วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

มาเรีย เอสเปแรนซา ผู้ได้รับพระพรพิเศษและสาส์นแห่งความหวัง


ผู้รับใช้ของพระเจ้า มาเรีย เอสเปแรนซา (1928-2004)

มาเรีย เอสเปแรนซา เมดราโน เดอ เบียนชินี เกิดที่เมืองบาร์แรนคาส Barrancas ในเวเนซูเอล่า ตรงกับวันฉลองนักบุญ เซซีเลีย วันที่ 22 พ.ย. 1928  มารดาของเธอคือนางมาเรีย ฟิลโลมีนา Maria Filomena และบิดาคือ แอนนีเซโต เมดราโน Aniceto Medrano ดีใจที่ได้ลูกสาว เพราะทั้งคู่มีลูกชายสามคนแล้ว  มารดาจึงได้วอนขอแม่พระให้ประทานลูกสาว ในระหว่างตั้งครรภ์มารดาสวดภาวนาต่อหน้าพระรูปแม่พระเสมอ และมอบถวายลูกแก่พระแม่มารีย์  ทั้งสัญญาว่าจะตั้งชื่อลูกสาวว่ามาเรีย (ภาษาสเปน=มารีย์) คำว่า เอสเปแรนซา ในภาษาสเปนแปลว่า “ความหวัง”

ในตอนที่ยังเป็นเด็กเล็ก มาเรียเจ็บป่วยบ่อยๆ แต่ก็หายป่วยอย่างอัศจรรย์เสมอ อาการส่วนใหญ่จะเป็นที่หัวใจและการหายใจ  ดูเหมือนว่าพระเป็นเจ้าจะทรงเตรียมเธอและชำระล้างเธอโดยผ่านทางความทุกข์ยาก มาเรียแสดงความสนใจในศาสนาตั้งแต่เป็นเด็ก เธอมักจะเล่นตุ๊กตาที่แต่งตัวเป็นพระสงฆ์หรือซิสเตอร์
ประสบการณ์พิเศษครั้งแรก

เมื่ออายุ 5 ขวบ มาเรียได้รับประสบการณ์พิเศษครั้งแรก ขณะที่เธอกำลังล่ำลามารดาผู้ที่กำลังออกเดินทางโดยทางเรือ  มาเรียได้เห็นนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูปรากฏขึ้นมาจากน้ำในแม่น้ำโอริโนโค Orinoco River นักบุญโยนดอกกุหลาบมาให้มาเรีย และเธอรับเอาไว้ มันเป็นกุหลาบสีแดงผิวกลีบอ่อนนุ่มเป็นกำมะหยี่ มาเรียมอบดอกกุหลาบให้มารดาผู้ซึ่งประหลาดใจเป็นอันมากเพราะแถวนั้นไม่มีดอกกุหลาบเลย
หายจากเจ็บป่วยอย่างอัศจรรย์

เมื่ออายุ 12 ปี เธอเป็นโรคนิวมอเนียร้ายแรง และแพทย์มีความเห็นว่าเธอคงจะไม่รอดภายในสามวัน  มาเรียสวดภาวนาต่อแม่พระว่า “พระแม่ของลูก พระแม่ปรารถนาให้ลูกไปพบพระแม่หรือ?” เธอปิดตาลงสวดภาวนาและรอคอยคำตอบ เมื่อเธอเปิดตาขึ้น เธอก็เห็นแม่พระทรงยิ้มอยู่ต่อหน้าเธอ แม่พระทรงประจักษ์แก่มาเรียในฐานะ พระนางพรหมจารีย์แห่งหุบเขามากาเรียตตา Virgin of the Valley of Margarita (การประจักษ์ของแม่พระอีกแห่งหนึ่งในเวเนซูเอลา)  พระนางตรัสแก่มาเรียว่าเธอต้องได้รับการรักษาอย่างไร  มาเรียมารู้ในภายหลังว่าบิดาของเธอมีความศรัทธาต่อแม่พระแห่งหุบเขามาก และในเวลาใกล้ตายเขาได้วอนขอแม่พระให้ปกป้องภรรยาและลูกๆของเขา  ดังนั้นแม่พระจึงทรงบอกวิธีทางการแพทย์ที่ใช้รักษามาเรีย

