วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน 2025 เทศกาลเตรียมรับเสด็จ

 

โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มัทธิว.24:37-44 
(37)“สมัยของโนอาห์เป็นเช่นไร เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้น (38)ในสมัยก่อนน้ำวินาศนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานกันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ (39)ไม่มีใครนึกระแวงว่าอะไรจะเกิดขึ้นจนกระทั่งน้ำวินาศมากวาดพวกเขาไปหมดสิ้น เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย (40)เวลานั้น คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ (41)หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ (42)“จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร (43)พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรู้ว่าขโมยจะมาในยามใด เขาคงจะตื่นเฝ้าไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตนได้ (44)ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียมพร้อมไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย
******************
 
เมื่อปี 1789 ขณะที่สภาผู้แทนของรัฐคอนเนคติกัตกำลังประชุมอยู่ ทันใดนั้นท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง Hartford ซึ่งเป็นที่ตั้งของสภาก็มืดมนลง สมาชิกสภาบางคนมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็พูดกันว่านี่คื่อเครื่องหมายว่ากำลังจะสิ้นโลก จากนั้นเสียงเอะอะวุ่นวายลั่นสภาก็ตามมา พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกร้องให้เลื่อนการประชุมออกไป แต่พันเอก Davenport ซึ่งเป็นโฆษกของสภาผู้แทนลุกขึ้นพูดว่า “ท่านสุภาพบุรุษ วันสิ้นโลกหรือวันพิพากษาอาจจะกำลังมาหรือไม่มาก็ได้ ถ้าไม่มาก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องเลื่อนประชุม แต่ถ้ากำลังมา ข้าพเจ้าก็ขอเลือกที่จะถูกพบว่ากำลังทำหน้าที่อยู่ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้นำเทียนมาจุด” ที่สุด เทียนก็ถูกนำมาจุดและการประชุมก็ดำเนินต่อไป
 
พี่น้องครับ พระวรสารวันนี้พูดถึงวันสิ้นโลก วันที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาพิพากษามนุษย์ พร้อมกับบอกวิธีเตรียมตัวสำหรับต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระองค์ด้วย
 
เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระเยซูเจ้านี้ เรามักทำผิดพลาดแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกัน กลุ่มแรกเตรียมตัวต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระองค์ด้วยความกลัว ด้วยความกระวนกระวาย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งตรงกันข้ามเลย คือไม่สนใจไยดีและไม่เตรียมตัวอะไรเลย
 
วันนี้ พระเยซูเจ้าบอกเราในพระวรสารว่า “ท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร” นั่นคือเราไม่มีทางรู้เลยว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเมื่อใด หรือวันสิ้นโลกจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ที่พระองค์บอกให้เรารู้ก็คือมันจะมาถึงเหมือนในสมัยของโนอาห์
 
ในสมัยของโนอาห์ผู้คนมัวแต่กิน ดื่ม และแต่งงาน โดยไม่มีใครนึกระแวงว่าจะเกิดน้ำวินาศ แล้วน้ำวินาศก็เกิดขึ้นจริงๆ มันกวาดล้างพวกเขาไปหมดสิ้นเลย
 
แล้วพระองค์ยังตรัสอีกว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย” ก็แปลว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงในเวลาที่เราไม่คาดฝันและก็ไม่ได้เตรียมตัวเหมือนอย่างในสมัยของโนอาห์นี่แหละ
 
อีกเรื่องหนึ่งที่พระเยซูเจ้าบอกเราในพระวรสารวันนี้ก็คือ วันสิ้นโลกมันจะมาเหมือนขโมย เวลาขโมยจะเข้างัดแงะบ้านใดเขาจะไม่บอกกล่าวหรือเตือนเจ้าของบ้านล่วงหน้า วันสิ้นโลกก็จะมาแบบทันทีทันใดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเช่นกัน
 
ในเมื่อวันสิ้นโลกจะมาแบบไม่คาดฝันและไม่มีการเตือนล่วงหน้า เพราะฉะนั้น เราต้องเป็นเจ้าบ้านที่ฉลาด คือต้องเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
 
แน่นอนว่า การเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่เสมอไม่ได้หมายความว่าเราต้องจดจ่อคอยฟังคำทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลกด้วยความตื่นตระหนก ซึ่งทุกวันนี้ คำทำนายทำนองนี้มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
 
