โดย ADAM BLAI
ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญอัครเทวดามีคาแอล
การ์กาโน่ ภูเขาที่ไม่ธรรมดาซึ่งอุทิศให้กับนักบุญอัครเทวดามีคาแอล,ตั้งอยู่บนคาบสมุทรที่ล้อมรอบด้วยทะเลเอเดรียติก
มีถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ในเมืองการ์กาโน ประเทศอิตาลี ซึ่งเคยเป็นสักการะสถานของคนนอกรีตในสมัยกรีกและโรมัน เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงถ้ำเป็นโบสถ์ที่อุทิศให้กับนักบุญมีคาแอลได้รับการบอกเล่าบางส่วนในชุดเรื่องราวที่เรียกว่า Liber de apparitione Sancti Michaelis in Monte Gargano ซึ่งปรากฏครั้งแรกในศตวรรษที่สิบเก้า นอกจากนี้ยังบันทึกไว้ใน Acta Sanctorum โดย Bollandists ซึ่งเป็นนักบวชในคณะเยซูอิตที่ได้ทำการศึกษาชีวิตของนักบุญทั้งหลายตั้งแต่กลางทศวรรษ 1600 นอกจากนี้ ในยุคกลาง หนังสือเรื่องราวยอดนิยมเกี่ยวกับนักบุญหลายท่านที่เรียกว่า The Golden Legend ถูกเขียนขึ้น รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับอัครเทวดามีคาแอลในการ์กาโน และการประจักษ์ของท่านในที่อื่นๆ
ราวๆค.ศ. 490 ขุนนางผู้มั่งคั่งชื่อ Elvio Emanuele กำลังค้นหาวัวตัวผู้ที่พเนจรมาจากฝูงของเขาบนเนินลาดของภูเขา,เขาพบว่ามันติดอยู่ในปากทางเข้าถ้ำ เขารู้สึกโกรธที่วัวตัวนั้นหนีมา,เขาจึงสั่งให้คนรับใช้ยิงวัวด้วยลูกธนู แต่ลูกธนูกลับสวนมาโดนตัวนักธนูเอง (ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของเรื่องราว Elvio ยิงธนูด้วยตัวเอง) ขุนนางไปหาพระสังฆราช Maiorano แห่ง Sipontum ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญและปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ St. Lorenzo Maiorano และเล่าเหตุการณ์ประหลาดๆนี้ พระสังฆราชรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ จึงสั่งให้มีการสวดภาวนาและทำพลีกรรมอดอาหารเป็นเวลาสามวัน
เมื่อสิ้นสุดวันที่สาม นักบุญอัครเทวดามีคาแอลก็ประจักษ์แก่พระสังฆราช และพูดว่า
“ท่านจงรู้ไว้เถิดว่าชายผู้นี้ได้รับบาดเจ็บเพราะความประสงค์ของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าคืออัครเทวดามีคาแอล สถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่สำหรับการนมัสการพระเจ้าในแผ่นดินโลก และจะดำรงอยู่ตลอดไปอย่างแน่นอน เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้พิสูจน์ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้รักษาสถานที่นี้ด้วยการสำแดงสิ่งนี้”
หลังจากการประจักษ์นี้ ผู้คนและพระสังฆราชได้ดำเนินการสวดภาวนาที่ปากถ้ำ สองปีต่อมาในปีค.ศ. 492 ภูมิภาคนี้ถูกโจมตีโดยกองทัพของกษัตริย์ Odoacer และกองกำลังคริสตชนทั้งหมดก็พ่ายแพ้ พระสังฆราช Maiorano เจรจาสงบศึกสามวันกับพวกอนารยชน ในระหว่างนั้นผู้คนสวดภาวนาและทำพลีกรรม แต่แล้วนักบุญมีคาแลอก็ประจักษ์แก่พระสังฆราชและสัญญาว่าจะช่วยเหลือกองกำลังครสิตชนในเวลาที่พวกเขาโจมตีศัตรู ในระหว่างการสู้รบที่ตามมา,ได้เกิดพายุทรายและลูกเห็บซึ่งทำให้คนป่าเถื่อนหนีไป
รูปภาพการประจักษ์ของนักบุญอัครเทวดามีคาแอลใน Monte Gargano โดย Cesare Nebbia ภาพโดย David Castor / Wikimedia Commons (CC0)
