรีแห่งดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและพระนางมารีย์
วันหนึ่งมาเรียได้เห็นนิมิตของชายผู้หนึ่งที่กำลังโบกธงสีขาว แดง
และเขียว นั่นเป็นสัญญาณบอกเธอว่าสามีในอนาคตของเธอเป็นชาวอีตาลี ต่อมาไม่นาน นักบุญยอห์น บอสโกได้ประจักษ์แก่มาเรียและบอกเธอว่า
เธอจะพบกับสามีในอนาคตของเธอในวันที่ 1 พ.ย. 1955
ต่อมาที่กรุงโรม ณ.เบื้องหน้าพระวิหารแห่งดวงพระทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า มาเรียได้พบกับจิโอ เบียนชินี กิอานี
ในเวลาตรงตามที่เธอได้รับการบอกให้รู้ล่วงหน้า
เดือนตุลาคมของปีถัดมา ในวันครบรอบอัศจรรย์ยิ่งใหญ่แห่งดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา แม่พระทรงบอกกับมาเรียว่า เธอจะแต่งงานในวันที่
8 ธันวาคม 1956 ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระปฏิสนธินิรมลทิน
และมาเรียกับจิโอก็ได้แต่งงานในวันนั้นที่โบสถ์น้อยแห่งการปฏิสนธินิรมลของแม่พระที่อยู่ในอาสนวิหารนักบุญเปโตร
การซื้อที่ดินในเบธาเนีย –ภาพนิมิตที่เป็นจริง
การซื้อที่ดินในเบธาเนีย –ภาพนิมิตที่เป็นจริง
เมื่อมาเรียยังเป็นวัยรุ่น พระนางมารีย์ทรงแสดงให้มาเรียเห็นภาพนิมิตของผืนดินแห่งหนึ่งที่มีบ้านเก่าแก่ มีน้ำตก และถ้ำ ภาพนิมิตนี้ได้จารึกอยู่ในจิตใจของมาเรีย เธอเคยปรึกษากับคุณพ่อปีโอ
ในเรื่องภาพนิมิตนี้เมื่อตอนที่เธอไปหาท่านด้วย
ในเรื่องนี้สามีของเธอ จีโอได้เล่าว่า “ตั้งแต่ปี 1957 ถึงปี 1974
เราพยายามค้นหาผืนดินนี้ตลอดทั่วเวเนซูเอลา
ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1974
เราได้ข่าวเกี่ยวกับฟาร์มแห่งหนึ่งและตัดสินใจที่จะไปดู เราโทรศัพท์ไปหาเจ้าของฟาร์มในเดือนมีนาคมและไปดูที่ดินนั้น เมื่อเราไปถึงมาเรียพูดว่า ‘เราต้องซื้อฟาร์มนี้’ ในเดือนมิถุนายน
เราก็เซ็นสัญญาซื้อขาย....เรื่องนี้เป็นไปตามนิมิตของภรรยาของผมซึ่งเธอได้รับขณะที่ยังเป็นวัยรุ่นอย่างแท้จริง”
จีโอสามีของมาเรียและหุ้นส่วนของเขาได้ซื้อที่ดินและเนินเขาในบริเวณนั้น
จิโอและมาเรียได้ไปที่ฟาร์มนั้นหลายครั้งในวันเสาร์เพื่อสวดภาวนาและให้อาหารสัตว์เลี้ยง ในเดือนกุมภาพันธ์ 1976 ขณะที่มาเรียอยู่ในอีตาลีเพื่อดูแลมารดาของจิโอ แม่พระทรงบอกให้มาเรีย กลับไปที่เวเนซูเอลาและเตรียมตนเองเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่จะเกิดขึ้นที่เบธาเนียในวันที่
25 มีนาคม 1976 แม่พระตรัสแก่มาเรียว่า
“ลูกจะได้เห็นแม่บนผืนดินที่ลูกได้ซื้อไว้”
แม่พระประจักษ์ที่เบธาเนีย
