วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

สมโภชการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้า

 


ภาพวาดเสด็จขึ้นสู่สวรรค์, 
 วาดโดย Juan des Flandres (1447 - 1519) 
 วาดระหว่างปี 1514 - 1519 
 สีน้ำมันบนแผงไม้สน ©พิพิธภัณฑ์ปราโด, มาดริด
 
ในภาพวาดนี้โดย Juan des Flandres (ศิลปินชาวเฟลมิชที่ทำงานในสเปน) วาดระหว่างปี 1514 - 1519 เราเห็นพระคริสต์ถูกเมฆปกคลุมและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แม่พระและอัครสาวกเป็นพยานในเหตุการณ์นี้ โดยยากอบคุกเข่าอยู่ตรงกลางในหมู่พวกเขา เจมส์(ยากอบองค์เล็ก)แสดงด้วยไม้เท้าและหมวกของผู้แสวงบุญ ส่วนบนของพระวรกายของพระคริสต์ถูกซ่อนไว้อย่างจงใจ ดึงความสนใจไปที่พระบาทของพระองค์บนยอดภูเขามะกอกเทศ ภาพวาดนี้พร้อมด้วยผลงานอีก 3 ชิ้นของฮวน เด ฟลานเดส เคยประดับแท่นบูชาหลักในโบสถ์ซานลาซาโรในบาเลนเซีย
 
นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการแสดงพระบาทของพระคริสต์ ซึ่งหมายความว่าส่วนที่เหลือของพระวรกายของพระองค์อยู่นอกภาพวาดในอีกพื้นที่หนึ่ง การที่พระคริสต์เสด็จออกจากอาณาจักรทางโลกและการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระองค์ถือเป็นจุดสิ้นสุดของภารกิจบนโลกของพระองค์ ศิลปินเน้นย้ำภาพพระบาทของพระองค์โดยเน้นย้ำหลักฐานที่จับต้องได้ของการสถิตย์ของพระคริสต์และการจากไปของพระองค์เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ซึ่งตอกย้ำความหมายทางจิตวิญญาณสำหรับเราในฐานะผู้ชม
 
การอ่านพระวรสารวันนี้เน้นประเด็นนี้อย่างชัดเจน ทำให้ชัดเจนว่าการจากไปของพระเยซูคริสต์เนื่องจากการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไม่ได้ส่งผลให้สาวกของพระองค์กระจัดกระจายหายไป ในตอนท้ายของพระวรสารบอกเราว่า 'พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้องขวา' แต่ประโยคถัดไปบอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา” พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์แล้ว แต่พระองค์ยังทรงทำงานร่วมกับพวกเขา พราเยซูเจ้าไม่ได้เสด็จไปเพื่อออกห่างจากพระศาสนจักร ตรงกันข้าม พระองค์เสด็จสู่สวรรค์เพื่อใกล้ชิดกับพระศาสนจักรของพระองค์มากขึ้น
 
พระวรสารวันที่ 9 พฤษภาคม 2024 
 มาระโก 16:15-20 
15พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง 16ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ 17ผู้ที่เชื่อจะทำอัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ ๆ ได้ 18จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย” 19เมื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้องขวา 20บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ทำไมพระสันตะปาปาจึงเปลี่ยนชื่อ

 


ทำไมพระสันตะปาปาจึงเปลี่ยนพระนามเมื่อได้รับเลือกตั้งให้เป็นพระสันตะปาปา
 
การกระทำนี้เริ่มต้นจากปีค.ศ. 533 เมื่อชายที่ชื่อ MERCURIUS ได้รับเลือกให้เป็นพระสังฆราชแห่งโรม (ตำแหน่งของพระสันตะปาปา)
 

แต่ชื่อ MERCURIUS นี้เป็นชื่อของเทพเจ้าองค์หนึ่งของโรม ซึ่งบิดามารดาของเขาตั้งให้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และชื่อนี้ดูไม่เหมาะสมสำหรับเป็นพระนามของพระสันตะปาปาเพราะมันเป็นชื่อเทพเจ้าของคนนอกศาสนา ดังนั้น MERCURIUS จึงเปลี่ยนชื่อของเขาเป็น JOHN และได้เป็นพระสันตะปาปาที่มีพระนามว่า JOHN 2 (ยอห์นที่ 2)
 

พระสันตะปาปาทุกพระองค์หลังปีค.ศ. 983 ยังคงพระนามเดิมเอาไว้ จนกระทั่งมีชายผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า PIETRO CANEPANOVA ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา และเขาไม่ต้องการเปรียบเทียบตัวเองกับนักบุญเปโตร(PETRO พระสันตะปาปาองค์แรก) เขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น JOHN เช่นเดียวกัน และกลายเป็นพระสันตะปาปาที่พระนามว่า JOHN 16 ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาจะเปลี่ยนชื่อใหม่
 

อันที่จริงยังมีพระสันตะปาปาอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นพระสันตะปาปาองค์สุดท้ายที่ไม่ได้เปลี่ยนชื่อคือ POPE MAECELLUS 2 ในปี 1555
 

มีชื่อพระสันตะปาปาที่แตกต่างกัน 44 ชื่อ และชื่อ JOHN เป็นชื่อที่ใช้มากที่สุด
 
************************
 

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2024 สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 16:15-20 
15พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง 16ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ 17ผู้ที่เชื่อจะทำอัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษาใหม่ ๆ ได้ 18จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย” 19เมื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ ให้ประทับ ณ เบื้องขวา 20บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกแห่งหน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับเขา และทรงรับรองคำสั่งสอนโดยอัศจรรย์ที่ติดตามมา
******************
 
 
 
