วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ 5


เมื่อนาซีเยอรมัน บุกประเทศต่างๆในยุโรป ตรงกับรัชสมัยของพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ซิสเตอร์ลูเซียแห่งฟาติมา ขอให้พระสันตะปาปาประกอบพิธีมิสซาถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระพร้อมกับพระสังฆราชทั่วโลก  แต่ก็ไม่มีการกระทำเช่นนั้น

ในปี 1942 พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ทรงประกอบพิธีถวายประเทศรัสเซีย แต่ไม่มีพระสังฆราชทั่วโลกร่วมประกอบพิธีด้วย  อย่างไรก็ตามพระเป็นเจ้ายังทรงพอพระทัยในการกระทำด้วยความนบนอบเชื่อฟังนี้ พระเยซูเจ้าตรัสกับซิสเตอร์ลูเซียว่า สงคราม(สงครามโลกครั้งที่2) จะสิ้นสุดเร็วขึ้นเพราะการกระทำนี้  อย่างไรก็ตามการประกอบพิธีถวายประเทศรัสเซียตามพระประสงค์ก็ยังไม่สมบูรณ์ 

เมื่อพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ทรงได้รับเลือกในปี 1978 ซิสเตอร์ลูเซียได้ส่งจดหมายพิเศษถึงพระสันตะปาปาเกี่ยวกับการประกอบพิธีนี้  ซิสเตอร์ลูเซียมีความเชื่อว่า พระสันตปาปาพระองค์นี้คือผู้ที่แม่พระทรงเลือก เมื่อพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ในปี 1981 อันตรงกับวันฉลองแม่พระแห่งฟาติมา พระสันตะปาปาทรงให้นำสาส์นความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา มาให้พระองค์อ่าน และทรงเชื่อมั่นว่าสาส์นนั้นกล่าวถึงการลอบปลงพระชนม์ของพระองค์  ทำให้พระองค์ประสงค์จะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามที่แม่พระแห่งฟาติมาตรัสไว้ นั่นคือการถวายประเทศรัสเซียและโลกทั้งมวลแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระ  และพระองค์ได้ประกอบพิธีนี้พร้อมกับพระสังฆราชทั่วโลกในวันที่ 25 มีนาคม 1984 ในพิธีนั้นพระสันตะปาปาตรัสว่า

“โดยอาศัยอำนาจจากการประกอบพิธีถวายครั้งนี้จะเป็นการรวมประชาชน ปัจเจกบุคคลและนานาชาติเข้าด้วยกัน  พิธีนี้จะเป็นชัยชนะเหนือปีศาจ ความชั่วร้ายและจิตแห่งความมืดมิด ที่สามารถปลุกให้ตื่นขึ้นมา และที่จริงมันได้ตื่นขึ้นมาแล้วในยุคสมัยของเรานี้เอง ในหัวใจของมนุษย์และในประวัติศาสตร์ของเรา”

หลังจากการประกอบพิธีถวายนี้ซึ่งซิสเตอร์ลูเซียกล่าวว่า ได้รับการยอมรับจากสวรรค์แล้ว ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง  กำแพงเบอร์ลินถูกทำลาย และลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศทางยุโรปตะวันออกที่อยู่ภายใต้อำนาจของรัสเซียเริ่มต้นล่มสลายไปทีละประเทศ ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีอิสรภาพของตนเอง  ในปี 1991 พรรคคอมมิวนิสต์ในรัสเซียถูกต่อต้านและสั่งห้าม  รัสเซียเริ่มมีอิสรภาพในทางศาสนา  การกลับใจของรัสเซียได้เริ่มต้นขึ้น

