วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ยูเครน

 


นำมาจาก Forums of the Virgin Mary [for discernment only]:
 
บทบาทของยูเครนในยุคสุดท้าย: จุดเริ่มต้นของชัยชนะแห่งดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์
 
ได้ยินเสียงกลองสงครามที่ชายแดนรัสเซีย-ยูเครนมานานหลายปี
 
ยูเครนมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมากเพราะเป็นพรมแดนระหว่างประเทศในกลุ่ม NATO กับรัสเซีย และอาจเป็นตัวหลอมรวมให้เกิดสงครามอย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากสหรัฐฯ และ NATO สนับสนุนยูเครน ขณะที่จีนและอิหร่านอยู่ใกล้รัสเซีย
 
แต่มันไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่พยากรณ์สำหรับยุคสุดท้ายซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยการประจักษ์และสาส์นมากมายที่ถูกเปิดเผย
 
เราจะพูดถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับยูเครน ซึ่งทำให้ประเทศนั้นมีความสำคัญต่อยุคสุดท้ายของโลก
 
อันดับแรก มาพิจารณาสถานการณ์ในยูเครนกันก่อน 
ยูเครนตั้งอยู่ทางเหนือของทะเลดำ ทางทิศตะวันตกภูกล้อมรอบโดยประเทศในสหภาพยุโรป และทางทิศเหนือและทิศตะวันออกติดรัสเซีย ยูเครนจึงมีพรมแดนที่อยู่ระหว่าง NATO กับรัสเซีย ยูเครนมีประชากรเพียง 41 ล้านคน และในศตวรรษที่ 20 ส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต ยูเครนเป็นอิสระเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย 
ในปี 2014 รัสเซียยึดคาบสมุทรไครเมียจากยูเครน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ไครเมียจะเข้าร่วม NATO 
และการเผชิญหน้ากันทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2021 เมื่อรัสเซียส่งทหาร 100,000 นายไปประจำรอบพรมแดนของยูเครน ทำให้สหรัฐฯ และ NATO ประกาศว่าจะมาปกป้องยูเครน 
นักวิเคราะห์ได้บรรยายถึงวิกฤตครั้งนี้ว่าเป็นหนึ่งในวิกฤตที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็น และเป็นสถานที่ที่อาจเกิดสงครามใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 
ในยูเครนมีความแตกต่างทางศาสนาอย่างมาก 
ประชากรส่วนใหญ่เป็นออร์โธดอกซ์ คริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดคือคริสตจักรที่ขึ้นตรงกับพระอัยกาแห่งเคียฟ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศยูเครน และดังนั้นจึงเป็นคริสตจักรประจำชาติยูเครนด้วย แต่ตามมาด้วยโบสถ์ออร์โธดอกซ์ ซึ่งขึ้นตรงกับพระอัยกาแห่งมอสโก และต่อมาคือโบสถ์กรีกออร์โธดอกซ์ซึ่งอยู่ร่วมกับวาติกัน 
และยังมีคริสตศาสนานิกายอื่นๆอีกมากมายที่แสดงถึงความแตกแยกทางศาสนาของประเทศ 
ยูเครนมีการปรากฏตัวหลายครั้งตลอดประวัติศาสตร์ และมีคำพยากรณ์ว่ายูเครนจะบรรลุบทบาทของคำพยากรณ์ในวาระสุดท้าย 
คุณพ่อมาลาคี มาร์ติน สมาชิกระดับแนวหน้าของวาติกัน ผู้ใกล้ชิดสนิทสนมของพระสันตปาปา ซึ่งอ้างว่าได้อ่าน "ความลับข้อที่สามของฟาติมา" ซึ่งเขียนว่าความรอดสำหรับโลกจะเริ่มต้นในรัสเซีย และชัยชนะนี้จะเริ่มจากยูเครน 
ดังที่เราเห็นในการประจักษ์ของฟาติมา รัสเซียเป็นผู้ควบคุมการลงโทษของโลก หากรัสเซียกลับใจ โลกก็จะกลับใจ นั่นคือเหตุผลที่การถวายรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ยังคงต้องดำเนินต่อไปดังที่พระแม่มารีย์ทรงขอให้ทางพระศาสนจักรทำ
 