แต่การเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่เสมอควรจะเป็นเหมือนที่พันเอกดาเวนพอร์ตพูดคือ เราควรที่จะขยันหมั่น เพียร ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งในฐานะที่เป็นบุตรของโลกนี้ และในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย
 
ในฐานะที่เป็นบุตรของโลกนี้ พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่างของผู้รับใช้ที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้เราฟังต่อจากพระวรสารวันนี้
 
ทั้งๆ ที่นายไม่อยู่ ผู้รับใช้คนนี้ก็ทำหน้าที่ที่นายมอบหมายให้อย่างซื่อสัตย์ เขาเอาใจใส่ดูแลและแจกจ่ายอาหารให้แก่ผู้รับใช้คนอื่นๆ ตามกำหนด พระเยซูเจ้าบอกว่าผู้รับใช้คนนี้เป็นสุขเมื่อนายกลับมาโดยไม่คาดฝัน และพบเขากำลังทำหน้าที่ที่นายสั่งเช่นนี้
 
เช่นเดียวกัน ในการเตรียมพร้อมต้อนรับพระเยซูเจ้าที่จะเสด็จกลับมาในเวลาที่ไม่มีใครคาดฝันและไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ คงไม่มีหนทางใดดีไปกว่าการทำตามหน้าที่ของเราในโลกนี้อย่างซื่อสัตย์ทุกๆ วันตลอดชีวิตของเรา
 
และในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า หน้าที่ของเราคือตื่นขึ้นจากความหลับใหล
 
คริสตชนยุคเริ่มแรกนิยมใช้คำว่าหลับใหล เพื่อหมายถึงชีวิตที่ตกอยู่ในบาปและเอาแต่ใจตัวเอง วันนี้นักบุญเปาโลบอกเราในบทอ่านที่สองว่า “บัดนี้ถึงเวลาที่จะต้องตื่นขึ้นจากความหลับ ขณะนี้ความรอดพ้นอยู่ใกล้เรามากกว่าเมื่อเราเริ่มมีความเชื่อ กลางคืนล่วงไปมากแล้ว กลางวันก็ใกล้จะมาถึง” และในจดหมายถึงชาวเธสะโลนิกา นักบุญเปาโลยังเตือนอีกว่า “ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น จงตื่นอยู่เสมอ... เราจงรู้จักประมาณตน จงสวมความเชื่อและความรักเป็นเกราะป้องกัน จงสวมความหวังที่จะได้รับความรอดพ้นเป็นเกราะป้องกันศีรษะ” (1 ธส 5:6-8)
 
เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า การเฝ้าระวังและการเตรียมพร้อมจึงหมายถึงให้เรา “ตื่นขึ้นจากความหลับ รู้จักประมาณตน” และดำเนินชีวิตอยู่ในความเชื่อ ความหวัง และความรัก รับใช้พระเจ้าด้วยความพากเพียร อีกทั้งดำรง ชีวิตอยู่ในพระหรรษทานของพระองค์ทุกวันเวลา
 
พี่น้องครับ การจดจ่ออยู่กับคำทำนายหรือการคำนวนหาวันสิ้นโลกนั้น มันไม่มีประโยชน์ เพราะพระเยซูเจ้าอาจจะเสด็จมาพิพากษาเราแต่ละคนวันใดและเวลาใดก่อนวันสิ้นโลกก็ได้ วันที่พระองค์เสด็จมาพิพากษาเราก็คือวันที่เราสิ้นใจ ในวันที่เราสิ้นใจเราจะถูกพิพากษาทีละคน และเมื่อถึงวันสิ้นโลก พระองค์จะทรงพิพากษามวลมนุษยชาติพร้อมกัน ที่เราเรียกว่าวันพิพากษาประมวลพร้อม
 
เพราะฉะนั้น โอกาสที่เราเริ่มต้นปีพิธีกรรมใหม่ คือปี A ในวันนี้ ขอให้เราคิดใหม่ คิดว่าวันที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาครั้งที่สองหรือวันสิ้นโลกนั้นอยู่ใกล้เรามาก ใกล้เท่ากับวันสิ้นใจของเรา ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นวันใด และเวลาใดก็ได้ จึงขอให้เราตื่นเฝ้าและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพื่อว่าไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาหาเราเวลาใด เราจะไม่ถูกทิ้งไว้ แต่จะพร้อมเสมอที่จะติดตามพระองค์ไปสู่ความรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดร
 