---------------------------------------


ที่โปแลนด์หลังจากนายพลยารูเซลสกี้ประกาศกฎอัยการศึก(ปี 1981-1983) และทำการปราบปรามกลุ่มโซลิดาริตี้อย่างหนัก กำจัดเสรีภาพของประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดการแพร่กระจายสิ่งพิมพ์อย่างลับๆ กลายเป็นพลังขับดันของฝ่ายตรงข้าม  ผู้นำโซลิดาริตีที่หลบหนีจากการกักขังได้จัดตั้งเครือข่ายสำนักพิมพ์และทำการเผยแพร่อย่างลับๆ   สิ่งพิมพ์หลากหลายรูปแบบได้รับการจัดพิมพ์เพื่อช่วงชิงพื้นที่สื่อที่ พรรคการเมืองควบคุมอย่างเป็นทางการ หนังสือ, วารสาร, แผ่นพับและโปสเตอร์, แม้กระทั่งสแตมป์และไปรษณียบัตรถูกพิมพ์เผยแพร่อย่างรวดเร็ว มีการประท้วงของนักศึกษาและประชาชน



การหยุดเรียนประท้วงของนักศึกษาในปี 1988 ที่มหาวิทยาลัยวอร์ซอ


\การหยุดงานประท้วงของคนงานอู่ต่อเรือที่เรียกร้องการประกาศให้โซดาริตีถูกต้องตามกฎหมายอีกครั้ง
ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ในกลุ่มสหภาพโซเวียตก็มีการถกปัญหาของโปแลนด์


Mikhail Gorbachev พูดคุยกับนายพล Jaruzelski ในระหว่างการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 10(PZPR)
การเจรจาโต๊ะกลม
ในปี 1989 หลังจากที่ประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจและอยู่ภายใต้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองที่ดำเนินไปในสหภาพโซเวียต นายพล Jaruzelski ตัดสินใจที่จะเปิดการเจรจากับฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผย การเจรจาโต๊ะกลมเริ่มต้นขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ ซึ่งส่งผลให้เกิดข้อตกลงในการยอมรับโซลิดาริตีตามกฎหมายอีกครั้ง และเลือกตั้งสมาชิกให้เข้าไปนั่งในวุฒิสภา และเลือกตั้งสมาชิกจำนวน 35% ให้เข้าไปนั่งใน Sejm (รัฐสภาโปแลนด์) ในการเลือกตั้งอย่างอิสระ


ปี 1989 การเจรจาโต๊ะกลม
Autumn of Nations
ในเวลาไม่นานหลังจากที่การเจรจาโต๊ะกลม เริ่มต้นขึ้นในโปแลนด์ ฮังการีก็เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงประเทศ  ในเดือนมิถุนายน รั้วลวดหนามที่ขึงกั้นตลอดแนวชายแดนฮังการี-ออสเตรียถูกถอนออกไป ในเดือนสิงหาคม ‘Autumn of Nations’ ซึ่งเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ต่อต้านระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ได้แพร่กระจายไปทั่วกลุ่มประเทศในเครืออาณานิคมของโซเวียตฝั่งตะวันออกที่ยังหลงเหลืออยู่ เยอรมัน, เช็ก, สโลวัก, บัลกาเรีย, โรมาเนีย และประชาชนในสาธารณรัฐบอลติกแห่งสหภาพโซเวียตเรียกร้องอิสรภาพอย่างเปิดเผย การทลายกำแพงเบอร์ลิน   ผลจาก การปฏิวัติกำมะหยี่ (Velvet Revolution)’ Vaclav Havel ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเชโกสโลวาเกีย   ในโรมาเนีย กองทัพเข้าข้างฝ่ายผู้ประท้วง Nicolae Ceaucescu  การเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ ที่เป็นอดีตกลุ่มประเทศในเครืออาณานิคมของโซเวียตในแทบทุกส่วนดำเนินไปอย่างสงบเรียบร้อยอันเนื่องมากจากการตัดสินใจของ Mikhail Gorbachev ซึ่งป้องกันมิให้ทหารเข้าแทรกแซงในประเทศที่อยู่ในยุโรปตอนกลางและตะวันออก