วันนี้ พระวรสารโดยนักบุญมาระโก และหนังสือกิจการอัครสาวกเล่าว่า เมื่อพระเยซูเจ้าทรงกำชับบรรดาศิษย์ให้รอรับพระจิตเจ้าแล้วจึงออกไปประกาศข่าวดีแก่นานาชาติเพื่อมนุษย์จะได้รับการอภัยบาป เสร็จแล้วพระองค์ก็ “เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย” (กจ 1:9) อันเป็นที่มาที่ทำให้เราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้
 
และในบทภาวนาตอนเริ่มมิสซาสมโภชวันนี้ เราวอนขอว่า “เมื่อพระเยซูเจ้าซึ่งเป็นศีรษะทรงได้รับพระเกียรติ ข้าพเจ้าทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนต่างๆ แห่งพระกาย ก็มีความหวังว่า การเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ท่าน จะนำข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าสู่สวรรค์ด้วย”
 
ก็แปลว่าเราทุกคนหวังจะได้ไปสวรรค์เช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าซึ่งทรงนำทางเราไปแล้ว และในเมื่อเราหวังเช่นนี้ วันสมโภชนี้ก็ขอให้เราหันกลับมาดูตัวเราเองว่า เราได้อุทิศตนให้กับการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอนาคตในสวรรค์ มากน้อยเพียงใด ?
 
หากที่ผ่านมาเรามัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับโลกนี้ จนไม่สนใจเตรียมตัวเราสำหรับชีวิตในโลกหน้า ในบทอ่านที่สองซึ่งเป็นจดหมายถึงชาวเอเฟซัส นักบุญเปาโลทั้งเตือน ทั้งวอนขอเพื่อเราว่า “ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์ พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์...โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นลำเลิศเพียงใด” (อฟ 1:17-19)
 
จากคำเตือนและคำวอนขอนี้ เท่ากับนักบุญเปาโลต้องการให้เราคิดและตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้
 
คำถามแรกก็คือ เรารู้จักตัวเราเองไหม?
 
ถ้าพี่น้องต้องการรู้จักตัวเราเองก็มีอยู่ 3 ทางด้วยกัน ทางแรกก็คือดูสิว่าเรามองตัวเราเองอย่างไร ทางที่สองก็ดูว่าคนอื่นเขามองเราอย่างไร และทางที่สามก็คือดูว่าพระเจ้าทรงมองเราอย่างไร
 
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทางที่สามนี่แหละ คือดูว่าพระเจ้าทรงมองเราอย่างไร เราอาจจะมองตัวเราเองเป็นคนดี เป็นคนเก่ง คนอื่นอาจจะมองเราเป็นคนชั่ว ไม่เอาถ่าน แต่อย่าลืมว่าเมื่อรับศีลล้างบาป พระเจ้าทรงมองเราเป็นบุตรของพระองค์ เพราะ ฉะนั้นนักบุญเปาโลจึงวอนขอเพื่อเราว่า “ขอพระเจ้าพระบิดา...โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านให้มีความหวังประการใด”
 
ในเมื่อพระเจ้าทรงมองเราเป็นบุตรของพระองค์ ลองคิดดูสิว่าความหวังของเรามันช่างยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์เพียงใด !
 
คำถามที่สอง นอกจากรู้จักตัวเราเองแล้ว เรารู้จักคุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่เรามีอยู่ในครอบครองหรือไม่ ?
 
แน่นอนว่าเราทุกคนต่างก็พยายามแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด มีคุณค่ามากที่สุดมาไว้ในครอบครอง เราอยากได้บ้านที่ดีที่สุด เราอยากได้รถยนต์ ได้โทรศัพท์มือถือ และอยากได้ทุกสิ่งที่ดีที่สุด แต่อย่าลืมนะว่า สิ่งที่ดีที่สุดนั้นพระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราแล้ว หากพี่น้องยังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ก็ขอให้ฟังคำวอนขอของนักบุญเปาโลอีกครั้งหนึ่ง “ขอพระเจ้าพระบิดา...โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร”
 
นั่นคือ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเราก็คือ มรดกแห่งความรุ่งเรืองบริบูรณ์ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราในสวรรค์นั่นเอง
 
อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่รู้จักตัวเองว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และรู้ว่าพระเจ้าทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แล้ว คำถามที่สามและเป็นคำถามสุดท้ายก็คือ เมื่อเราหันไปมองสถานการณ์รอบด้านทุกวันนี้ เรารู้สึกอย่างไร?
 
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้เราได้ยิน ได้ฟัง ได้ประสบแต่เรื่องร้ายๆ ไหนจะวิกฤตไวรัสโควิด ไหนจะภัยธรรมชาติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไหนจะภัยพิบัติที่มนุษย์ก่อขึ้นมาเอง ทั้งสงครามการค้าและการทหาร ทั้งระเบิดพลีชีพ ทั้งอาชญากรรมไม่เว้นแต่ละวัน ไหนรายได้กับค่าครองชีพของเราจะพุ่งสวนทางกัน ไหนลูกหลานของเราจะยิ่งวันยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่อง ดูเหมือนทุกสิ่งจะเลวร้ายลงทุกวัน
 
หากเราท้อใจ ก็ขอให้ฟังคำวอนขอของนักบุญเปาโลอีกครั้งหนึ่ง “ขอพระเจ้าพระบิดา...โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นลำเลิศเพียงใด” ในเมื่อพระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอยู่กับเรา เรายังจะต้องวิตกกังวลหรือท้อใจอีกทำไมเล่า !
 
พี่น้องครับ เรารู้อนาคตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เราแล้ว เรารู้ว่าพระอานุภาพที่พระเยซูเจ้าประทานแก่เราผู้มีความเชื่อนั้นยิ่งใหญ่ สามารถเอาชนะปีศาจ สามารถช่วยเราคลี่คลายปัญหา เอาชนะปัญหา และจัดการกับทุกสถานการณ์ในชีวิตของเราได้เช่นนี้แล้ว เรายังจะเย็นเฉยกับพระองค์ต่อไปอีกหรือ?
 