***************************


วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ความยากจนเป็นหนทางสู่สวรรค์

 

“ความมั่งคั่งของข้าพเจ้าอยู่ในคนยากจน” ปรีชาญาณของพระศาสนจักรกล่าวไว้ เพราะเมื่อเรามอบทรัพย์สินบางส่วนของเราให้กับผู้ที่ต้องการ เราก็มีส่วนร่วมในความยากจนทางจิตวิญญาณแห่งความไม่ยึดติด
 
“เลดี้แห่งความยากจน”ดังที่นักบุญฟรังซิสเรียก คือเจ้าสาวที่นักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเลือกสรร อันที่จริง ชาวคริสต์ทุกคนต้องปรารถนาความยากจนในรูปแบบที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตของเรา ในด้านชีวิตกระแสเรียก นี่คือคำปฏิญาณแรกในสามข้อของนักบวช และด้วยเหตุผลที่ดี
 
กระนั้นก็ดี ความยากจนทางวัตถุก็ไม่ได้ถูกบังคับหรือแม้แต่แนะนำให้คริสตชนทำ แต่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราปฏิบัติความยากจนทางวิญญาณมากกว่า ซึ่งก็คือการปลีกตัวออกจากสิ่งต่างๆ ของโลก เพื่อให้เรามีอิสระมากขึ้นในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า คือให้เราพึ่งพาพระเจ้า ไม่ใช่พึ่งพาตนเอง
 
เราต้องตระหนักว่าความยากจนเป็นความจริงอันถาวรของสังคมมนุษย์ ซึ่งระบบใดๆ ไม่ว่าจะได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพียงใด ก็ไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นไปได้ ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่บอกเราดังนี้: “ในแผ่นดินจะยังคงมีคนยากจนอยู่เสมอ ข้าพเจ้าจึงสั่งให้ท่านมีใจเอื้อเฟื้อต่อพี่น้องที่ยากจนและขัดสนในแผ่นดินของท่าน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 15:11) “ท่านจะมีคนยากจนอยู่กับท่านเสมอ แต่ท่านจะไม่มีเราอยู่กับท่านเสมอไป” (มัทธิว 26:11)
 
อีกด้านหนึ่งพระเจ้าทรงบอกเราว่า คนยากจนจะอยู่กับเราเสมอ ในเฉลยธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงบัญชาให้เรายื่นมือช่วยเหลือผู้ยากไร้ ดังนั้นการรักเพื่อนบ้านจึงเป็นการเชื่อฟังพระเจ้าด้วย ในมัทธิว พระเจ้าทรงขอให้เรารักทั้งพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ พระบัญญัติสำคัญสองข้อของพระคริสต์ นั่นคือ “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (มัทธิว 22:37-40)
 
ความยากจนทางวัตถุเป็นเรื่องยากที่จะรักในมุมมองของคนทั่วไป แต่คนยากจนจะไม่มีวันไปไหน เราไม่สามารถออกกฎหมายหรือปลุกใจคนจนทุกคนให้หลุดพ้นจากความยากจนได้ นี่คือเหตุผลที่คาทอลิกตอบสนองต่อความยากจนด้วยการมองเห็นพระคริสต์ในคนยากจนและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา ในอีกแง่หนึ่ง การที่เราสละเงินทำบุญช่วยเหลือคนยากจน เท่ากับเป็นการฝึกฝนตนเองในคุณธรรมแห่งความยากจนทางจิตวิญญาณ เป้าหมายคือการเรียนรู้ว่า เราต้องพึ่งพาพระเจ้า ถ้าหากปราศจากพระเจ้าเราจะไม่มีอะไรเลย การวางใจในพระองค์เช่นนี้จะปลดปล่อยเราจากการยึดติดมากเกินไปกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และนำไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ของเรา นี่คือเส้นทางสู่สวรรค์อย่างแน่นอน
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณ

 

“พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณ ดังนั้นเมื่อจิตวิญญาณพร้อมด้วย “พลังทั้งหมด” ของจิตวิญญาณ “รู้จักพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ รัก และชื่นชมพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม เมื่อนั้นจิตวิญญาณก็จะเข้าถึงศูนย์กลางที่ลึกที่สุดที่พระองค์จะเข้าถึงได้”
 