เห็นพระเยซูเจ้า

ในขณะที่เป็นวัยรุ่น มาเรียได้รับความทุกข์อีก  เธอเจ็บป่วยมากจนต้องให้อาหารทางสายยาง มาเรียสวดภาวนาด้วยความเชื่อต่อพระเยซูเจ้า ขอให้พระองค์มารับเธอไปเสียเพื่อที่จะได้ไม่เป็นภาระของครอบครัวอีกต่อไป เมื่อมาเรียเปิดตาขึ้นและครั้งนี้เธอเห็นดวงพระทัยของพระเยซูเจ้า มีแสงสว่างเจิดจ้าและจุ่มโชกอยู่ในพระโลหิต  มาเรียเล่าว่า “พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพละกำลัง  ดวงพระเนตรทิ่มแทงมาเหมือนแสงรังสี เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรมาที่คุณ ช่างสวยงามเหลือเกิน  ดวงพระเนตรนั้น...พระพักตร์ของพระองค์ช่างอ่อนโยนยิ่งนัก”  พระเยซูเจ้าประจักษ์แก่มาเรียและทรงเรียกเธอว่าเป็น “ดอกกุหลาบสีขาวแห่งความรักของฉัน”

พระเยซูเจ้าและพระมารดาเสด็จมาเยี่ยมมาเรียเพื่อรักษาเธอให้หาย  แต่ทั้งสองพระองค์ทรงอธิบายแก่เธอว่าชีวิตเป็นการทดสอบที่ต่อเนื่องยาวนาน และสะพานทอดไปสู่สวรรค์นั้นสร้างขึ้นด้วยการทดสอบ, การชำระล้าง และด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แม่พระตรัสกับเธอว่า “ลูกสาวของแม่  เมื่อลูกเริ่มต้นในการเดินทางแสวงบุญ ลูกจะได้รับความทุกข์ยากลำบากหลายอย่าง ความทุกข์เหล่านั้นคือความเจ็บปวดของแม่เอง จงช่วยเหลือแม่ - ช่วยแม่ในการช่วยโลกนี้ซึ่งกำลังหลงทางไป”  นั่นเป็นการเริ่มต้นของการเดินทางอันลึกลับของมาเรียเมื่อมีอายุ 12 ปี

มาเรียได้รับพระพรพิเศษหลายอย่างตั้งแต่อยู่ในวัยรุ่น  อาทิเช่น การอ่านใจคนได้  เธอมักจะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีใครมาเยี่ยมบ้าง หรือรู้ว่าคนในครอบครัวหรือเพื่อนคนใดจะล้มป่วย หรือจะมีเหตุการณ์พิเศษอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา  ครั้งหนึ่งมาเรียบอกกับบุคคลผู้หนึ่งที่มีอาการของโรคมะเร็งว่า “คุณมีปัญหาที่ถุงเล็กๆและฉันรู้สึกว่าคุณต้องได้รับการผ่าตัดในทันที”  ชายผู้นั้นได้รับการผ่าตัดและเขาก็หายเป็นปกติ  มาเรียยังได้สวดภาวนาเหนือเด็กเล็กๆคนหนึ่งที่เป็นไข้ไทฟอยด์และเด็กผู้นั้นก็หายเป็นปกติ  อีกครั้งหนึ่ง มาเรียบอกกับหญิงคนหนึ่งที่เป็นโรคเรื้อนให้ไปรับการรักษาทางการแพทย์ที่เฉพาะทาง หญิงผู้นั้นทำตามที่มาเรียบอกและเธอก็หายเป็นปกติ

เห็นนิมิตและได้รับพระพรจากสวรรค์

เมื่อมาเรียเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในปี 1954มาเรียปรารถนาที่จะบวชเป็นซิสเตอร์และเข้าสู่อาราม  และในวันที่ 3 ตุลาคมของปีนั้น  เมื่อพิธีมิสซาจบลง มาเรียได้รับนิมิตจากนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูที่ประจักษ์แก่เธอ นักบุญได้โยนดอกกุหลาบมาให้เธออีกครั้งหนึ่ง  แต่ครั้งนี้ขณะที่มาเรียไปหยิบดอกกุหลาบเหมือนเช่นที่เคยทำเมื่อตอนอายุ 5 ขวบ สิ่งที่เธอหยิบได้กลับไม่ใช่ดอกกุหลาบ  แต่เป็นบางอย่างที่ทิ่มแทงบนฝ่ามือของเธอทำให้เลือดออกจากมือ  นั่นคือการประทับลงของรอยแผลศักดิ์สิทธิ์  แล้วนักบุญเทเรซาพูดกับเธอว่า “นี่ไม่ใช่กระแสเรียกของเธอ  กระแสเรียกของเธอคือการเป็นภรรยาและมารดา” มาเรียรู้สึกในทันทีว่าเธอต้องจากอารามไปและไปรับใช้พระเยซูเจ้าในโลกภายนอกในฐานะภรรยาและมารดา

