วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

การไคร่ครวญถึงนรก

 


 
เป็นความประมาทสำหรับคริสตชนคาทอลิกที่จะคิดว่ามีแต่วิญญาณของผู้อื่นเท่านั้นที่ไปอยู่ในนรก(ผู้ที่อยู่ในนรกแล้วและผู้ที่อาจจะต้องเดินทางไปที่นั่น) คนที่คิดว่านรกเป็นสถานที่น่าหวาดกลัวสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่สถานที่สำหรับตัวเขาเอง,เขาอาจละเลยไม่ทำกิจการดีอย่างเพียงพอเพราะคิดว่าได้รับความรอดแล้วก็ได้
 
ผมขอแนะนำว่าเทศกาลมหาพรตเป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะทำกิจใช้โทษบาป โดยการใคร่ครวญสองขั้นตอนคือ ประการแรกใคร่ครวญเกี่ยวกับความทรมานของนรก, และประการที่สอง,ใคร่ครวญว่าความทรมานเหล่านี้เกี่ยวข้องกับบาปอะไร? เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ผู้คนไม่ค่อยมีการควบคุมจิตใจและถูกกระตุ้นให้ใช้ชีวิตตามความปรารถนาของตน มีเพียงไม่กี่คนที่ถูกกระตุ้นให้ไตร่ตรองถึงความหายนะหลังจากความตาย ผมขอแนะนำว่าการเตรียมจิตใจสำหรับสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ที่ดีก็คือการใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่เราอาจไปอยู่ในไฟนิรันดร แน่นอนว่าพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยเราให้พ้นจากนรกและได้ชื่นชมในความรักของพระองค์ แต่อย่างน้อยเราก็อาจใคร่ครวญเกี่ยวกับชะตากรรมอันเลวร้ายที่เราต้องได้รับถ้าหากพระคริสต์ไม่ได้ทรงช่วยเราไว้
 
เป็นเรื่องยากในการพิจารณาถึงนรก และแม้แต่คุณพ่อบอสโก,นักบุญของบรรดาเด็กชายในอิตาลีในช่วงปี 1800 เองก็ไม่อยากฝันถึงนรก ท่านได้รับการเตือนล่วงหน้าว่าท่านจะต้องไปเยี่ยมเยือนนรกอย่างลึกลับ และท่านก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในคืนที่คุณพ่อบอสโกฝันถึงนรกนั้น, ท่านไม่ต้องการที่จะเข้านอน ท่านทำตัวให้ยุ่งไปกับการอ่านหนังสือ แต่พอถึงเที่ยงคืน,ท่านก็เริ่มเหนื่อยล้าและหลับไป วินาทีที่ท่านหลับไป "ชายสวมหมวก" (ซึ่งเป็นผู้นำทางของคุณพ่อบอสโกเสมอในเวลาที่ท่านฝัน) ก็ปรากฏตัวขึ้นและกระตุ้นให้คุณพ่อบอสโกมากับเขา คุณพ่อบอสโกขอร้องไม่ให้ชายสวมหมวกพาท่านไป แต่ชายสวมหมวกก็ไม่ยินยอม, เขาเร่งคุณพ่อบอสโกและแจ้งให้ท่านทราบว่าไม่ควรทำให้เวลาเสียไป ด้วยเหตุนี้คุณพ่อบอสโกจึงยอมให้ตัวท่านถูกพาไปยังนรก
 
พวกเขาเริ่มออกเดินทาง,โดยอยู่บนถนนสายกว้างที่ดูสวยงาม มีดอกไม้ที่สวยงามเติบโตขึ้นรอบๆถนน,คุณพ่อบอสโกและผู้นำทางของท่านเลื่อนไปตามถนนที่ลาดลงด้วยความชัน คุณพ่อบอสโกรู้สึกกังวลเล็กน้อยเกรงว่าท่านจะไม่ได้กลับไปที่หอพักที่ซึ่งท่านอาศัยอยู่กับบรรดานักเรียนของท่าน แต่ชายสวมหมวกรับรองว่านี่จะไม่เป็นปัญหาและเตือนท่านว่าพระผู้ทรงสัมพานุภาพทรงปรารถนาจะเปิดเผยถนนที่ไปสู่นรกแก่คุณพ่อ.
 
