วันที่ 9 สิงหาคม 1945
ในวันที่ 9 ส.ค. 1945 นี้ ได้เกิดการกระทำอันโหดเหี้ยมรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกและเกิดกับดินแดนคริสตศาสนาในประเทศทางตะวันออกไกล เมื่ออเมริกันทิ้งระเบิดปรมาณูที่นางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น
เมืองนี้มีความสัมพันธ์อันยาวนานและลึกลับกับคริสตศาสนาคาทอลิกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1549 เมื่อนักบุญฟรังซิส เซเวียร์มาถึงเมืองคาโกชิม่าในญี่ปุ่น พระสงฆ์เยซูอิตผู้ยิ่งใหญ่ได้นำคำสอนของพระคริสต์และความเชื่อคาทอลิกมาเผยแพร่ในดินแดนแห่งนี้
ช่วงปีแรกๆของคริสตศาสนาในญี่ปุ่นประสบความสำเร็จและมีการกลับใจมาสู่ความเชื่อมากมาย คณะเยซูอิตยังคงประสบความสำเร็จเหมือนดังที่พวกเขาประสบความสำเร็จในพื้นที่อื่นๆ ในเมืองนางาซากิ ความเชื่ออันมั่นคงของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวนางาซากิติดตามพระคริสต์และโอบกอดพระศาสนจักรของพระองค์จนเมืองนางาซากิได้เป็นที่รู้จักในชื่อ 'กรุงโรมน้อย'
ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นกลุ่มๆ โดยประเมินว่ามีราวๆ 130,000 คนมาเข้าสู่พระศาสนจักรคาทอลิกภายในปี 1579
ในเวลานั้นมิชชันนารีชาวยุโรปประสบความสำเร็จในการแพร่ธรรม คณะเยซูอิตร่วมกับฟรังซิสกันและโดมินิกัน ได้ชนะใจคนในท้องถิ่นได้สำเร็จ
แต่ความตึงเครียดภายในประเทศจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จนี้ในไม่ช้า
ในปี ค.ศ. 1587,โทอิโทมิ ฮิเดโยชิ ผู้เป็นโชกุนชาวญี่ปุ่นได้สั่งห้ามพระสงฆ์เยซูอิตเผยแพร่ศาสนา โดยหวังว่าจะขจัดอิทธิพลของศาสนาคริสต์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลของพระสงฆ์คณะเยซูอิตที่มีต่อชาวญี่ปุ่น เหตุการณ์อย่างเช่น ซาน เฟลิเป(San Felipe) คณะเยซูอิตถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดการรุกรานจากต่างชาติ เรื่องทำให้สถานการณ์แย่ลง
ในปี ค.ศ. 1597 พระศาสนจักรในญี่ปุ่นได้เริ่มความทุกข์ทรมานเป็นครั้งแรกจากหลายๆ ครั้ง เมื่อการประหารชีวิตเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ชายซึ่งกลายเป็นมรณสักขี 26 องค์ของนางาซากิ ผู้ชายเหล่านั้ถูกตรึงกางเขนและถูกแทงด้วยหอกเหมือนพระเยซูเจ้า พวกเขาประกอบด้วยพระสงฆ์ฟรังซิสกันและเยสุอิต
ในปี ค.ศ. 1615 ญี่ปุ่นสั่งห้ามการนับถือศาสนาคริสต์โดยเด็ดขาดและบรรดามิชชันนารีได้รับคำสั่งให้ออกนอกประเทศ แต่มีหลายคนยังคงอยู่ต่อ ถึงแม้จะมีการกดขี่ข่มเหงก็ตาม เมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1622 คริสตชน 56 คนถูกเผาทั้งเป็นหรือถูกตัดศีรษะที่นางาซากิ
ในศตวรรษต่อมา,สถานการณ์ยังคงเยือกเย็นพอๆกันสำหรับคริสตชนคาทอลิกในญี่ปุ่น
หลายคนพยายามดำเนินชีวิตตามความเชื่ออย่างลับๆ แต่พวกเขาถูกบังคับให้เหยียบย่ำรูปเคารพของพระคริสต์หรือพระแม่มารีย์ปีละครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่คริสตชนที่หลบซ่อน
แม้จะมีความทุกข์ทรมานมากมายและไม่มีพระสงฆ์ประกอบพิธีมิสซา โบสถ์ใต้ดินของนางาซากิเป็นสถานที่ที่คริสตชนคาทอลิกรักษาความเชื่อจากรุ่นสู่รุ่น ในทุกแห่งที่พวกเขาทำได้,พวกเขาสวดภาวนาร่วมกันอย่างลับๆ และด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ต่อพระกายลึกลับของพระคริสต์