นักบุญเอลิซาเบธแห่งตรีเอกานุภาพ – I. สวรรค์ในศรัทธา – วันที่สอง – การอธิษฐานครั้งแรกและครั้งที่สอง ข้อ 5-8 หน้า 3-4
 
“5. “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในท่านทั้งหลาย” (ลูกา 17:21) เมื่อไม่นานมานี้ พระเจ้าทรงเชื้อเชิญให้เรา “ดำรงอยู่ในพระองค์” (เอเฟซัส 1:18) ให้ดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณในมรดกอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ และบัดนี้พระองค์ทรงเปิดเผยแก่เราว่าเราไม่จำเป็นต้องออกจากตัวเราเพื่อจะพบพระองค์ “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายใน!”... นักบุญยอห์นแห่งกางเขนกล่าวว่า “ในแก่นสารของจิตวิญญาณ ซึ่งมารหรือโลกไม่สามารถเข้าถึงได้” พระเจ้าทรงมอบพระองค์เองให้กับจิตวิญญาณนั้น “การเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงเป็นของพระเจ้า และถึงแม้จะมาจากพระเจ้า แต่ก็เป็นของจิตวิญญาณด้วย เพราะพระเจ้าทรงกระทำการเหล่านั้นในจิตวิญญาณและร่วมกับจิตวิญญาณนั้น”
 
6. นักบุญคนเดียวกันนี้ยังกล่าวอีกว่า “พระเจ้าเป็นศูนย์กลางของจิตวิญญาณ ดังนั้นเมื่อจิตวิญญาณพร้อมด้วย” “กำลังทั้งหมด” ของ “จะรู้จักพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ รักและชื่นชมพระองค์อย่างเต็มที่ เมื่อนั้นจิตวิญญาณนั้นจะเข้าถึงศูนย์กลางที่ลึกที่สุดที่สามารถเข้าถึงได้ในพระองค์” ก่อนที่จะบรรลุถึงสิ่งนี้ จิตวิญญาณได้ “อยู่ในพระเจ้าผู้ทรงเป็นศูนย์กลาง” แล้ว “แต่ยังไม่ถึงศูนย์กลางที่ลึกที่สุด เพราะมันยังสามารถไปได้ไกลกว่านั้นอีก เนื่องจากความรักคือสิ่งที่รวมเราเข้ากับพระเจ้า ยิ่งความรักนี้เข้มข้นมากเท่าไหร่ จิตวิญญาณก็ยิ่งเข้าสู่พระเจ้าอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่พระองค์มากขึ้นเท่านั้น”
 
เมื่อจิตวิญญาณ “มีความรักแม้เพียงระดับเดียว จิตวิญญาณก็อยู่ในศูนย์กลางแล้ว” แต่เมื่อความรักนี้บรรลุความสมบูรณ์ จิตวิญญาณจะซึมซาบเข้าสู่ศูนย์กลางที่ลึกที่สุด ณ ที่นั้น จิตวิญญาณจะเปลี่ยนแปลงไปจนกลายเป็นเหมือนพระเจ้าอย่างแท้จริง” สำหรับจิตวิญญาณที่อยู่ภายในนี้ สามารถกล่าวถ้อยคำของบาทหลวงลาคอร์แดร์ที่กล่าวกับนักบุญมารีย์ มักดาลา ว่า “อย่าทูลขอพระอาจารย์จากคนทั้งบนแผ่นดินโลกหรือในสวรรค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นจิตวิญญาณของท่าน และจิตวิญญาณของท่านคือพระองค์”
 
7. “จงรีบลงมาเถิด เพราะวันนี้เราต้องพักอยู่ในบ้านของท่าน” (ลูกา 19:5) พระอาจารย์ทรงย้ำถ้อยคำนี้ซ้ำๆ กับจิตวิญญาณของเรา ซึ่งครั้งหนึ่งพระองค์เคยตรัสกับศักเคียสว่า “จงรีบลงมาเถิด” แต่การเสด็จลงมาที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากเรานี้คืออะไร นอกจากการลงลึกเข้าไปในห้วงลึกภายในของเรา? การกระทำนี้ไม่ใช่ “การแยกตัวจากสิ่งภายนอก” แต่เป็น “ความสันโดษทางวิญญาณ” คือการปลีกตัวจากทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า
 
