พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า
“เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา
ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้
ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย
ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” มัทธิว 16:13-20
นโปเลียน มีภาพลักษณ์ทั้งในทางบวกและในทางลบต่อพระศาสนจักรคาทอลิก
ในตอนที่เขามีอำนาจสูงสุด
มีนายพลของเขาคนหนึ่งถามเขาว่า ช่วงเวลาไหนในชีวิตที่เขามีความสุขมากที่สุด
นโปเลียนตอบว่า “วันที่ผมได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก เป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต.....”
และนโปเลียนพูดว่า “ผมจะขอตายในความเชื่อของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก
ซึ่งได้โอบกอดผมมาตั้งแต่เกิดจนถึงบัดนี้มากกว่าห้าสิบปีแล้ว”
อย่างไรก็ตาม
ชีวิตส่วนใหญ่ของนโปเลียนกลับเป็นการทำร้ายผู้ใหญ่ทางฝ่ายศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เขาไม่ให้ความเคารพนับถือต่อพระสันตะปาปา
ในปี 1804 นโปเลียนได้บังคับให้พระสันตปาปาปีโอที่7
ให้เสด็จมาที่ปารีสเพื่อสวมมงกุฎจักรพรรดิให้แก่เขา และเมื่อพระสันตปาปาเสด็จมาถึง
นโปเลียนได้ทำการดูหมิ่นพระสันตะปาปาหลายวิธี
อย่างเช่นในระหว่างพิธีสวมมงกุฏ
นโปเลียนถือวิสาสะดึงมงกุฎจากมือของพระสันตะปาปามาสวมศีรษะด้วยตัวเอง และหลังจากนั้นเขาก็พยายามหาเรื่องให้พระสันตปาปาย้ายมาอยู่ที่ปารีส เพื่อที่เขาจะได้มีอำนาจเหนือพระศาสนจักร แต่พระสันตะปาปาปฏิเสธนโปเลียน พระองค์ตรัสว่า “เจ้าแสดงตลกได้ดีนี่” ทำให้นโปเลียนโกรธมาก
เขาดึงเอารูปภาพของนักบุญเปโตรลงมาและฉีกรูปภาพเป็นชิ้นๆ พร้อมทั้งประกาศว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าจะทำกับพระศาสนจักร—ข้าจะทำให้มันแหลกเป็นจุญ” คราวนี้พระสันตะปาปาตรัสว่า “ตอนนี้เจ้าแสดงบทโหดเสียแล้ว”
ไม่กี่ปีต่อมา ในปี 1809
นโปเลียนก็ส่งกองทัพเข้ายึดรัฐของพระสันตะปาปาซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของอิตาลี
ตั้งแต่บัดนั้นคลื่นความเสียหายก็พัดกระหน่ำโจมตีนโปเลียน เพียงสี่วันต่อมา
เขาก็ได้ข่าวว่านายพลของเขาได้พ่ายแพ้ในสงคราม
และประเทศต่างๆในยุโรปก็รวมตัวกันได้ทำให้ความเป็นไปได้ของแผนที่นโปเลียนวางไว้ที่จะพิชิตยุโรปหมดสิ้นไป ต่อมานโปเลียนก็ถูกจับกุม และพระสันตะปาปาก็ทรงบัพชนียกรรมนโปเลียน
(ขับออกจากพระศาสนจักร) นโปเลียนกลับพูดเย้ยหยันว่า
“พระองค์คิดว่าจะทำให้อาวุธหลุดจากมือทหารของผมได้หรือ?” แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ทหารของนโปเลียนที่ยกไปโจมตีรัสเซีย ต้องเผชิญกับภาวะอากาศที่หนาวโหดร้ายที่สุดของรัสเซีย และแผนการรบของรัสเซียคือการตั้งรับไม่ต่อสู้กับทหารของนโปเลียนเลย รัสเซียใช้วิธีทิ้งเมือง ขนเสบียงอาหารและทรัพย์สมบัติทั้งหมดไป และเผาเมือง แม้ทหารฝ่ายนโปเลียนจะเข้าเมืองได้แต่ก็พบแต่ซากของบ้านเรือนและไม่มีอาหารกิน
ทหารจำนวนมากอ่อนแอหรือไม่ก็หนาวจนไม่มีแรงจะถือปืน นโปเลียนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงและถูกเนรเทศไปอยู่เกาะเอลบาในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ต่อมานโปเลียนหลบหนีจากเกาะเอลบาไปยังเกาะเซนต์เฮเลนาซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอตแลนติก
เวลานั้นมีบางครั้งนโปเลียนได้ส่งจดหมายไปยังพระศาสนจักรที่กรุงโรมและพูดว่าไม่มีศาสนาใดดีกว่าคาทอลิก
เขาขอร้องพระสันตะปาปาให้ส่งพระสงฆ์มาดูแลเขา
และยังสรรเสริญพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ นโปเลียนพูดว่า “ประเทศต่างๆในโลกนี้จะผ่านพ้นไป
และบัลลังก์ของพวกเขาจะสูญสิ้นไป แต่พระศาสนจักรเท่านั้นที่จะคงอยู่” นโปเลียนเรียนรู้จากผลกรรมและความทุกข์เวทนาที่ได้รับว่าพระสัญญาของพระเยซูเจ้าต่อนักบุญเปโตรนั้นเป็นความจริง ไม่มีผู้ใดและไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถทำลายพระศาสนจักรได้
ในจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรมัน(11:33-36)
นักบุญเปาโลกล่าวถึง “พระปรีชาและความรอบรู้อันลึกล้ำของพระเจ้า”
ท่านสอนเราว่าการพิพากษาของพระเจ้านั้นอยู่เหนือความเข้าใจของเรา และพระฤทธานุภาพของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ไม่อาจจินตานาการได้ ดังนั้นไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างใด
