“ที่นั่นจะมีทางหลวงซึ่งจะเรียกว่า “มรรคาศักดิ์สิทธิ์”
ผู้มีมลทินจะไม่เดินตามทางนี้
แต่ผู้ที่ได้รับความรอดพ้นจะเดินที่นั่น” อิสยาห์ 35:8
เราไม่สามารถเป็นคนศักดิ์สิทธิ์โดยปราศจากพระเจ้า
คาทอลิกถือว่าความศักดิ์สิทธิ์เป็นการเรียกร้องสูงสุดสำหรับคริสคชนทุกคน เป็นคำเรียกร้องสากลที่จะใช้ชีวิตร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและเป็นภาพสะท้อนธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในชีวิตของเรา
แก่นแท้ของความเข้าใจนี้คือการยอมรับว่าความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่ผลลัพธ์จากความพยายาม, ความดีเลิศทางศีลธรรม, หรือการทำความดีของเราเพียงอย่างเดียว
แต่ความศักดิ์สิทธิ์เป็นของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งเป็นสภาวะที่เป็นไปได้โดยอาศัยพระหรรษทาน, การประทับอยู่ของพระเจ้า และการกระทำของพระองค์ในชีวิตของเราเท่านั้น หากปราศจากพระเจ้า เราไม่สามารถเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้
1. ธรรมชาติของความศักดิ์สิทธิ์ในธรรมประเพณีคาทอลิก
ความศักดิ์สิทธิ์ในทางเทววิทยาคาทอลิกนั้น,หลักใหญ่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้า การเป็นคนศักดิ์สิทธิ์คือการแยกตัวออกเพื่อพระประสงค์ของพระเจ้าและเปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกอธิบายว่า “*คริสตชนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะหรือการดำเนินชีวิตแบบใดก็ตาม ล้วนได้รับเรียกให้ดำเนินชีวิตคริสตชนอย่างครบถ้วนและบรรลุถึงความรักอันสมบูรณ์แบบ*” (CCC 2013) นั่นคือการเรียกร้องให้เป็นคนศักดิ์สิทธิ์นี้ :-
เป็นสากล, แต่ยังขึ้นอยู่กับพระหรรษทานของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
ความศักดิ์สิทธิ์คือการแบ่งปันความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในพระคัมภีร์ ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกประชากรของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ “*เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์*” (เลวีนิติ 11:44, 1 เปโตร 1:16) การเรียกร้องนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเรียกร้องทางจริยธรรมเท่านั้น แต่เป็นการมีส่วนร่วมในชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเอง
เนื่องจากเรามีความจำกัดและเต็มไปด้วยบาป เราจึงไม่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเท่านั้นจึงทำให้เราศักดิ์สิทธิ์ได้
2. บทบาทของพระหรรษทาน: ความศักดิ์สิทธิ์เป็นของขวัญจากพระเจ้า
แนวคิดเรื่องพระหรรษทานถือเป็นหัวใจสำคัญของคำสอนคาทอลิกเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ พระหรรษทานเป็นความโปรดปรานของพระเจ้าซึ่งพระองค์ประทานให้แก่เราอย่างอิสระและถึงแม้เราไม่สมควรได้รับ ทั้งนี้เพื่อเป็นการชำระบาปและเพื่อความรอดของเรา
ปราศจากพระหรรษทาน, เราจะยังคงติดอยู่ในบาปและแยกจากพระเจ้า ไม่สามารถบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่เราถูกเรียกให้เป็นได้
นักบุญเปาโลกล่าวถึงความจริงนี้ในจดหมายถึงชาวเอเฟซัสว่า “ท่านได้รับความรอดพ้นเพราะพระหรรษทานโดยอาศัยความเชื่อ ความรอดพ้นนี้ไม่ได้มาจากท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า” (เอเฟซัส 2:8)
พระหรรษทานเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้า ช่วยให้เราเอาชนะบาป และเติบโตในคุณธรรม
ศีลศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีลล้างบาป, ศีลมหาสนิท, และศีลอภัยบาป เป็นวิธีการหลักในการที่พระเจ้าประทานพระหรรษทานแก่เรา โดยอาศัยศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้, เราได้รับการชำระวิญญาณให้สะอาด, เสริมพละกำลังให้แข็งแกร่ง และได้รับการทำให้ศักดิ์สิทธิ์