การประจักษ์ของแม่พระครั้งสุดท้ายในบริเวณนั้นคือในปี 2014 เมื่อรูปไอคอนหลายสิบภาพได้หลั่งน้ำมันออกมาทั้งในยูเครนและในรัสเซียในยามที่เกิดสงคราม 
แต่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติครั้งแรกที่บรรยายประวัติศาสตร์ในยูเครนคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองซาน จาซินโตราวปี 1240 
เมื่อต้องเผชิญกับการรุกรานของพวกตาตาร์ในเคียฟจาซินโตจึงนำรัศมีซิโบเรียมไปพร้อมกับศีลมหาสนิทที่เสกแล้วหนีออกจากโบสถ์ 
และเมื่อเขาเดินผ่านรูปปั้นของพระแม่มารีย์,เขาก็ได้ยินเสียงพูดกับเขาว่า 
«จาซินโต ลูกชายของฉัน ทำไมลูกจึงถึงทิ้งแม่เล่า พาแม่ไปกับลูกด้วย,อย่าทิ้งแม่ไว้กับศัตรู». 
น้ำหนักของรูปปั้นเบาลงอย่างอัศจรรย์ และจาซินโตก็สามารถแบกรูปปั้นได้ 
จากนั้นความประสงค์ของพระแม่มารีย์ในยูเครนก็ชัดเจน 
ดังนั้นยูเครนจึงกลายเป็นประเทศแรกสุดทางตะวันออกสุดในยุโรปที่ได้รับการถวายแด่ดวงพระหฤทัยของพระแม่มารีย์ ประมาณปี 1,000 
 จากนั้นพระแม่มารีย์จะประจักษ์มาอีกในศตวรรษที่ 16 ท่ามกลางการเผชิญหน้า ในช่วงเวลาของสงครามคอซแซคกับกษัตริย์แห่งโปแลนด์ และในสถานที่ที่มีต้นวิลโลว์(ต้นหลิว)ขนาดใหญ่ขึ้นในฮรูชิว(Hrushiw
และในปี1806,แม่พระทรงบันดาลให้มีน้ำพุแห่งการบำบัดรักษา,น้ำที่ผุดออกมาจากรากของต้นวิลโลว์ต้นเดียวกันนั้น ท่ามกลางโรคระบาดอหิวาตกโรค 
ซึ่งนำไปสู่รูปปั้นพระแม่มารีย์ถูกนำมาวางบนสถานที่นั้นกลายเป็นสถานที่แสวงบุญ 
แต่ในปี ค.ศ. 1840 โจรคนหนึ่งได้รับค่าจ้างให้ตัดต้นวิลโลว์ด้วยขวาน และตำนานเล่าว่าหลังจากตัดมันทิ้งแล้ว โชคร้ายก็ตกอยู่กับญาติของเขา 
และในปี 1855 โรคระบาดครั้งใหม่ก็ปรากฏขึ้น และชาวบ้านคนหนึ่งได้ยินเสียงที่บอกเขาว่าพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากความชั่วร้ายอันน่ากลัวสำหรับการทำให้วิลโลว์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเสียหาย แต่การแพร่ระบาดจะยุติลงหากมีการชดเชยความผิด 
ชาวบ้านได้สร้างศาลาไม้ที่โคนต้นวิลโลว์พร้อมกับรูปปั้นแม่พระ,น้ำพุก็กลับมาและอหิวาตกโรคก็หยุดระบาดในพริบตา
 
จากนั้นในวันที่ 12 พฤษภาคม 1914 พระแม่มารีทรงปรากฏต่อชาวนา 22 คน นิมิตคงอยู่จนถึงวันรุ่งขึ้น 
แม่พระทรงประทานสาส์นซึ่งทำนายว่าพวกเขาจะสูญเสียอธิปไตยของยูเครนเป็นเวลา 80 ปี 
เป็นเวลาแปดทศวรรษที่พวกเขาจะต้องทนทุกข์กับการกดขี่ข่มเหง แต่ในที่สุดคริสตศาสนาจะได้รับชัยชนะและยูเครนจะเป็นอิสระ 
สามปีต่อมาในปี 1917 การปฏิวัติบอลเชวิคเกิดขึ้นในรัสเซีย ยูเครนจะถูกคอมมิวนิสต์รุกราน และเพียง 8 ทศวรรษต่อมาก็กลายเป็นเอกราชตามคำทำนาย 
เจ็ดทศวรรษหลังจากการประจักษ์ในปี 1914 พระแม่มารีย์ทรงประจักษ์มาอีกครั้งในฮรูชิว(Hrushiw
 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1987 หนึ่งปีหลังจากภัยพิบัติเชอร์โนบิล 
แสงสว่างจ้าปกคลุมโบสถ์แห่งพระตรีเอกภาพและพระแม่มารีย์ทรงประจักษ์บนยอดโดมของโบสถ์ 
รายการโทรทัศน์ได้บันทึกส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์แสงนี้ 
ผู้เห็นแม่พระที่ได้รับสาส์นคือเด็กผู้หญิงชื่อ Maria Kyzyn แต่ทุกคนในหมู่บ้านก็สามารถมองเห็นปรากฏการณ์อันสดใสนี้ด้วย 
และในการประจักษ์เหล่านี้,แม่พระทรงประทานสาส์นด้วยเช่น 
"ถ้าไม่มีการหวนคืนสู่คริสตศาสนาในรัสเซีย ก็จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สามและโลกทั้งโลกจะต้องเผชิญกับความพินาศ" 
พระแม่ยังตรัสอีกว่า 
«เป็นเพราะการสวดภาวนาวอนขอโดยตรงของลูกและด้วยเลือดของผู้พลีชีพที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรัสเซีย» 
คำทำนายนี้บ่งบอกถึงการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างยูเครนและรัสเซีย 
และแม่พระทรงแสดงทุ่งนาที่ลุกเป็นไฟแล้วตรัสว่า 
"ไม่มีน้ำ...ฟ้าและดินลุกเป็นไฟ 
ใครก็ตามที่ต้องการได้รับพระหรรษทานของพระเจ้า จะต้องสวดภาวนาอย่างสม่ำเสมอและลงมือทำพลีกรรมชดเชยบาปด้วยความสมัครใจ"
 
