วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

หนทางแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

 


โดย FR. GABRIEL OF ST. MARY MAGDALEN
 
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนไม่เพียงแต่จะบอกเราว่าพระคริสต์ทรงเป็นอาจารย์และแบบอย่างของเรา แต่ท่านยังกล่าวว่าพระองค์ทรงแสดงพระองค์ในฐานะพระอาจารย์"อันเป็นที่รัก" และเป็นแบบอย่าง"อันเป็นที่รัก"ของเราอีกด้วย เนื่องจากเรารักพระองค์,เราจึงปรารถนาจะประพฤติตามแบบอย่างของพระองค์ และในขณะที่แบบอย่างของพระองค์ทรงชนะใจเรา,เราปรารถนาที่จะน้อมรับคำสอนทุกประการของพระองค์
 
ความปรารถนาของนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนก็คือการนำพระเยซูเจ้าให้มาดำรงอยู่ในใจของเรา ท่านนักบุญพยายามผลักดันให้ความรักของพระเยซูเจ้ากระตุ้นจิตใจของเราให้เข้าสู่หนทางแห่งการสละละทิ้งตนเองซึ่งจะนำเราไปสู่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
 
ขั้นตอนแรกของการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าคือการที่เราจะต้องเป็นนายของประสาทสัมผัสที่คอยกระตุ้นให้เราไปสู่ความพึงพอใจทางโลก วิญญาณจะต้องตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะควบคุมการใช้ประสาทสัมผัสและละเลิกการตามใจตนเอง แบบฝึกหัดที่นักบุญนำเสนอแก่เรานั้นต้องการความมุ่งมั่นตั้งใจที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว และจิตวิญญาณจะต้องพิสูจน์ตัวเองว่ากำลังแสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระคริสตเจ้าเสด็จมาแสวงหาวิญญาณเช่นนี้และทรงทดลองเขาด้วยวิกฤตแห่งความแห้งแล้งของจิตใจ หนทางแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าก็คือการที่วิญญาณต้องทำให้ชีวิตภายในขึ้นอยู่กับประสาทความรู้สึกน้อยลง ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณเข้มแข็งมากขึ้น
 
ดังนั้นด้วยการให้ตนเองอยู่ในวิถี "ชีวิตฝ่ายจิต" วิญญาณจึงพยายามเข้าใกล้พระเจ้าโดยการปฏิบัติคุณธรรมอย่างเข้มข้น ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องและใกล้ชิดกับพระเจ้าอย่างแท้จริง การแสวงหาพระเจ้า "อย่างแข็งขัน" ในลักษณะที่เข้มข้นขึ้นนี้,จึงอาจคาดหวังได้ว่าพระเจ้าจะเสด็จมาอีกครั้งเพื่อเฝ้าดูความพยายามของเรา
 
หนทางแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
 
หนทางแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแบ่งเป็นสองระยะได้แก่ ระยะแรกเป็นการทำให้ประสาทสัมผัสบริสุทธิ์ขึ้นและการทำให้วิญญาณบริสุทธิ์ขึ้น,ทั้งในแบบแอคทีฟและพาสซีฟ(การกระทำและการถูกกระทำ) เพื่อที่จิตวิญญาณจะได้ดำเนินชีวิตในระยะแรกอย่างกล้าหาญ,นักบุญยอห์นจึงเรียกร้องให้จิตวิญญาณมีความรักต่อพระเยซูเจ้า จากนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการที่วิญญาณหันหลังถอยกลับด้วยความกลัว,ก่อนที่จะเผชิญกับระยะที่สองซึ่งเป็นความทุกข์ทรมาน - เป็นการชำระจิตวิญญาณให้สะอาดบริสุทธิ์ นักบุญยอห์นเตือนให้รู้ถึงการชำระล้างจิตวิญญาณเมื่อเวลาที่พระเยซูเจ้าผู้เป็นที่รักทรงมาถึง
 
จากขั้นตอนแรกบนเส้นทางแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า, ท่านนักบุญได้เสนอวิธีการสละตนเองของวิญญาณ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปกับการเดินทางที่ไร้ประโยชน์และจะได้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็ว มันเป็นเรื่องของการทำสงครามอย่างต่อเนื่องกับความโน้มเอียงตามธรรมชาติของเรา วิญญาณจะไปหาความกล้าหาญได้ที่ไหนเพื่อเตรียมตัวสำหรับภารกิจเช่นนี้? จะพบได้ในความรักของเจ้าบ่าวเท่านั้นนั่นก็คือในองค์พระเยซูเจ้า! ให้เราฟังนักบุญยอห์นพูด:
 
เพื่อเอาชนะความปรารถนาของประสาทสัมผัสทั้งหมดและละทิ้งความพึงพอใจในทุกสิ่ง . . ด้วยไฟความรักทางโลกซึ่งจิตใจไม่ต้องการให้ลุกลาม . . จึงจะต้องมีอีกเปลวเพลิงหนึ่ง,ที่มีชีวิตมากกว่า,มีความรักที่สูงส่งกว่า แน่นอนว่ามันคือไฟความรักของคู่สมรส,เพื่อที่เปลวเพลิงหลังนี้จะเข้ามาแทนที่ความปรารถนาและความพึงพอใจของวิญญาณเอง วิญญาณจะถูกห้อมล้อมด้วยความกล้าหาญและความมั่นคงที่จะบดขยี้ความรักอื่นๆได้ง่ายขึ้น.
 
