วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2565

พระนางมารีย์ในระหว่างพระชนม์ชีพเปิดเผยของพระเยซูเจ้า

 



พระนางทรงทำงานบ้านด้วยพระนางเอง และพระนางก็มักจะสั่งสอนและให้กำลังใจผู้หญิงคนอื่นๆเสมอ ในเวลานี้พระนางมารีย์ทรงดูอ่อนเยาว์มาก,สูง,และมีรูปร่างเพรียวบาง หน้าผากของพระนางกว้างและจมูกค่อนข้างยาว ดวงตาของพระนางค่อนข้างใหญ่,ริมฝีปากของพระนางเป็นสีชมพูสวยงาม ในขณะที่ผิวของพระนางดูค่อนข้างดำเล็กน้อยแต่ก็น่ารัก และมีโทนสีกุหลาบที่เป็นธรรมชาติในแก้มของพระนาง พระนางมารีย์ทรงเหนือกว่าผู้หญิงคนอื่นๆทั้งหมดในความงามแห่งสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของพระนาง เพราะถึงแม้ผู้หญิงอื่นบางคนอาจมีลักษณะภายนอกบางอย่างที่ดูโดดเด่นกว่า แต่พระมารดาแห่งพระเจ้าก็ทรงส่องประกายเหนือพวกเขาทั้งหมดเพราะความเรียบง่ายที่มิอาจอธิบายได้ของพระนางอันประกอบด้วย ความอ่อนน้อมถ่อมตน,ความจริงใจ,ความเมตตา,และความอ่อนโยน พระนางทรงบริสุทธิ์ทั้งวิญญาณและร่างกายซึ่งสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของพระเจ้าในตัวพระนางอย่างน่าอัศจรรย์ บุคคลเดียวที่พระนางมีลักษณะเหมือนที่สุดคือพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ของพระนาง ลักษณะที่โดดเด่นเหล่านี้ของพระนางเผยให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา,ความดึงดูดใจ,สติปัญญา,สันติสุข,และความศักดิ์สิทธิ์ของพระนาง รูปลักษณ์โดยรวมของพระนางถือเป็นหนึ่งในความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งอย่างแท้จริง แต่พระนางก็ยังดูเหมือนเด็กธรรมดา พระนางมักจะจริงจังและสงบเงียบมาก และมักจะทรงครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่เสมอ แม้ว่าพระนางทรงร้องไห้,ความเศร้าโศกของพระนางไม่ได้ทำให้ความน่ารักของพระนางสูญเสียไป เพราะน้ำตาไหลลงมาเบาๆบนใบหน้าที่สงบของพระนาง
 
เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมายังเมืองคาเปอร์นาอุมตามลำพัง,โดยส่งบรรดาศิษย์ของพระองค์ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ลาซารัสได้ออกมาหาพระองค์และล้างพระบาทของพระองค์ที่มุขหน้าบ้านของพระนางมารีย์ เมื่อพระอาจารย์เข้าไปในห้องกลางขนาดใหญ่ พวกผู้ชายก็โค้งคำนับแสดงความเคารพและทักทายพระองค์ก่อนที่พระองค์จะทรงทักทายพวกเขาและเข้าไปหาผู้เป็นมารดาของพระองค์โดยทรงยื่นพระหัตถ์ให้พระนาง พระนางมารีย์ทรงโค้งคำนับอย่างนอบน้อมและด้วยความรัก ตั้งแต่พระองค์ได้เริ่มภารกิจในที่สาธารณะ พระนางทรงปฏิบัติต่อพระเยซูเหมือนมารดาปฏิบัติต่อบุตรชายผู้เป็นประกาศกหรือผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้พระนางไม่เคยสวมกอดพระองค์ในที่สาธารณะ แต่จะยื่นพระหัตถ์ของพระนางเมื่อพระองค์ยื่นพระหัตถ์ของพระองค์มาให้เท่านั้น เมื่อทั้งสองพระองค์อยู่ตามลำพัง,พระเยซูทรงโอบกอดพระนางมารีย์เสมอเมื่อมาถึงหรือจากไป แต่ต่อหน้าคนอื่น,ทั้งสองทรงปฏิบัติต่อกันด้วยความรักที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนจนทุกคนที่เห็นรู้สึกซาบซึ้ง ต่อจากนั้นพระผู้ช่วยให้รอดทรงทักทายผู้หญิงคนอื่นๆที่คุกเข่าต่อหน้าพระองค์ และพระองค์ทรงอวยพรแก่ทุกคนที่อยู่ที่นั่น จากนั้นพระองค์ทรงคลายความกลัวของบรรดาศิษย์ซึ่งกังวลใจอย่างมากจากข่าวการจับกุมยอห์น ผู้ทำพิธีล้างเมื่อไม่นานนี้ วันรุ่งขึ้นเมื่อพระเยซูทรงบอกพระมารดาว่าพระองค์ตั้งใจจะกลับไปแคว้นยูเดีย พระนางมารีย์ทรงร้องไห้,แต่พระองค์ทรงปลอบโยนพระนางและรับรองกับพระนางว่าพระองค์จะต้องกระทำให้บรรลุพระภารกิจของพระองค์ เพราะวันแห่งความเศร้าโศกยังมาไม่ถึง จากนั้นพระองค์ทรงกระตุ้นให้พระนางเพียรสวดภาวนาเพื่องานของพระองค์ ก่อนจากไป,พระองค์ทรงกล่าวทำนายให้กับพระนางและบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่าอีกไม่นานมารีย์มักดาเลนาจะกลับใจและจะเป็นแบบอย่างของคุณธรรมความดี ระหว่างนั้น,พระองค์ตรัสว่า พวกเขาทั้งหมดควรสวดภาวนาเพื่อเธอและแสดงท่าทีต่อเธอด้วยความรัก ในช่วงสามปีแห่งการปฏิบัติพระภารกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางพรหมจารีย์ตามเสด็จไปด้วยตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และเช่นเดียวกับพระองค์,พระนางมารีย์ทรงเดินไปเสมอ,ทรงอดทนต่อความเหนื่อยล้าและความยากลำบากทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางดังกล่าว บางครั้งพระนางเหน็ดเหนื่อยมากจนพระเยซูต้องฟื้นฟูพละกำลังของพระนางอย่างอัศจรรย์ ในบางครั้ง,พระองค์ทรงบังคับให้พระนางพักเป็นเวลาหลายวันในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นสำหรับพระอาจารย์และอัครสาวกของพระองค์ ณ.บริเวณหนึ่งในกาลิลีและแคว้นยูเดีย
 
แหล่งที่มา - ชีวิตของพระนางมารีย์ตามภาพนิมิตของผู้ได้รับพระพรพิเศษบางคน
 
Source: The Life of Mary as Seen by the Mystics
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น