ด้วยความประหลาดใจ,คุณพ่อบอสโกมองเห็นเด็กชายบางคนที่อยู่หอพักมาอยู่บนถนนสายนี้ด้วย,บางคนกำลังวิ่ง,บางคนเดินกับเพื่อน,และบางคนอยู่คนเดียว มีกับดักที่ดูเหมือนใยแมงมุมเกลื่อนกลาดตามถนน และเด็กชายบางคนถูกจับไว้ด้วยตาข่ายเหล่านี้ ที่กับดักมีป้ายติดไว้อ่านว่าความหยิ่งจองหอง,ความอิจฉา,ความไม่นบนอบเชื่อฟัง,พระบัญญัติประการที่6,ลักขโมย,ความตะกละ,ความเฉื่อยชา,และความโกรธแค้น ตาข่ายที่ทำให้เด็กชายติดมากที่สุดคือความหยิ่งจองหอง,ความไม่นบนอบเชื่อฟังและความไม่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าบาปเหล่านี้ได้ผูกมัดพวกเขาไว้มากที่สุด มีเพียงเด็กชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากกับดักโดยอาศัยมีดหรือดาบ - มีดเหล่านี้เป็นตัวแทนหมายถึงพระแม่มารีย์และศีลมหาสนิท มีค้อนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสารภาพบาปและมีดอื่นๆที่หมายถึงความศรัทธาต่อนักบุญ นั่นเป็นความฝันที่ให้แรงบันดาลใจของนักบุญยอห์น บอสโกที่ซึ่งค้อนเป็นเครื่องหมายหมายถึงการสารภาพบาป
 

ขณะที่คุณพ่อบอสโกเดินลงไปตามถนน,ภูมิประเทศก็แห้งแล้งมากขึ้น กุหลาบมีน้อยลง มันมีหนามที่น่ากลัวและแหลมมากขึ้น ถนนมีความชันมากขึ้นจนคุณพ่อบอสโกและชายสวมหมวกแทบจะยืนตัวตรงไม่ได้ แล้วทั้งสองก็มาถึงปลายถนนในทันทีทันใด เบื้องหน้าของท่านเป็นอาคารที่มีประตูสูง พวกเขาได้รับการต้อนรับด้วยความร้อนที่ร้อนมาก,รู้สึกร้อนไปจนถึงข้างในปอด, ควันสีเขียวและเปลวไฟสีแดงแลบลามออกมาจากด้านหลังกำแพงสูง,มันเป็นกำแพงที่สูงเท่าภูเขา เวลานี้ทั้งคู่อยู่บนธรณีประตูของนรกแล้ว คุณพ่อบอสโกไม่ต้องการไปต่อ ท่านต้องการหันหลังกลับอย่างรีบด่วนเพื่อกลับไปที่หอพักให้เร็วที่สุด แต่ชายสวมหมวกไม่ยอมให้ท่านหลบหนี ทั้งสองยืนอยู่เบื้องหน้าประตูที่สูงตระหง่านนั้นชั่วครู่หนึ่ง แล้วคุณพ่อนบอสโกก็ต้องตกใจเมื่อเห็นนักเรียนคนหนึ่งของท่าน,เด็กหนุ่มกำลังวิ่งไปตามถนนที่ลาดลงด้วยความเร็วสูงสุด คุณพ่อบอสโกพยายามป้องกันไม่ให้เด็กวิ่งหัวทิ่มลงไปในนรก แต่ชายสวมหมวกหยุดคุณพ่อบอสโกไว้และยังสอนท่านด้วยว่า “คุณพ่อไม่รู้หรือว่าพระพิโรธของพระเจ้านั้นน่ากลัวเพียงใด คุณพ่อคิดว่าจะสามารถยับยั้งคนที่กำลังวิ่งหนีจากพระพิโรธของพระองค์ได้หรือ?” ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงคำรามที่น่ารังเกียจและเด็กชายก็วิ่งเข้าไปข้างใน, ทันใดนั้นประตูอื่นๆอีกนับพันก็เปิดออกพร้อมกับเสียงกระทบกันที่น่ากลัวที่สุดและคุณพ่อบอสโกก็เห็นสุดปลายข้างในประตูนี้ นั่นคือเตาไฟที่มีเปลวเพลิงปะทุขึ้น
 
มีเด็กชายจำนวนมากติดตามเด็กชายคนแรก พวกเขาวิ่งเต็มเหยียดหนีจากพระพิโรธของพระเจ้าและตรงไปที่นรก ประตูนั้นเปิดออกและพวกเขาก็ถูกกลืนเข้าไปในห้องโถงของนรก เมื่อพวกเขาวิ่งจากประตูหนึ่งไปอีกประตูหนึ่ง,ประตูก็ปิดส่งเสียงดังอยู่ข้างหลังพวกเขา และประตูเหล่านั้นก็ขังพวกเขาไว้
 
