วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2565

แม่พระปกป้องผู้ที่สวดสายประคำทุกวัน

 


ท่ามกลางความหายนะจากระเบิดปรมาณู,พระสงฆ์มิชชันนารีเยซูอิตแปดท่านซึ่งอยู่ในบ้านพักกลับรอดชีวิต
 

มุมมองทางอากาศของโบสถ์แม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์(อัสสัมชัญ)หลังเหตุการณ์ระเบิด 6 ส.ค. 1945 จะเห็นกลุ่มพระสงฆ์4องค์ยืนอยู่บนถนนหน้าโบสถ์
 
นำมาจากKathy Schiffer Blogs 6 สิงหาคม 2020
 
เจ็ดสิบเจ็ดปีที่แล้ว — เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 1945 — เครื่องบินซูเปอร์ฟอร์เตส B-29 ชื่อ Enola Gay ได้โจมตีข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกและทิ้งระเบิดปรมาณูยูเรเนียม-235 ที่เมืองฮิโรชิมา,ประเทศญี่ปุ่น ระเบิดที่มีชื่อรหัสว่า "เด็กน้อย"( Little Boy) ทำให้อาคารพังราบไปทุกทิศทุกทาง ผู้คนนับหมื่นถูกฆ่าตายทันที การโจมตีที่ฮิโรชิมาและการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูที่ตามมาโดยสหรัฐฯที่เมืองนางาซากิในอีกสามวันต่อมา,ทำให้สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง เนื่องจากผู้นำกองทัพญี่ปุ่นตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถชนะได้
 
แต่ท่ามกลางความหายนะที่ฮิโรชิมา,บริเวณใกล้กับจุดศูนย์กลางของการโจมตี,พระสงฆ์มิชชันนารีคณะเยซูอิตแปดท่านซึ่งอยู่ในบ้านพักของพวกเขา,รอดชีวิตมาได้อย่างอัศจรรย์ พระสงฆ์สี่องค์ที่รอดชีวิตได้แก่: Father Hugo Lassalle, Father Wilhelm Kleinsorge, Father Hubert Schiffer และ Father Hubert Cieslik (คุณพ่อฮิวโก้ ลาสซาล, คุณพ่อวิลเฮล์มไคลน์สอร์จ, คุณพ่อฮูเบริต ชิฟเฟอร์และคุณพ่อฮูเบริต ซิลิค) ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากหน้าต่างแตก ไม่มีใครสูญเสียการได้ยินจากการระเบิด โบสถ์แม่พระแห่งอัสสัมชัญ(แม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์)ของพวกเขาได้รับความเสียหายจากการทำลายหน้าต่างกระจกสี แต่โบสถ์ไม่พังทลายลง; มันเป็นหนึ่งในอาคารเพียงไม่กี่หลังที่เหลืออยู่ท่ามกลางการทำลายล้างเป็นอาณาบริเวณกว้างไกลหลายกิโลเมตร
 
ไม่เพียงแต่พระสงฆ์ 8 ท่านจะปลอดภัยรอดชีวิตจากการระเบิดครั้งนี้เท่านั้น แต่ทุกท่านยังไม่ได้รับผลร้ายจากรังสีที่เป็นอันตรายอีกด้วย แพทย์ที่ดูแลพวกเขาหลังจากการระเบิดเตือนว่าการได้รับพิษจากรังสีที่พวกเขาสัมผัสจะทำให้เกิดบาดแผล,เกิดความเจ็บป่วยและถึงแก่ชีวิต แต่ผลตรวจสุขภาพ 200 ครั้งในปีต่อๆมานั้นกลับปรากฏว่าไม่มีผลร้ายใดๆเลย ทำให้บรรดาแพทย์ที่คาดการณ์ว่าจะเกิดผลร้ายขึ้นรู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง
 
คุณพ่อชิฟเฟอร์ซึ่งมีอายุเพียง 30 ปีตอนที่มีการระเบิดที่เมืองฮิโรชิมาเล่าเรื่องราวของท่านในอีก 31 ปีต่อมาที่การประชุมศีลมหาสนิทในฟิลาเดลเฟียในปี 1976 ในขณะนั้น,สมาชิกทั้งแปดคนของชุมชนเยซูอิตที่รอดชีวิตจากการทิ้งระเบิด,ยังคงมีชีวิตอยู่ ท่านเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นว่า: ก่อนที่ทุกคนจะมารวมตัวกัน,ท่านได้ประกอบพิธีมิสซาในตอนเช้าตรู่ แล้วนั่งรับประทานอาหารเช้าในห้องครัวของบ้านพัก ความทรงจำของท่านยังคงสดใส: “ท่านเพิ่งหั่นและตักช้อนของท่านลงในเกรปฟรุ้ตเมื่อมีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นบนท้องฟ้า” ท่านพูดในการประชุมศีลมหาสนิท “ในตอนแรก ท่านคิดว่ามันอาจจะเป็นระเบิดที่ท่าเรือซึ่งอยู่ใกล้เคียง” จากนั้นท่านก็อธิบายถึงประสบการณ์ในวันนั้น:
 
ทันใดนั้น,การระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้นในอากาศด้วยสายฟ้าฟาดหนึ่งครั้ง แรงที่มองไม่เห็นยกผมขึ้นจากเก้าอี้,เหวี่ยงผมขึ้นไปในอากาศ,เขย่าผม,ทุบผม,หมุนผมไปมาเหมือนใบไม้ในกระแสลมที่กระโชกของฤดูใบไม้ร่วง
 