โปสเตอร์แสดงภาพของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นคณะกรรมการภาคพลเรือน (Komitet Obywatelski) กับ Lech Walesa


ในวันที่ 4 มิถุนายน การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ดำเนินไปโดยคณะกรรมการภาคพลเรือนที่ก่อตั้งโดย Lech Walesa และผู้นำโซลิดาริตีได้รับที่นั่งใน Sejm ทั้งหมดซึ่งนับเป็น 35% และ 99 จากทั้งหมด 100 ที่นั่งในสภา
ชัยชนะแบบขาดลอยของฝ่ายตรงข้ามนำไปสู่การแต่งตั้งในวันที่ 12 กันยายน 1989 กลายเป็นรัฐบาลที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์พรรคแรกในยุโรปตะวันออก นำโดย Tadeusz Mazowiecki ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำฝ่ายตรงข้ามและที่ปรึกษาของโซลิดาริตี
Tadeusz Mazowiecki เข้ามายังสำนักนายกรัฐมนตรีใน Sejm เป็นครั้งแรกภายหลังการได้รับตำแหน่ง
ปลดปล่อยโปแลนด์
เดือนมกราคม 1990 เริ่มต้นขึ้นด้วยการฟื้นคืนชื่อเดิมของประเทศ ซึ่งก็คือ สาธารณรัฐโปแลนด์ (แทนชื่อ สาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์) และการปฏิรูปตลาดเสรีที่รู้จักในชื่อว่า Balcerowicz Plan ในเดือนพฤษภาคม ชาวโปแลนด์ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นอย่างเป็นอิสระครั้งแรก ปี 1990 นับเป็นปีแรกที่โปแลนด์ได้กลายเป็นประเทศเอกราชและเป็นอิสระ และเป็นการยุติขบวนการโซลิดาริตี (Solidarity movement) ในรูปแบบที่มีในช่วงทศวรรษ 1980 คณะกรรมการพลเรือนเกิดการแตกแยกกัน และในฤดูใบไม้ร่วง Lech Walesa ขับเคี่ยวกับ Tadeusz Mazowiecki ในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
Mazowiecki พ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครชิงตำแหน่งคนที่สามในการเลือกตั้งรอบแรก และ Walesa ชนะการเลือกตั้งรอบที่สองด้วยคะแนนโหวตทั้งสิ้น 75%
วันที่ 22 ธันวาคม 1990: Lech Walesa กล่าวคำสาบานเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดี
"ในช่วงเวลาสิบปีที่แยกฤดูร้อนของปี 1980 ออกจากฤดูใบไม้ร่วงของปี 1990 โปแลนด์ต้องประสบกับสภาพการณ์ทางการเมืองที่ผกผันอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับบางประเทศที่เคยประสบมาก่อน ในช่วงเริ่มต้นทศวรรษดังกล่าว โปแลนด์ยังคงอยู่ในเงื้อมมือของระบบเผด็จการคอมมิวนิสต์และกลุ่มประเทศในเครืออาณานิคมของโซเวียต (Soviet Bloc) แต่ก็ได้กลายเป็นชาติที่ได้รับอิสระในที่สุด
            ลัทธิคอมมิวนิสต์ในโปแลนด์ได้จบสิ้นลงแล้วและทำให้ประเทศในยุโรปตะวันออกที่เคยอยู่ใต้อำนาจของรัสเซียก็ได้รับการปลดปล่อยด้วย  และท้ายที่สุดประเทศรัสเซียเองก็ปลดปล่อยตัวเองจากลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยเช่นกัน  คริสต์ศาสนารัสเซียออร์โธดอกซ์กลับฟื้นคืนมาสู่ประเทศอีกครั้ง  โบสถ์หลายแห่งที่เคยถูกปิดหรือเปลี่ยนให้กลายเป็นโกดังเก็บของก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่  รัสเซียเป็นประเทศที่ประชาชนเคารพในพระเจ้ามากที่สุดประเทศหนึ่ง
----------------------------------

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น