เพื่อที่จะเอาชนะความแข็งแกร่งของประสาทสัมผัส,ความรักธรรมดาที่มีต่อคู่สมรสนั้นก็ยังไม่เพียงพอ,แต่ควรจะลุกร้อนด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าและแรงกระตุ้นแห่งความรัก
 
ความรักของพระเยซูเจ้า
 
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้หากปราศจากความรักของพระเยซูเจ้า ด้วยเหตุผลดังกล่าว, ความปรารถนาแรกของวิญญาณจึงควรเป็นการแสวงหาความรักนี้โดยอาศัยการสวดภาวนา,การพินิจใคร่ครวญ,การอ่านหนังสือศรัทธา, และการทำพลีกรรม แล้ววิญญาณจะไม่ขาดพระหรรษทานของพระเจ้า
 
เมื่อวิญญาณรักพระเยซูเจ้า,วิญญาณก็ยินดีที่จะรับพระองค์เป็นอาจารย์ และท่านนักบุญได้อธิบายถึงวิธีที่พระเยซูเจ้าทรงสอนวิญญาณด้วยพระวาจาสั่งสอนและแบบอย่างของพระองค์เพื่อนำวิญญาณเข้าสู่หนทางแห่งการสละละตนเอง
 
เพื่อติดตามพระเยซู.ท่านนักบุญบอกว่าทำโดยการเผยแพร่พระวาจาของพระองค์ หากไม่ทำเช่นนั้น,ก็ไม่อาจทำให้ได้รับความไว้วางใจอย่างแท้จริง เพราะในชีวิตฝ่ายจิต,มีพระอาจารย์เพียงพระองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์ อาจารย์ท่านอื่นๆอาจใช้พระวาจาสั่งสอนของพระคริสต์ตามสถานการณ์ของเวลา,โอกาส, กระแสเรียก และสิ่งอื่นๆเท่านั้น แต่เนื้อหาเหล่านั้นมาจากพระวาจาสั่งสอนของพระเยซูเจ้าเสมอ หลักคำสอนของนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนเกี่ยวกับการชำระล้างวิญญาณให้สะอาดบริสุทธิ์นั้นไม่สมควรที่เราจะยึดติดถ้าหากไม่ได้นำมาจากพระวรสารอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลัว,เพราะเราพบสิ่งนี้ในพระวาจาของพระคริสต์
 
พระเยซูทรงสอนว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรามา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรามา” (มัทธิว 16:24)
 
ติดตามไปที่ไหน? ติดตามไปจนถึงความพินาศ หรือแม้กระทั่งความว่างเปล่า
 
“ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิต” (มธ. 16:25)
 
พระเยซูตรัสว่า “ทางที่นำไปถึงชีวิตนั้นแคบสักเพียงไร.”
 
ใช่ “ประตูที่นำไปสู่ชีวิตนั้นแคบ” และอนิจจา “ผู้ที่พบประตูนั้นมีน้อย” (มัทธิว 7:14) ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระเยซูทรงประสงค์จะประทานแบบอย่างในพระวาจาของพระองค์ และอาจารย์ที่ดีก็ต้องทำตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงทำ
 
แบบอย่างของวิญญาณ
 
นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนเห็นพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่างของวิญญาณ และการชำระล้างประสาทสัมผัสให้บริสุทธิ์ก็สำคัญมากพอๆกัน นั่นคือสิ่งที่ต้องกระทำในทั้งสองช่วงเวลาของวิถีชีวิตฝ่ายจิต ในส่วนของการเอาชนะประสาทสัมผัส, เป็นที่แน่ชัดว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์ในชีวิตแห่งประสาทสัมผัส — พระองค์ทรงดำเนินชีวิตฝ่ายจิตตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์และทรงสละชีวิตฝ่ายวัตถุในเวลาที่พระองค์สิ้นพระชนม์ ดังที่พระองค์ตรัสว่า "พระองค์ไม่มีแม้แต่ที่ที่จะวางศีรษะ" เมื่อนึกถึงความทรมานอันเจ็บปวดของศีรษะของพระเยซูบนไม้กางเขน,ใครจะไม่พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อความรักของพระองค์เล่า
 
