วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2565

มิชชันนารีชาวอินเดีย-ซุนดาร์ ซิงห์

 


ซุนดาร์ ซิงห์(Sundar Singh) เป็นที่รู้จักในฐานะชาวอินเดียที่เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ที่มีชื่อเสียงที่สุดผู้หนึ่งของอินเดีย
 
จากหนังสือที่เขาเขียนชื่อว่า Visions of the Spiritual World,ได้เล่าว่า เป็นเวลายี่สิบสามปีที่ ซิงห์ได้ท่องเที่ยวไป 24 ประเทศในสี่ทวีปในฐานะผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ไม่มีเงินแม้แต่เพนนีเดียว เขาอภิบาลรับใช้คนหลายพันคนในฐานะผู้แพร่ธรรมอิสระ (เขาไม่เกี่ยวข้องกับนิกายใดโดยเฉพาะ แต่มีความเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ไบเบิล).
 

บางครั้งในขณะที่เขาอธิบายพระคัมภีร์,จิตวิญญาณของเขา “เข้าสู่สง่าราศีแห่งสวรรค์” ภาพนิมิตชุบชูชีวิตของเขา และแน่นอน ทำให้การเทศน์ของเขามีชีวิตชีวาขึ้น
 
“ผมไม่สามารถเห็นนิมิตได้ตามใจชอบ” เขากล่าว “แต่โดยปกติเมื่อผมสวดภาวนาหรือคิดใคร่ครวญ บางครั้งก็จะมีประสบการณ์นี้แปดหรือสิบครั้งต่อเดือน ดวงตาฝ่ายวิญญาณของผมถูกเปิดออกให้เห็นภายในสวรรค์ และหนึ่งหรือสองชั่วโมงที่ผมเดินไปในสิริรุ่งโรจน์แห่งสวรรค์กับพระเยซูคริสต์ และสนทนากับทูตสวรรค์และวิญญาณบางคน” ผู้ซึ่ง(ตามที่เขาอ้าง)ได้ตอบคำถามมากมายของเขา (และเราขอบอกเล่าบางอย่างเพื่อการพิจารณาของคุณ)
 
แน่นอนว่ามีวิญญาณต่างๆหลากหลายมากมาย — เขากล่าว — และที่น่าสนใจคือ ซิงห์ดูเหมือนจะยืนยันถึงไฟชำระด้วย เขาเขียนว่ามีวิญญาณบางดวงไปอยู่ที่นั่นหลังความตาย“ สถานที่นั้นอยู่ระหว่างสวรรค์และนรก”
 
ซิงห์เล่าว่า เมื่อเราตาย "ร่างกายสูญเสียพลังแห่งความรู้สึก ไม่มีความเจ็บปวด แต่มีลักษณะคล้ายกับอาการง่วงนอน
 
“แล้ววิญญาณของผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่โดยไม่ได้คิดหรือเตรียมการเพื่อเข้าสู่โลกฝ่ายวิญญาณก็จะถูกย้ายเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณอย่างกะทันหัน ด้วยความตื่นตระหนกอย่างยิ่งยวด และเป็นทุกข์อย่างยิ่งในชะตากรรมของพวกเขา ดังนั้น,ในระยะเวลาหนึ่ง,พวกเขาจะต้องอยู่ในพื้นที่ระดับต่ำกว่าและมืดกว่าอันเป็นพื้นที่ของสถานะที่อยู่ตรงกลาง
 
“วิญญาณของมิติเบื้องล่างเหล่านี้มักจะก่อกวนผู้คนในโลกนี้อย่างมาก” 
(หมายถึงผีใช่ไหม(ghost)?)
 