ขอพระเยซูเจ้าผู้เสด็จสู่สวรรค์ซึ่งเราร่วมใจกันสมโภชวันนี้ โปรดให้ตาแห่งใจของเราสว่างขึ้น เพื่อเราจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงเรียกเราให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่เราจะได้รับเป็นมรดกนั้นบริบูรณ์เพียงไร อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความเชื่อนั้นลำเลิศเพียงใด และโปรดให้เราเป็นผู้รับใช้ที่ร้อนรนและซื่อสัตย์ของพระองค์ตลอดชีวิตนี้ และตลอดไปด้วยเทอญ
 
***************************


บุญราศีมาเรีย (คอนชิตา)

 



คุณแม่ลูก 9 และเป็นแม่หม้าย เธอเขียนหนังสือได้เกือบพอๆ กับนักบุญโทมัส อไควนัส
 
ชื่อของเธอคือ María Concepción Cabrera Arias de Armida แต่เธอเป็นที่รู้จักในชื่อคอนชิต้า(Conchita)
 
เธอเกิดที่เมืองซานหลุยส์โปโตซี ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1862 เธอเป็นลูกคนที่เจ็ดจากทั้งหมดเก้าคนที่เกิดมาจากพ่อแม่ที่มีฐานะดีเจ้าของที่ดิน
 
เธอเริ่มสัมผัสถึงพระหรรษทานเหนือธรรมชาติตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กเล็ก เช่น พระเยซูกุมารมาพบที่ห้องของเธอเพื่อเล่นกับเธอ ในโอกาสอื่น ปีศาจจะเข้ามาในห้องของเธอโดยปลอมตัวเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด เพื่อพยายามทำให้เธอหวาดกลัวอย่างไร้ประโยชน์ เธอไม่เคยต้องกลัวพวกมันเลย เพราะอารักขเทวดาของเธอจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
 
ผู้ที่เสนอให้ชื่อของเธอให้เป็นบุญราศีกล่าวว่าคอนชิตาประสบเหตุการณ์เหล่านี้เพราะ,ถึงแม้เธอจะยังเด็กมาก แต่เธอก็มีจิตวิญญาณแห่งการใคร่ครวญและใช้เวลามากในการสวดภาวนา เมื่อตอนเป็นเด็ก เธอแสดงความรักอย่างมากต่อศีลมหาสนิทอันศักดิ์สิทธิ์, ความศรัทธาที่อยู่เหนือบรรทัดฐาน, ความศรัทธาของเธอเด่นชัดมาก ในช่วงเวลาที่จะครบอายุที่เด็กจะได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกคือระหว่างอายุ 12 ถึง 14 ปี แต่คอนชิตาได้รับอนุญาตให้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกเมื่อเธออายุเพียง 10 ปี
 
เมื่อคอนชิตาอายุได้ 13 ปีตามธรรมเนียม, เธอได้เปิดตัวสู่สังคม เธอเริ่มเข้าร่วมการเต้นรำและไปโรงละคร เธอเรียนรู้วิธีการดูแลบ้านและกลายเป็นนักขี่ม้าที่ยอดเยี่ยม เธอยังช่วยชาวนาในฟาร์มของพ่อแม่เธอด้วย ในงานเต้นรำครั้งหนึ่ง,เธอได้พบกับสามีในอนาคตของเธอ Francisco de Armida
 
พวกเขาแต่งงานกันในปี 1884 และระหว่างปี 1885 ถึง 1899 ทั้งคู่มีลูกเก้าคน น่าเศร้า, เมื่อคอนชิตาอายุเพียง 39 ปี ฟรานซิสโกก็เสียชีวิต ทั้งคู่แต่งงานกันมา 22 ปีแล้ว และในขณะนั้นลูกคนเล็กมีอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น ชีวิตในฐานะหญิงม่ายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นี่คือจุดแห่งชีวิตลึกลับของคอนชิตากลับมาปรากฏอีกครั้ง
 
ก่อนที่ฟรานซิสโกจะจากไป คอนชิตาก็เริ่มเขียนหนังสือทางศาสนา ในปี 1894 เธอได้เข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า "การแต่งงานฝ่ายวิญญาณ" กับพระเยซู,และได้รับพระหรรษทานพิเศษอื่นๆ คอนชิตาได้รับเลือกให้รับใช้พระเจ้าในรูปแบบต่างๆ แต่วิธีการหลักของเธอคือการเขียนหนังสืออยู่เสมอ
 
เธอเป็นแบบอย่างแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในฐานะภรรยา, แม่, แม่หม้าย, คุณย่า, และผู้ก่อตั้งกิจการกุศล เนื่องจากงานเขียนของเธอมีความลึกซึ้ง คอนชิตาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ได้รับพระพรพิเศษ(mystic)ที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 น่าประหลาดใจที่ลูกๆของเธอจำเวลาที่เธอใช้เขียนหนังสือไม่ได้เลย แม้ว่าเธอจะรวบรวมงานทางศาสนาที่เขียนด้วยลายมือมากกว่า 60,000 หน้าก็ตาม งานเขียนจำนวนนี้เทียบได้กับงานเขียนของนักบุญโทมัส อไควนัส
 
ในฐานะผู้หญิงธรรมดา เธอมักจะพยายามแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่าจะรักพระศาสนจักรอย่างไร เธอเขียนถ้อยคำต่อไปนี้ ซึ่งเหมาะสมกับโลกปัจจุบันมาก
 
การรักพระศาสนจักรไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์เธอ, ไม่ทำลายเธอ, ไม่พยายามเปลี่ยนโครงสร้างที่สำคัญของเธอ, ไม่ลดเธอไปสู่ลัทธิมนุษยนิยมแนวราบและสู่บริการที่เรียบง่ายแห่งการปลดปล่อยมนุษย์ การรักพระศาสนจักรคือการร่วมมือในงานไถ่บาปด้วยไม้กางเขน และด้วยวิธีนี้จะได้รับพระหรรษทานของพระจิตเจ้ามาเพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกที่น่าสงสารนี้ และพึงดำเนินการให้ถึงจุดสุดยอดของการออกแบบด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระบิดาเจ้า
 
นอกจากงานเขียนที่มากมายของเธอแล้ว คอนชิตายังก่อตั้งกิจการผู้เผยแพร่ธรรมหลายองค์กรภายใต้ชื่อว่า “กิจการแห่งไม้กางเขน” สิ่งเหล่านี้รวมถึง The Apostolate of the Cross ที่ก่อตั้งในปี 1895; The Congregation of Sisters of the Cross of the Sacred Heart of Jesus ก่อตั้งในปี 1897; The Covenant of Love with the Heart of Jesus ก่อตั้งเมื่อปี 1909 และ the Congregation of Missionaries of the Holy Spirit ก่อตั้งในปี 1914
 
María Concepción Cabrera Arias de Armida ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1937 ขณะอายุ 75 ปี ในช่วงชีวิตของเธอ งานเขียนของเธอได้รับการตรวจสอบโดยพระศาสนจักรคาทอลิกในเม็กซิโก และระหว่างที่เธอแสวงบุญไปยังกรุงโรมในปี 1913 ซึ่งเธอได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปานักบุญ ปิโอ ที่ 10 ในทุกกรณี,เจ้าหน้าที่พระศาสนจักรมองงานเขียนของเธอในแง่ดี
 
พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ประกาศให้เธอเป็นผู้น่าเคารพเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1999 และพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงให้การรับรองอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นโดยคอนชิตาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2018 เธอได้รับการประกาศเป็นบุญราศีในเม็กซิโกซิตี้เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2019
 
มาเรีย (คอนชิตา) คอนเซปซิออน กาเบรรา อาเรียส เด อาร์มีดา โปรดภาวนาเพื่อพวกเราด้วยเทอญ
 
************************
 

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

คุณพ่อบำอสโกพบกับเพื่อน

 


ชีวิตของนักบุญเต็มไปด้วยเหตุการณ์อัศจรรย์และเรื่องเหนือธรรมชาติ นักบุญฟรังซิส อัสซีซีมีประสบการณ์ในการได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า นักบุญเทเรซาแห่งลิซิเออซ์ได้ต่อสู้กับปีศาจ เป็นที่รู้กันว่านักบุญเทเรซาแห่งอาวีลา, นักบุญแคทเธอรีนแห่งเซียนนา และแม้แต่นักบุญอิกเนเชียสเคยลอยขึ้นจากพื้นได้หลายนิ้วและบางครั้งก็สูงหลายฟุตระหว่างสวดภาวนา
 
นักบุญอัลฟองโซ ลิกัวรี และนักบุญคุณพ่อปีโอ มีประสบการณ์อยู่สองสถานที่ในเวลาเดียวกัน นักบุญยอห์นแห่งอียิปต์เป็นผู้มีญาณทิพย์ นักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน นักบุญเบอร์นาเด็ตต์ นักบุญเจอโรม และนักบุญแคลร์แห่งอัสซีซี ล้วนมีประสบการณ์การประจักษ์และนิมิตของพระเยซูเจ้า,แม่พระ หรือเหตุการณ์ที่ทำนายไว้ในอนาคต
 
และนักบุญองค์หนึ่งได้พบกับวิญญาณของผู้เสียชีวิตไปแล้วอีกด้วย
 
วันที่ 2 เมษายน 1839 สามเณรคาทอลิกหนุ่มชื่อยอห์น บอสโก นั่งอยู่ในโบสถ์,ไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของหลุยส์ โคมอลโล(Louis Comollo) เพื่อนรักของเขา เมื่อหกปีก่อน,ทั้งสองพบกันในช่วงปีสุดท้ายที่ยอห์น บอสโกเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมในเมืองพีดมอนต์ ซึ่งเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยภูเขาทางตอนเหนือของอิตาลี
 
พวกเขาอยู่ในสามเณราลัยเดียวกันในเมือง Chieri ซึ่งเป็นเมืองสิ่งทอที่สำคัญ,อยู่ห่างจากตูรินประมาณ 11 กิโลเมตร และครั้งหนึ่งเคยอยู่ในการปกครองของนโปเลียน โบนาปาร์ตในปลายศตวรรษที่ 18
 
พวกเขามีมิตรภาพที่ยั่งยืนและทั้งสองก็ส่งเสริมนิสัยของกันและกัน โคมอลโลมักจะเป็นคนเงียบ, อ่อนแอ, และศรัทธาอยู่เสมอ ในทางกลับกันบอสโก,แม้ว่าจะเป็นชายหนุ่มที่อ่อนไหวและจริงจัง แต่ก็เป็นคนตลก, มีความรัก, และเข้ากับคนง่าย
 
บอสโกเติบโตมาในความยากจน แต่เมื่ออายุ 9 ขวบเชื่อว่าเขาได้รับภารกิจจากพระเจ้า เขามีความฝันเชิงทำนายครั้งแรกในวัยนั้น ในนิมิตฝัน,ซึ่งอาจจะเป็นพระเยซู, บอกเขาว่าเขาต้องนำผู้คนมารวมกันด้วยความรักและความอ่อนโยน ความฝันจะดำเนินต่อไปตลอดชีวิตของเขา
 
บอสโกจะอุทิศตนให้กับพระเจ้า แต่การตายของเพื่อนของเขาสร้างความเจ็บปวดและความสะเทือนใจให้กับบอสโกเป็นอย่างมาก
 