– มาเรียเป็นผู้นำสาส์นแห่งการคืนดีกัน
ด้วยความนบนอบเชื่อฟังต่อแม่พระ
มาเรียได้ออกจากกรุงโรมและไปถึงเบธาเนียในวันที่ 25 มีนาคม
อันตรงกับวันฉลองแม่พระทรงรับสาส์นจากอัครเทวดากาเบรียล มีหลายคนมาชุมนุมกัน
พวกเขาสวดสายประคำแล้วทันใดแม่พระก็ทรงประจักษ์แก่มาเรีย แม่พระทรงเรียกพระนางว่า “พระนางมารีย์แห่งการกลับคืนดีของประชาชนและขอประชาชาติ” แม่พระตรัสแก่มาเรียว่า
“ดวงใจของแม่ที่เคยมอบแก่ลูกแล้ว ดวงใจของแม่ที่มอบแก่ลูกในเวลานี้
และดวงใจของแม่ที่จะมอบแก่ลูกเสมอไป” มาเรียเป็นเพียงผู้เดียวที่เห็นแม่พระ แต่คน 80 คนที่รวมกันอยู่ที่เบธาเนียในเวลานั้นได้เห็นกลุ่มเมฆลอยออกมาจากป่า
และยังเห็นดวงอาทิตย์เคลื่อนไหวอย่างประหลาดด้วย
และในเวลานั้นมาเรียก็ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น
นั่นคือการเริ่มต้นของการประจักษ์ที่เบธาเนีย สิ่งที่ทำให้เบธาเนียแตกต่างจากที่มีการประจักษ์แห่งอื่นก็คือ
ในระหว่างที่มีการประจักษ์จะมีบางสิ่งเกิดกับมาเรีย
มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติหลายอย่างที่ต่อเนื่องกันเกิดบริเวณสถานที่ประจักษ์
เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่เบธาเนียนั้นอาจเกิดขึ้นในเวลาที่มาเรียอยู่ที่นั่นหรือไม่อยู่ก็ได้ เหตุการณ์ที่น่าประทับใจเกิดขึ้นในวันที่ 25
มีนาคม 1984 มีการประจักษ์เกิดขึ้น 7
ครั้งโดยมีคนประมาณ 108 คนเป็นสักขีพยาน
เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้พระสังฆราชท้องถิ่นเริ่มเข้ามาสอบสวน พระสังฆราชปีโอ เบลโล Bishop Pio Belloเริ่มเข้ามาศึกษา มีการสัมภาษณ์สักขีพยานจำนวนมากเท่าที่จะทำได้
ในวันและเดือนต่อมาภายหลังจากการประจักษ์ของแม่พระครั้งแรกแก่มาเรีย
ผู้คนนับร้อยได้เห็นพระมารดาของพระเจ้าที่เบธาเนีย
บางครั้งพระนางประจักษ์มาในรูปของพรหมจารีย์แห่งเหรียญอัศจรรย์
และบางครั้งก็เป็นพระนางพรหมจารีย์แห่งลูรดส์ ประชาชนมักจะเห็นแม่พระในลักษณะที่เป็นรูปสลักหินอ่อน
หรือในลักษณะที่เป็นแสงสว่างไสว
มีควันและกลุ่มเมฆ
บางคนได้เห็นดวงอาทิตย์กระพริบเหมือนที่ฟาติมา ยังมีผีเสื้อจำนวนมากที่ดูเหมือนจะโผผิน ออกมาจากถ้ำในเวลาที่มาเรียเริ่มเห็นแม่พระประจักษ์มา ผู้แสวงบุญหลายคนยังได้ยืนยันว่าพวกเขาเห็นแสงระยิบระยับตกลงมาจากท้องฟ้า –
แสงประหลาดจากสวรรค์
แสงระยิบระยับนั้นได้ปรากฏบนตัวของมาเรียหลายครั้ง
กางเขนใหญ่ขนาดยักษ์ได้ปรากฏขึ้นเหนือยอดเขา และมีอัศจรรย์การหายจากโรคเกิดขึ้นหลายราย ตามการรายงานของ Dr.
