วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

การประจักษ์ที่เคริซิเนน,ฝรั่งเศส

 


Kerizinen, France (1938-1961)
 
ที่ปลายสุดด้านตะวันตกของประเทศฝรั่งเศส ห่างจากชายฝั่งของช่องแคบอังกฤษประมาณ 1 ไมล์เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่เรียกว่าเคริซิเนน Kerizinen มันเล็กเกินกว่าจะจัดเป็นหมู่บ้านได้ ที่เคริซิเนนมีบ้านเก่าแก่และยากจนเพียงไม่กี่หลังที่สร้างด้วยหิน เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1938 จีนน์-หลุยส์ ราโมเนต์(Jeanne-Louise Ramonet) หญิงสาวผู้เศร้าโศกและโดดเดี่ยว กำลังถักนิตติ้งอยู่ริมตลิ่งขณะเฝ้าดูวัวนมของเธอเล็มหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้า มันเป็นวันที่ท้องฟ้าโปร่งและมีแดดจัดตามแบบฉบับของแถบบริตตานี
 
ตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ เธอป่วยเป็นอัมพาตที่ขาขวาของเธอ ทำให้เดินกะเผลกอย่างมาก ครอบครัวของเธอมีสมาชิกที่เติบโตและย้ายออกไปหรือเสียชีวิตจากโรคไทฟอยด์ ดังนั้นเธอจึงอยู่คนเดียวในบ้านเล็กๆที่มืดซึ่งมีขนาดเท่ากับห้องครัวทั่วไป ปัญหาสุขภาพของเธอทำให้เธอไม่ได้รับการศึกษาเท่าที่ควร ในปี1936,พระสงฆ์ประจำโบสถ์ได้จัดเดินทางแสวงบุญไปยังลูร์ดพร้อมด้วยกลุ่มผู้ป่วย และเธอรู้สึกมีอาการดีขึ้น,ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่หายเป็นปกติในเวลาที่ลงไปอ่างน้ำที่เมืองลูร์ด แต่เธอก็พบว่าสุขภาพของเธอดีขึ้นมากพอ เธอกลับมาเดินได้ดีขึ้นและทำงานได้มากขึ้น
 
ในปี 1938 จู่ๆก็มี “ลูกบอลแห่งแสง” ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอเหนือพื้นดินไม่กี่ฟุต แสงสว่างขยายออกและบริเวณรอบนอกมีรังสีสดใส ที่ใจกลาง "ลูกโลก" นี้ปรากฏ "หญิงสาวผู้งดงามมาก" จีนน์-หลุยส์คุกเข่าลงและหญิงผู้นั้นก็พูดขึ้นทันที
 
“อย่ากลัวไปเลย! เราไม่มีอันตรายต่อลูกหรอก! ลูกจะเห็นเราในช่วงเวลาที่แตกต่างกันในปีต่อไปที่จะมาถึง เราจะบอกลูกว่าเราเป็นใครและต้องการอะไรจากลูก สงครามครั้งใหม่จะคุกคามยุโรป เราจะช่วยให้มันหยุดลงในไม่กี่เดือน เพราะเราไม่สามารถเมินเฉยต่อการสวดภาวนาต่อแม่อย่างมากมายของผู้คนเพื่อวอนขอสันติภาพให้บังเกิดขึ้นในเวลานี้ที่ลูร์ด”
 
เมื่อตรัสดังนี้แล้ว แม่พระก็ “ลุกขึ้นอย่างช้าๆเอนพระกายไปทางเหนือ และหายลับไปในท้องฟ้าเบื้องสูง" จีนน์-หลุยส์ตกตะลึง เธอไม่บอกใครและเก็บความลับเรื่องนี้ไว้ในใจ
 