ขณะที่พวกเขาเรียนหนังสือด้วยกัน ทั้งบอสโกและโคโมโลต่างก็หลงใหลในเรื่องราวของนักบุญ และวันหนึ่งพวกเขาก็ทำข้อตกลงกัน
 
หลังจากอ่านเกี่ยวกับวีรกรรมของนักบุญยอห์นผู้เผยแพร่พระวรสาร นักบุญฟรังซิสผู้รับใช้ และนักบุญแอนโทนี ฤาษีทะเลทรายที่ถูกปีศาจทรมาน พวกเขาก็ตกลงกันว่าใครก็ตามที่ตายก่อนจะนำพระวาจาแห่งชีวิตกลับมาบอกแก่อีกคนหนึ่งเพื่อทำให้เพื่อนรู้ว่าเขาได้รับความรอดแล้ว
 
ข้อตกลงดังกล่าวก้องอยู่ในหูของบอสโกเหมือนกับเสียงระฆังโบสถ์ที่ดังไปทั่วเมืองในเช้าวันนั้นในงานศพของโคมอลโล เขานั่งอยู่ในโบสถ์และมองไปรอบๆ เพื่อหาสัญญาณจากเพื่อนของเขา ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่าง นิมิต การเคลื่อนไหวกะทันหัน หรืออะไรก็ได้ เขาตั้งใจฟังถ้อยคำในพิธีศพและเสียงรอบตัวเขาอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่มีอะไร.
 
แต่บอสโกก็อดทนและสาบานว่าจะเฝ้าติดตามข้อตกลงนี้ คำพูดของความฝันเก่าๆที่เขามีเมื่อหลายปีก่อนผ่านเข้ามาในความคิดของเขาอย่างแน่นอน: “สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้นั้น เธอต้องทำให้สำเร็จโดยการเชื่อฟัง” เขาจะเชื่อฟังและอดทน เขาจะรอสัญญาณตราบเท่าที่เขาต้องรอ
 
ดูเหมือนว่าบอสโกไม่ต้องรอนาน คืนถัดมา,ขณะที่เขาอยู่ในหอพักอันเป็นห้องโล่งขนาดใหญ่ซึ่งมีสามเณรอีก 20 คนกำลังเตรียมตัวเข้านอน ผ่านมาสองสามวันแล้วและความตายของโคมอลโลยังคงติดตรึงอยู่ในใจของเขา
 
เขานอนอยู่บนเตียง, และขณะที่เพื่อนร่วมห้องผลอยหลับไป บอสโกก็สวดภาวนา เขาสวดภาวนาเพื่อฟังจากเพื่อนของเขา, เพื่อขอถ้อยคำจากสวรรค์, เพื่อยืนยันว่าเขามาถูกทางแล้ว และความฝันของเขาไม่ใช่การหลอกลวงทางจิตใจ แต่เป็นสาส์นโดยตรงจากพระผู้ทรงอำนาจ
 
เขานอนอยู่บนเตียงและรอ เมื่อมีสัญญาณหนึ่งซึ่งเขาจะบันทึกไว้ในหนังสือหลายเล่มที่เขาเขียนในภายหลังในช่วงชีวิตของเขาเกิดขึ้น:
 
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน เสียงดังก้องเกิดขึ้นที่ปลายทางเดิน เสียงดังก้องนั้นดังขึ้นและดังมากขึ้นเมื่อมันเข้ามาใกล้ มันเหมือนกับเสียงของเกวียนขนาดใหญ่ หรือเสียงรถไฟ หรือแม้แต่เสียงปืนใหญ่ ข้าพเจ้าไม่รู้จะบรรยายเสียงนั้นอย่างไรดี เว้นแต่จะบอกว่าเป็นเสียงที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงผสมปนเปกันจนทำให้ผู้ได้ยินรู้สึกหวาดกลัวและหวั่นไหวเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
 
เมื่อเสียงดังก้องเข้ามาใกล้มากขึ้น มันทำให้เพดาน ผนัง และพื้นของห้องโถงทางเดินสั่นสะเทือนราวกับแผ่นโลหะที่ถูกกระแทกด้วยมือของยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เสียงนั้นเข้ามาใกล้จนเป็นเรื่องยากมากที่จะระบุได้ว่าอยู่ใกล้แค่ไหน ทำให้เราไม่แน่ใจว่าหัวรถจักรอยู่ตรงไหนซึ่งแล่นจากไอพ่นไอน้ำ บรรดาสามเณรในหอพักต่างตื่นขึ้นแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
 
ข้าพเจ้าเย็นยะเยือกด้วยความกลัว เสียงนั้นเข้ามาใกล้,เข้ามาเรื่อยๆ, และยิ่งน่ากลัวมากขึ้น มันมาถึงหอพักแล้ว แล้วประตูก็เปิดออกเอง, เสียงคำรามดังขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรให้เห็นนอกจากแสงหลากสีที่น่ากลัวที่ดูเหมือนจะเป็นตัวควบคุมเสียง ทันใดนั้นก็มีความเงียบงัน, แสงสว่างก็ทวีความรุนแรงขึ้น และได้ยินเสียงของโคโมโลอย่างชัดเจน: “บอสโก บอสโก บอสโก ผมรอดแล้ว”
 
ในขณะนั้นหอพักก็สว่างไสวยิ่งขึ้น เสียงดังดังขึ้นอีกครั้ง ยาวและดังกว่าเดิมมาก ราวกับฟ้าร้องรุนแรงจนบ้านแทบพังทลาย ทันใดนั้นมันก็หยุดลงและแสงนั้นก็หายไป
 
มันเป็นความฝันหรือ? ความปรารถนาของบอสโกหนุ่มกำลังครวญคราง? หรือเพื่อนของบอสโกกลับมาจากความตายเพื่ออำลาเป็นครั้งสุดท้ายและยืนยันว่ามีสิ่งมากมายในสวรรค์และโลกมากกว่าที่เราฝันถึงในปรัชญาของเรา?
 
พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบ สิ่งที่เรารู้ก็คือบอสโก - ซึ่งต่อมาก่อตั้งคณะนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ในปี 1859 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักบุญในปี 1934 โดยพระสันตะปาปาปิโอที่ 11 ได้รับสัญญาณที่เขาสวดภาวนาวอนขอแล้ว
 
************************
 

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

28 เม.ย. แม่พระแห่งควิโต,เอกวาดอร์(1534)

 


รูปภาพแม่พระแห่งควิโตปัจจุบันอยู่ในเมืองหลวงของเอกวาดอร์ กล่าวกันว่ามีอายุตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานของชาวสเปนครั้งแรกที่ควิโตในปี ค.ศ. 1534 อย่างน้อยที่สุดก็ได้รับการสักการะที่นั่นมาเป็นเวลานาน และนิยมเรียกโดย ชาวเมืองควิโตว่า “แม่พระแห่งแผ่นดินไหว” ภาพวาดนี้แสดงถึงพระมารดาผู้โศกเศร้ามีดาบเจ็ดเล่มแทงที่ดวงพระทัยของพระนาง(แม่พระมหาทุกข์) และในช่วงปีแรกๆของศตวรรษที่ 20 ความศรัทธาต่อพระนางมารีย์ภายใต้พระนาม “แม่พระแห่งควิโต”ได้รับการแนะนำให้รู้จักในอังกฤษโดยนักพรตคณะผู้รับใช้(Servite Friars)ในลอนดอน พระสันตะปาปานักบุญปิโอที่ 10 ทรงอนุญาตพระคุณการุณย์ให้แก่ผู้ที่สวดภาวนาต่อหน้าพระรูปแม่พระนี้ และความศรัทธาได้รับการส่งเสริมอย่างมากในอังกฤษโดยซิสเตอร์แห่งพระเยซูกุมารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นคณะที่ก่อตั้งโดยคุณแม่คอร์เนเลีย คอนเนลลี(Mother Cornelia Connelly) ภาพต้นฉบับที่ควิโตได้รับการสวมมงกุฎอย่างสง่าในปี 1918
 
วันที่ 20 เมษายน 1906 เด็กชาย 36 คนเข้าเรียนในโรงเรียนประจำของคณะเยซูอิต,คณะสงฆ์ที่เมืองควิโต ประเทศเอกวาดอร์ พร้อมด้วยคุณพ่อแอนดรูว์ โรช ได้เห็นอัศจรรย์ครั้งแรกของพระรูปอันมีชื่อเสียงของแม่พระนี้ ขณะอยู่ในโรงอาหาร,ทุกคนได้เห็นพระแม่มารีย์ในพระรูปค่อยๆลืมตาขึ้นและหลับตาลง อัศจรรย์เดียวกันนี้เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่าเจ็ดครั้งหลังจากนั้น ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของเด็กผู้ชายที่โรงเรียน แต่คราวนี้เกิดขึ้นในโบสถ์ที่ได้มีการถ่ายรูปไว้
 
ในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ของสันตะสำนักก็ได้สอบสวนเหตุการณ์เหล่านี้ และในที่สุดก็ได้ข้อสรุปโดยสั่งให้ย้ายรูปภาพดังกล่าวโดยแห่เป็นขบวนจากวิทยาลัยไปยังโบสถ์ของคณะเยซูอิต ในโอกาสหนึ่ง,ที่โบสถ์นี้,ได้มีอัศจรรย์เกิดขึ้นซ้ำหลายครั้งต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก และการกลับใจของผู้คนจำนวนมากเกิดขึ้นเนื่องจากอัศจรรย์เหล่านี้ และอีกโอกาสหนึ่ง,อัศจรรย์นั้นคงอยู่เป็นเวลาสามวันติดต่อกัน ที่ริโอบัมบา(Riobamba) ก่อนที่จะมีการจำลองพระรูปแม่พระแห่งควิโต มีผู้พบเห็นอัศจรรย์แบบเดียวกันนี้มากกว่า 20 คน รวมทั้งประธานาธิบดีของเมืองด้วย ในควิโตภาพนี้ถูกเรียกว่าโดโลโรซา เดล โคลีจีโอ(Dolorosa del Colegio แม่พระมหาทุกข์แห่งโคลีจีโอ)
 
แม่พระทรงปรากฏต่อซิสเตอร์มาเรียนา(Mother Mariana) ที่เมืองควิโตเช่นเดียวกันและทรงทำนายหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับสมัยของเรา ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่แม่พระทรงแจ้งไว้ เราสามารถเห็นได้ด้วยตนเองว่ามันเกี่ยวข้องโดยตรงกับช่วงเวลาของเราอย่างไร
 
- ...แม่ขอบอกลูกว่าตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และหลังตอนกลางศตวรรษที่ 20 ไม่นาน…. ความทุกข์จะปะทุขึ้นและจะมีการคอร์รับชั่นของ (ศีลธรรม) โดยสิ้นเชิง….
 
“พวกเขาจะมุ่งไปที่เด็กๆเป็นหลัก เพื่อดำรงไว้ซึ่งการคอรัปชั่นนี้ วิบัติแก่เด็กในสมัยนั้น! มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่จะได้รับศีลล้างบาปรวมทั้งรับศีลกำลังด้วย...
 