และในที่สุดพระแม่มารีย์ทรงประจักษ์มาอีกครั้งใน Dzyblyk ต่อเด็กหญิงสองคน ได้แก่ Marianna Kobal อายุ 9 ขวบและ Olena Kytsur อายุ 10 ขวบซึ่งเริ่มต้นในปี 2002 
ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นการประจักษ์ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ 
พวกเขาเห็นพระแม่มารีย์พรหมจารีในฤดูใบไม้ผลิและได้รับสาส์นว่า 
“ยูเครนมีภารกิจพิเศษจากพระเจ้า 
ศัตรูโบราณได้รวมตัวกันเป็นกองกำลังร่วมกันเพื่อรวบรวมราชาสิบองค์ในโลกเพื่อต่อสู้กับพระเจ้า” 
 และแม่พระตรัสเสริมว่า 
«อัศจรรย์ใหม่จะเกิดขึ้นที่นี่ภายใต้เสื้อคลุมป้องกันของแม่ 
แม่จะอยู่ที่นี่จนถึงเวลาที่ชาวยูเครนทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งเดียวที่ซื่อสัตย์จนกว่าบาปจะถูกชะล้างจากประชาชนของแม่ 
นี่จะเป็นสถานที่แห่งการขัดเกลาทางวิญญาณและทางร่างกาย 
จำไว้ว่าตอนนี้ลูกอยู่ในช่วงเวลาแห่งการพยากรณ์ 
เช่นเดียวกับ Hrushiw สถานที่ของการประจักษ์ของ Dzyblyk ได้กลายเป็นศูนย์กลางสำหรับการแสวงบุญระหว่างประเทศ 
กล่าวโดยสรุปบรรยากาศของการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างรัสเซียและยูเครนอยู่ในระดับสูง และอาจเป็นสถานที่ที่จุดประกายไฟซึ่งเริ่มสงครามโลกครั้งที่สาม
 
เมื่ออุณหภูมิของการเผชิญหน้าเพิ่มขึ้นในปี 2014 สวรรค์ก็เข้าแทรกแซงด้วยการทำให้รูปไอคอนศักดิ์สิทธิ์หลั่งน้ำมันออกมาในยูเครนและในรัสเซีย 
ยูเครนไม่ใช่สถานที่ทั่วไป เพราะการประจักษ์บอกเราว่าเป็นสถานที่ที่แม่พระได้จัดเตรียมไว้เพื่อเริ่มการชำระล้างโลก ซึ่งจะเป็นจุดสิ้นสุดแห่งชัยชนะแห่งดวงททัยนิรมลของพระแม่มารีย์ 
และภายในการชำระล้างโลกให้บริสุทธิ์นั้น สงครามก็ถูกดำริอยู่ในแผนการณ์ 
คำทำนายไม่ได้บอกเราว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง แต่ความสำคัญของการพยากรณ์เกี่ยวกับสถานที่นั้นไม่ควรหายไปจากเรา 
ถึงจุดนี้สิ่งที่เราต้องการจะพูดถึงความสำคัญเชิงพยากรณ์ของยูเครน ซึ่งเชื่อมโยงกับสงคราม การชำระล้างโลกให้บริสุทธิ์ และชัยชนะแห่งดวงหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ 
และผมต้องการให้ข้อมูลแก่คุณเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของสงครามโลกครั้งที่สามซึ่งจะเกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น