ชายสวมหมวกบอกคุณพ่อบอสโกว่าหนังสือที่ไม่ดี,เพื่อนที่ไม่ดี,และนิสัยไม่ดีมีส่วนรับผิดชอบต่อการสูญเสียวิญญาณจำนวนมาก สำหรับ "หนังสือไม่ดี",ผู้นำทางหมายถึงสื่อลามกและวรรณกรรมลามกในยุคแรกๆ เราอาจคิดว่าทศวรรษที่ 1860,เป็นช่วงเวลาที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าปี 2021,ซึ่งเป็นยุคสมัยของเรามาก  แต่เราควรจำไว้ว่าโดมินิก ซาวิโอเคยถูกเพื่อนร่วมชั้นบางคนชักชวนให้ดูหนังสือลามก แต่เขาปฏิเสธ โดมินิกและคนอื่นๆล้วนเป็นนักเรียนของคุณพ่อบอสโก,แต่ก็ยังมีเด็กบางคนที่แอบซ่อนนิตยสารลามกอนาจารเอาไว้
 
จากนั้นผู้นำทางก็พาคุณพ่อบอสโกเข้าไปในนรก พวกเขาเดินเข้าไปตามทางเดินแรกที่เด็กๆเพิ่งเข้าไป มีข้อควาถูกที่จารึกไว้บนผนังกำแพง,ข้อความหนึ่งมาจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อ่านว่า "จะมีแต่เสียงร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน" (มธ 8:12) ชายสวมหมวกคร่ำครวญว่า "จากที่นี่,จะไม่มีผู้ใดที่มีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือหรือมีใจรักหรือเห็นอกเห็นใจ" อีกต่อไป ชายสวมหมวกพาคุณพ่อบอสโกไปที่ระเบียงแห่งหนึ่งซึ่งท่านสามารถมองเห็นเขาวงกตด้านนอกของนรก, แต่ไม่ได้สัมผัสมัน คุณพ่อบอสโกเห็นว่าผนังกำแพงที่นี่เรืองแสงจากความร้อนสีขาวหลายพันองศา ในความสยองขวัญของท่าน,คุณพ่อบอสโกได้เห็นเด็กชายสามคนวิ่งเข้าไปในเขาวงกตและพวกเขาก็ถูกเผา ไฟเผาผลาญแต่ไม่ทำให้พวกเขาสูญสลายไป พวกเขามีความกลัวเป็นอย่างมาก คุณพ่อบอสโกได้เห็นชะตากรรมของเด็กชายบางคนซึ่งยังมีชีวิตอยู่บนโลก แต่พวกเขาสมควรที่จะไปอยู่ในนรกแล้ว
 
คุณพ่อถามชายสวมหมวกว่าเด็กชายเหล่านี้สามารถกลับใจและหลีกเลี่ยงการถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์ได้หรือไม่? แต่ชายสวมหมวกนั้นพูดด้วยความกังวลว่า เด็กเหล่านี้ไม่รังเกียจบาปและไม่ต้องการที่จะละทิ้งบาป พวกเขาปฏิเสธคำเชิญจากพระเยซูเจ้าให้สำนึกผิดและทำกิจใช้โทษบาป ดังนั้นพระยุติธรรมของพระเจ้าจึงกำลังไล่ตามพวกเขา ต่อจากนั้น,หลังคาถ้ำก็เปิดออกและพวกเขาสามารถมองเห็นสวรรค์เบื้องบนที่ซึ่งบรรดานักบุญมีความสุขชั่วนิรันดร ใบหน้าของเด็กชายที่ถูกสาปแช่งนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและโกรธเกรี้ยว พวกเขากรีดร้อง,กล่าวคำดูหมิ่นและสะอื้นร่ำไห้ ชายคนนั้นย้ำกับคุณพ่อบอสโกว่าถ้าเด็กชายกลุ่มนี้ต้องตายไปในตอนนี้,พวกเขาจะต้องตกนรกชั่วนิรันดร
 

เด็กชายเหล่านี้ต้องถูกทรมานอย่างน่าเสียดาย, พวกเขาทำลายวันเวลาที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า,ละเลยที่จะเติบโตในคุณธรรม,ดูถูกพระการุญที่พระแม่มารีย์ทรงประทานให้และเยาะเย้ยคนดี ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือพวกเขาไม่ได้ทำให้เจตนาดีที่พวกเขามีแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำที่ดี คุณพ่อบอสโกได้เรียนรู้ว่า ผู้ที่อยู่ในนรกนั้น,ในเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลก,เขามีแต่เพียงเจตนาที่ดีเท่านั้นแต่ไม่ได้กระทำตามความตั้งใจดี ในขณะที่ผู้ที่อยู่ในสวรรค์มีความตั้งใจที่ดีซึ่งถูกแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำเมื่อพวกเขาทำความดี
 
ชายสวมหมวกพาคุณพ่อบอสโกเดินลงไปตามทางเดินไปยังถ้ำด้านล่าง เหนือก้อนหินที่ท่านยืนอยู่,ท่านเห็นเตาเผาขนาดใหญ่ที่เผาเด็กชายหลายคนที่อยู่ในหอพักโรงเรียนของท่าน และพวกเขาถูกหนอนและหนูกินด้วย,เหมือนซากศพของพวกเขาที่เน่าเหม็นมีหนอนคลานยั้วเยี้ยไปทั่วร่างของพวกเขา
 