“และสำหรับศีลสมรส… จะถูกโจมตีและถูกดูหมิ่นอย่างหนัก… จิตวิญญาณคาทอลิกจะสลายไปอย่างรวดเร็ว แสงสว่างอันล้ำค่าแห่งความเชื่อจะค่อยๆดับลง... นอกจากนี้,จะเป็นผลมาจากการศึกษาทางโลก ซึ่งจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กระแสเรียกของพระสงฆ์และนักบวชขาดแคลน
 
“ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการเป็นพระสงฆ์จะถูกเยาะเย้ย, ถูกกดขี่, และถูกดูหมิ่น… ปีศาจจะพยายามข่มเหงผู้รับใช้ของพระเจ้าในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ มันจะทำงานอย่างหนักด้วยความเฉียบแหลมและโหดร้ายเพื่อเบี่ยงเบนพวกเขาจากจิตวิญญาณแห่งกระแสเรียกของพวกเขา และจะทำให้พวกเขาหลายคนเสื่อมทราม พระสงฆ์ที่เลวทรามเหล่านี้,จะทำให้ประชาชนชาวคริสต์อับอาย จะทำให้มีความเกลียดชังต่อคาทอลิกที่ไม่ดีและความเกลียดชังของศัตรูต่อพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและของอัครสาวกจะตกอยู่กับพระสงฆ์ทุกคน...
 
“ยิ่งไปกว่านั้น, ในเวลาอันไร้ซึ่งความสุขนี้, จะมีความฟุ่มเฟือยอันไร้การควบคุม, ซึ่งจะดักจับมนุษย์ที่เหลือให้ติดกับดักของบาป และพิชิตดวงวิญญาณที่เหลาะแหละนับไม่ถ้วน,ซึ่งจะสูญเสียไป ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแทบจะไม่พบในเด็กอีกต่อไป และแทบจะไม่พบความสุภาพเรียบร้อย(modesty)ในผู้หญิงอีกต่อไป ในยามที่ต้องการความดูแลจากพระศาสนจักรอย่างที่สุดนี้, ผู้ที่ควรพูดจะนิ่งเงียบ” ในการประจักษ์ครั้งต่อๆไป แม่พระทรงบอกคุณแม่มารียานาว่าการประจักษ์นี้จะยังไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปจนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20
 
************************
 

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ความรู้เกี่ยวกับคริสตจักรออร์โธดอกซ์คอปติก

 
 

นำมาจาก - Aleteia:
 
จากข่าวการวางระเบิดอันเลวร้ายระหว่างพิธีสวดศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์ออร์โธดอกซ์คอปติกในกรุงไคโร เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2016 ความสนใจก็ได้รับความสนใจอีกครั้งไปที่ความทุกข์ทรมานของพี่น้องคริสเตียนในตะวันออกกลาง คริสตชนคอปติกเหล่านี้คือใคร? เราแบ่งปันอะไรกับพวกเขาบ้าง?
 
1.คริสตจักรคอปติกเป็นหนึ่งในชุมชนคริสตชนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
 
คริสตชนคอปติกได้รับการก่อตั้งขึ้นจากการเดินทางเผยแผ่ศาสนาโดยนักบุญมาระโกในปี 42 ตามธรรมประเพณี นักบุญมาร์โกใช้เวลาวันสุดท้ายในอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอียิปต์ที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก และเป็นศูนย์กลางของความรู้และวัฒนธรรม ในโลกเมดิเตอร์เรเนียน ผู้มารับความเชื่อกลุ่มแรกๆคือชาวอียิปต์พื้นเมืองที่รู้จักกันในชื่อคอปต์(Copt)ตามภาษาที่พวกเขาพูด ซึ่งเป็นรูปแบบภาษาอียิปต์โบราณสุดท้ายที่ยังมีอยู่ (คำว่า Copt มีรากฐานมาจากคำอียิปต์โบราณที่อธิบายถึงบุคคลจากอียิปต์)
 
2. ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 เป็นต้นมา คริสตจักรออร์โธดอกซ์คอปติกได้ขาดการติดต่อกับโรมและกับคริสตจักรออร์โธดอกซ์ตะวันออก คริสตจักรคาทอลิกคอปติกซึ่งเป็นธรรมประเพณีที่แยกออกไปในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันอยู่ร่วมกับโรมอย่างสมบูรณ์
 
การแตกแยกเกิดขึ้นในประเด็นที่ซับซ้อนของเทววิทยา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจในธรรมชาติของพระคริสต์) และอำนาจตามสภาคาลซีดอนในปี 451 คริสตจักรออร์โธดอกซ์คอปติกเป็นแบบ autocephalic (คริสตจักรอิสระของตนเอง) มีผู้ติดตามผู้อพยพชาวอียิปต์ไปยังประเทศอื่นๆ ในอัฟริกาและทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกา และ " daughter churches" ในเอธิโอเปียและเอริเทรีย และอยู่ร่วมกับคริสตจักรออร์โธดอกซ์ตะวันออก ภาษาคอปติกซึ่งเขียนโดยใช้ตัวอักษรกรีกยังคงเป็นภาษาพิธีกรรมอย่างเป็นทางการของคริสตจักร แต่ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาก็ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยภาษาอาหรับ ซึ่งเป็นภาษาพื้นถิ่นของอียิปต์สมัยใหม่ คริสตชนออร์โธดอกซ์คอปติกก็เหมือนกับคริสตชนออร์โธดอกซ์ตะวันออกและตะวันออกอื่นๆปฏิบัติตามปฏิทินจูเลียน โดยมีการเฉลิมฉลองคริสต์มาสในวันที่ 7 มกราคม ปัจจุบัน คริสตจักรออร์โธดอกซ์คอปติกมีสำนักงานใหญ่ในกรุงไคโรที่อาสนวิหารเซนต์มาร์โก (ติดกับโบสถ์น้อยที่เกิดระเบิดขึ้น) แม้ว่าศูนย์กลางที่เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตคริสตชนคอปติกยังคงเป็นอเล็กซานเดรีย
 
คริสตจักรคาทอลิกคอปติกนำโดยพระสังฆราช (บาทหลวง) ผู้ให้คำมั่นว่าจะเชื่อฟังสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ชาวคอปติกคาทอลิกเฉลิมฉลองพิธีกรรมพิธีกรรมของตนเอง และยังคงใช้ภาษาคอปติกในพิธีมิสซา คริสตจักรคาทอลิกคอปติกยังมีต้นกำเนิดมาจากนักบุญมาร์โกและอเล็กซานเดรีย แต่ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ในเมืองนัสร์ ชานเมืองไคโร ที่อาสนวิหารของ แม่พระแห่งอียิปต์.
 