ตัวอย่างเช่น ในศีลล้างบาป, เราได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาปกำเนิดและเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า ได้รับแบ่งปันความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ในศีลมหาสนิท เราได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์ ซึ่งคอยค้ำจุนเราในการเดินทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์
ในศีลอภัยบาป เราได้รับพระหรรษทานแห่งการให้อภัยต่อบาปและได้รับความเข้มแข็งที่จะต้านทานการประจญล่อลวงในอนาคต
หากปราศจากพระหรรษทานของพระเจ้า ความพยายามของเราที่จะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ก็จะไร้ผล ดังที่พระเยซูตรัสเองว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเราและเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย” (ยอห์น 15:5)
สิ่งนี้เน้นย้ำว่าความสามารถของเราที่จะบังเกิดผลแห่งความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่กับการเชื่อมโยงของเรากับพระคริสต์ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของพระหรรษทานและความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
3. ความจำเป็นของพระจิตในการที่เราจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์
พระจิตมีบทบาทสำคัญในการทำให้เราศักดิ์สิทธิ์ ในเทววิทยาคาทอลิก, พระจิตเป็นผู้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้เปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระคริสต์
พระจิตทรงทำงานภายในเราเพื่อเตือนเราว่าบาปมีอยู่จริง พระจิตทรงสร้างแรงบันดาลใจให้เราที่จะดำเนินชีวิตตามพระวรสาร และเสริมกำลังให้เราเติบโตในคุณธรรม
นักบุญเปาโลอธิบายถึงงานของพระจิตในชีวิตของผู้มีความเชื่อว่า “ส่วนผลของพระจิตเจ้าก็คือความรัก ความชื่นชม ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง” (กาลาเทีย 5:22-23)
ผลของพระจิตเหล่านี้เป็นเครื่องหมายของความศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าประทานให้แก่เราโดยอาศัยการกระทำของพระจิตเจ้า หากปราศจากพระจิตเจ้า เราก็ไม่สามารถเอาชนะบาปหรือเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์ได้
การสถิตของพระจิต,ที่ประทานแก่เราในพิธีรับศีลล้างบาปและได้รับการเสริมกำลังในพิธีรับศีลกำลัง เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราดำเนินชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ได้
พระจิตทรงนำทางชีวิตของเราในการสวดภาวนา ให้แสงสว่างแก่จิตใจเราด้วยความจริงของพระเจ้า และทรงเสริมกำลังให้เราเพื่อต้านทานต่อบาปและการประจญล่อลวงต่างๆได้
พระจิตยังทรงช่วยให้เราเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าและปรับชีวิตของเราให้สอดคล้องกับพระประสงค์นั้น ในแง่นี้ ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่เราบรรลุได้ด้วยตัวเราเองแต่เป็นสิ่งที่เราได้รับผ่านพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของพระจิตเจ้า
4. ตัวอย่างของนักบุญ: แบบจำลองของความศักดิ์สิทธิ์โดยพระหรรษทานของพระเจ้า
นักบุญเป็นตัวอย่างที่ทรงพลังในเรื่องที่ว่า ความศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยอาศัยพระเจ้าเท่านั้น ชีวิตของนักบุญเป็นพยานว่าความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องของความสมบูรณ์แบบส่วนบุคคลหรือความสำเร็จของมนุษย์ แต่เป็นการตอบสนองต่อพระหรรษทานของพระเจ้า
จากตัวอย่างของนักบุญออกัสติน, ผู้ซึ่งได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตโดยพระหรรษทานของพระเจ้าจากการดำเนินชีวิตในบาป ไปจนถึงนักบุญเทเรซาแห่งลิซีเออร์ ผู้ซึ่งโอบกอด "ทางสายน้อย" แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของเธอโดยความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ นักบุญเตือนเราว่าความศักดิ์สิทธิ์คือการยอมจำนนต่องานของพระเจ้าในชีวิตของเรา
อีกตัวอย่างหนึ่ง, นักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีผู้มีชื่อเสียงในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ แต่ชีวิตของท่านไม่ใช่ชีวิตที่พึ่งพาอาศัยความสามารถของตนเองในด้านจิตวิญญาณ
แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมาจากการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง โดยการพึ่งพาพระหรรษทานของพระเจ้า และความปรารถนาที่จะเป็นภาชนะแห่งความรักของพระเจ้า ความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญฟรังซิสสะท้อนถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นไปได้โดยอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า
ในทำนองเดียวกัน คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตามักพูดถึงบ่อยครั้งว่างานของเธอกับคนยากจนเป็นไปได้ก็ด้วยพระหรรษทานของพระเจ้าเท่านั้น เธอรู้ว่า เธอไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง
เป็นเพราะการภาวนาอย่างต่อเนื่องของเธอ การรับศีลมหาสนิท และการพึ่งพาพระหรรษทานของพระเจ้าจึงทำให้เธอสามารถดำเนินชีวิตด้วยความศักดิ์สิทธิ์และการรับใช้เพื่อนมนุษย์ที่พิเศษสุด
5. ความศักดิ์สิทธิ์และความร่วมมือของเราด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า
แม้ว่าความศักดิ์สิทธิ์จะเป็นของขวัญจากพระเจ้า แต่ชาวคาทอลิกเชื่อว่าเราต้องร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้าด้วย
ความร่วมมือนี้เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของเรากับพระศาสนจักร ในการแสวงหาคุณธรรม และการเปลี่ยนแปลงจิตใจอย่างต่อเนื่องของเรา ซึ่งต้องอาศัยการสวดภาวนา, การรับศีลมหาสนิทบ่อยครั้ง และการมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระคริสต์
นักบุญออกัสตินเคยกล่าวไว้ว่า "พระเจ้าผู้ทรงสร้างท่านขึ้นมาโดยปราศจากท่าน, จะไม่ทรงช่วยท่านให้รอดพ้นโดยปราศจากท่านด้วยเช่นกัน" พระองค์ต้องการให้เราร่วมมือกับพระองค์
ซึ่งเน้นย้ำว่าในขณะที่พระเจ้าทรงริเริ่มและรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของเราโดยทางพระหรรษทาน เราถูกเรียกให้ตอบสนองต่อคำเชิญของพระองค์อย่างแข็งขัน
การตอบสนองนี้เกี่ยวข้องกับการละทิ้งบาป, ความพยายามที่จะดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้า และพยายามที่จะเติบโตในความรักและความเมตตา
ตัวอย่างเช่น บุคคลหนึ่งอาจได้รับพระหรรษทานแห่งการกลับใจ แต่พวกเขาจะต้องเลือกที่จะหล่อเลี้ยงพระหรรษทานนั้นผ่านทางชีวิตแห่งการสวดภาวนา การมีวินัยทางศีลธรรม และการมีส่วนร่วมในศีลมหาสนิท
ในทำนองเดียวกัน บุคคลที่ได้รับเรียกให้แต่งงานต้องพึ่งพาพระหรรษทานของพระเจ้าเพื่อดำเนินชีวิตตามสถานะนั้นอย่างซื่อสัตย์ แต่จะต้องปลูกฝังความรัก ความอดทน และการให้อภัยในชีวิตประจำวันด้วย
บทสรุป
ความศักดิ์สิทธิ์ของเรามีรากฐานมาจากพระเจ้า
โดยสรุปแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเอง แต่เป็นของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งเป็นไปได้ด้วยพระหรรษทานของพระองค์ จากการกระทำของพระจิตเจ้า และความร่วมมือของเรากับพระประสงค์ของพระองค์
ปราศจากพระเจ้า เราก็ไม่สามารถเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์คือการมีส่วนร่วมในชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
ศีลมหาสนิท, การสวดภาวนา, และการนำทางของพระจิตเจ้าเป็นหนทางที่เราได้รับพระหรรษทานที่จำเป็นต่อการเติบโตในความศักดิ์สิทธิ์
ในฐานะที่เป็นคาทอลิก เราถูกเรียกร้องให้แสวงหาพระหรรษทานของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง ตอบสนองต่อการเรียกของพระองค์ และยอมให้พระองค์เปลี่ยนแปลงเราให้เป็นภาพลักษณ์ของพระคริสต์
ในที่สุด การเดินทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์ของเราคือการเดินทางแห่งการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้า โดยตระหนักว่าหากปราศจากพระเจ้า เราก็ไม่มีพลัง แต่เมื่อมีพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้ (มัทธิว 19:26)
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น