จีนน์-หลุยส์บอกว่าเธอรู้ว่านี่คือพระแม่มารีย์ เธอพูดอธิบายว่าเป็น “หญิงสาวสวยอายุสิบเจ็ดปี” อาภรณ์ของพระนางเป็นสีน้ำเงินเข้ม "ที่อ่อนหวานมาก" อาภรณ์เป็นประกาย และดวงตาของแม่พระก็เป็นสีที่ส่องแสงเป็นประกายเหมือนกัน อาภรณ์เป็นลูกคลื่นที่ด้านล่างและมีขอบสีขาว ปลายแขนเสื้อเป็นเส้นขอบสีขาว มีริบบิ้นสีขาวสองเส้นคาดเอว พระนางทรงสวมเสื้อคลุมสีขาวส่องประกาย ที่คอมีขอเกี่ยวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีทอง เสื้อคลุมคลุมจากไหล่ของพระนางและขยายไปถึงใต้เข่า ผ้าคลุมพระเศียรเหมือนผ้าม่านสีขาวบางเบามากคลุมผมของพระนาง พระนางทรงประทับยืนนิ่งขณะที่ตรัส พระเศียรเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อย วางแขนราวกับว่ากำลังอธิษฐานภาวนา นิ้วของพระนางวางทับกันที่หน้าอก แขนซ้ายของพระนางคล้องสายประคำ
 
เกือบสิบสี่เดือนต่อมา วันที่ 7 ตุลาคม 1939 ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำ – และเป็นวันเกิดปีที่ 29 ของจีนน์-หลุยส์ พระแม่มารีย์ทรงประจักษ์มาเป็นครั้งที่สองและตรัสว่า
 
“โลกยังคงไม่หยุดทำให้พระเจ้าขุ่นเคืองด้วยบาปร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาปความไม่บริสุทธิ์ ซึ่งสงครามครั้งนี้เป็นการลงโทษสำหรับบาปมากมาย”
 
“แต่สวรรค์หาใช่ไม่รับรู้ถึงความทุกข์ยากมากมายและแม่ได้มาเพื่อประทานหนทางแห่งความรอดแก่พวกลูก นั่นคือ: สันติภาพ ลูกจะได้รับมันในไม่ช้า ถ้าลูกรู้วิธีที่จะได้มันมา – แต่สำหรับสิ่งนั้น จำเป็นที่ผู้คนจะต้องดำเนินชีวิตด้วยการสวดภาวนา,ทำกิจใช้โทษบาป,การพลีกรรม จำเป็นต้องให้เด็กๆ,โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสวดภาวนา,สวดสายประคำบ่อยที่สุด ตามด้วย “Parce Domine” บทภาวนาเพื่อคนบาป จงบอกพระสงฆ์ของลูกว่าเขาควรเผยแพร่สาส์นนี้ต่อสาธารณะ แม่จะทำให้คำพูดของเขามีพลังเหนือธรรมชาติที่จะสัมผัสหัวใจ”
 

picture #1: Visionary Jeanne Louise Ramonet
 
จีนน์-หลุยส์บอกพระสงฆ์ทันทีเกี่ยวกับการประจักษ์สองครั้งแรก – ตามที่พระมารดาร้องขอ แต่พระสงฆ์ห้ามมิให้เธอพูดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ สำหรับการประจักษ์ 11 ครั้งถัดไปในอีกเก้าปีข้างหน้า (จนถึง 4 ตุลาคม 1947) มีเพียงจีนน์-หลุยส์และพระสงฆ์ของเธอเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ เนื่องจากพระแม่มารีย์ได้ตักเตือนพระสงฆ์อย่างเข้มงวดในสาส์นบางข้อ สองประโยคสุดท้ายของสาส์นที่สองและข้อความในสาส์นที่สิบสามทั้งหมดมักจะถูกละเว้นไม่กล่าวถึง เพราะเป็นการประจักษ์ที่แม่พระตรัสถึงการลงโทษพระสงฆ์ที่ทำเป็นไม่ได้ยินหรือไม่ยอมรับการประจักษ์มาของแม่พระโดยง่าย
 
สาส์นแรกและสาส์นที่สองแม่พระทรงตรัสทำนายถึงสงครามได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเริ่มเกือบจะในทันที สาส์นที่ตามมาแม่พระยังคงทำนายถึงความทุกข์ทรมานของฝรั่งเศสต่อไป ในสาส์นที่สามของวันที่ 1 ธันวาคม 1939 เราพบว่าพระแม่มารีย์ทรงประทานคำแนะนำว่า:
 