“แต่คนที่พวกเขาสามารถทำร้ายได้คือผู้ที่มีความเชื่องมงายในเรื่องนี้ ผู้ที่ด้วยจิตใจอิสระของพวกเขา,จะเปิดใจให้กับวิญญาณเหล่านั้น
 
“วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้,รวมตัวกับวิญญาณชั่วอื่นๆ,จะทำอันตรายเป็นอย่างมากในโลกได้ถ้าหากพระเจ้าไม่ได้ทรงแต่งตั้งทูตสวรรค์นับไม่ถ้วนให้ไปสถิตอยู่ในทุกแห่งเพื่อปกป้องประชากรของพระองค์และปกป้องสิ่งสร้างทั้งหลายของพระองค์ เพื่อให้ประชาชนของพระองค์ปลอดภัยเสมอภายใต้การดูแลของพระองค์”
 
“นี่คือพื้นที่สถานะที่อยู่ตรงกลาง(ไฟชำระนั่นเอง)—สถานะระหว่างสง่าราศีแห่งสวรรค์สูงสุด กับความมืดมิดของขุมนรกที่ต่ำที่สุด ในนั้นมีพื้นที่แห่งการดำรงอยู่นับไม่ถ้วน และวิญญาณถูกนำไปยังพื้นที่นั้นโดยที่การกระทำของวิญญาณขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกได้ทำให้พวกเขาเหมาะสมกับมัน”
 
ซิงห์บอกว่า ถ้าหากเรารู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับสวรรค์แล้ว เราจะไม่เศร้าโศกในความตาย (แต่เฉพาะสำหรับผู้ที่กระทำความดีเท่านั้น)
 
เขาตั้งข้อสังเกตว่า,ในโลกนี้,วิญญาณที่ดีและชั่วอยู่ปะปนกัน แต่ “ไม่เป็นเช่นนั้นในโลกฝ่ายวิญญาณ”
 
ด้วยคำอธิบายที่น่าประทับใจคล้ายกับประสบการณ์ใกล้ตาย ซิงห์กล่าวต่อไปว่า “ผมเคยเห็นหลายครั้งแล้วว่าเมื่อวิญญาณที่ทำความดี,ผู้เป็นบุตรแห่งแสง,เข้าสู่โลกแห่งวิญญาณ – ก่อนอื่นพวกเขาจะได้รับการชำระล้างโดยอาบน้ำในสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าใจได้,น้ำที่นั้นเหมือนกับอากาศ,เป็นทะเลที่ใสดุจดั่งคริสตัล และในเวลานั้น,เขาจะได้รับความสดชื่นสุดบรรยายจากน้ำทะเล ภายในน้ำอัศจรรย์นี้,พวกเขาเคลื่อนไหวราวกับว่าอยู่ในอากาศ เขาไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำ,และน้ำก็ไม่ทำให้พวกเขาเปียก แต่ชำระล้างเขาให้สะอาดอย่างอัศจรรย์ ทำให้สดชื่นและเต็มเปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ พวกเขาเข้าสู่โลกแห่งความรุ่งโรจน์และความสว่าง ที่ซึ่งพวกเขาจะอยู่ในการประทับอยู่ของพระเจ้าผู้เป็นที่รักของพวกเขาและอยู่ในมิตรภาพของบรรดานักบุญและเหล่าทูตสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วน”
 
ซิงห์กล่าวต่อ—ทูตสวรรค์ตอบคำถามของเขาอย่างชัดแจ้งว่า “มีหลายคนซึ่งขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลก เขายังไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้า เมื่อถึงเวลาใกล้ตาย,เขาดูเหมือนจะหมดสติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆก็คือพวกเขาได้เห็นใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวและชั่วร้ายของจิตชั่วร้ายที่มาหาเขา ทำให้เขาพูดไม่ออกและเป็นอัมพาตไปด้วยความกลัว
 
“ในทางกลับกัน การตายของผู้มีความเชื่อ(คริสตชน)มักจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล่าวไปแล้ว เขามีความสุขมากเพราะเขาเห็นเทวดาและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาต้อนรับเขา ผู้เป็นที่รักของเขาซึ่งล่วงลับไปแล้วก็ได้รับอนุญาตให้มาหาเขาที่เตียงนอนด้วย และนำจิตวิญญาณของเขาไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณ,เขารู้สึกเหมือนอยู่บ้านในทันทีเพราะไม่เพียงแต่เพื่อนของเขาเท่านั้นที่มาอยู่กับเขา แต่เป็นเพราะในขณะที่อยู่ในโลกนี้ เขาได้เตรียมตัวเองสำหรับบ้านนั้นด้วยความวางใจในพระเจ้าและเป็นมิตรสหายกับพระองค์”
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง “หลังจากความตาย วิญญาณของมนุษย์ทุกคนจะเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณ และทุกคน,ขึ้นอยู่กับลักษณะฝ่ายจิตของเขา,จะอยู่กับวิญญาณที่เหมือนเขาทางด้านจิตใจและธรรมชาติของเขา ไม่ว่าจะเป็นความมืดหรือแสงสว่างแห่งความรุ่งโรจน์
 
