วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ความจริงทำให้จิตวิญญาณอยู่ในระเบียบ

 


โดย Fr Mario Attard OFM Cap
 
เมื่อพระเจ้าประทานพระพรแก่ผมในการอ่านและพิจารณาไตร่ตรองจากหนังสือ The Book of Heaven ซึ่งเขียนโดยผู้รับใช้ของพระเจ้าลุยซ่า พิกาเร็ตตา(Luisa Piccarreta) ผมรู้สึกประทับใจจริงๆ กับสิ่งที่ผมอ่าน และผมรู้สึกว่าต้องแบ่งปันอัญมณีแห่งปัญญาเหล่านี้ให้แก่ทุกคน!
 
ผมขอแบ่งปันสิ่งที่ผมอ่านในวันที่ 18 สิงหาคม 1899 ชื่อของหัวข้อนี้ชัดเจนมาก นั่นคือ: ความจริงทำให้จิตวิญญาณอยู่ในระเบียบ ลุยซาจึงเขียนว่า
 
เช้านี้เมื่อพระเยซูผู้เปี่ยมด้วยความรักที่สุดเสด็จมา ดิฉันทูลพระองค์ว่า 'พระเยซูที่รักของลูก ลูกเชื่อว่าทุกสิ่งที่ลูกเขียนล้วนไร้สาระ' และพระเยซูทรงตอบว่า: “ถ้อยคำของเราไม่เพียงแต่เป็นความจริงเท่านั้นแต่ยังเป็นความสว่างด้วย และเมื่อความสว่างเข้ามาในห้องมืด - มันทำอะไร? มันปัดเป่าความมืด และทำให้คนมองเห็นและสามารถแยกแยะวัตถุที่อยู่ในห้องนั้นว่าเป็นสิ่งที่น่าเกลียดหรือสวยงาม,เป็นสิ่งที่มีระเบียบหรือไม่เป็นระเบียบ และจากการได้รู้ถึงสภาพของห้องนั้น,เราสามารถตัดสินบุคคลที่ครอบครองห้องนั้นได้ บัดนี้,ชีวิตมนุษย์เป็นห้องมืด และเมื่อแสงสว่างแห่งความจริงเข้าสู่จิตวิญญาณ แสงสว่างก็ขจัดความมืดมิดออกไป นั่นคือ,ทำให้ลูกแยกแยะได้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ,อะไรเป็นสิ่งอนิจจังและอะไรที่เป็นนิรันดร์ ด้วยวิธีเช่นนี้,ลูกได้กำจัดความชั่วออกจากตัวลูกเองและจัดลำดับคุณธรรมไว้ให้เป็นระเบียบในตัวลูก อันที่จริง,เนื่องจากแสงสว่างของเราศักดิ์สิทธิ์ – เป็นความศักดิ์สิทธิ์ของเราเอง – มันไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้นอกจากประทานความศักดิ์สิทธิ์และจัดระเบียบวิญญาณ ดังนั้นจิตวิญญาณจึงรู้สึกได้ถึงแสงสว่างแห่งความอดทน, ความอ่อนน้อมถ่อมตน,ความเมตตากรุณา,และสิ่งที่คล้ายคลึงกันที่ออกมาจากตัวลูกเอง ถ้าคำพูดของเราก่อให้เกิดหมายสำคัญเหล่านี้ในตัวลูก,ลูกจะกลัวทำไม?”
 
หลังจากนี้,พระเยซูทรงให้ดิฉันได้ยินว่าพระองค์ทรงสวดภาวนาต่อพระบิดาเพื่อดิฉันอย่างไร โดยตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์, ข้าพเจ้าสวดภาวนาวอนขอสำหรับวิญญาณดวงนี้ ขอให้เขาทำตามพระประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ของเราอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกสิ่ง ขอให้เป็นดังนี้เถิด, ข้าแต่พระบิดาผู้น่ารักยิ่ง,เพื่อให้กิจการของเขาสอดคล้องกับกิจการของข้าพเจ้า,และไม่แตกต่างจากกันเลย, เพื่อข้าพเจ้าจะได้บรรลุผลตามที่ข้าพเจ้าได้ออกแบบไว้สำหรับเขา” แต่ใครจะพูดได้ว่าพลังที่ดิฉันรู้สึกถูกแพร่เข้ามาในตัวดิฉันโดยคำอธิษฐานภาวนานี้ของพระเยซูเจ้าเล่า? ดิฉันรู้สึกว่าจิตวิญญาณดิฉันถูกครอบคลุมด้วยพละกำลังนั้น,เพื่อทำให้บรรลุพระประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระเจ้า, ดิฉันไม่ใส่ใจหากจะได้รับความทุกข์ทรมานเยี่ยงมรณะสักขีเป็นพันๆครั้ง, หากนี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย ขอขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ, ผู้ทรงเมตตาอย่างมากมายต่อคนบาปที่น่าสงสารคนนี้
 
ข้อความส่วนนี้นำเสนอบางจุดที่น่าสนใจ
 
ประการแรก ชีวิตมนุษย์ของเราเปรียบเสมือนห้องมืดซึ่งจำเป็นต้องได้รับการจัดระเบียบอย่างมากเนื่องจากความมืดขัดขวางไม่ให้เป็นเช่นนั้น
 
ประการที่สอง ความสว่างของพระเยซูขจัดความมืดออกไปและช่วยให้เราแยกแยะสิ่งที่อยู่ในนั้นได้ โดยแยกแยะได้ว่าสิ่งนั้นน่าเกลียดหรือสวยงาม,และมันเป็นระเบียบหรือไม่เป็นระเบียบ
 
ประการที่สาม สถานะที่แท้จริงของชีวิตนั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงสภาพของบุคคลผู้นั้นที่ดำรงชีวิตอยู่
 
ประการที่สี่ แสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าบอกให้รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นระเบียบ
 
ประการที่ห้า เมื่อจิตวิญญาณของเราพบกับความสว่างของพระเยซูเจ้า, วิญญาณก็จะเปี่ยมไปด้วยความอดทน, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, และความเมตตากรุณา ด้วยเหตุนี้,วิญญาณจึงเริ่มแสดงหมายสำคัญเหล่านี้แก่ผู้คนรอบข้าง
 
ประการที่หก คำอธิษฐานภาวนาของพระเยซูเจ้าต่อพระบิดาทำให้เรามีพละกำลังที่จะบรรลุพระประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระบิดา,พระเยซู,และพระจิตได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกสิ่งที่เรามีส่วนร่วม
 
ประการที่เจ็ด คำอธิษฐานภาวนาของพระเยซูเจ้าที่ให้เราดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าแม้แต่ในรายละเอียดเล็กน้อยที่สุด,คือคำอธิษฐานภาวนาที่ทำให้เราจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่ในสถานะอันน่ามหัศจรรย์แห่งพระตรีเอกภาพ
 
พระเยซูข้า, โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าบรรลุพระประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระบิดา,ของพระองค์และพระจิตในทุกสิ่งอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยเถิด ขอให้การกระทำของข้าพเจ้าสอดคล้องกับกิจการของพระองค์จนไม่อาจแยกความแตกต่างออกจากกันได้ เพื่อข้าพเจ้าจะได้บรรลุผลตามแบบที่พระองค์ได้ทรงออกแบบไว้สำหรับข้าพเจ้าด้วยเทอญ อาเมน
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น