ท่านนักบุญพูดต่อไปถึงส่วนที่สองของการเดินทางฝ่ายจิตซึ่งเจ็บปวดกว่าครั้งแรกอย่างแน่นอน ณ.ที่นี้,ท่านวาดภาพที่น่าประทับใจของการรับความทุกข์ทรมานเพื่อชำระจิตวิญญาณของพระคริสต์ในเวลาที่พระองค์สิ้นพระชนม์:
 
ในด้านจิตวิญญาณ, เป็นที่แน่นอนว่าในชั่วขณะสุดท้าย, พระองค์ทรงถูกชำระจิตวิญญาณโดยทรงถูกพระบิดาทอดทิ้ง,โดยไม่ได้รับการปลอบโยนใดๆ ซึ่งทุกข์ทรมานมากเสียจนกระทั่ง,บนไม้กางเขนนั้นพระองค์ทรงอุทานด้วยความโศกเศร้าว่า “พระเจ้าข้า,พระเจ้าข้า เหตุไฉนพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า?” (มธ. 27:46). พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในทุกด้าน อันได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับชื่อเสียงของมนุษย์,เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์สิ้นพระชนม์บนลำต้นของต้นไม้ . . พวกเขาเยาะเย้ยพระองค์, เกี่ยวกับธรรมชาติ,เมื่อพระองค์ทรงถูกทำลายในความตาย; และเกี่ยวกับการปลอบประโลมฝ่ายวิญญาณของพระบิดา,ผู้ทรงละทิ้งพระองค์ในช่วงเวลาเหล่านั้นเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้หนี้บาปของมนุษย์และรวมมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า (Ascent II, VII, 8)
 
ขอให้เราอย่าลืมว่าพระเยซูทรงอดทนและทนทุกข์เพื่อเรา! “เพราะความรักต่อเราและเพื่อความรอดของเรา พระองค์จึงเสด็จลงมาจากสวรรค์ . . และถูกตรึงที่กางเขน,รับความทุกข์ทรมาน,สิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้” ใช่แล้ว,พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแก่เราในเรื่องการรับความทุกข์ทรมานเพื่อชำระล้างจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์ แต่พระองค์ยังทำให้เราเข้าใจด้วยว่าการรับความทุกข์ทรมานนี้ควรบังเกิดผล
 
แท้จริงแล้ว พระองค์ทรงทำกิจการที่ยิ่งใหญ่กว่าการที่พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ต่างๆอันน่าประหลาดใจ นั่นคือกิจการที่พระองค์ทรงทำให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้าและทรงรวมมนุษยชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าโดยทางพระหรรษทาน (Ascent II, VII, 8) และมุมมองของการรับความทุกข์ทรมานเพื่อชำระจิตวิญญาณของพระเยซูเจ้า,ยังเป็นการสอนเราด้วยว่า
 
ผู้ดำเนินชีวิตฝ่ายจิตจะต้องเข้าใจถึงความลึกลับแห่งชีวิตของพระคริสต์เพื่อที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และพึงรู้ด้วยว่ายิ่งผู้นั้นยอมรับการชำระล้างจิตวิญญาณมากเท่าใดเพื่อความรักต่อพระคริสต์,ในสองส่วนคือ ฝ่ายประสาทสัมผัสและฝ่ายจิตวิญญาณ,เขาก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเขาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้ามากเท่าใดเขาก็จะทำกิจการที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้นด้วย (Ascent II, VII, 8)
 
เมื่อวิญญาณถูกวางไว้ในเบ้าหลอมของค่ำคืนแห่งวิญญาณ,วิญญาณจะพบกับการปลอบโยน,ไม่เพียงแต่จากแบบอย่างการทนทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้า,ที่โอบกอดด้วยความรักเท่านั้น แต่ยังมาจากความทรงจำถึงความบริบูรณ์ของวิญญาณด้วย และความบริบูรณ์นั้นจะไม่มีวันขาดหายไป - ท่านนักบุญยืนยันในสิ่งนี้ต่อวิญญาณที่ยอมรับความทุกข์ทรมาน
 
โดยการมุ่งความสนใจไปที่พระวาจาสั่งสอนและแบบอย่างของพระเยซูเจ้า, นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขนได้เตรียมเราให้พร้อมเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญกับการทดสอบฝ่ายวิญญาณที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เราจะได้รับความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้า พระองค์จะสื่อสารให้เราทราบถึงพระหรรษทานที่ทำให้เราดำเนินชีวิตเหนือธรรมชาติและทำให้เราดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับพระองค์ เพื่อทำให้เราบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ท่านนักบุญปลูกฝังความจริงนี้โดยนำเสนอพระเยซูแก่เราในฐานะคู่สมรสฝ่ายจิตวิญญาณของเรา
 

 

บทความนำมาจากบทหนึ่งในหนังสือของFr. Gabriel Of St. Mary Magdalen’s Union With God According to St. John of the Cross.
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น