ซิงห์อ้างคำพูดของ “นักบุญ” องค์หนึ่งซึ่งเขาพูดด้วยเพื่ออธิบายว่า “โดยปกติพระคริสต์จะทรงเปิดเผยพระองค์ในโลกฝ่ายวิญญาณต่อแต่ละคนในระดับของสง่าราศีที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเจริญเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณของวิญญาณแต่ละดวง และในบางกรณี พระองค์เสด็จมาที่เตียงผู้ตายด้วยพระองค์เองเพื่อต้อนรับผู้รับใช้ของพระองค์ และด้วยความรัก,พระองค์ทรงเช็ดน้ำตาของเขา และทรงนำเขาไปสู่สรวงสวรรค์”
 
นั่นคือพระเยซูเจ้าผู้เป็นมิตรแท้ของเราที่เราทุกคนควรเตรียมพร้อมที่จะไปพบกับพระองค์ในทุกขณะจิต!
 
[resources: Visions of the Spiritual World and What You Take To Heaven]
 
--------------------
 
ประวัติของซุนดาร์ ซิงห์
 

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 มิชชันนารีผู้กล้าหาญหลายพันคนได้นำพระวรสารไปเผยแพร่ยังหมู่บ้านที่ห่างไกลของอินเดียและจีน,ป่าทึบของอัฟริกา,และเกาะที่กระจัดกระจายในมหาสมุทรแปซิฟิก พวกเขาทั้งหมดได้รับความเดือดร้อนอย่างมากจากโรคภัย,การข่มเหง,และความทุกข์ยากอื่นๆ แต่บางทีผู้ที่โดดเด่นผู้หนึ่งในบรรดามิชชันนารีเหล่านี้คือชายชาวอินเดียที่ ชื่อซุนดาร์ ซิงห์ เขาเกิดในปี 1889 ในครอบครัวชาวซิกข์ที่ร่ำรวยในอินเดีย ตั้งแต่วัยเด็ก ซุนดาร์มีเป้าหมายเดียวในชีวิตคือการเป็นสาธุ(Sadhu) สาธุคือผู้ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดูที่ละทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดและเดินทางด้วยเท้าเปล่าจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งตามความเชื่อของเขา
 
แม่ของซุนดาร์ได้สั่งสอนเขาตั้งแต่ยังเด็กว่าอย่ามีชีวิตอยู่เพื่อตนเองหรือเพื่อความเพลิดเพลิน แต่ให้แสวงหาความสงบสุขและความดี และเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ เขามีความใฝ่ฝันในจิตวิญญาณแห่งวัยหนุ่มของเขา เขาไม่พอใจกับสิ่งที่โลกนี้สามารถให้ได้ เขาสนใจเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับเกมส์ แทนที่จะทำเช่นนั้น,เขากลับอ่านงานเขียนศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูและมุสลิมอย่างต่อเนื่อง เขาเข้าเรียนในโรงเรียนมิชชันนารีอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ไบเบิล อย่างไรก็ตาม เขาเกลียดศาสนาของชาวคริสต์ อันที่จริง ตอนที่เขาอายุสิบห้าปี ซุนดาร์เอาหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิลของเขาจุ่มน้ำมันก๊าดแล้วเผาทิ้ง
 