ให้เราวางใจในพระเยซูเจ้าและปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์เสมอ ในหนังสืออิสยาห์(22:19-23)
เชตนาห์ ผู้เคยปกครองอิสราแอลเมื่อ 700 ปีก่อนพระเยซูเจ้า ก็เคยทำเช่นเดียวกับนโปเลียน และเขาก็ถูกพระเจ้าถอดถอนจากตำแหน่ง พระเจ้าทรงแต่งตั้งเอลีอาคิมขึ้นมาแทน เอลีอาคิมผู้มีใจถ่อมตนและเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าและของประชาชนของเขา เขาได้รับอำนาจและหน้าที่การปกครอง และเขาก็ทำได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นได้มาจากการเชื่อฟังพระเจ้า
นักบุญเปโตรเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่อง ถึงแม้ท่านจะผิดพลาดหลายครั้ง
มีความอ่อนแอ ใจร้อน ดื้อดึง
และเข้าใจช้า
แต่พระเยซูเจ้าก็ทรงเลือกเปโตรให้เป็นหัวหน้าอัครสาวก ท่านทำผิดพลาดโดยปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึงสามครั้ง แต่ท่านก็ถ่อมตนยอมรับความผิดและวอนขออภัย ท่านวางใจในพระหรรษทานของพระเจ้า
โดยอาศัยพระฤทธานุภาพของพระจิตเจ้า
นักบุญเปโตร บรรดาอัครสาวกคนอื่นๆ
และผู้สืบทอดตำแหน่งต่อๆมา ได้ปฏิบัติภารกิจที่พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายไว้ได้สำเร็จ
และสำเร็จมากกว่าที่พวกท่านคาดคิดได้เสียอีก
“แล้วพวกเราล่ะ
มีกี่คนที่อ่อนแอและทำบาป?” คำตอบก็คือ “ทุกคน”
“และมีกี่คนที่พระเจ้าจะสามารถใช้ให้ไปช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง?”
คำตอบก็คือ “เราทุกคน”
พระหรรษทานของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าบาปของพวกเรา
และพละกำลังของพระองค์ก็แข็งแกร่งกว่าความอ่อนแอของพวกเรา
ประวัติของพระศาสนจักรได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้ มีหลายครั้งในประวัติศาสตร์ และมีหลายคน
ตั้งแต่พระสันตะปาปา พระคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวช
และผู้มีความเชื่อมากมายในอดีต และแม้แต่ในปัจจุบันนี้ที่กระทำสิ่งไม่ถูกต้อง ทำความเสื่อมเสีย และกระทำการทรยศ
ซึ่งถ้าเป็นสถาบันอื่นก็อาจต้องล่มสลายไปนานแล้ว
แต่พระศาสนจักรยังคงอยู่มาได้ก็เพราะพระเยซูเจ้าทรงอยู่กับพระศาสนจักร โดยพระองค์พระศาสนจักรยังคงเป็นเครื่องหมายแห่งความรอดพ้นและพระหรรษทานของพระเจ้า
และนี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวให้เราเย่อหยิ่งและหยุดแก้ไขสิ่งผิดพลาดของเรา หรือไม่พยายามชนะใจของตัวเองที่จะไม่ทำบาป
แต่นี่ต้องเป็นเหตุทำให้เรามีความหวังและมีความเชื่อในพระเยซูเจ้ามากยิ่งขึ้น
บางคนอาจพูดว่า “ฉันไม่ใช่คนพิเศษ
พระเจ้าจะทรงใช้ฉันได้อย่างไร? ฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา จะทำอะไรได้?” คำตอบต่อคำพูดนี้ก็คือ จงเป็นตัวของตัวเองเถิด เป็นคนดีที่สุดเท่าที่สามารถทำได้
จงสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก แล้วสิ่งอื่นๆก็จะตามมาเอง พยายามมองเห็นพระเยซูเจ้าในตัวของผู้อื่น
ทำสิ่งดีๆเพื่อทำให้ผู้อื่นมองเห็นพระเยซูเจ้าในตัวคุณ ยอมรับบาปที่คุณทำและขออภัยต่อพระเจ้า ยอมรับความอ่อนแอของคุณและวอนขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือ
เมื่อเห็นผู้อื่นทำสิ่งที่ดีจงสรรเสริญเขาและสนับสนุนเขา
เมื่อเห็นคนอื่นอ่อนแอจงช่วยเหลือเขาและให้กำลังใจแก่เขา
เมื่อมีคนขอให้คุณช่วยเหลือ
ถ้าคุณสามารถทำได้ก็จงช่วยเหลือเขาตามความสามารถ สวดภาวนาเพื่อผู้อื่น
มองเห็นสิ่งดีๆในตัวของผู้อื่น
จงรวดเร็วในการสรรเสริญและชักช้าในการวิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆของสิ่งที่เราสามารถทำได้ถึงแม้เราจะมีความอ่อนแอหรือมีบาป
นี่เป็นวิธีที่จะติดตามพระเยซูเจ้าและมีส่วนร่วมกับภารกิจของพระศาสนจักรของพระองค์ ทั้งยังเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อผู้สืบอำนาจต่อจะนักบุญเปโตรและบรรดาอัครสาวก
ดังเช่นที่นโปเลียนได้รับบทเรียนมาอย่างยากเย็น “ไม่มีอำนาจใดของโลกที่จะเอาชนะพระศาสนจักรได้”
เมื่อเราได้ปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างดีในฐานะผู้มีความเชื่อคาทอลิก เราก็จะสามารถต่อสู้กับความชั่วและมีชัยชนะในชีวิตนี้
และเราจะได้มีส่วนในชัยชนะนิรันดรของพระเยซูคริสตเจ้า
-----------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น