5/7/2014
คุณพ่อ โจเช่ มณีญาณกัฑ (Father
Jose Maniyangat) เป็นพระสงฆ์ในสังฆมณฑล
เซนต์ออกัสติน ฟลอรีดา ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้ช่วยอธิการของโบสถ์ น.
คัทเธอรีน แห่งเซียนนา ใน ออเรนจ์ปาร์ก
ซึ่งอยู่ชานเมืองแจ๊กสันวิล
และเป็นคุณพ่อที่ปรึกษาของพลมารีย์ในสังฆมณฑลนี้ และด้วยการแต่งตั้งของพระสังฆราช ฟีลิปเป เอสติเวส
ท่านเป็นผู้นำในการรักษาโรคด้วยศีลมหาสนิทและกระบวนการคาริสมาติก
ซึ่งกระทำทั่วสังฆมณฑล ในสหรัฐและทั่วโลก แต่เรื่องมิได้มีเพียงเท่านี้
คุณพ่อ โจเซ่
เล่าว่าท่านได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในปี 1985
และอารักขเทวดาของท่านได้นำท่านไปยังสวรรค์
นรก และ ไฟชำระ ในที่สุดได้นำท่านกลับมามีชีวิตอีกครั้งเพื่อทำหน้าที่พระสงฆ์
ออกจากร่างของผม
คุณพ่อ โจเซ่ เกิดในกรุง เคลาล่า ประเทศอินเดีย ในปี 1949 เป็นลูกคนแรกในบรรดาลูกเจ็ดคน บิดาของท่านเป็นชาวนา และพูดภาษามาลายาลัม เป็นครอบครัวคาทอลิกที่ปฏิบัติตามความเชื่อ
อยู่ที่โบสถ์เซนต์โทมัส อัครสาวก
เมื่ออายุ 7 ขวบ
ท่านรับศีลมหาสนิทครั้งแรก และท่านได้ยินเสียงภายในใจให้ท่านเป็นพระสงฆ์
ท่านเข้าสามเณราลัยเมื่ออายุ 14 ปี
และได้รับบรรพชาเป็นพระสงฆ์ในวันขึ้นปีใหม่ 1975
ทางสังฆมณฑลไม่สามารถซื้อรถยนต์
ดังนั้นท่านจึงได้รับมอเตอร์ไซต์จากพระสังฆราชเพื่อใช้ในงานอภิบาล แต่ในวันที่ 14 เม.ย. 1985
ท่านขี่มอเตอร์ไซต์ของท่านเพื่อไปประกอบพิธีมิสซา ท่านก็ถูกรถซึ่งคนขับรถเมาเหล้าชนเข้าอย่างจัง
ท่านรู้สึกมีอิสระจากความจำเป็นในการต้องอาศัยอยู่ในร่างกาย
“ผมไม่รู้สึกห่วงอาวรณ์ในร่างกายเลยแม้แต่น้อย”
ท่านเล่าให้ฟัง “ผมไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือหิวหรือกระหายน้ำ”
ท่านได้พบกับอารักขเทวดาของท่านในขณะที่เสียชีวิต อารักขเทวดา “เจิดจ้า สวยงามและส่องรังสีเรืองรอง มันสวยงามมากจนผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี”
อารักขเทวดาบอกท่านว่า ท่านกำลังจะได้พบกับพระเป็นเจ้า
แต่ก่อนอื่นอารักขเทวดาต้องการแสดงให้ท่านเห็นนรกและไฟชำระ
สวรรค์และนรก
ในนรก คุณพ่อโจเซ่เล่า เป็นทะเลของ “ไฟร้อนแรงสุดประมาณ” ปีศาจ “เหมือนสัตว์ประหลาด” และวิญญาณในนรกที่ “สกปรก, น่าเกลียด ,หยาบช้า”
คุณพ่อสามารถมองเห็นวิญญาณเหล่านั้น
และพวกเขาก็มองเห็นท่าน
แต่ไม่สามารถสื่อสารถึงกันและกันได้
อารักขเทวดาอธิบายว่า พวกเขาเป็นวิญญาณที่สูญเสียเนื่องจากบาปมากหลายชนิดที่พวกเขาไม่ยอมสำนึกผิด คุณพ่อยังได้รับอนุญาตให้เห็นวิญญาณของบางคนที่ท่านเคยรู้จักด้วย