8. “ตราบใดที่เจตนารมณ์ของเรายังมีจินตนาการที่แปลกแยกจากความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ความคิดที่ตอนนี้ใช่ ตอนนี้ไม่ เราก็ยังเป็นเหมือนเด็กๆ เราไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยก้าวใหญ่ในความรัก เพราะไฟยังไม่เผาผลาญโลหะผสมทั้งหมด ทองคำยังไม่บริสุทธิ์ เรายังคงแสวงหาตนเอง พระเจ้ายังไม่ทรงเผาผลาญ” ความเป็นปรปักษ์ทั้งหมดของเราที่มีต่อพระองค์ แต่เมื่อหม้อต้มเดือดได้เผาผลาญ “ความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ความโศกเศร้าที่ไม่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ความกลัวที่ไม่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง” “เมื่อนั้นความรักก็จะสมบูรณ์ และวงแหวนทองคำแห่งพันธมิตรของเราก็ยิ่งใหญ่กว่าสวรรค์และโลก นี่คือห้องใต้ดินลับที่ความรักวางผู้ถูกเลือกสรรของพระองค์ไว้” “ความรักนำเราไปตามวิถีทางที่พระองค์เท่านั้นที่รู้จัก และพระองค์ทรงนำเราโดยไม่หันหลังกลับ เพราะเราจะไม่หวนกลับ” (Ruysbroeck)”
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ความศรัทธาแท้จริงต่อพระแม่มารีย์

 

'พระหรรษทานของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง' ~ 'ความลับของพระแม่มารีย์ – โดยนักบุญหลุยส์ เดอ มงฟอร์ต – ความจำเป็นในการอุทิศตนอย่างแท้จริงต่อพระแม่มารีย์ ข้อ 3-5 หน้า 2-3
 
3. จิตวิญญาณที่ถูกเลือกสรร ภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่มีชีวิต และได้รับการไถ่ด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าปรารถนาให้คุณเป็นผู้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ในชีวิตนี้ และรุ่งโรจน์เหมือนพระองค์ในชีวิตหน้า
 
เป็นที่แน่ชัดว่าการเติบโตในความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือกระแสเรียกของคุณ ความคิด คำพูด การกระทำ ทุกสิ่งที่คุณได้รับหรือกระทำ ล้วนนำพาคุณไปสู่จุดหมายนั้น มิฉะนั้น คุณกำลังต่อต้านพระเจ้าโดยไม่ทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงสร้างคุณขึ้นมา และที่พระองค์ทรงรักษาคุณไว้แม้ในขณะนี้
 
ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์อะไรเช่นนี้! ฝุ่นผงกลายเป็นแสงสว่าง ความโสมมกลายเป็นความบริสุทธิ์ ความบาปกลายเป็นความบริสุทธิ์ สิ่งทรงสร้างกลายเป็นเหมือนพระผู้สร้าง มนุษย์กลายเป็นเหมือนพระเจ้า! ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า นี่เป็นงานอันน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งทรงสร้างเพียงอย่างเดียวจะทำให้สำเร็จได้ เพราะมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถบรรลุได้ด้วยการประทานพระหรรษทานของพระองค์อย่างล้นเหลือและในลักษณะที่พิเศษ การสร้างจักรวาลไม่ใช่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เท่ากับสิ่งนี้
 
4. จิตวิญญาณที่ถูกเลือกสรร, คุณจะนำสิ่งนี้ไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไร? คุณจะดำเนินการอย่างไรเพื่อไปให้ถึงระดับสูงที่พระเจ้าทรงเรียกคุณ? นั่นก็คือ วิถีทางแห่งความบริสุทธิ์และความรอด เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีสำหรับทุกคน เพราะมีอยู่ในพระวรสาร เหล่าปิตาจารย์แห่งชีวิตฝ่ายวิญญาณได้อธิบายไว้แล้ว เหล่านักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ปฏิบัติและแสดงให้เห็นว่าความรอดนั้นสำคัญเพียงใดสำหรับผู้ที่ปรารถนาความรอดและบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบวิธีการเหล่านี้ได้แก่ ความถ่อมใจอย่างจริงใจ การอธิษฐานภาวนาอย่างไม่หยุดยั้ง การเสียสละตนเองอย่างสมบูรณ์ การละทิ้งตนเองเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และการเชื่อฟังพระประสงค์ของพระองค์
 