ไม่กี่วันต่อมาในวันที่ 7 ตุลาคม 1954 ในวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ  พระมารดาแห่งพระเป็นเจ้าทรงประทานสาส์นนี้แก่มาเรีย “นอกเหนือจากการไปรับศีลมหาสนิท  การอดอาหาร การสวดภาวนา และการทำกิจใช้โทษบาปแล้ว  ลูกต้องปฏิบัติกิจรักษาสันโดษอย่างเคร่งครัด  เพราะแม่จะมาหาลูกอีกครั้งในวันที่ 12 ตุลาคมนี้  ดังนั้นลูกจึงต้องเตรียมจิตใจของลูกไว้เพื่อจะได้เป็นมารดาฝ่ายจิตของวิญญาณทั้งหลาย  และดังนั้นแม่จะได้ปิดผนึกสิ่งนี้ไว้ตลอดไป  ลูกจะได้เป็นมารดาของลูกเจ็ดคน  โดยเป็นดอกกุหลาบหกคน  และเป็นหน่อหนึ่งคน”

การแต่งงานกับ จีโอ เบียนชินี กิอานี่

ในไม่ช้ามาเรียได้เดินทางไปที่กรุงโรมและพักอาศัยอยู่ที่สถาบันราวาสโค Ravasco Institute ในวาติกัน ซึ่งดำเนินงานโดยคณะบุตรีแห่งดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าและพระนางมารีย์  วันหนึ่งมาเรียได้เห็นนิมิตของชายผู้หนึ่งที่กำลังโบกธงสีขาว แดง และเขียว  นั่นเป็นสัญญาณบอกเธอว่าสามีในอนาคตของเธอเป็นชาวอีตาลี  ต่อมาไม่นาน นักบุญยอห์น บอสโกได้ประจักษ์แก่มาเรียและบอกเธอว่า เธอจะพบกับสามีในอนาคตของเธอในวันที่ 1 พ.ย. 1955  ต่อมาที่กรุงโรม ณ.เบื้องหน้าพระวิหารแห่งดวงพระทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า  มาเรียได้พบกับจิโอ เบียนชินี กิอานี ในเวลาตรงตามที่เธอได้รับการบอกให้รู้ล่วงหน้า

เดือนตุลาคมของปีถัดมา ในวันครบรอบอัศจรรย์ยิ่งใหญ่แห่งดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา  แม่พระทรงบอกกับมาเรียว่า เธอจะแต่งงานในวันที่ 8 ธันวาคม 1956 ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระปฏิสนธินิรมลทิน  และมาเรียกับจิโอก็ได้แต่งงานในวันนั้นที่โบสถ์น้อยแห่งการปฏิสนธินิรมลของแม่พระที่อยู่ในอาสนวิหารนักบุญเปโตร
การซื้อที่ดินในเบธาเนีย –ภาพนิมิตที่เป็นจริง

เมื่อมาเรียยังเป็นวัยรุ่น  พระนางมารีย์ทรงแสดงให้มาเรียเห็นภาพนิมิตของผืนดินแห่งหนึ่งที่มีบ้านเก่าแก่  มีน้ำตก และถ้ำ  ภาพนิมิตนี้ได้จารึกอยู่ในจิตใจของมาเรีย  เธอเคยปรึกษากับคุณพ่อปีโอ ในเรื่องภาพนิมิตนี้เมื่อตอนที่เธอไปหาท่านด้วย  ในเรื่องนี้สามีของเธอ จีโอได้เล่าว่า “ตั้งแต่ปี 1957 ถึงปี 1974 เราพยายามค้นหาผืนดินนี้ตลอดทั่วเวเนซูเอลา  ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1974 เราได้ข่าวเกี่ยวกับฟาร์มแห่งหนึ่งและตัดสินใจที่จะไปดู  เราโทรศัพท์ไปหาเจ้าของฟาร์มในเดือนมีนาคมและไปดูที่ดินนั้น  เมื่อเราไปถึงมาเรียพูดว่า เราต้องซื้อฟาร์มนี้ ในเดือนมิถุนายน เราก็เซ็นสัญญาซื้อขาย....เรื่องนี้เป็นไปตามนิมิตของภรรยาของผมซึ่งเธอได้รับขณะที่ยังเป็นวัยรุ่นอย่างแท้จริง”

