วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2024 สมโภชพระเยซูจะกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
ยอห์น 18:33ข-37 
(33)ปีลาตกลับเข้าไปในจวน และเรียกพระเยซูเจ้ามาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” (34)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” (35)ปีลาตตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิวหรือ ชนชาติของท่าน และบรรดาหัวหน้าสมณะมอบท่านให้ข้าพเจ้า ท่านทำผิดสิ่งใด” (36)พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ ผู้รับใช้ของเราก็คงจะต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบให้ชาวยิว แต่อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้” (37)ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นกษัตริย์ใช่ไหม” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์นั้นถูกต้องแล้ว เราเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ เรามาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา”
******************
 
 
 
เมื่อปี 1925 พระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ได้ทรงตั้งวันสมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาลขึ้นมา แรกเริ่มวันสมโภชนี้ ไม่ได้ตรงกับวันอาทิตย์สุดท้ายของปีพิธีกรรมอย่างในปัจจุบัน แต่ตรงกับวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม เพื่อจะได้เชื่อมต่อกับวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย เพื่อจะบอกว่านักบุญทั้งหลายก็คือบรรดาชาย หญิง และเด็กที่ได้ดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาลด้วยความกล้าหาญ ทั้งแบบส่วนตัวเงียบๆ และแบบเปิดเผย แม้มันจะนำอันตรายมาสู่ตนเองก็ตาม
 
ตัวอย่างที่เด่นชัดคนหนึ่งก็คือนักบุญโทมัส โมร์ ซึ่งพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 พึ่งจะประกาศให้เป็นองค์อุปถัมภ์ของบรรดารัฐบุรุษและนักการเมืองเมื่อปี 2000 ที่ผ่านมานี้เอง โทมัส โมร์เป็นนักกฎหมายและนักการทูตที่หลักแหลม รักชาติและจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ จนกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นอัครมหาเสนาบดี นับเป็นสามัญชนคนแรกที่ได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่กษัตริย์เฮนรี่ไม่รู้ก็คือโทมัส โมร์นอกจากจะจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์แล้ว เหนืออื่นใด ท่านยังจงรักภักดีต่อพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งบรรดากษัตริย์ทั้งมวลอีกด้วย
 
ด้วยเหตุนี้ เมื่อกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 ตัดสินใจหย่าขาดจากแคทเธอรีนแห่งอารากอนซึ่งเป็นพระมเหสี เพื่อจะไปแต่งงานใหม่กับแอนน์ บุลิน และตั้งตนเป็นประมุขของคริสตจักรแห่งอังกฤษ โทมัส โมร์ จึงคัดค้านเพราะเห็นว่ามันขัดกับพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังลาออกจากตำแหน่งอันทรงเกียรติ แล้วไปดำเนินชีวิตเป็นสามัญชนยากจน และด้วยเหตุที่ไม่สนับสนุนกษัตริย์ท่านจึงถูกจับกุมข้อหากบฏ และถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ระหว่างเดินไปสู่ที่ประหาร ท่านกระตุ้นประชาชนให้ยึดมั่นในความเชื่อและกล่าวก่อนตายว่า “ข้าพเจ้ายอมตายเพราะพระเจ้าต้องมาก่อน”
 
สำหรับโทมัส โมร์ มันไม่เป็นการเพียงพอที่จะยืนอยู่ข้างพระเยซูเจ้าเงียบๆ ในใจ แต่จำเป็นต้องประกาศพระองค์อย่างเปิดเผยด้วย
 
แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าความเป็นกษัตริย์ของพระเยซูเจ้าจะทำให้อาณาจักรของโลกนี้ถูกคุกคามหรือถูกด้อยค่า เพราะเมื่อปอนทิอัส ปีลาต ถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” แม้พระองค์จะตอบว่า “ใช่” แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบที่ปีลาตคิด เพราะพระองค์ตรัสว่า “อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ ผู้รับใช้ของเราก็คงจะต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบให้ชาวยิว แต่อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้” (ยน 18:36)
 
แล้วอาณาจักรของพระองค์กับอาณาจักรของโลกนี้ต่างกันอย่างไร?
 
