วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2567

พระวาจาวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2024 การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง

 
โดยคุณพ่อยอห์นชัยยะ กิจสวัสดิ์  
มาระโก 9:38-43; 45; 47-48 
(38)ยอห์นทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เราได้เห็นคนคนหนึ่งขับไล่ปีศาจเดชะพระนามของพระองค์ เราจึงพยายามห้ามปรามไว้ เพราะเขาไม่ใช่พวกเดียวกับเรา” (39) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครทำอัศจรรย์ในนามของเรา แล้วต่อมาจะว่าร้ายเราได้ (40) ผู้ใดไม่ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” 
(41)”ผู้ใดให้น้ำท่านดื่มเพียงแก้วหนึ่งเพราะท่านเป็นคนของพระคริสตเจ้า เราบอกความจริงกับท่านว่า เขาจะได้บำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน” (42)”ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดา ๆ ที่มีความเชื่อเหล่านี้ทำบาป ถ้าเขาจะถูกผูกคอด้วยหินโม่ถ่วงในทะเลก็ยังดีกว่ากระทำดังกล่าว 
(43) ถ้ามือข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีมือข้างเดียว ยังดีกว่ามีมือทั้งสองข้างแต่ต้องตกนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ (44)(45)ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีเท้าพิการ ยังดีกว่ามีเท้าทั้งสองข้างแต่ถูกโยนลงนรก (46)(47)ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย ท่านจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า โดยมีตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้างแต่ต้องถูกโยนลงนรก (48)ที่นั่นหนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ
******************
 
 
 
บทอ่านที่หนึ่งวันนี้เป็นเหตุการณ์ในวันที่ชาวอิสราเอลแต่งตั้งผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนให้เป็นผู้ช่วยของโมเสส เพื่อจะเข้าใจเหตุการณ์นี้ได้ดีขึ้น เราควรรู้เบื้องหลังของชาวอิสราเอลเสียก่อน ชาวอิสราเอลนั้นเชื่ออย่างยิ่งในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ขณะเร่รอนอยู่ในถิ่นทุรกันดารเมื่อประมาณสามพันกว่าปีที่แล้ว พวกเขาตั้งค่ายพักไว้ในหุบเขา ห่างจากภูเขาที่พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าประทับอยู่ แล้วก็สร้างกระโจมนัดพบไว้ตรงกึ่งกลางระหว่างค่ายของพวกเขากับภูเขาของพระเจ้า ให้เป็นสถานที่สำหรับพบปะกันระหว่างพระเจ้ากับโมเสส ผู้ใดก็ตามพลัดหลงเข้าไปในภูเขาของพระเจ้า ผู้นั้นจะต้องตายเพราะบุกรุกเขตแดนของพระเจ้า ในทำนองเดียวกัน พวกเขาก็เชื่อว่าพระเจ้าจะไม่ล่วงล้ำเข้ามาในค่ายพักซึ่งเป็นเขตแดนของพวกเขา
 
ในการแต่งตั้งผู้ช่วยของโมเสส ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนซึ่งได้รับการคัดเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว จะต้องอยู่ในกระโจมนัดพบเพื่อพระเจ้าจะได้ประทานพระจิตบางส่วนซึ่งอยู่ในโมเสสให้แก่พวกเขา แต่ในวันนั้น เอลดาดและเมดาดยังคงอยู่ในค่าย ไม่ได้ไปที่กระโจมนัดพบ เมื่อพระจิตเสด็จลงมาเหนือผู้อาวุโสทั้ง 68 คนซึ่งอยู่ในกระโจมนัดพบ พระองค์ก็เสด็จลงมาเหนือคนทั้งสองซึ่งยังคงอยู่ในค่ายด้วย และทั้งสองก็เริ่มพูดเหมือนประกาศกเช่นเดียวกับผู้อาวุโสที่อยู่ในกระโจมนัดพบทั้ง 68 คน
 
นี่เท่ากับว่าพระเจ้าทรงล่วงล้ำเส้นแบ่งเขตเข้ามาในค่ายของพวกเขา สร้างความตื่นตกใจให้แก่พวกเขาอย่างยิ่ง จนคนหนึ่งวิ่งไปบอกโมเสส เมื่อโยชูวาซึ่งเป็นผู้ช่วยของโมเสสทราบเรื่องก็ขอให้โมเสสยับยั้งเขาทั้งสองไม่ให้พูดเหมือนผู้อาวุโสซึ่งได้รับพระจิตในกระโจมนัดพบ แต่โมเสสกลับพูดว่า “ท่านอิจฉาแทนเราหรือ เราปรารถนาจะให้พระยาห์เวห์ประทานพระจิตของพระองค์แก่ประชากรทั้งปวง และให้เขาทุกคนเป็นประกาศกด้วย”
 
พี่น้องครับ ไม่ใช่เฉพาะโยชูวาเท่านั้นที่ออกอาการใจแคบ ยอห์นในพระวรสารวันนี้ก็เช่นกัน ยอห์นพยายามห้ามปรามคนคนหนึ่งที่ขับไล่ปีศาจอาศัยพระนามของพระเยซูเจ้าทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพวกเขา
 
เหตุที่โยชูวาและยอห์นกระทำเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาคิดว่าพระเจ้าควรต้องถูกจำกัดขอบเขตและบทบาทให้อยู่ภายในเขตของพระองค์ หรือให้อยู่เฉพาะภายในกลุ่มของพระเยซูเจ้าเท่านั้น จะให้พระองค์ไปช่วยคนนอกกลุ่มไม่ได้ แต่พระเยซูเจ้า ผู้ทรงเป็นโมเสสคนใหม่ ตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย ... ผู้ใดไม่ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา” span>
 