จีโอสามีของมาเรียและหุ้นส่วนของเขาได้ซื้อที่ดินและเนินเขาในบริเวณนั้น  จิโอและมาเรียได้ไปที่ฟาร์มนั้นหลายครั้งในวันเสาร์เพื่อสวดภาวนาและให้อาหารสัตว์เลี้ยง  ในเดือนกุมภาพันธ์ 1976 ขณะที่มาเรียอยู่ในอีตาลีเพื่อดูแลมารดาของจิโอ  แม่พระทรงบอกให้มาเรีย กลับไปที่เวเนซูเอลาและเตรียมตนเองเพื่อบางสิ่งบางอย่างที่จะเกิดขึ้นที่เบธาเนียในวันที่ 25 มีนาคม 1976  แม่พระตรัสแก่มาเรียว่า “ลูกจะได้เห็นแม่บนผืนดินที่ลูกได้ซื้อไว้”

แม่พระประจักษ์ที่เบธาเนีย – มาเรียเป็นผู้นำสาส์นแห่งการคืนดีกัน

ด้วยความนบนอบเชื่อฟังต่อแม่พระ มาเรียได้ออกจากกรุงโรมและไปถึงเบธาเนียในวันที่ 25 มีนาคม อันตรงกับวันฉลองแม่พระทรงรับสาส์นจากอัครเทวดากาเบรียล  มีหลายคนมาชุมนุมกัน พวกเขาสวดสายประคำแล้วทันใดแม่พระก็ทรงประจักษ์แก่มาเรีย แม่พระทรงเรียกพระนางว่า “พระนางมารีย์แห่งการกลับคืนดีของประชาชนและขอประชาชาติ”  แม่พระตรัสแก่มาเรียว่า

“ดวงใจของแม่ที่เคยมอบแก่ลูกแล้ว    ดวงใจของแม่ที่มอบแก่ลูกในเวลานี้ และดวงใจของแม่ที่จะมอบแก่ลูกเสมอไป”  มาเรียเป็นเพียงผู้เดียวที่เห็นแม่พระ  แต่คน 80 คนที่รวมกันอยู่ที่เบธาเนียในเวลานั้นได้เห็นกลุ่มเมฆลอยออกมาจากป่า  และยังเห็นดวงอาทิตย์เคลื่อนไหวอย่างประหลาดด้วย  และในเวลานั้นมาเรียก็ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น

นั่นคือการเริ่มต้นของการประจักษ์ที่เบธาเนีย  สิ่งที่ทำให้เบธาเนียแตกต่างจากที่มีการประจักษ์แห่งอื่นก็คือ ในระหว่างที่มีการประจักษ์จะมีบางสิ่งเกิดกับมาเรีย  มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติหลายอย่างที่ต่อเนื่องกันเกิดบริเวณสถานที่ประจักษ์  เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่เบธาเนียนั้นอาจเกิดขึ้นในเวลาที่มาเรียอยู่ที่นั่นหรือไม่อยู่ก็ได้  เหตุการณ์ที่น่าประทับใจเกิดขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม 1984  มีการประจักษ์เกิดขึ้น 7 ครั้งโดยมีคนประมาณ 108 คนเป็นสักขีพยาน เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้พระสังฆราชท้องถิ่นเริ่มเข้ามาสอบสวน  พระสังฆราชปีโอ เบลโล Bishop Pio Belloเริ่มเข้ามาศึกษา มีการสัมภาษณ์สักขีพยานจำนวนมากเท่าที่จะทำได้