มีรายงานของรายละเอียดเพิ่มเติมโดยพระสงฆ์ที่เคยพบคุณพ่อชิฟเฟอร์ที่สนามบินไตร-ซิตี้,ในเมืองแซกินอว์,รัฐมิชิแกน(Tri-City Airport in Saginaw, Michigan) คุณพ่อชิฟเฟอร์มาเยือนรัฐนี้เพื่อบรรยายต่อหน้ากลุ่มบลูอาร์มี,องค์กรที่เผยแพร่เรื่องราวการประจักษ์ที่ฟาติมา พระสงฆ์เล่าถึงการสนทนาของพวกเขา:
 
สิ่งต่อไปที่คุณพ่อชิฟเฟอร์จำได้คือ ท่านลืมตาขึ้นและนอนอยู่บนพื้น ท่านมองไปรอบๆและเห็นว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยไม่ว่าในทิศทางใด: สถานีรถไฟและอาคาร,ในทุกทิศทางถูกปรับระดับลดลงกับพื้น อันตรายต่อร่างกายเพียงอย่างเดียวคือท่านรู้สึกได้ตือเศษกระจกสองสามชิ้นที่หลังคอของท่าน เท่าที่ท่านสามารถบอกได้,ไม่มีอะไรผิดปกติทางร่างกายในตัวท่านอีกแล้ว คนหลายพันคนเสียชีวิตหรือพิการจากการระเบิด หลังจากชัยชนะของอเมริกา,แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ในกองทัพบอกท่านว่า ร่างกายของท่านจะเริ่มเสื่อมโทรมลงเนื่องจากการแผ่รังสี คนญี่ปุ่นจำนวนมากมีแผลพุพองและแผลจากการถูกรังสี อย่างไรก็ตาม,ด้วยความประหลาดใจของแพทย์,พวกเขาพบว่าร่างกายของคุณพ่อชิฟเฟอร์ไม่ได้รับรังสีหรือได้รับผลร้ายจากระเบิดเลย คุณพ่อชิฟเฟอร์ถือว่าสิ่งนี้มาจากกความศรัทธาของท่านต่อแม่พระและการสวดสายประคำทุกวันของท่าน ท่านรู้สึกว่าท่านได้รับโล่ป้องกันจากพระมารดาซึ่งปกป้องท่านจากรังสีและผลร้ายทั้งหมดของมัน (เหตุการณ์นี้ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์การทิ้งระเบิดที่นางาซากิ,สถานที่ซึ่งนักบุญแม็กซิมิเลียน โคลเบ ได้เคยมาและก่อตั้งอารามคณะนักบวชฟรังซิสกัน,ก็ไม่ได้รับอันตรายเช่นกันเพราะได้รับการปกป้องเป็นพิเศษจากแม่พระ เพราะบรรดาพระสงฆ์ที่นั่นร่วมกันสวดสายประคำทุกวันเช่นกัน จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการระเบิด)
 
คุณพ่อชิฟเฟอร์และพระสงฆ์เยซูอิตท่านอื่นๆ,ได้รับการตรวจและสัมภาษณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยนักวิทยาศาสตร์,แพทย์,และคนอื่นๆ ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงรอดพ้นจากอาการบาดเจ็บ มีรายงานว่าคุณพ่อชิฟเฟอร์กล่าวว่าตัวท่านเองถูกสัมภาษณ์ 200 ครั้ง เมื่อถูกถามว่าทำไมพวกเขาถึงเชื่อว่าพวกเขาได้รับการช่วยเหลือให้รอดชีวิต ในเมื่อคนอื่นๆจำนวนมากเสียชีวิตทั้งจากการระเบิดหรือการได้รับรังสีที่ตามมา คุณพ่อชิฟเฟอร์จึงพูดเพื่อตัวท่านเองและพูดแทนเพื่อนพระสงฆ์ของท่านว่า:
 
เราเชื่อว่า พวกเรามีชีวิตรอดเพราะเราดำเนินชีวิตตามสาส์นแห่งฟาติมา พวกเราสวดสายประคำทุกวันในบ้านพักนั้น
 
คุณพ่อชิฟเฟอร์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 1982 — 37 ปีหลังจากวันสำคัญนั้น
 
ภาพถ่ายอันน่าทึ่งจากการสำรวจความเสียหายที่บันทึกได้ไม่นานหลังจากการทิ้งระเบิดแสดงให้เห็นโบสถ์ของคุณพ่อชิฟเฟอร์ตั้งอยู่เพียงลำพังท่ามกลางเมืองที่ถูกทำลายล้าง ที่ถนนมีพระสงฆ์เยซูอิต4คนที่ยืนอยู่บนถนน มองดูบ้านเรือนและธุรกิจที่พังราบเรียบหลายไมล์ไปสุดขอบฟ้า และพวกท่านขอบพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงไว้ชีวิตให้พวกท่านให้ทำงานของพวกท่านต่อไป
 
(หมายเหตุ – ในรายงานอื่นระบุอย่างชัดเจนว่ามีพระสงฆ์เยซูอิตแปดคนที่ประจำอยู่ในบ้านนี้ไม่ใช่สี่คน - และเป็นที่รู้กันดีว่าทั้งแปดคนรอดชีวิต – เห็นได้ชัดว่าผู้เขียนบทความนี้ระบุว่ามีเพียงสี่คนเท่านั้น พระสงฆ์ท่านอื่น อย่างเช่น Fr . Arrupe ไม่อยู่ในรายชื่อ - ในการเขียนบทความนี้ผมไม่สามารถหาชื่อของพระสงฆ์เยซูอิตอีกสามท่านที่เหลือได้. ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า พวกเขา "ควรจะตาย" เพราะอยู่ภายในรัศมีหนึ่งไมล์ของการระเบิด)
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น