พระองค์ทรงจับมือเด็กแล้วตรัสว่า “ทาลิธาคูม” ซึ่งแปลว่า “หนูเอ๋ย เราสั่งให้หนูลุกขึ้น!” เด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้นทันทีและเดินไปมา เด็กนั้นอายุสิบสองขวบแล้ว คนทั้งหลายต่างประหลาดใจอย่างยิ่ง พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด และทรงสั่งให้เขานำอาหารมาให้เด็กกิน (มาระโก 5:41–43)
ไยรัสเป็นหัวหน้าธรรมศาลาในเมืองคาเปอรนาอุม ในตำแหน่งนั้น เขาคงถูกกดดันให้ต่อต้านพระเยซู แต่ลูกสาวของเขาป่วย และลูกสาวของเขามีความสำคัญต่อเขามากกว่าความคิดเห็นของผู้นำศาสนาคนอื่นๆในสมัยนั้น เขาจึงมาหาพระเยซูโดยลำพังด้วยความถ่อมตน เขาหมอบลงแทบพระบาทพระเยซูและวิงวอนให้พระองค์รักษาลูกสาวของเขา
ไยรัสแสดงออกถึงความเชื่อในพระเยซูสองครั้ง ครั้งแรกคือการขอให้พระเยซูรักษาลูกสาวที่กำลังป่วยหนักของเขา และครั้งที่สองซึ่งแสดงถึงความเชื่อมากขึ้น ในระหว่างที่กำลังเดินทางไปพบลูกสาวกับพระเยซู เขาได้รับข่าวเศร้าจากคนรับใช้ว่าลูกสาวของเขาเสียชีวิตแล้ว พระเยซูทรงหันไปหาไยรัสและตรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงมีความเชื่อไว้เถิด” เห็นได้ชัดเจนว่าไยรัสตอบรับคำสั่งแห่งความรักนี้ด้วยความเชื่อและไว้วางใจว่าพระเยซูจะทำให้ลูกสาวของเขาฟื้นจากความตายได้
ขณะที่คุณไตร่ตรองถึงความเชื่อของไยรัส ให้พิจารณาความตึงเครียดภายในตัวของเขาเอง เขาถูกล่อลวงด้วยแรงกดดันทางการเมืองและแรงกดดันจากคนรอบข้างของพวกอาลักษณ์และพวกฟาริสีที่ต่อต้านพระเยซู เขาถูกล่อลวงให้สิ้นหวัง,ในขณะที่อาการป่วยของลูกสาวแย่ลงเรื่อยๆ และเมื่อเขาได้ยินว่าเธอเสียชีวิตแล้ว, เขาคงจะรู้สึกสิ้นหวังมากยิ่งขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าพระเยซูมาสายเกินไป แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อการล่อลวงเหล่านี้ เขายังคงอยู่ในความหวังและความไว้วางใจ
เมื่อพระเยซูเสด็จถึงบ้านของไยรัส พระองค์ทรงเห็นคนจำนวนมาก “ร่ำไห้พิลาปรำพันเป็นอันมาก” เมื่อพระเยซูทรงตรัสถึงความสิ้นหวังของพวกเขา พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เด็กคนนี้ไม่ตาย เพียงนอนหลับไปเท่านั้น” เมื่อได้ยินพระเยซูตรัสเช่นนั้น,พวกเขาต่างหัวเราะเยาะพระองค์ เห็นได้ชัดเจนว่าคนอื่นๆที่อยู่ที่นั่นไม่มีความหวังและความเชื่อแบบไยรัส ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์เช่นกันที่เราจะพิจารณาใคร่ครวญร่วมกับการสวดภาวนาถึงความแตกต่างระหว่างไยรัสกับผู้คนทั่วไปในปัจจุบันนี้
เรื่องราวสรุปลงด้วยการที่พระเยซูทรงทำให้เด็กหญิงฟื้นจากความตาย จากนั้นพระองค์ตรัสกำชับผู้ที่อยู่ที่นั้นมิให้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด พระเยซูไม่ได้รักษาเด็กน้อยเพื่อให้ได้รับชื่อเสียง พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาเด็กเพื่อพิสูจน์ให้คนที่กำลังสิ้นหวังและปราศจากความเชื่อว่าพวกเขาคิดผิด ในทางกลับกัน พระองค์ทรงรักษาเด็กน้อยให้หายตามความเชื่อของบิดาที่แสดงออกมา
ในที่สุด ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าที่ส่องแสงผ่านความเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็ปรากฏอย่างชัดเจนเมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงนำอาหารมาให้เด็กกิน” พระเยซูไม่ได้ทรงอยู่ที่นั่นโดยคาดหวังในคำสรรเสริญจากผู้ที่อยู่ตรงนั้น แต่ความรักและพระเมตตาของพระองค์ฉายส่องออกมาขณะทรงแสดงความกังวลว่าเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้คงหิวแล้ว ความรักของพระองค์นำพระองค์ให้กล่าวถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้
จงใคร่ครวญในวันนี้ว่าคุณจะทำอย่างไรหากคุณเป็นไยรัส? คุณจะทำอะไรเมื่อเผชิญกับการต่อต้านฝ่ายวิญญาณและจริยธรรม? คุณจะหันไปหาพระเจ้าด้วยความไว้วางใจและความเชื่อมั่นหรือไม่? และเมื่อความหวังของมนุษย์หมดสิ้นไป คุณจะยังคงวางใจในพระเจ้าหรือไม่? จงสวดภาวนาขอให้ความเชื่อและความหวังของไยรัสเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณ และมอบตัวคุณเองให้ทำตามแบบอย่างอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
ข้าแต่พระเยซูเจ้าผู้ทรงพระกรุณาปรานี พระองค์ทรงตอบสนองความเชื่อของไยรัส บิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักผู้นี้ด้วยพระทัยเมตตาและกรุณา พระองค์ทรงช่วยให้เขามีความวางใจในพระองค์และทรงใส่พระทัยทุกรายละเอียด ขอทรงโปรดให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อเช่นเดียวกัน เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไม่มีวันหมดหวังในชีวิตแต่จะมีความหวังในพระองค์ตลอดไป พระเยซูเจ้าข้า ลูกวางใจในพระองค์
@Catholic 4 Life
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น