Arrieta ผู้จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เกิดอัศจรรย์การหายจากโรค
1,000 ราย ที่เบธาเนีย
ตัวของนายแพทย์เองก็ได้รับอัศจรรย์การหายจากโรคมะเร็งในระยะแรกด้วย มะเร็งนั้นได้แพร่กระจายไปยังกระดูกสันหลังของเขา มีผู้ที่หายจากความพิการ หายจากลูคีเมีย หายจากตับอักเสบ เป็นต้น
อัศจรรย์แห่งศีลมหาสนิท
นอกจากนี้
ยังมีการพบพระธาตุที่เบธาเนียอย่างอัศจรรย์ด้วย
อาทิเช่น วันที่ 14 ธันวาคม 1985
ขณะที่มาเรียรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างโน้มนำเธอให้ไปที่ลำห้วย เธอชี้นิ้วที่ก้อนหินก้อนหนึ่ง เมื่อดึงก้อนหินออกจากลำห้วย
ก็ได้เห็นว่ามีภาพของแม่พระสีขาวอยู่บนก้อนหินนั้น
ยังมีอัศจรรย์แห่งศีลมหาสนิทเกิดขึ้นที่เบธาเนียเช่นกัน ในวันที่ 8 ธันวาคม 1991
เมื่อพระสงฆ์ยกแผ่นศีลขึ้นมา
ปรากฏว่าแผ่นศีลเริ่มหลั่งโลหิต
พระสังฆราชได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้และได้ประกาศว่า “เราได้สั่งให้มีการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์แล้ว โดยห้องแล็ปของกรุงคาราคัสที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน
พวกเขาได้ยืนยันว่าสิ่งที่ไหลออกมาจากแผ่นศีลนั้นเป็นเลือดของมนุษย์อย่างแท้จริง”
การรับรองจากพระศาสนจักร
พระสังฆราชได้สัมภาษณ์สักขีพยานนับร้อยคนด้วยตัวของท่านเองและมีคำยืนยันเป็นเอกสารจากสักขีพยานประมาณ
550 คน มีเอกสารบางชิ้นที่ประทับลายเซ็นของพยานมากกว่าหนึ่งคน
ดังนั้นจึงมีพยานนับพันคนที่ลงลายเซ็นไว้ในเอกสารเป็นการยืนยัน ในระหว่างที่พระสังฆราชทำการตรวจสอบนี้
ท่านได้ปรึกษากับพระคาร์ดินัลในพระสมณสำนักคำสอนแห่งความเชื่อ
คือพระคาร์ดินัลโยเซฟ รัทซิงเกอร์ (พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16) และยังได้ปรึกษากับพระสันตปาปายอห์นปอลที่ 2
ด้วย
หลังจากได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว พระสังฆราชยังประวิงเวลาไว้อีก 3 ปีเพื่อให้แน่ใจก่อนที่จะออกจดหมายอย่างเป็นทางการในวันที่
21 พฤศจิกายน 1987
ประกาศว่าการประจักษ์ที่เบธาเนียนั้นไม่เพียงแต่สอดคล้องกับคำสอนของพระศาสนจักรเท่านั้น แต่ยัง “เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เชื่อถือได้ และมีที่มาจากสวรรค์” ภายหลังจากนั้นพระสังฆราช 35 องค์ของเวเนซูเอลา
(จากพระสังฆราชทั้งหมด 37 องค์)ได้ยอมรับคำประกาศนี้
พระสังฆราชปีโอ เบลโล
ประกาศว่าเบธาเนียเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการสวดภาวนา
การแสวงบุญและการมานมัสการพระเป็นเจ้า
การประกาศของพระสังฆราชนี้ครอบคลุมเฉพาะเหตุการณ์ที่เบธาเนียเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงเหตุการณ์อื่นๆในชีวิตของมาเรีย
เอสเปแรนซาด้วย
มาเรียเดินทางไปที่ต่างๆตามการแนะนำของแม่พระเพื่อเผยแพร่สาส์นแห่งการคืนดีกันและความเป็นหนึ่งเดียวเหมือนพี่น้อง เธอไปที่หลายแห่งทั่วโลก
เธอเผยแพร่พระวาจาของพระเจ้าในโบสถ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมเรื่องของแม่พระโดยได้รับอนุญาตจากสันตะสำนัก
ในปี 1995 เธอได้รับรางวัล “Cecilio Acosta” ในกรุงคาราคัส ประเทศเวเนซูเอลา
เพื่อเป็นเกียรติในฐานะที่เธอเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจในฐานะผู้ส่งเสริมความเชื่อและคุณค่าคริสตชน
มาเรียเสียชีวิตที่โรงพยาบาลนิวเจอร์ซี่เมื่ออายุ
77 ปีในวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2004 เวลา 4.36 น.