พระสังฆราชได้นำขบวนแห่ไปที่ถ้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอบคุณนักบุญมีคาแอล แต่พระสังฆราชเองไม่ได้เข้าไปในถ้ำ ท่านยังไม่เต็มใจที่จะประกาศให้ถ้ำนี้อุทิศแด่นักบุญอัครเทวดามีคาแอล เนื่องจากคนต่างศาสนาในท้องที่ยังถือว่าสถานที่นี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา พระสังฆราช Maiorano ขอคำแนะนำจากพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่1 และพระสันตะปาปาบอกให้ท่านเข้าครอบครองถ้ำและประกอบพิธีเสกถวายให้เป็นโบสถ์
เมื่อผู้คนและพระสังฆราชมาถึงเพื่อประกอบพิธีชำระถ้ำให้บริสุทธิ์ อัครเทวดามีคาแอลปรากฏแก่พระสังฆราชอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้,อัครเทวดามีคาแอลอธิบายว่าไม่จำเป็นที่จะต้องประกอบพิธีเสกถ้ำนี้ เพราะถ้ำนี้ได้รับการเสกถวายแก่ท่านอัครเทวดาแล้วโดยการปรากฏของอัครเทวดามีคาแอล พระสังฆราชจึงเข้าไปในถ้ำและพบพระแท่นบูชาที่คลุมด้วยผ้าสีแดงที่มีสัญญลักษณ์กางเขนทำด้วยคริสตัลอยู่ด้านบน พระสังฆราชสั่งให้สร้างโบสถ์ขึ้นที่ด้านหน้าถ้ำและอุทิศให้แก่นักบุญอัครเทวดามีคาแอลเมื่อวันที่ 29 กันยายน 493
ดังนั้น ตามคำชี้แนะของอัครเทวดามีคาแอล,ถ้ำจึงกลายเป็นโบสถ์ และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในเวลาอันสั้น บริเวณแถบนี้ใช้ชื่อตามอัครเทวดามีคาแอล และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นหนึ่งในสี่สถานที่แสวงบุญที่สำคัญในยุโรปตลอดหลายศตวรรษ นักบุญฟรังซิสสแห่งอัสซีซได้มาแสวงบุญที่นี่ แต่ท่านรู้สึกตัวว่าไม่มีค่าควรที่จะเข้าไปภายในถ้ำ จึงได้แต่สวดภาวนาอยู่ที่นอกถ้ำเป็นเวลาสามวันสามคืน ต่อมา,นักบุญคุณพ่อปีโอจะสั่งคนที่ต้องการการช่วยให้รอดพ้นจากวิญญาณชั่วร้ายให้ไปที่ถ้ำ และพวกเขาก็ได้รับการรักษา ถ้ำนี้มีผู้แสวงบุญที่เป็น กษัตริย์ ราชินี พระสันตะปาปา และนักบุญมาเยี่ยมเยือนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นักบุญอัครเทวดามีคาแอลช่วยต้านโรคระบาด
ถ้ำและสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นจากถ้ำกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในศตวรรษที่17 เมื่อในปี 1656 เกิดการระบาดของกาฬโรคซึ่งได้ทำลายเมืองเนเปิลส์และชนบทโดยรอบ พระสังฆราช Alfonso Puccinelli ได้สวดภาวนาอ้อนวอนให้ นักบุญอัครเทวดามีคาแอลช่วยเหลือ เช้าตรู่ของวันที่ 22 กันยายน หลังจากสามวันแห่งการสวดภาวนาและอดอาหารอย่างเคร่งครัด นักบุญอัครเทวดามีคาแอลได้ปรากฏมาต่อพระสังฆราชและสัญญาว่าผู้ที่เก็บหินก้อนเล็กๆ ไว้ในบ้านด้วยความเคารพและสวดภาวนาอย่างจริงจังจะรอดพ้นจากโรคระบาด และก็เป็นไปตามคำสัญญา เพื่อระลึกถึงอัศจรรย์นี้ พระสังฆราชได้สร้างรูปปั้นของนักบุญอัครเทวดามีคาแอลที่หน้าพระราชวังและเพิ่มคำจารึกว่า "เจ้าชายแห่งเหล่าทูตสวรรค์ ผู้พิชิตโรคระบาด"
รูปปั้นของอัครเทวดามีคาแอลสีขาวสว่างไสว อยู่ในลักษณะกำลังเหยียบย่ำซาตานด้วยเท้าซ้าย ในมือขวาถือดาบที่ยกดาบขึ้น และด้วยนิ้วที่เล็กที่สุดของมือซ้ายซึ่งเกี่ยวโซ่เส้นเดียวอยู่ ท่านก็ควบคุมการเคลื่อนไหวของราชาแห่งนรกได้อย่างสมบูรณ์และไม่ยอมแม้แต่ให้มันขยับศีรษะ
ท่านอัครเทวดามีคาแอล “ผู้ยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าเสมอ” ผู้ดึงรั้งซาตานอยู่ด้วยนิ้วก้อยของท่านเท่านั้น!