พูดง่ายๆ ก็คือพระองค์ทรงสอนเราให้ “ใจกว้าง” ต่อคนต่างพวก ต่างกลุ่ม ต่างความเชื่อ ต่างความคิด ต่างความเห็น ตราบเท่าที่ไม่มีการต่อต้านซึ่งกันและกัน
 
ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราใจกว้าง ในทางปฏิบัติเราจึงต้องตระหนักและต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
 
ประการแรกก็คือ ทุกคนมีสิทธิที่จะคิดและเชื่อ เราต้องไม่ด่วนประณามคนที่คิดหรือเชื่อต่างจากเรา เพราะว่าพระเจ้าทรงมีหลากหลายวิธี ที่จะนำมนุษย์ผู้เป็นสิ่งสร้างของพระองค์กลับไปหาพระองค์
 
อย่าลืมว่าโลกของเรากลม ไม่ว่าเราจะเดินทางไปทางตะวันออกหรือทางตะวันตก เราก็สามารถบรรลุจุดหมายปลายทางเดียวกันได้
 
เช่นเดียวกัน หนทางสู่พระเจ้าก็มีหลากหลาย ขอเพียงเราเดินทางให้ยาวพอ และให้ไกลพอก็สามารถบรรลุถึงพระองค์ได้ เพียงแต่เราเชื่อว่าหนทางของพระเยซูเจ้านั้นผ่านการพิสูจน์มาแล้วมากกว่าสองพันปีว่าสามารถพาผู้คนจำนวนมากกลับไปหาพระเจ้าได้
 
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้เราต้องเคารพสิทธิในการคิดของผู้อื่นก็คือ ความจริงนั้นมีจำนวนมากมายและมีขนาดใหญ่เกินกำลังที่คนๆ หนึ่งจะเข้าใจหรือยึดเหนี่ยวไว้ได้ทั้งหมด เรารู้และเข้าใจความจริงได้เพียง “เสี้ยว” เดียวเท่านั้น คนอื่นก็รู้และเข้าใจได้อีกเสี้ยวหนึ่งของความจริง ซึ่งอาจเป็นเสี้ยวเดียวกันหรือคนละเสี้ยวกับเราก็ได้
 
คนที่มีจิตใจคับแคบไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นจึงเป็นคนที่หยิ่งจองหองและโง่เขลาอย่างยิ่ง เพราะเขาหลงผิดคิดว่าไม่มีความจริงอื่นใดอีกแล้วนอกเหนือจากที่เขารู้และเห็น โลกแห่งความจริงของเขาจึงเล็กกว่าหัวกะโหลกของเขาเองเสียอีก
 
ประการที่สองที่เราต้องคำนึงถึงก็คือ ทุกคนมีสิทธิที่จะพูด นี่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ตราบใดที่คำพูดหรือคำสอนของคนหนึ่งคนใดก็ตาม ไม่เป็นอันตรายต่อระบบศีลธรรมและความเจริญงอกงามของสังคม สิทธิในการพูดของผู้นั้นจำเป็นต้องได้รับการเคารพและปกป้องไว้เสมอ
 
ประการที่สาม ในเมื่อทุกคนมีสิทธิที่จะคิดและพูด ก็ให้ดูที่ผลงานเป็นข้อพิสูจน์ สิ่งที่คนหนึ่งคิด หรือเชื่อ หรือสอนตามสิทธิของตนนั้นจะมีคุณค่าหรือไม่เพียงใดให้วัดกันที่ “ผลงาน”
 
ประการที่สี่ หากถึงที่สุดแล้ว เราเห็นว่าความคิดหรือความเชื่อของคนคนหนึ่ง ไม่ก่อให้เกิดผลงานที่เป็นประโยชน์อันใดต่อชีวิตและสังคม เราอาจ “เกลียดความคิด” หรือ “เกลียดความเชื่อ” ของเขาได้ แต่เราจะ “เกลียดคน” คนนั้นไม่ได้เด็ดขาด
 
พี่น้องครับ ทุกวันนี้ บางคนอาจรู้สึกว่าพระเจ้าตายแล้ว พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่กับเราในโลกนี้อีกแล้ว ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะความ “ใจแคบ” ของเรานั่นเอง ที่ทำให้เราจำกัดขอบเขตของพระองค์และมองหาพระองค์เฉพาะในกลุ่มของเรา หากเราลองมองข้ามกลุ่มของเรา มองข้ามพวกเดียวกันกับเราออกไป เราอาจจะพบว่าพระเจ้ายังทรงประทับอยู่ในโลกนี้ พระองค์ยังทรงทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับผู้ที่เราคิดว่าผิดคน (อย่างเช่นเอลดาดและเมดาด) หรือผิดที่ (เช่นอยู่ในค่าย ไม่อยู่ในกระโจมนัดพบ) หรือผู้ที่ไม่ใช่พวกเดียวกับเราก็ได้
 
วันนี้ ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้า โปรดให้เรามีความสุภาพถ่อมตน และมี “ใจกว้าง” พร้อมที่จะรับรู้และต้อนรับพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาในรูปของเด็ก ของผู้สูงอายุ ของกรรมกรที่ถูกกดขี่และโกงค่าจ้าง ของผู้ที่ต้องการน้ำดื่ม หรือของผู้ที่มีความคิดและความเชื่อต่างจากเรา ไม่ว่าที่ไหนและเวลาใดก็ตาม ด้วยเทอญ
 
***************************


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น