การกลับใจของซุนดาร์
 
ถึงตอนนี้ ซุนดาร์เริ่มตระหนักว่าทั้งศาสนาฮินดูและศาสนามุสลิมไม่สามารถตอบสนองจิตวิญญาณของเขาได้ แม้แต่ความมั่งคั่งของครอบครัวก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน ศาสนาคริสต์ดูเหมือนไม่ได้ดีไปกว่านี้ และนอกจากนั้น การเป็นคริสตชนก็เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิด มารดาของซุนดาร์เสียชีวิตเมื่อซุนดาร์อายุ 14 ปี ด้วยความโกรธแค้นในโชคชะตาของตน,ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจบชีวิตด้วยการนอนบนรางรถไฟเพื่อให้รถไฟทับ รถไฟวิ่งผ่านบ้านของเขาทุกเช้าเวลา 5:00 น. ในคืนก่อนจะฆ่าตัวตายตามแผน, ซุนดาร์เข้านอนเร็วกว่าปกติ เขาตื่นนอนเวลา 03.00 น. ของเช้าวันรุ่งขึ้นและพูดซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งว่า "ถ้ามีพระเจ้าจริงแล้ว,ขอให้พระองค์แสดงหนทางแห่งความรอดแก่ผมเถิด และผมจะรับใช้พระองค์ตลอดชีวิต มิฉะนั้น ผมจะฆ่าตัวตาย” เขาสวดอ้อนวอนเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
ทันใดนั้น ก่อนรถไฟจะมาถึงบ้านของเขาครึ่งชั่วโมง พระเยซูทรงปรากฏต่อซุนดาร์ด้วยนิมิตอันรุ่งโรจน์ พระองค์ตรัสกับซุนดาร์ด้วยความรักว่า "เราได้ตายเพื่อลูก เราคือพระผู้ช่วยให้รอดของโลก" ซุนดาร์ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์ และวิญญาณที่ถูกทรมานของเขาก็ประสบความสงบสุขอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต นิมิตอัศจรรย์มีพลังมากจนซุนดาร์ กลับใจทันที ตอนนี้เขารักพระคริสต์และพระศาสนจักรของพระองค์มากเท่ากับที่เขาเคยเกลียดชัง
 
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์ที่จะเป็นคริสตชน ตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากได้รับนิมิตอันรุ่งโรจน์ของเขา,ซุนดาร์ถูกทดลองและทดสอบเหมือนกับที่บางคนเคยถูกทดสอบ ครอบครัวของเขาเสนอความมั่งคั่ง อำนาจ และตำแหน่งแก่เขา หากเขาจะละทิ้งความเชื่อของคริสตศาสนาที่เขาเพิ่งค้นพบใหม่
 
เมื่อไม่ได้ผล,พวกเขาก็เตือนซุนดาร์ถึงความอับอายที่เขาจะทำให้เกิดกับครอบครัวถ้าเขายังคงยืนยันที่จะเป็นคริสตชน นั่นอาจเป็นการทดสอบที่ยากที่สุดสำหรับซุนดาร์ เพราะเขารักครอบครัวของเขาจริงๆ และเขาไม่ต้องการทำร้ายพวกเขาไม่ว่าในทางใดทางหนึ่ง กระนั้นก็ตาม,เขายังนึกถึงความรักบนพระพักตร์ของพระคริสต์เมื่อพระองค์ปรากฏต่อเขาในนิมิต เขาตระหนักว่าเขาต้องเลือกพระคริสต์มากกว่าครอบครัวของเขาเอง ตลอดชีวิตของเขา คุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดประการหนึ่งเกี่ยวกับซุนดาร์คือความกล้าหาญที่เขายืนหยัดเพื่อพระคริสต์
 
เมื่อเห็นได้ชัดว่า ซุนดาร์จะไม่เปลี่ยนใจ เมื่อซุนดาร์บอกกับบิดาของเขา,เชอร์ ซิงห์,ว่า เขาต้องการเป็นมิชชันนารีเผยแพร่ศาสนคริสต์ บิดาได้ตำหนิเขา และ ครอบครัวของเขาสาปแช่งเขา ปฏิเสธเขา และไล่เขาออกจากบ้าน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะโยนเขาออกไปนอกบ้าน,พี่ชายของเขา,ราเจนดาร์.พยายามวางยาพิษในอาหารของเขา(หลายครั้ง),ซึ่งทำให้ซุนดาร์เกือบตาย อย่างไรก็ตาม โดยอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า ในที่สุดเขาก็หายดี
 