5. พระหรรษทานและความช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเราในการปฏิบัติทั้งหมดนี้ แต่เรามั่นใจว่าพระหรรษทานจะประทานแก่ทุกคน แม้จะไม่ได้ประทานในปริมาณเท่ากัน ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ไม่ได้ประทานในปริมาณเท่ากัน” เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานพระหรรษทานของพระองค์ในปริมาณที่เท่ากันแก่ทุกคน แม้ว่าพระองค์จะประทานพระคุณอย่างเพียงพอแก่ทุกคนด้วยพระกรุณาอันหาที่สุดมิได้ บุคคลที่สอดคล้องกับพระหรรษทานอันยิ่งใหญ่ย่อมกระทำการที่ยิ่งใหญ่ และบุคคลที่สอดคล้องกับพระหรรษทานอันเล็กน้อยย่อมกระทำการที่เล็กน้อย คุณค่าและมาตรฐานที่สูงส่งของการกระทำของเราสอดคล้องกับคุณค่าและความสมบูรณ์แบบของพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานให้และได้รับการตอบรับจากจิตวิญญาณของผู้ซื่อสัตย์
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2568

อำนาจจำกัดของปีศาจ

 

โดย - Msgr. Stephen Rossetti
 
ปีศาจขู่ผู้หญิงคนนั้นก่อนว่าจะทำอันตรายร่างกายเธอหากเธอยังคงมาเข้าร่วมการขับไล่ปีศาจ เมื่อไม่ได้ผล พวกมันก็ขู่ว่าจะทำร้ายลูกๆของเธอ พวกมันสร้างภาพกราฟิกที่น่าเกลียดน่าชังในใจเธอว่าพวกมันจะทำอะไรกับลูกๆของเธอหากเธอยังมาเข้าร่วมอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกไม่สบายใจมาก แต่ลูกๆของเธอไม่เคยได้รับอันตรายร้ายแรง
 
ผู้หญิงอีกคนถูกปีศาจขู่ด้วยโรคมะเร็งและต่อมาก็ด้วยโรคหัวใจวาย พวกมันบอกเธอว่าเธอจะติดโรคเหล่านี้ จากนั้นพวกมันบอกเธอว่าเธอจะตายภายในเช้า เธอไม่ได้มีอาการป่วยใดๆ และเธอยังมีชีวิตอยู่
 
เมื่อไม่นานนี้ ในการขับไล่ปีศาจครั้งหนึ่ง ปีศาจได้กรีดร้องว่า "กูจะฆ่ามึง!" แต่พระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจก็ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน แม้ว่าพระสงฆ์ผู้ขับไล่ปีศาจและทีมงานของเรามักจะพบกับ "โคลน" ของปีศาจตามที่เราเรียกกัน,จากการประกอบพิธีขับไล่ปีศาจ
 
พระเจ้าได้ล่ามโซ่ซาตานไว้ และพลังอำนาจของมันก็ถูกจำกัดอย่างมาก ถึงแม้ว่าไม่ควรละเลยก็ตาม มันมีอำนาจอย่างมากเหนือผู้ที่ยอมจำนนต่อมันโดยเต็มใจ แต่สำหรับผู้ที่วางใจในพระเยซู อำนาจของมันมีจำกัดมาก ซาตานสามารถล่อลวง, คุกคาม, ข่มขู่, และบางครั้งสร้างความทรมานทางจิตใจและ/หรือทางร่างกาย รวมทั้งโยนโคลนปีศาจใส่ทีมงาน แต่สิ่งเหล่านี้ถูกพระเจ้าจำกัดไว้อยู่เสมอ
 
ประสบการณ์ของเรากับผู้ถูกปีศาจสิงบ่งบอกว่าซาตานไม่สามารถฆ่า, ทำร้ายร่างกาย, ทำให้พิการอย่างถาวร, ทำให้บาดเจ็บสาหัส, หรือทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ ผู้ถูกสิงอาจรู้สึกป่วย ปีศาจสามารถข่วนและทำร้ายพวกเขาได้ ซาตานสามารถทรมานจิตใจของพวกเขาได้ ซาตานสามารถทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเจ็บป่วยทางร่างกายและผลกระทบทางร่างกายได้หลากหลาย ส่วนต่างๆ ของร่างกายของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลง ขยายและหดตัว เปลี่ยนรูปร่างได้ และซาตานสามารถทำให้ร่างกายทั้งหมดลอยขึ้นได้ แต่สุดท้ายแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็จะกลับมาเป็นปกติ
 