ในปี ค.ศ. 1865 หลังจากที่ญี่ปุ่นได้เปิดประเทศ และอนุญาติให้ชาวต่างชาติกลับมาอีกครั้ง พระสงฆ์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Bernard Petitjean ได้รับการติดต่อจากคริสตชนคาทอลิกที่เหลืออยู่บางคน
คนหนึ่งในนั้นกระซิบกับพระสงฆ์ว่า เธอมีความเชื่อเหมือนที่พระสงฆ์เชื่อและขอดูรูปพระแม่มารีย์ พระสงฆ์ตกตะลึงเมื่อพบว่าพวกเขาได้ทำพิธีล้างบาปให้กับลูกๆของพวกเขามานานหลายศตวรรษและรักษาความเชื่อไว้ได้
คริสตชนคาทอลิกที่ซ่อนเร้นส่วนใหญ่ในพื้นที่นั้นมาจากหมู่บ้าน Urakami
เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับการประทับอยู่ของพระเจ้า พวกเขาจึงตัดสินใจสร้างมหาวิหารบนพื้นที่ซึ่งพวกเขาถูกบังคับให้เหยียบย่ำรูปเคารพของแม่พระ มหาวิหารแม่พระปฏิสนธินิรมลที่ถูกสร้างขึ้นและมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย
มหาวิหารสร้างเสร็จในปี 1925 และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังสำหรับคริสตชนคาทอลิกที่จะนำไปสู่อนาคตในอีก 20 ปีต่อมา 95%ของชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสตศาสนาคาทอลิกในปัจจุบันอาศัยอยู่ในนางาซากิหลัง 250 ปีที่มิชชันนารีถูกเนรเทศ ในที่สุด คริสตชนคาทอลิกญี่ปุ่นก็มีเหตุผลที่จะอนาคตในแง่ ดี.
แต่โชคร้ายที่ชาวอเมริกันบางคนในสหรัฐอเมริกามีแผนอื่นสำหรับคริสตชนในญี่ปุ่น
วันที่ 9 สิงหาคม 1945 ขณะที่ชาวคาทอลิกในท้องถิ่นเตรียมการฉลองแม่พระปฏิสนธินิรมล นักบินของเครื่องบิน Boxscar ได้รับคำสั่งให้มองหายอดแหลมของวิหาร Urakami ขณะที่พวกเขาทิ้งระเบิดที่มีชื่อเล่นว่า “เจ้าอ้วน”('Fatman)
ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีแฮร์รี่ ทรูแมน,ผู้เป็นสมาชิกฟรีเมซอน สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่ 2 ภายในระยะเวลา 3 วัน การทำลายล้างนั้นไม่อาจจินตนาการได้
ต่อมาภายหลัง,พระคาร์ดินัลฟุลตัน ชีน ได้กล่าวเชื่อมโยงความชั่วร้ายของการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูกับความผิดปกติทางศีลธรรมของโลก ท่านมีความเห็นว่าการกระทำครั้งนั้นได้เปิดระบบใหม่อันเป็นจุดจบของความีเหตุผลและทำให้มนุษย์สามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้เกิดนรกบนโลกได้.
เหตุระเบิดที่นางาซากิเกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.02 น. เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากกำลังร่วมพิธีมิสซา
จำนวนผู้เสียชีวิตและการทำลายล้างนั้นประกอบด้วย
- คริสตชนจำนวน 8,500 คนจากทั้งหมด 12,000 คน
- อารามซิสเตอร์ 3 คณะ
- โรงเรียนคาทอลิกทั้งหมด
มีเรื่องเล่าว่ามีซิสเตอร์หลายคนกำลังร้องเพลงขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนน หลังเหตุระเบิด, หลายคนเสียชีวิตบนถนนนั้น
ปัจจุบันนี้มีคริตชนคาทอลิกอยู่ในญี่ปุ่นเพียง 1 % ของประชากรญี่ปุ่นทั้งหมด
ให้เราสวดภาวนาและมีความหวังว่าเกือบ 500 ปีแห่งความทุกข์ทรมานและการต้องหลบซ่อนนี้จะทำให้คริสตชนคาทอลิกเก็บเกี่ยวรางวัลมากมายสำหรับลูกหลานของพวกเขาในศตวรรษหน้า โลหิตของมรณะสักขีจะเป็นเมล็ดพันธุ์ของพระศาสนจักรเสมอ
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น