ซุนดาร์,สาธุคริสตชน
 

ซุนดาร์เริ่มเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพระคริสต์และคำสอนของพระองค์มากขึ้น ในวันเกิดปีที่สิบหกของเขา เขารับบัพติศมาจากมิชชันนารีชาวอังกฤษ(หมายเหตุ - คงจะเป็นนิกายแองกลิกัน) ภายในห้าสัปดาห์หลังจากรับบัพติสมา ซุนดาร์ได้บริจาคทรัพย์สินเล็กน้อยของเขาและสวมเสื้อคลุมสีเหลืองของนักบวชชาวอินเดียผู้เป็นสาธุ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เป็นที่รู้จักในนามสาธุซุนดาร์ ซิงห์(Sadhu Sundar Singh)
 
ซุนดาร์ต้องการนำพระวรสารไปประกาศแก่ชาวอินเดียในลักษณะที่พวกเขาจะเข้าใจได้ดีที่สุด ดังนั้น ซุนดาร์จึงเดินเท้าเปล่าจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง เพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระอาณาจักรของพระคริสต์คล้ายกับนักบุญฟรังซิส เซเวียร์ เขาเดินทางไปทั่วปัญจาบ,แคว้นแคชเมียร์,และอินเดีย; เขายังไปเทศนาในทิเบตอีกด้วย แม้ว่าซุนดาร์เป็นนักเทศน์ที่มีพรสวรรค์ แต่ความรักและความศักดิ์สิทธิ์ของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้คนกลับใจมารับพระคริสต์ได้มากกว่าคำพูดของเขา แม้เขาจะยากจน,หิวโหย,เจ็บป่วยบ่อยครั้ง,และได้รับการข่มเหงอย่างรุนแรง เขาก็แผ่ความรักและความปิติยินดีของพระคริสต์ออกมาเสมอ
 
ซุนดาร์มีโอกาสไปเยือนประเทศทางตะวันตก(ตามคำเชิญ) ซิงห์รู้สึก “ตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น เขาพบว่าสังคมในประเทศเหล่านั้นล้วนเป็นวัตถุนิยม มีแต่ความว่างเปล่าในจิตใจของผู้คนและความไม่นับถือศาสนา ซึ่งตรงกันข้ามกับการตระหนักรู้ถึงพระเจ้าและความเคารพนับถือพระเจ้าของชาวเอเชีย ไม่ว่าประชาชนจะยากจนแค่ไหนก็ตาม”
 
การเบียดเบียนข่มเหง
 
ตัวอย่างการเบียดเบียนข่มเหงแบบหนึ่งที่เขาได้รับคือประสบการณ์ที่เขาเคยอยู่ในหมู่บ้านอิลอมของอินเดีย(Indian village of Ilom). เขาได้เทศน์ที่นั่นเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนที่ชายชาวฮินดูคนหนึ่งจะเริ่มขัดจังหวะและด่าว่าพระคริสต์ ซุนดาร์ให้หนังสือพระวรสารฉบับมาระโกแก่ชายคนนั้น แต่ชายผู้นั้นฉีกมันทันทีและแจ้งความกับตำรวจท้องที่
 
ซุนดาร์ถูกจับกุมอย่างรวดเร็วและถูกตัดสินจำคุกหกเดือน เขาถูกโยนเข้าคุกไปอยู่ท่ามกลางพวกโจรและฆาตกร อย่างไรก็ตาม แทนที่จะสิ้นหวัง ซุนดาร์เริ่มเทศนากับพวกนักโทษเหล่านั้น และเขาพบว่าพวกนักโทษค่อนข้างเปิดใจกว้างต่อข่าวประเสริฐ เมื่อผู้คุมรู้เรื่องนี้ เขาก็สั่งให้ซุนดาร์ให้เลิกเทศนา ซุนดาร์ตอบอย่างกล้าหาญว่าเขาต้องเชื่อฟังพระอาจารย์เจ้าและเทศนาพระวาจาของพระองค์แก่ทุกคน
 
ผู้คุมจึงสั่งให้นักโทษคนอื่นๆ เลิกฟังซุนดาร์ อย่างไรก็ตาม นักโทษชี้ไปที่ผู้คุมและพูดว่าพวกเขาถูกส่งตัวเข้าคุกเพื่อให้กลับใจจากความชั่วร้ายของพวกเขา และการเทศนาของ ซุนดาร์ได้ทำให้พวกกลับใจจากความชั่วร้าย พวกเขากล่าวว่ารัฐบาลควรยินดีกับคำเทศนาของซุนดาร์แทนที่จะลงโทษเขาเพราะเหตุนี้
 