เป้าหมายของซาตานในเรื่องนี้คือการข่มขู่, สร้างความหวาดกลัง, และกดขี่ข่มเหง ชายคนหนึ่งบอกผมว่าเขาไม่ได้ใช้บทภาวนาเพื่อการปลดปล่อย ถึงแม้ว่าเขาจำเป็นจะต้องใช้มันก็ตาม เพราะเขาเกรงว่าปีศาจจะแก้แค้น เราอาจถามคนๆนี้ว่า “ใครคือพระเจ้าในชีวิตของคุณกันแน่ ซาตานหรือพระเยซู?”
 
ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้ซาตานและบริวารของมันคุกคามเรา? นั่นเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของเรา ดังที่นักบุญผู้ยิ่งใหญ่รู้ดี นักพรตและนักบุญผู้ยิ่งใหญ่แทบทุกคนล้วนเคยประสบกับการโจมตีของปีศาจอย่างรุนแรง ผู้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือคุณพ่อปีโอ(Padre Pio) ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานจากการโจมตีของปีศาจอย่างรุนแรงจนพระสงฆ์อื่นๆ คิดว่าท่านถูกปีศาจเข้าสิง (ซึ่งไม่เป็นความจริง) ถึงกระนั้น ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงอายุ 81 ปี
 
คำถามสำคัญสำหรับเราทุกคนคือ ใครคือพระเจ้าในชีวิตของคุณ ในการขับไล่ปีศาจ เรามักจะพูดซ้ำๆว่า พระเยซูคือพระเจ้า! พระเยซูเจ้าข้าลูกวางใจในพระองค์!
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2568

การไตร่ตรองของพระสันตปาปา

 

พระสันตปาปาเลโอทรงไตร่ตรองถึงข้อความพระเยซู “เสด็จสู่แดนมรณะ”
 
พระสันตปาปาทรงพิจารณาว่าการเดินทาง “สู่แดนมรณะ” นี้หมายถึงอะไร:
 
“ในแนวคิดของพระคัมภีร์ แดนมรณะไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นสภาพที่ดำรงอยู่ สภาวะที่ชีวิตถูกพรากไป ความเจ็บปวด ความโดดเดี่ยว ความรู้สึกผิด และการพลัดพรากจากพระเจ้าและผู้อื่นครอบงำ พระคริสต์เสด็จมาถึงเราแม้ในห้วงลึกนี้ ทรงผ่านประตูแห่งอาณาจักรแห่งความมืดมิดนี้ พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านแห่งความตาย เพื่อปลดปล่อยพันธนาการของผู้อยู่อาศัย ทรงจับมือพวกเขาทีละคน นี่คือความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระเจ้าผู้ไม่ทรงหยุดยั้งที่จะอภัยบาปของเรา พระองค์ไม่ทรงกลัวเมื่อเผชิญกับการถูกปฏิเสธอย่างสุดขั้วของมนุษย์”
 
“อัครสาวกเปโตร ได้กล่าวไว้ในข้อความสั้นๆ จากจดหมายฉบับแรกที่ท่านเพิ่งได้ยินว่า พระเยซูทรงพระชนม์ชีพในพระจิตเจ้า และเสด็จไปนำข่าวดีแห่งความรอดไปสู่แม้กระทั่ง “ไปยังวิญญาณที่ถูกจองจำ” ( 1 ปต. 3:19) นี่เป็นหนึ่งในภาพที่น่าประทับใจที่สุด ซึ่งไม่ได้ปรากฏในพระวรสารตามพระคัมภีร์ แต่ปรากฏในข้อความนอกสารบบที่ชื่อว่า พระวรสารนิโคเดมัส ตามธรรมเนียมนี้ พระบุตรของพระเจ้าเสด็จเข้าไปในความมืดมิดที่สุดเพื่อเข้าถึงแม้แต่พี่น้องชายและพี่น้องหญิงคนสุดท้ายของพระองค์ เพื่อนำแสงสว่างของพระองค์ลงมาที่นั่นด้วย การแสดงออกนี้แสดงให้เห็นถึงพลังและความอ่อนโยนทั้งหมดของข่าวสารปัสกา นั่นคือ ความตายไม่ใช่คำสุดท้าย”..........
 
