วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ความเชื่อในพระเยซูตริสต์

 
 

ตามหลักคำสอนให้นิยามความเชื่อว่าเป็น “การตอบสนองของมนุษย์ต่อพระเจ้า ผู้ทรงเปิดเผยพระองค์เองและประทานพระองค์เองต่อมนุษย์ - - โดยความเชื่อ มนุษย์ยอมมอบสติปัญญาและน้ำใจของเขาต่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์ - - เป็นการยอมรับความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเปิดเผยด้วยใจอิสระ (26, 143, 150, 182)
 
บางคนมีความเชื่อในพระเยซูเจ้า แต่ก็ยังมีความคลางแคลงสงสัย เพราะเขายังเชื่อไม่เต็มร้อย ตัวอย่างในเรื่องนี้คือ นักบุญยอห์น บัพติส
 
นักบุญยอห์น บัพติส เป็นผู้ทำพิธีล้างด้วยน้ำให้แก่พระเยซูเจ้าที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน เขาได้เห็นท้องฟ้าเปิดออก เห็นพระจิตเสด็จลงมาเหนือพระเยซูเป็นรูปนกพิราบ ได้ยินเสียงพระบิดาตรัสจากสวรรค์ แต่ยอห์น ส่งศิษย์สองคนไปหาพระเยซู เพื่อถามพระองค์ว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ใช่หรือไม่? พระเยซูไม่ทรงตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่พระองค์บอกพวกเขาให้กลับไปหายอห์น และบอกกับยอห์นว่า “คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนยากจนได้รับข่าวดี ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราก็เป็นสุข”
 
บางคนต้องเห็นก่อนจึงจะเชื่อ ตัวอย่างเช่น นักบุญโทมัส อัครสาวก
 
หลังจากพระเยซูกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้วทรงเสด็จไปพบกับบรรดาอัครสาวกที่รวมตัวกันอยู่ในห้องที่ปิดประตูเพราะกลัวชาวยิว แต่โทมัสไม่อยู่ที่นั่นในเวลานั้น หลังจากนั้นแปดวัน,พระเยซูเสด็จไปพบกับอัครสาวกอีก และโทมัสก็อยู่ด้วย เมื่อโทมัสได้เห็นพระเยซูเจ้าและได้สัมผัสกับรอยแผลที่มือและสีข้างของพระเยซู,เขาจึงมีความเชื่อ พระเยซูตรัสกับโทมัสว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่ได้เชื่อก็เป็นสุข”
 
นักบุญเปโตรบอกกับเราในจดหมายถึงชาวฮีบรูว่า (ฮีบรู 11:1) “ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น เพราะความเชื่อนี้คนในสมัยก่อนจึงได้รับการยกย่องในพระคัมภีร์ เพราะความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าพระวาจาของพระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์มองเห็นได้จึงเกิดขึ้นจากสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น”
 
เราไม่จำเป็นต้องเห็นพระเยซูหรือเห็นอัศจรรย์ก่อนแล้วจึงเชื่อ
 
ความเชื่อเป็นพระพรของพระเป็นเจ้า เราจะได้รับความเชื่อเมื่อเรามีใจถ่อมตนเท่านั้น เพราะพระเจ้าจะไม่ทรงประทานความเชื่อให้แก่ผู้มีใจหยิ่งจองหอง
 
คนที่มีความรู้สูงในวิชาการหลายอย่าง บางคนเป็นแพทย์ เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นนักเทววิทยา แต่กลับไม่มีความเชื่อในพระเจ้า เพราะความรู้ของเขาทำให้เขาเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปและหยิ่งทะนงในความรู้ของเขา 
 
ความรู้เป็นความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่เราที่ปรากฏอยู่ในสิ่งสร้างทั้งหลายในธรรมชาติ แต่พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่เราอย่างชัดเจนยิ่งกว่าในพระวาจาของพระองค์ที่อยู่ในพระคัมภีร์ ดังนั้นเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ด้วยจิตใจถ่อมตน,พระจิตจะทรงทำงานในจิตใจของเรา
 
ความเชื่อจำเป็นต้องเป็นมาจากจิตใจอิสระ ไม่ควรมีผู้ใดถูกบังคับให้มามีความเชื่อโดยที่เขาไม่สมัครใจเชื่อ เราสามารถแนะนำความเชื่อให้ผู้อื่นได้ แต่เราไม่ควรยัดเยียดความเชื่อให้เขา 
 
ในอุปมาเรื่องผู้หว่าน “ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกเผาและเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมไว้ ทำให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหูก็จงฟังเถิด”
 
เมล็ดที่ตกบนดินดี หมายถึง คนที่ฟังพระวาจาด้วยใจถ่อมตน พิจารณาไตร่ตรองจนเกิดความเข้าใจ และนำไปปฏิบัติตาม จึงเกิดผลเป็นร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
 
ส่วนเมล็ดอื่นๆที่ตกบนริมทางก็ดี ตกบนหินก็ดี ตกในพงหนามก็ดี ล้วนเป็นเมล็ดที่ไม่เกิดผล เพราะไม่มีความเชื่อ และยังลุ่มหลงในสิ่งของทางโลก
 
เราจึงต้องยอมรับความเชื่อด้วยความถ่อมตนและวอนขอความเชื่อจากพระเจ้า
 
"ผู้มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ก็เป็นสุข"
 
หมายเหตุ - อ้างอิงจากบทเทศน์ของคุณพ่อ อนุรักษ์ ประจงกิจ  
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น