“จงติดอาวุธให้ตัวเองด้วยการสวดภาวนาและการพลีกรรมในขณะที่ทหารของลูกใช้อาวุธทางกายภาพ”
 
ในสาส์นที่ 5 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 1940 พระแม่มารีย์ทรงเตือนว่า
 
“ผู้สวดภาวนาได้สวดภาวนาน้อยลงกว่าที่เคยสวดในเดือนแรกของสงคราม สำหรับการละเลยอันเนื่องมาจากความประมาทนี้,พวกลูก(ในฝรั่งเศส)จะต้องทนทุกข์ทรมาน,ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทหารของพวกลูก หลายคนจะถูกจองจำและหลายคนจะต้องตายเพราะความอดอยากและความทุกข์ยาก”
 
ในสาส์นที่หกของวันที่ 1 ธันวาคม 1939 พระแม่มารีย์ทรงแนะนำว่า:
 
“ลูกๆของแม่แห่งฝรั่งเศส,ชั่วโมงที่เคร่งเครียดจะส่งผลถึงลูกในไม่ช้า! การรุกรานประเทศของลูกโดยศัตรูคืออันตรายที่จะคุกคามลูก”
 
เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่สตรีผู้ยากไร้และซื่อๆคนนี้,ซึ่งอยู่ในสถานที่ห่างไกลแห่งนี้จะมีความรู้อันชาญฉลาดเกี่ยวกับแนวรบหรือความก้าวหน้าในปัจจุบัน พระสงฆ์ของเธอก็ถูกโดดเดี่ยวเหมือนกันและไม่น่าจะรู้อะไรเช่นกัน
 

picture #2: site in Kerizinen, France
 
ในสาส์นที่แปดที่ประทานแก่จีนน์-หลุยส์เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1941 พระแม่มารีย์ตรัสว่า:
 
“ในไม่ช้า รัสเซียจะนำความช่วยเหลือมาสู่สงคราม – ความช่วยเหลือที่จะโจมตีศัตรูของลูกอย่างหนัก แต่จงเริ่มเสียแต่ในเวลานี้,จงสวดภาวนา,สวดภาวนามากๆ โอ,จิตวิญญาณคริสตชนเอ๋ย,สวดภาวนาสำหรับศัตรูตัวฉกาจของพระศาสนจักร ไม่เช่นนั้น,หลังสงคราม,คอมมิวนิสต์จะนั่งอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง,และพระศาสนจักรจะได้รับการคุกคามจากพวกเขา”
 
เนื่องจากภัยคุกคามของโซเวียตจะไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งหลังปี 1946 โดยมีเพียงคนในรัฐบาลบางคนเท่านั้นที่ปิดบังไว้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จีนน์-หลุยส์,ผู้หญิงธรรมดาจะมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้หรือแม้กระทั่งการคาดเดาอย่างมีการศึกษาเมื่อห้าปีก่อน อันที่จริง,ความตระหนักของสาธารณชนว่าคอมมิวนิสต์จะ“นั่งเกือบทุกหนแห่ง”นั้น,ไม่ปรากฏให้เห็นจนกระทั่งกลางทศวรรษ 1950 เจ็ดปีหลังจากสาส์นนี้ได้ “เผยแพร่สู่สาธารณะ”
 
ทันทีหลังจากการประจักษ์ครั้งที่สิบสามเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1947, จีนน์-หลุยส์เดินกะโผลกกะเผลกไปสองไมล์ไปหาพระสงฆ์ประจำหมู่บ้านที่พลูเนเวซ-โลคริสต์(Plounevez-Lochrist)เพื่อเล่าถึงสิ่งที่เธอเห็นและได้ยินจากพระแม่มารีย์อีกครั้ง แต่คราวนี้,การสนทนาระหว่างเธอกับพระสงฆ์ “ถูกได้ยินโดยเด็กสาวคนหนึ่งที่แอบฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ” หลังจากนั้น,เด็กรีบเร่งไปที่โรงเรียนในหมู่บ้านและเล่ารายละเอียดการประจักษ์ที่เธอได้ยินมาให้ชาวบ้านในหมู่บ้านฟัง – ซึ่งต่อมาเรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปทั้งหมู่บ้าน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อ มีบางคนที่เริ่มอธิษฐานภาวนาในทุ่งหญ้าใกล้บ้านของจีนน์-หลุยส์ และถามคำถามมากมายกับเธอ
 