“พี่น้องที่รัก การเสด็จลงมาเพื่อพระเจ้าไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นการเติมเต็มความรักของพระองค์ ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นวิถีทางที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าไม่มีสถานที่ใดไกลเกินไป ไม่มีหัวใจใดปิดสนิทเกินไป ไม่มีหลุมศพใดที่ปิดผนึกแน่นหนาเกินไปสำหรับความรักของพระองค์ สิ่งนี้ปลอบประโลมและค้ำจุนเรา และหากบางครั้งเราดูเหมือนจะตกต่ำสุดขีด ขอให้เราระลึกไว้ว่า นั่นคือสถานที่ที่พระเจ้าทรงสามารถเริ่มต้นการสร้างสรรค์ใหม่ได้ การสร้างสรรค์ที่ถูกสร้างขึ้นจากผู้คนที่ได้รับการยกขึ้น จิตใจที่ได้รับการอภัย และน้ำตาที่แห้งเหือด วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์คืออ้อมกอดอันเงียบงันที่พระคริสต์ทรงนำการสร้างสรรค์ทั้งหมดมาถวายแด่พระบิดา เพื่อฟื้นฟูให้กลับคืนสู่แผนการแห่งความรอดของพระองค์”
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2568

นิทรรศการศิลปะคริสต์แบบจีน

 


ผลงานศิลปะคริสต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากจีนของศิลปินคาทอลิกจัดแสดงใกล้กับวาติกัน
 
ศิลปินคาทอลิกชาวไต้หวัน เซี่ย เซิ่งหมิน ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพพิมพ์แกะไม้แบบจีนโบราณ สร้างสรรค์ภาพพระธรรมเทศนาบนภูเขา ซึ่งมีอักษรจีนขนาดใหญ่ คำว่า “พร” อยู่ตรงกลาง | เครดิต: สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐจีนประจำนครรัฐวาติกัน
 
Anthony CY Ho เอกอัครราชทูตไต้หวันประจำนครรัฐวาติกันกล่าวชื่นชมการทำงานของ Hsieh ในพิธีเปิดงาน โดยกล่าวว่างานนี้ "ไม่เพียงแต่เผยให้เห็นศรัทธาส่วนตัวของเขาในฐานะชาวคาทอลิกเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นความรักอันลึกซึ้งที่เขามีต่อบ้านเกิดเมืองนอนของเขาอีกด้วย"
 
นิทรรศการดังกล่าวยังคงจัดแสดงอยู่ที่สถานทูตไต้หวันประจำนครรัฐวาติกัน ห่างจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เพียงไม่กี่ก้าว
 
ศิลปินคาทอลิก เซี่ย เซิ่งหมิน ชี้ให้เห็นรายละเอียดในภาพวาดของเขาเกี่ยวกับความลึกลับอันเปี่ยมสุขของสายประคำ ระหว่างการสัมภาษณ์กับ CNA ในพิธีเปิดนิทรรศการศิลปะของเขาที่มหาวิทยาลัยปอนติฟิคัล อูร์บาเนียนา ในกรุงโรม เครดิต: สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำนครรัฐวาติกัน
 
ภาพวาดพระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มบนหลังลา โดยศิลปินชาวคาทอลิกชาวไต้หวัน เซียะ เซิ่งหมิน เครดิต: สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำนครรัฐวาติกัน
 
ภาพพระธรรมเทศนาบนภูเขาของเซียะ เซิ่งหมิ่น ประกอบด้วยภาพนักบุญเปโตรถือกุญแจ นักบุญเปาโลถือดาบ และบุคคลสำคัญอีกแปดท่านที่เป็นตัวแทนของพระวาจาแห่งความสุข
 
ศิลปินคาทอลิก เซี่ย เซิ่งหมิน วาดภาพพระแม่มารีในสไตล์ตะวันออก ล้อมรอบด้วยฉากจากความลึกลับอันน่ายินดีของสายประคำและบทกวีจากพระคัมภีร์ด้วยอักษรจีน
 
ผลงานชิ้นนี้ของ Hsieh Sheng-Min ได้รับแรงบันดาลใจจากมัทธิว 19:14: "พระเยซูตรัสว่า 'จงปล่อยให้เด็กๆ มาหาเรา'" เครดิต: สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐจีนประจำนครรัฐวาติกัน
 
************************