3. พระสังฆราชแห่งคอปติกออร์โธดอกซ์เป็นที่รู้จักในชื่อพระสันตะปาปา(Pope)
 
ก่อนการแบ่งแยกระหว่างคริสต์ศาสนาระหว่างตะวันออกและตะวันตก พระสังฆราช (หรือหัวหน้าบาทหลวง) แห่งเขตคอปติกแห่งอเล็กซานเดรียได้รับการพิจารณาด้วยเหตุผลด้านอายุของคริสตจักร ถือเป็น primer inter pares ("มีฐานะที่เท่าเทียมกัน") พระสังฆราชองค์แรกแห่งอเล็กซานเดรียได้รับแต่งตั้งจากนักบุญมาระโกเอง เช่นเดียวกับบิชอปแห่งโรม ผู้เฒ่าออร์โธดอกซ์คอปติกถูกเรียกว่า pappas ("พ่อ") มาหลายชั่วอายุคน และทุกวันนี้ พระสังฆราชออร์โธดอกซ์มีตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปา พระสันตะปาปา Tawadros II ประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่งในปี 2012 หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปา Shenouda III. บิชอปทาวาดรอสได้รับการคัดเลือกโดยให้เด็กตาบอดคนหนึ่งเลือกชื่อของเขาจากบัตรลงคะแนนที่มีรายชื่อผู้สมัครสามคน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงถือว่าพระสันตะปาปาทาวาดรอสที่ 2 เป็นพระเชษฐาของพระองค์ในพระคริสต์ และทรงเรียกพระองค์โดยตรงเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจและสวดภาวนาหลังเหตุระเบิดเมื่อวันอาทิตย์
 
4. คริสตชนคอปติกให้โรงเรียนสอนคำสอนแห่งแรกแก่เราและให้พิธีอวยพรตามธรรมประเพณีของพระสงฆ์
 
ภายใต้การอภิบาลของคอปต์, อเล็กซานเดรียได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนคำสอนซึ่งมีหลักคำสอนแบบคริสตชนที่เป็นรูปเป็นร่าง ปิตาจารย์ของคริสตจักรในยุคแรกๆจำนวนมากอาศัยหรือศึกษาอยู่ในอเล็กซานเดรีย ร่วมกับนักปรัชญาชาวกรีกและนักวิชาการชาวยิวที่สร้างเมืองนี้ให้เป็นบ้านของพวกเขาแล้ว นอกจากการศึกษาคำสอนแล้ว โรงเรียนยังสอนมนุษยศาสตร์และคณิตศาสตร์อีกด้วย ห้องสมุดมีข้อความไม้แกะสลักพร้อมตัวอักษรนูนเพื่อให้คนตาบอดสามารถศึกษาได้ - นานก่อนที่จะมีการประดิษฐ์อักษรเบรลล์ ปิตาจารย์แห่งทะเลทรายแห่งอียิปต์ได้เริ่มธรรมประเพณีและก่อสร้างอารามซึ่งต่อมาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักบุญบาซิลแห่งคัปปาโดเกียทางตะวันออกและนักบุญเบเนดิกต์ทางตะวันตก
 
5. คริสตชนคอปติกถูกเบียดเบียนข่มเหงหลายครั้งตลอดประวัติศาสตร์
 
นีนะเวห์เป็นเมืองที่โยนาห์ได้เตือนประชาชนถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นและพระเยซูทรงอ้างอิงหลังจากการประชุมสภา Chalcedon ชาวคริสต์นิกายคอปติกออร์โธดอกซ์ได้รับความเดือดร้อนจากการประหัตประหารด้วยน้ำมือของคริสตชนไบแซนไทน์ซึ่งถือว่าพวกเขาเป็นคนนอกรีต หลายคนถูกทรมาน ถูกคุมขัง และถูกสังหาร แต่ออร์โธดอกซ์คอปติกยังคงซื่อสัตย์ต่อความเข้าใจเรื่องคริสต์วิทยา ด้วยการเพิ่มขึ้นของศาสนาอิสลามและการพิชิตดินแดนเมยยาดของอียิปต์ ประชากรส่วนใหญ่ยังคงนับถือศาสนาคริสต์นิกายคอปติกในตอนแรก ต่อมาการเก็บภาษีและการจำกัดโอกาสซึ่งเป็นราคาของการเป็นคริสตชนภายใต้การปกครองของศาสนาอิสลาม ส่งผลให้ชาวอียิปต์จำนวนมากเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม อียิปต์ค่อยๆ กลายเป็นประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และในปัจจุบัน คริสตชนคอปติกคิดเป็นสัดส่วนเพียง 10%-20% ของประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ลัทธิทหารอิสลามเข้ามามีบทบาทมากขึ้น คอปต์ (ทั้งออร์โธดอกซ์และคาทอลิก) ก็เหมือนกับคริสตชนในตะวันออกกลางคนอื่นๆ ที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากกลุ่มก่อการร้าย เหตุระเบิดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ซึ่งยังไม่มีกลุ่มใดได้รับเครดิตในขณะที่มีการเผยแพร่ ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งการโจมตีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 
************************