จีนน์-หลุยส์ถ่ายทอดสาส์นทั้งหมดให้แก่ผู้ที่สอบถาม แบบคำต่อคำที่ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนในความทรงจำของเธอ ซึ่งรวมถึงคำเตือนที่เข้มงวดแก่พระสงฆ์ในระหว่างการประจักษ์ครั้งที่สิบสามสำหรับความล้มเหลวในการประกาศสาส์นต่อสาธารณะ รวมทั้งคำเตือนและการเรียกร้องให้สวดภาวนา
 
ในไม่ช้า สิ่งก่อสร้างเล็กๆสำหรับตั้งพระรูปแม่พระก็ถูกสร้างขึ้นในทุ่งหญ้า มีการวางดอกไม้และจุดเทียน ประชาชนกลุ่มเล็กๆเริ่มเข้าร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจีนน์-หลุยส์ได้ถ่ายทอดสาส์นใหม่, สาส์นที่14 ถึง 21
 
ปลายเดือนพฤษภาคมปี 1949 ผู้หญิงคนหนึ่งจาก Plounevez-Lochrist ป่วยหนัก เมื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล เธอถูกประกาศว่าเป็น “กรณีที่สิ้นหวังและความตายที่ใกล้เข้ามา”, จีนน์-หลุยส์ได้เข้าร่วมกับคนอื่นๆชุมนุมที่พระรูปแม่พระในทุ่งหญ้า และเริ่มทำนพวารต่อแม่พระแห่งสายประคำแห่งเคริซิเนนเพื่อสุขภาพของสตรีผู้นั้น การประจักษ์ครั้งที่ 22 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ระหว่างช่วงนพวาร,มีบางคนเห็น “ลูกโลกแห่งแสง” ลงมาที่บ้านของจีนน์ ได้นำดอกไม้ที่มีผู้นำมาวางไว้ในสถานที่ประจักษ์แล้วมาถักทอเป็นพวงหรีด จีนน์-หลุยส์ขอให้คนอื่นๆหลายคนนำพวงหรีดนั้นไปให้หญิงที่ป่วยในโรงพยาบาล
 
แม้ว่าประชาชนที่ไปโรงพยาบาลจะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในห้องของผู้ป่วยที่กำลังจะตาย แต่ซิสเตอร์ที่ดูแลอยู่ตกลงที่จะนำดอกไม้ไปที่เตียงของผู้ป่วย ทันทีที่ดอกไม้สัมผัสเตียงของผู้ป่วย ผู้หญิงที่กำลังจะตายก็เริ่มพูด ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างประหลาดใจและเฝ้าดูขณะที่ชีพจรและอุณหภูมิของเธอกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เธอได้รับการรักษาอย่างอัศจรรย์ คำพูดเกี่ยวกับอัศจรรย์นี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและประชาชนที่เข้าร่วมที่บริเวณพระรูปในทุ่งหญ้าก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
 

picture #3: Jesus & Mary
 
ระหว่างการประจักษ์ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1949, จีนน์-หลุยส์ถามพระแม่มารีย์เรื่องการไม่มีน้ำดื่มที่สะอาดภายในรัศมีหนึ่งไมล์จากสถานที่ประจักษ์ พระแม่มารีย์พรหมจารีย์ทรงสัญญาว่าพระนางจะ “ทำให้เกิดแหล่งน้ำที่พรั่งพรูออกมา” สามปีต่อมาในวันที่ 15 กรกฎาคม 1952 น้ำเริ่มไหลจากโขดหินและไหลเพิ่มขึ้นมากเท่าที่ผู้คนต้องการ น้ำยังคงไหลอยู่จนถึงทุกวันนี้ และหลายคนอ้างว่าสามารถใช้บำบัดรักษาได้อย่างอัศจรรย์
 