ชายสวมหมวกชี้ให้คุณพ่อบอสโกดูกำแพงที่มีม่านปิดบังอยู่ เมื่อเขายกผ้าม่านขึ้นก็มีป้ายที่เขียนว่า "ผู้ที่ปรารถนาความร่ำรวย,ก็ตกเป็นเหยื่อในการประจญล่อลวงของปีศาจ" ป้ายนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนร่ำรวย แต่หมายถึงจิตใจที่รักและปรารถนาในความร่ำรวย,เพราะความปรารถนาที่มีมากเกินไปในความมั่งคั่งร่ำรวยทำให้จิตใจเสียไป
 
คุณพ่อบอสโกได้รับคำแนะนำจากชายสวมหมวกว่า ความโลภและความเกียจคร้านรวมกันเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณ และคุณพ่อบอสโกต้องบอกให้เด็กชายที่อยู่ในความดูแลของท่านทำตัวให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลา เพราะปีศาจจะไม่พบช่องว่างที่จะล่อลวงพวกเขาได้
 
ในที่สุดชายสวมหมวกก็พาคุณพ่อบอสโกออกจากนรก พวกเขามาอยู่นอกกำแพงนรก คุณพ่อบอสโกรู้สึกโล่งใจ แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับท่านกำลังจะมา ชายสวมหมวกกล่าวว่า คุณพ่อบอสโกควรได้สัมผัสกับนรกด้วยตัวเอง และต้องสัมผัสกับความร้อนที่แผดเผาด้วยจึงจะสามารถพูดกับคนอื่นได้ว่า ท่านได้เห็นและสัมผัสนรกแล้ว แต่คุณพ่อบอสโกกลัวที่จะสัมผัสกำแพงชั้นนอกสุดของนรก ชายสวมหมวกอธิบายว่าการสัมผัสกับกำแพงชั้นนอกสุดเป็นประสบการณ์ที่แผ่วเบาที่สุดของนรก มีกำแพงอีกพันกำแพงกั้นระหว่างกำแพงแรกกับกำแพงสุดท้ายนี้ที่เป็นที่ตั้งของไฟนรก กำแพงนั้นหนามาก ชายสวมหมวกบอกว่าแท้จริงแล้วพวกเขาอยู่ห่างจากไฟนรกอย่างน้อยหนึ่งล้านไมล์ เมื่อคำอธิบายไม่สามารถทำให้คุณพ่อบอสโกวางมือของท่านบนกำแพงข้างหน้าท่านได้,ชายสวมหมวกจึงจับมือของคุณพ่อบอสโกและวางไว้บนกำแพง ความเจ็บปวดพุ่งผ่านมือของคุณพ่อบอสโก ท่านส่งเสียงกรีดร้อง,แล้วท่านก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงของท่าน มือของท่านยังเจ็บปวดอย่างมาก,ผิวหนังถูกไฟไหม้จนลอกออกเผยให้เห็นเนื้อสีชมพูของฝ่ามือ การบาดเจ็บดังกล่าวเป็นข้อพิสูจน์ถึงไฟนรก
 
ขั้นตอนสุดท้ายสำหรับคุณพ่อบอสโกในประสบการณ์อันเลวร้ายครั้งนี้ก็คือการบอกเล่าแก่บรรดาเด็กที่อยู่ในความดูแลท่านเกี่ยวกับความฝันเรื่องนรก ท่านรู้สึกหนักใจและลังเลใจที่จะเล่าถึงสิ่งที่ท่านพบเห็นในนรก แต่เพราะพระเจ้าทรงปรารถนาให้ท่านทำ ดังนั้นท่านจึงบังคับตัวเองให้บอกเล่าเด็กๆที่อยู่ในความดูแลของท่านเกี่ยวกับความฝันของท่านในวันที่ 3 พฤษภาคม 1868 ซึ่งเป็นวันฉลองนักบุญโยเซฟองค์อุปถัมภ์ คุณพ่อบอสโกบอกกับบรรดาเด็กนักเรียนของท่านว่า ท่านได้ปรับเรื่องราวให้ดูเบาลงเพราะท่านไม่ต้องการทำให้พวกเขาตกใจกลัว, แต่ต้องการให้พวกเขารู้และเน่ใจว่านรกมีจริง
 
เรื่องราวนี้นำมาจากหนังสือ 40 Dreams of John Bosco 40}ซึ่งคุณสามารถซื้อได้ที่ร้านหนังสือของเว็ปไซต์ The Spirit Daily
 
************************ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น