หินจากถ้ำของนักบุญอัครเทวดามีคาแอลยังคงมีการแจกจ่ายอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบสิ่งคล้ายศีลและพระธาตุ เพื่อช่วยต่อต้านปีศาจโดยเฉพาะ(มีความเข้าใจผิดกันทั่วไปว่านักบุญอัครเทวดามีคาแอลสัญญาว่าก้อนหินจะปลดปล่อยผู้คนจากปีศาจ แต่อันที่จริงหมายถึงการรอดพ้นจากโรคระบาด) ตามบทบาทของนักบุญอัครเทวดามีคาแอลในการเอาชนะซาตาน (วว. 12:7–10) และการถวายถ้ำแด่นักบุญอัครเทวดามีคาแอลทำให้เกิดความคิดว่า หินจากถ้ำนั้นมีประสิทธิภาพในการขับไล่ปีศาจ ดังนั้นพระสงฆ์ผู้ทำพิธีขับไล่ปีศาจหลายคนทั่วโลกได้ใช้หินจากถ้ำในพิธีกรรมของพวกเขา โดยมีผลคล้ายกับพระธาตุของนักบุญอื่น ๆ
Monte Sant’Angelo, 1965 by Paolo Monti, CC BY-SA 4.0, via Wikimedia Commons
นักบุญอัครเทวดามีคาแอลยังได้เข้าแทรกแซงช่วยเหลือเมื่อเกิดโรคระบาดในครั้งอื่นๆ ตลอดทุกยุคทุกสมัย และด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ต่อต้านการเจ็บป่วย (นอกเหนือจากตำแหน่งและผลงานอื่นๆ อีกมากมายของท่าน) โรคระบาดกาฬโรคทั่วโลกที่รู้จักกันครั้งแรกเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 6 คร่าชีวิตผู้คนนับสิบล้าน และมันโจมตีกรุงโรมอย่างหนักโดยเฉพาะในปี 590 ภัยพิบัติครั้งนั้นถูกตีความว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า ดังนั้นบรรดาคริสตชนจึงจัดขบวนแห่พระรูปของพระแม่มารีย์ไปตามท้องถนน พระสงฆ์หนุ่มองค์หนึ่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพระสันตะปาปานักบุญเกรกอรีมหาราชได้จัดขบวนแห่ที่มีผู้คนเข้าร่วมมากมาย และในตอนท้ายของขบวนนั้น พระองค์ได้เห็นนักบุญอัครเทวดามีคาแอลปรากฏบนยอดอาคารสุสานของกษัตริย์เฮเดรียนในกรุงโรม และอัครเทวดามีคาแอลถือฝักดาบเพลิง นี่แสดงให้เห็นว่าพระพิโรธของพระเจ้าสงบลงแล้ว และโรคระบาดก็หยุดลง อาคารฝังศพถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Castel Sant'Angelo และปัจจุบันสามารถเห็นรูปปั้นของอัครเทวดามีคาแอลได้ในที่ที่ท่านปรากฏมา
มากกว่าหนึ่งพันปีต่อมา ในปี 1631 ระหว่างโรคระบาดไข้ทรพิษในเมืองตลัซกาลา(Tlaxcala) ประเทศเม็กซิโก ชาวคาทอลิกได้รำลึกถึงการปรากฏของนักบุญอัครเทวดามีคาแอลในระหว่างขบวนแห่ของโบสถ์ หัวหน้าทูตสวรรค์ได้ปรากฏแก่ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ดิเอโก ลาซาโร เดอ ซานฟรังซิสโก และแจ้งให้เขานำผู้คนไปที่น้ำพุที่จะรักษาผู้คนจากกาฬโรคได้ ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อบ่อน้ำนักบุญอัครเทวดามีคาแอล เป็นสถานที่ประจักษ์ของนักบุญอัครเทวดามีคาแอลที่พระศาสนจักรได้รับรองแล้ว และน้ำในบ่อน้ำของอัครเทวดามีคาแอลรักษาผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้
✠
หมายเหตุ: บทความนี้คัดลอกมาจากหนังสือเล่มล่าสุดของ Mr. Blai, The Catholic Guide to Miracles: Separating the Authentic from the Counterfeit.
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น