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1953 ผู้คนประมาณหนึ่งพันคนกำลังสวดสายประคำภายใต้เมฆสีเทาและฝนที่โปรยปราย พระแม่มารีย์ไม่ได้ประจักษ์มา แต่เมื่อเวลา 15:00 น. ขณะที่ผู้คนสวดบทวันทามารีย์จนใกล้จะสิ้นสุดลงก็มี “แสงประหลาดดึงดูดสายตาของทุกคนสู่ท้องฟ้า” เมฆสีเทาก็หายไปในทันใดและ “ดวงอาทิตย์สีแดงก็แยกตัวออกจากส่วนหนึ่งของท้องฟ้าสีฟ้า” ทุกคนเห็นดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะ "ตกลงมา" แล้วแตกออกเป็นสองส่วน
 
“ทั้งสองส่วนเริ่มหันไปในทิศทางตรงกันข้าม อันหนึ่งแยกจากอีกอันหนึ่ง แต่ละส่วนสาดแสงเจิดจ้าเป็นรังสีสีเข้มข้น และทำให้ทุกอย่างในละแวกนั้นมีสีสันแบบเดียวกัน”
 
ปรากฏการณ์เดียวกันนี้ถูกเห็นโดยผู้คนจำนวนมากขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม สิงหาคม และตุลาคมปี 1954 ในระหว่างที่มีปรากฏการณ์นี้ในเดือนตุลาคม “ดูเหมือนดวงอาทิตย์จะตกลงมาและเปล่งรังสีแสงเดียวกันออกมา – แต่ไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วนเหมือนเช่นเคย” และแล้วก็มีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่สวยงามเกิดขึ้นอีก:
 
“มันเหมือนกับว่ามีหิมะแห่งแสงโปรยปรายไปทั่วทุ่งหญ้าโดยรอบ ท้องฟ้าก็สงบ อากาศบริสุทธิ์ 'เกล็ดหิมะ' ซึ่งดูเหมือนกลีบดอกไม้ ก่อตัวขึ้นในความสูงระดับหนึ่งและหายไปก่อนที่จะสัมผัสพื้นดิน ผู้เห็นบางคนรีบวิ่งไปทางโน้นทางนี้เพื่อจับมัน แต่มือของพวกเขามีแต่อากาศ ต่อมาความมหัศจรรย์นี้เกิดขึ้นอีกครั้ง บางครั้งก็มีกลิ่นหอมที่ตามมาด้วย”
 
ข่าวเกี่ยวกับปรากฏการณ์อันน่าพิศวงเหล่านี้ ซึ่งมีพยานยืนยันมากกว่าหนึ่งพันคน บัดนี้เริ่มแพร่กระจายไปทั่วแคว้นบริตตานีและส่วนอื่นๆ ของฝรั่งเศส
 
ระหว่างการประจักษ์ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1949 แม่พระตรัสกับจีนน์-หลุยส์ว่า:
 
“จงไปพบพระสังฆราชของลูก แม่ต้องการให้ท่านจัดให้มีการสวดภาวนาและการแสวงบุญมายังที่แห่งนี้ และสร้างโบสถ์ที่นี่ อัศจรรย์ที่องค์พระบุตรของแม่ได้กระทำในสมัยก่อนบนแผ่นดินนี้ แม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อบรรดาคนบาปทั้งหลาย”
 
ตามธรรมประเพณีระบุว่าเคยมีการสร้างอารามเมื่อนานมาแล้วในทุ่งหญ้าแห่งการประจักษ์ และพระเยซูทรงปรากฏที่นั่นบ่อยครั้ง!
 

picture #4: Visionary Jeanne Louise Ramonet
 
อย่างไรก็ตาม พกระสังฆราชไม่ได้ทำอะไรเลย! ชาวเมืองบางคนได้ทำการชดเชยด้วยการสร้างสิ่งก่อสร้างเล็กๆที่ดูคล้ายเพิงบนสถานที่แห่งการประจักษ์ รูปปั้นแม่พระขนาดเท่าของจริงถูกวางไว้ภายใน แม้จะมีขนาดที่เล็ก แต่ฝูงชนที่มีมากถึง 6,000 คนก็จะมารวมตัวกันรอบๆ “โบสถ์” แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันฉลอง ซึ่งทำให้พระสงฆ์ในท้องที่ต้องอับอาย
 