หลังจากที่มีอาการของโรคพากินสัน
ทันทีหลังจากเธอเสียชีวิตมีกลิ่นหอมของกุหลาบกระจายฟุ้งไปทั่วห้อง
มีการเสนอชื่อของมาเรียเพื่อสถาปนาเป็นบุญราศีโดยพระสังฆราชเปาดล
บูทโคสกีแห่งสังฆมณฑลเมตูเชน ในนิวเจอร์ซี่
เวลานี้เธอได้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
แม่พระเคยบอกกับมาเรียว่า เวลานี้มนุษย์กำลังมีชีวิตอยู่ใน “ช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจสำหรับมนุษยชาติ” ในไม่ช้าโลกจะต้องเผชิญกับ “ช่วงเวลาที่สาหัสมาก”
“ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว” แม่พระตรัสกับมาเรียถึง “วันแห่งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่”
แต่มาเรียไม่ได้เห็นล่วงหน้าของวาระสุดท้ายของโลก เธอเห็นการชำระล้างที่กำลังจะมาถึง “ช่วงเวลามาถึงแล้วที่มนุษยชาติจะต้องตื่นขึ้น”
มาเรียกล่าว “เราต้องตื่นขึ้นมาเพื่อรักพระเป็นเจ้า ในปีที่จะมาถึงแสงสว่างใหม่จากสวรรค์จะส่องสว่างในหัวใจของเรา แต่ก่อนวันนั้นจะมาถึงจะมีความความยากลำบาก”
เธอได้เห็นภาพของสงคราม
ปัญหาทางสังคม ภัยทางธรรมชาติ แต่เธอก็ได้เห็นการชำระล้างที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด
อย่างไรก็ตาม
ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะเกิดนั้นขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของมนุษย์ต่อเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้าจะทรงส่งมาด้วย
มาเรียบอกว่า “เวลาแห่งความยากลำบากจะมาถึง แต่ในท้ายที่สุด มันจะทำให้เราเป็นคนดี” โลกจะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น มันจะแก้ปัญหามากมาย มันจะทำให้มนุษย์ใกล้ชิดสวรรค์มากขึ้น แม่พระทรงเสด็จมาที่เบธาเนียในฐานะ “ผู้ทำให้ประชาชนและประชาชาติกลับคืนดีกัน” ประชาชนและประชาชาติไม่เพียงแต่กลับคืนดีกันและกันเท่านั้น แต่ยังกลับคืนดีกับพระเป็นเจ้าด้วย แม่พระทรงประทานสาส์นผ่านทางมาเรีย เอสเปแรนซา – เป็นสาส์นแห่งความหวัง ชื่อของเธอคือ มาเรีย เอสเปแรนซ่า ซึ่งแปลว่า “แม่พระผู้เป็นความหวัง”
______________________________
ที่มา:
-"The Bridge to Heaven -Interviews with Maria Esperanza of Betania" by Michael H. Brown, 2003. Betania Publications.
ที่มา:
-"The Bridge to Heaven -Interviews with Maria Esperanza of Betania" by Michael H. Brown, 2003. Betania Publications.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น