ในวันและเดือนต่อมาภายหลังจากการประจักษ์ของแม่พระครั้งแรกแก่มาเรีย  ผู้คนนับร้อยได้เห็นพระมารดาของพระเจ้าที่เบธาเนีย  บางครั้งพระนางประจักษ์มาในรูปของพรหมจารีย์แห่งเหรียญอัศจรรย์  และบางครั้งก็เป็นพระนางพรหมจารีย์แห่งลูรดส์  ประชาชนมักจะเห็นแม่พระในลักษณะที่เป็นรูปสลักหินอ่อน หรือในลักษณะที่เป็นแสงสว่างไสว  มีควันและกลุ่มเมฆ  บางคนได้เห็นดวงอาทิตย์กระพริบเหมือนที่ฟาติมา  ยังมีผีเสื้อจำนวนมากที่ดูเหมือนจะโผผิน ออกมาจากถ้ำในเวลาที่มาเรียเริ่มเห็นแม่พระประจักษ์มา  ผู้แสวงบุญหลายคนยังได้ยืนยันว่าพวกเขาเห็นแสงระยิบระยับตกลงมาจากท้องฟ้า – แสงประหลาดจากสวรรค์  แสงระยิบระยับนั้นได้ปรากฏบนตัวของมาเรียหลายครั้ง  กางเขนใหญ่ขนาดยักษ์ได้ปรากฏขึ้นเหนือยอดเขา  และมีอัศจรรย์การหายจากโรคเกิดขึ้นหลายราย  ตามการรายงานของ Dr. Arrieta ผู้จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เกิดอัศจรรย์การหายจากโรค 1,000 ราย ที่เบธาเนีย  ตัวของนายแพทย์เองก็ได้รับอัศจรรย์การหายจากโรคมะเร็งในระยะแรกด้วย  มะเร็งนั้นได้แพร่กระจายไปยังกระดูกสันหลังของเขา  มีผู้ที่หายจากความพิการ  หายจากลูคีเมีย  หายจากตับอักเสบ เป็นต้น

อัศจรรย์แห่งศีลมหาสนิท

นอกจากนี้ ยังมีการพบพระธาตุที่เบธาเนียอย่างอัศจรรย์ด้วย  อาทิเช่น วันที่ 14 ธันวาคม 1985 ขณะที่มาเรียรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างโน้มนำเธอให้ไปที่ลำห้วย  เธอชี้นิ้วที่ก้อนหินก้อนหนึ่ง เมื่อดึงก้อนหินออกจากลำห้วย ก็ได้เห็นว่ามีภาพของแม่พระสีขาวอยู่บนก้อนหินนั้น  ยังมีอัศจรรย์แห่งศีลมหาสนิทเกิดขึ้นที่เบธาเนียเช่นกัน  ในวันที่ 8 ธันวาคม 1991 เมื่อพระสงฆ์ยกแผ่นศีลขึ้นมา  ปรากฏว่าแผ่นศีลเริ่มหลั่งโลหิต  พระสังฆราชได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้และได้ประกาศว่า “เราได้สั่งให้มีการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์แล้ว  โดยห้องแล็ปของกรุงคาราคัสที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน  พวกเขาได้ยืนยันว่าสิ่งที่ไหลออกมาจากแผ่นศีลนั้นเป็นเลือดของมนุษย์อย่างแท้จริง”

การรับรองจากพระศาสนจักร

พระสังฆราชได้สัมภาษณ์สักขีพยานนับร้อยคนด้วยตัวของท่านเองและมีคำยืนยันเป็นเอกสารจากสักขีพยานประมาณ 550 คน มีเอกสารบางชิ้นที่ประทับลายเซ็นของพยานมากกว่าหนึ่งคน  ดังนั้นจึงมีพยานนับพันคนที่ลงลายเซ็นไว้ในเอกสารเป็นการยืนยัน  ในระหว่างที่พระสังฆราชทำการตรวจสอบนี้  ท่านได้ปรึกษากับพระคาร์ดินัลในพระสมณสำนักคำสอนแห่งความเชื่อ คือพระคาร์ดินัลโยเซฟ รัทซิงเกอร์ (พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16)  และยังได้ปรึกษากับพระสันตปาปายอห์นปอลที่ 2 ด้วย

หลังจากได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว  พระสังฆราชยังประวิงเวลาไว้อีก 3 ปีเพื่อให้แน่ใจก่อนที่จะออกจดหมายอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1987  ประกาศว่าการประจักษ์ที่เบธาเนียนั้นไม่เพียงแต่สอดคล้องกับคำสอนของพระศาสนจักรเท่านั้น  แต่ยัง “เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ  เชื่อถือได้ และมีที่มาจากสวรรค์”  ภายหลังจากนั้นพระสังฆราช 35 องค์ของเวเนซูเอลา (จากพระสังฆราชทั้งหมด 37 องค์)ได้ยอมรับคำประกาศนี้