ในสาส์นที่ 31 ของวันที่ 12 พฤษภาคม 1955 แม่พระทรงขอร้อง
 
“จงขอร้องให้พระสังฆราชของลูกจัดตั้งสมาคมลูกทั้งหลายของพระแม่มารีย์ขึ้นในเขตวัด ซึ่งแม่ได้เคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อน” (หมายถึงสถานสงเคราะห์เด็กยากจน,โรงเรียน,และโรงพยาบาล)
 
แต่พระสังฆราชยังคงเพิกเฉยต่อคำพูดและคำขอของผู้เห็นนิมิต – และเริ่มเพิ่มการประกาศต่อสาธารณชนต่อต้านการประจักษ์ที่เคริซิเนน ไม่มีการสอบสวนอย่างเป็นทางการใดๆ เพื่อตรวจสอบการประจักษ์เหล่านี้ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมากมายที่คนนับพันเห็น
 
ในที่สุด จีนน์-หลุยส์จะได้รับการประจักษ์ของแม่พระอย่างน้อยเจ็ดสิบเอ็ดครั้ง บางส่วนรวมถึงสาส์นความลับที่ไม่เปิดเผย ในการประจักษ์อื่นๆ,พระแม่มารีย์ไม่ได้ตรัสอะไรเลยถึงแม้พระนางจะทรงปรากฏต่อเธอ พระแม่มารีย์ถูกขัดขวางอย่างมีประสิทธิภาพที่เคริซิเนน – ซึ่งในที่สุดแม่พระก็ยอมรับเช่นกัน
 
ในการประจักษ์ครั้งที่ 31 เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1955 พระนางมารีย์ทรงสรุปว่า
 
“ปีศาจได้ปลดเปลื้องความอาฆาตพยาบาททั้งหมดของมัน เพื่อทำให้การประจักษ์ของแม่ไม่เป็นที่ยอมรับในบริตตานี แต่ถึงแม้มันจะทำเช่นนั้น,แม่ก็จะประสบชัยชนะ”
 

ภายหลังได้มีการเปิดเผยว่าระหว่างการประจักษ์ครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1944,จีนน์-หลุยส์ได้เห็นฉาก "ภาพเคลื่อนไหว" เธอได้เห็นภาพของผู้ชายที่กำลังถือธงแดง และพระสงฆ์พยายามจะหยุดพวกเขา พระสงฆ์ถูกข่มขู่, ถูกทำร้าย, และถูกขว้างก้อนหินเข้าใส่ ที่มุมหนึ่งของ "ฉาก" ปีศาจปรากฏมีความสุขมาก,มันกำลังเร่งเร้าให้ทำร้ายพระสงฆ์ ในอีกมุมหนึ่งมีพระนางพรหมจารีย์มารีย์ทรงร้องไห้ และอีกมุมหนึ่งมีหญิงสาวจำนวนมากกำลังสวดสายประคำ มีคำจารึกเขียนอยู่บนฉากว่า“ภาพของลัทธิคอมมิวนิสต์” สิ่งสำคัญก็คือภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ไปทั่วโลกยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งหลังปี1953 ในช่วงเวลาของที่"ฉากภาพเคลื่อนไหว"นี้ปรากฏแก่จีนน์-หลุยส์,คอมมิวนิสต์โซเวียตเป็นพันธมิตรที่ได้รับความชื่นชมอย่างมากจากตะวันตก
 

picture #5: church at site in Kerizinen, France
 
ระหว่างปี 1961, จีนน์-หลุยส์เริ่มทุพพลภาพมากขึ้นและต้องอยู่บ้านบ่อยขึ้น หลังปี 1978 เกิดความคลุมเครือต่อการประจักษ์นี้ พระศาสนจักรไม่ยอมรับเคริซิเนนและมีข้อห้ามสำหรับพระสงฆ์และนักบวช จึงได้มีกลุ่มผู้เลื่อมใสศรัทธาในแคนาดา, ฝรั่งเศส, และเบลเยียมได้ก่อตั้งสมาคม "Les Amis De Kerizinen" ขึ้นทำงานเพื่อสร้างความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นที่เคริซิเนน หากไม่มีสมาคมนี้,เหตุการณ์ประจักษ์ก็คงถูกลืมไปโดยสิ้นเชิง
 

 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น