ซึ่งทำให้ท่านถึงกับประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“เมื่อมีชีวิตอยู่บนโลก พวกเขาดูเหมือนเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์มาก แต่นั่นเป็นการเสแสร้ง ผมรู้สึกสงสารพวกเขามาก” คุณพ่อโจเซ่ กล่าว
ในบรรดาผู้ที่อยู่ในนรกมีจำนวนหนึ่งที่เป็นพระสงฆ์และพระสังฆราช
ซึ่งต้องตกนรกเพราะไม่ซื่อสัตย์ต่อกระแสเรียกในฐานะนายชุมพาบาล
คุณพ่อโจเซ่ยังพูดให้เห็นถึงความเกลียดชังอย่างเข้าไส้ของวิญญาณเหล่านั้นและการดิ้นรนต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างวิญญาณที่อยู่ในการถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร
ในไฟชำระ คุณพ่อโจเซ่มีโอกาสได้พูดกับวิญญาณที่ทนทุกข์เหล่านั้น ในไฟชำระไม่มีการดิ้นรนต่อสู้หรือการทะเลาะด่าแช่งกันระหว่างวิญญาณเหมือนเช่นในนรก แต่พวกเขาเศร้าโศกมากเพราะ “ยังมีความสกปรกในวิญญาณ”
และความปรารถนาที่จะไปสู่สวรรค์
พวกเขาวิงวอนขอให้คุณพ่อสวดภาวนาเพื่อพวกเขา
ทุกวันนี้ ในการทำงานอภิบาลของคุณพ่อโจเซ่ ท่านพูดถึงบ่อยๆถึงความจำเป็นในการสวดภาวนาเพื่อวิญญาณในไฟชำระ “มันเป็นกิจการของความรัก พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเรา ในพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า” ท่านกล่าว
“เมื่อพวกเขาได้อยู่ในสวรรค์แล้ว
พวกเขาจะเป็นนักบุญ
และพวกเขาสามารถสวดภาวนาเพื่อพวกเรา
และคำสวดภาวนาของพวกเขามีพลังมาก”
ในสวรรค์ “สว่างรุ่งเรืองเหมือนดวงอาทิตย์”
มีวิญญาณเป็นล้านๆดวงกำลังสรรเสริญพระเป็นเจ้า คุณพ่อได้พบกับพระคริสตเจ้า แม่พระ และนักบุญโยเซฟ
“พระเยซูเจ้าทรงบอกผมว่า จะมีภารกิจมากมายในชีวิตที่สองของผม ผมจะทำงานในต่างประเทศและพูดเป็นภาษาต่างประเทศ”
คุณพ่อโจเซ่เล่า
มีชีวิตอีกครั้ง
กลับมายังโลก คุณพ่อถูกประกาศว่าเสียชีวิตแล้วและกำลังถูกนำไปยังที่เก็บศพ
เมื่อวิญญาณของคุณพ่อโจเซ่กลับมาสู่ร่างของท่าน
ท่านรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากเนื่องจากบาดแผลที่ท่านได้รับ ท่านมีกระดูกหักหลายแห่ง เสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก ท่านร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำให้คนที่เฝ้าอยู่ตกใจกลัว
คนหนึ่งวิ่งไปบอกหมอ “คนตายกำลังร้อง”
หมอได้ให้เลือดแก่คุณพ่อและทำการผ่าตัดบาดแผลต่างๆ
ท่านพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาสองเดือน
หลังจากนั้นจึงออกจากโรงพยาบาลกลับไปที่บ้านโดยเข้าเฝือกไปทั่วร่าง
หมอบอกคุณพ่อว่าท่านจะไม่สามารถเดินได้ไปตลอดชีวิต
คุณพ่อโจเซ่
สวดภาวนาขอให้หายจากอาการเจ็บป่วยและท่านก็ได้รับ