ในเมื่อไม่สามารถตอบตรรกะง่ายๆของนักโทษได้,ผู้คุมจึงไปหาผู้ว่าราชการเพื่อขอคำแนะนำ ผู้ว่าราชการบอกผู้คุมให้แยกซุนดาร์ออกจากนักโทษคนอื่นๆด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ผู้คุมจึงนำซุนดาร์ออกจากห้องขังทั่วไป และให้เขาไปอยู่ในโรงเลี้ยงวัวที่สกปรกที่ผู้คุมเป็นเจ้าของ มันเป็นอาคารเล็กๆ คับแคบ ไม่มีหน้าต่างและมีประตูเพียงบานเดียว กลิ่นเหม็นของสถานที่นั้นเลวร้ายยิ่งนัก
 
ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ผู้คุมขังได้ให้ ซุนดาร์เปลื้องผ้าและมัดมือและเท้าของเขาติดไว้กับเสา จากนั้นเขาก็ขว้างปาปลิงไปทั่วร่างของซุนดาร์ ขณะที่ปลิงเริ่มดูดเลือดของเขา ซุนดาร์ก็สวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าอย่างร้อนรน เขาได้รับความสงบสุขในทันที ความสงบที่บรรเทาใจจนทำให้เขาร้องสรรเสริญพระเจ้าในทันที เมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงของเขา ฝูงชนก็รวมตัวกันที่ประตูคอกวัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นซุนดาร์ได้พูดกับฝูงชนเกี่ยวกับพระคริสต์
 
การณ์ปรากฏเป็นเช่นนี้,ในท่ามกลางฝูงชนเหล่านั้นมีชายผู้ที่ตั้งข้อหากับซุนดาร์รวมอยู่ด้วย เขาประหลาดใจที่เห็น ซุนดาร์มีความสงบสุขในท่ามกลางความทุกข์ทรมานเช่นนี้ เขาถามผู้คุมว่าเขาทำอะไร และผู้คุมตอบว่า ซุนดาร์ต้องบ้าแน่ๆ “ถ้าคนบ้าสามารถมีความสงบสุขเช่นนี้ได้” ชายคนนั้นพูด “ฉันก็อยากจะบ้าเหมือนกัน—ที่จริงแล้วฉันอยากเห็นคนทั้งโลกกลายเป็นคนบ้า” ในไม่ช้าผู้ว่าราชการก็ตัดสินใจปล่อยซุนดาร์ให้เป็นอิสระ แม้ร่างกายจะอ่อนแอจากความทุกข์ทรมานและการสูญเสียเลือด ซุนดาร์ก็เริ่มเทศน์ไปทั่วหมู่บ้านอีกครั้ง ในทันที,ชายผู้เคยตั้งข้อหาซุนดาร์ซึ่งได้ฟังเขาเทศน์แล้ว เขาถามว่าซุนดาร์ว่าจะให้หนังสือพระวรสารอีกฉบับมาแทนที่ฉบับที่เขาฉีกไปก่อนหน้านี้ได้หรือไม่
 
ประสบการณ์ของซุนดาร์ที่ Ilom เป็นเพียงหนึ่งในคำให้การยืนยันที่น่าทึ่งมากมายเกี่ยวกับชีวิตของ ซุนดาร์ ครั้งแล้วครั้งเล่า,ที่ซุนดาร์ได้สละชีวิตเพื่อพระคริสต์ และครั้งแล้วครั้งเล่า,ที่พระเจ้าทรงช่วยเขาให้พ้นจากการทดลองต่างๆ ซุนดาร์จะวอนขอพระเจ้าเพียงเพื่อการยังชีพของเขาเท่านั้น และพระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมไว้ให้เขาอย่างซื่อสัตย์ ชื่อของ Sadhu Sundar Singh ได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายในเดือนเมษายนปี 1929 เมื่อเขาเริ่มการเดินทางเพื่อเผยแผ่ศาสนาครั้งสุดท้ายของเขาในบริเวณเชิงเขาหิมาลัย ไม่มีใครรู้ถึงสถานการณ์การเสียชีวิตของเขา และไม่เคยมีใครพบศพของเขาเลย
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น