พระสังฆราชปีโอ เบลโล ประกาศว่าเบธาเนียเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการสวดภาวนา การแสวงบุญและการมานมัสการพระเป็นเจ้า  การประกาศของพระสังฆราชนี้ครอบคลุมเฉพาะเหตุการณ์ที่เบธาเนียเท่านั้น  ไม่ได้รวมถึงเหตุการณ์อื่นๆในชีวิตของมาเรีย เอสเปแรนซาด้วย

มาเรียเดินทางไปที่ต่างๆตามการแนะนำของแม่พระเพื่อเผยแพร่สาส์นแห่งการคืนดีกันและความเป็นหนึ่งเดียวเหมือนพี่น้อง  เธอไปที่หลายแห่งทั่วโลก เธอเผยแพร่พระวาจาของพระเจ้าในโบสถ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมเรื่องของแม่พระโดยได้รับอนุญาตจากสันตะสำนัก  ในปี 1995 เธอได้รับรางวัล “Cecilio Acosta” ในกรุงคาราคัส ประเทศเวเนซูเอลา เพื่อเป็นเกียรติในฐานะที่เธอเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจในฐานะผู้ส่งเสริมความเชื่อและคุณค่าคริสตชน

มาเรียเสียชีวิตที่โรงพยาบาลนิวเจอร์ซี่เมื่ออายุ 77 ปีในวันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2004 เวลา 4.36 น. หลังจากที่มีอาการของโรคพากินสัน  ทันทีหลังจากเธอเสียชีวิตมีกลิ่นหอมของกุหลาบกระจายฟุ้งไปทั่วห้อง

มีการเสนอชื่อของมาเรียเพื่อสถาปนาเป็นบุญราศีโดยพระสังฆราชเปาดล บูทโคสกีแห่งสังฆมณฑลเมตูเชน ในนิวเจอร์ซี่  เวลานี้เธอได้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า

แม่พระเคยบอกกับมาเรียว่า  เวลานี้มนุษย์กำลังมีชีวิตอยู่ใน “ช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจสำหรับมนุษยชาติ”  ในไม่ช้าโลกจะต้องเผชิญกับ “ช่วงเวลาที่สาหัสมาก”  “ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว”  แม่พระตรัสกับมาเรียถึง “วันแห่งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่”  แต่มาเรียไม่ได้เห็นล่วงหน้าของวาระสุดท้ายของโลก  เธอเห็นการชำระล้างที่กำลังจะมาถึง “ช่วงเวลามาถึงแล้วที่มนุษยชาติจะต้องตื่นขึ้น” มาเรียกล่าว “เราต้องตื่นขึ้นมาเพื่อรักพระเป็นเจ้า  ในปีที่จะมาถึงแสงสว่างใหม่จากสวรรค์จะส่องสว่างในหัวใจของเรา  แต่ก่อนวันนั้นจะมาถึงจะมีความความยากลำบาก” เธอได้เห็นภาพของสงคราม  ปัญหาทางสังคม  ภัยทางธรรมชาติ  แต่เธอก็ได้เห็นการชำระล้างที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด

อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะเกิดนั้นขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของมนุษย์ต่อเหตุการณ์ที่พระเป็นเจ้าจะทรงส่งมาด้วย  มาเรียบอกว่า “เวลาแห่งความยากลำบากจะมาถึง  แต่ในท้ายที่สุด มันจะทำให้เราเป็นคนดี”  โลกจะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น  มันจะแก้ปัญหามากมาย  มันจะทำให้มนุษย์ใกล้ชิดสวรรค์มากขึ้น  แม่พระทรงเสด็จมาที่เบธาเนียในฐานะ “ผู้ทำให้ประชาชนและประชาชาติกลับคืนดีกัน”  ประชาชนและประชาชาติไม่เพียงแต่กลับคืนดีกันและกันเท่านั้น  แต่ยังกลับคืนดีกับพระเป็นเจ้าด้วย  แม่พระทรงประทานสาส์นผ่านทางมาเรีย  เอสเปแรนซา – เป็นสาส์นแห่งความหวัง  ชื่อของเธอคือ มาเรีย เอสเปแรนซ่า ซึ่งแปลว่า “แม่พระผู้เป็นความหวัง”

______________________________
ที่มา:
-"
The Bridge to Heaven -Interviews with Maria Esperanza of Betania" by Michael H. Brown, 2003. Betania Publications.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น