ท่านเรียกว่า “การรักษาอย่างอัศจรรย์”
หมอซึ่งเป็นชาวฮินดูไมเชื่อว่าท่านจะสามารถกลับมาเดินได้อีก และต่อมาเขาก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก
คุณพ่อโจเซ่ มายังสหรัฐอเมริกาในปี
1986 และอยู่ในสังฆมณฑล นักบุญออกัสตินในปี 1992
ประสบการณ์หลังความตายของท่าน ทำให้ท่านมีมุมมองที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป –
และท่านมีความปรารถนาที่จะนำประชาชนไปสู่พระเป็นเจ้า
“ความตายจะมาเยือนเราเมื่อไรก็ได้”
“ถ้าคุณต้องตายในวันนี้ คุณจะไปอยู่ที่ไหน?” คุณพ่อโจเซ่กล่าว
ความเชื่อ
ในเวปไซต์ของท่าน
มีคำเขียนขึ้นต้นเป็นอักษรใหญ่เกี่ยวกับประสบการณ์หลังความตายของท่าน
“จะเป็นทางสังฆมณฑลนักบุญออกัสติน
หรือผู้มีอำนาจของโบสถ์คาทอลิกอื่นๆ ขอได้มาตรวจสอบ
ให้การรับรองในข้อเท็จจริงหรือความถูกต้องทางเทววิทยาที่เกี่ยวกับเรื่องของคุณพ่อโจเซ่”
บางคนเชื่อในเรื่องของคุณพ่อโจเซ่ แต่บางคนก็ไม่เชื่อ
“ผมบอกกับอารักขเทวดาของผมว่า จะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ผมเห็นหรอก” คุณพ่อโจเซ่กล่าว “อารักขเทวดาของผมตอบว่า อย่ากังวลในเรื่องนั้นเลย หลายคนก็ปฏิเสธพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน”
ลินดา แชตตาเวย์
ผู้ทำงานร่วมกับคุณพ่อโจเซ่และเป็นผู้ดูแลเวปไซต์ของคุณพ่อ พุดว่า
“นี่เป็นการเผยแสดงส่วนบุคคล
ดังนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าต้องการจะเชื่อหรือไม่ ส่วนฉัน
ฉันเชื่อ เพราะฉันได้เห็นผลลัพท์ที่ดีของการอภิบาลของคุณพ่อ ทั้งในด้านการรักษาอย่างอัศจรรย์ และสิ่งที่สำคัญ ประชาชนได้กลับมามีความเชื่อ”
ลินดากล่าวว่า คุณพ่อโจเซ่ เป็นผู้ที่นบนอบเชื่อฟังต่อผู้มีอำนาจในพระศาสนจักร และท่าน “ไม่เพียงแต่พูด และ พูด แต่ท่าน
เดิน และเดิน”
“คุณพ่อบอกกับทุกคนให้สวดภาวนา พลีกรรมอดอาหารและไปสารภาพบาป และท่านก็ทำทุกสิ่งเหล่านี้ด้วย”
เจนนีเฟอร์ คาร์บาจาล มาร่วมในพิธีมิสซาการรักษาโรคเมื่อสิบปีก่อน เธอได้เห็นเป็นพยานในการกลับใจและการรักษา
และนั่นได้ทำให้กลับมามีความเชื่อใหม่อีกครั้ง
“ก่อนหน้านั้น ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น”
เจนนีเฟอร์กล่าว “แต่ในตอนนี้ ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ทุกวันเพื่อพระเยซูเจ้า”
คุณพ่อโจเซ่ พระสงฆ์ผู้ถ่อมตนกล่าวว่า “จงสรรเสริญเทิดทูนพระเยซูเจ้าเสมอ และจงปรารถนาที่จะทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ในการนำประชาชนไปสู่สวรรค์”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น