เราอาจแยกความแตกต่างได้ 3 ประการด้วยกันคือ
 
ประการแรก อาณาจักรของโลกนี้มีเขตแดน มีขอบเขตที่แน่นอน แต่อาณาจักรของพระเยซูเจ้าเป็นสากล ไม่มีขอบเขต
 
ประการที่สอง อาณาจักรของโลกนี้มาแล้วก็ไป คือเกิดขึ้นแล้วก็ร่วงโรยดับสูญไป แต่พระอาณาจักรและความเป็นกษัตริย์ของพระเยซูเจ้านั้นคงอยู่ตลอดนิรันดร ดังที่ประกาศกดาเนียลบอกไว้ในบทอ่านที่หนึ่งว่า “อำนาจปกครองของพระองค์เป็นอำนาจที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด และอาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันถูกทำลายเลย”
 
ประการที่สาม อาณาจักรของโลกนี้ดำรงอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ แต่พระอาณาจักรและความเป็นกษัตริย์ของพระเยซูเจ้าดำรงอยู่ได้ด้วยความจริง พระองค์ตรัสว่า “เราเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ เรามาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา” เพราะฉะนั้นทุกคนในอาณาจักรของพระองค์จึงต้องพร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างความจริง แม้มันจะทำร้ายเรา หรือทำให้เราอึดอัดบ้างก็ตาม
 
บางคนอาจถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องรักบ้านเกิดเมืองนอนและต้องจงรักภักดีต่อประเทศชาติของเราหรือไม่? คำตอบคือ แน่นอน เราต้องรักและต้องจงรักภักดีต่อประเทศชาติของเรา เพียงแต่ว่าความจงรักภักดีต่อพระเจ้าต้องมาก่อน
 
คือเราจะอ้างว่าจงรักภักดีต่อประเทศชาติ แล้วก็ปล่อยให้มโนธรรมของตนคล้อยตามบ้านเมืองไปทั้งหมดไม่ได้ เช่น ถ้ากฎหมายบ้านเมืองบอกว่าทำแท้งได้ เราก็คิดว่ามันถูกต้องและทำได้ หรือถ้ากฎหมายบอกว่าการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยทำไม่ได้ เราก็คิดว่ามันผิดและทำไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น
 
บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์วันนี้บอกว่า “พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นประมุขของบรรดากษัตริย์บนแผ่นดิน” ซึ่งเท่ากับว่าพระองค์มิได้เป็นเพียงกษัตริย์ธรรมดาๆ แต่ทรงเป็นประมุขของบรรดากษัตริย์ และเหนือกษัตริย์ทั้งหลายทั้งปวงบนแผ่นดินนี้
 
หนังสือวิวรณ์ยังบอกอีกว่า “ดูเถิด พระองค์กำลังเสด็จมา ทุกคนแม้ผู้ที่เคยแทงพระองค์จะแลเห็นพระองค์ ชนทุกชาติบนแผ่นดินจะข้อนอกร่ำไห้ถึงพระองค์” ก็แปลว่าพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาในฐานะกษัตริย์เพื่อทรงพิพากษาทุกคน ทุกชาติบนแผ่นดินนี้ แม้แต่ผู้ที่เคยแทง เคยประหารพระองค์ ก็จะได้เห็นและร่ำไห้ถึงสิ่งที่ได้กระทำต่อพระองค์
 
เพราะฉะนั้น โอกาสสมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาลนี้ ขอให้เรารักชาติด้วยการนำประเทศชาติของเราให้กลับมาหาพระเยซูเจ้า จงช่วยกันประกาศพระเยซูเจ้า และจงช่วยกันทำให้ประเทศชาติของเราดียิ่งขึ้น นี่คือหนทางทำให้พระเยซูเจ้าเป็นกษัตริย์ไม่ใช่เพียงในจิตใจของเรา แต่เป็นกษัตริย์ของประเทศไทยของเราและของโลกของเราอีกด้วย
 
***************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น