มารีโนเกิดในบริเวณเทือกเขาแอนดิสของประเทศโคลัมเบีย ในเมืองเล็กๆที่ชาวบ้านปลูกกาแฟเป็นส่วนใหญ่
ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวคาทอลิกที่มีความเชื่อเข้มแข็ง ปฏิบัติตามธรรมเนียมและคำสอนคาทอลิกทุกประการ มารีโนเป็นบุตรชายคนที่หกในบรรดาลูกสิบคน ขณะที่อายุ 14 ปี เขาได้ย้ายไปอยู่ในกรุงโบโกตา
เมืองหลวงของโคลัมเบีย และสำเร็จการศึกษาในระดับไฮสคูล เมื่ออายุ 20ปีก็ได้แต่งงาน และย้ายไปอยู่ที่เมืองแฮมเบิร์ก
ในเยอรมนี เขาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแฮมเบิร์กในคณะศิลปศาสตร์ ลูกชายสองคนของเขาก็เกิดที่นี่ หลังจากอาศัยอยู่ในเยอรมนีหกปี เขาก็ย้ายไปอยู่ในลอสแองเจลิส คาลิฟฟอร์เนีย
และอาศัยอยู่ที่นี่ตลอดมา เขาได้ทำงานในอุตสาหกรรมบันเทิงโดยเป็นนักแสดงและผู้ประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์
ตั้งแต่ภาพยนตร์การ์ตูนสำหรับเด็กของวอลท์ดิสนีย์ ไปจนถึงภาพยนตร์เขย่าขวัญของฮอลลีวู้ด
ในปี 1985
เขาเซ็นสัญญากับทางโซนี่มิวสิคในกรุงนิวยอร์ก ได้เป็นผู้อำนายการใหญ่ของวงดนตรี
ซานตาเฟแบนด์ (band Santa Fe) เขาได้ผลิตอัลบั้มเพลงออกมาจำนวนมากและเดินทางไปเปิดการแสดงที่ต่างๆทั่วโลก มารีโนอาศัยอยู่ในโลกแห่งความบันเทิงนี้เป็นเวลานาน
20 ปี และในช่วงเวลานี้เขาใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากพระเป็นเจ้า
เขาเริ่มถอยห่างจากความเชื่อคาทอลิกตั้งแต่เขาย้ายไปอยู่ที่กรุงโบโกตา
เขากลายเป็นคนนอกศาสนาและหันไปหาชีวิตทางโลกอย่างเต็มที่ ซึ่งให้ความสำคัญกับวัตถุอย่างเช่น เงิน ชื่อเสียง และความพึงพอใจ เขาเข้าร่วมกิจกรรมกับศาสนาตะวันออกและศาสตร์ลึกลับ เช่น
โหราศาสตร์ คริสตัล เทียน
อโรมาเทลาปี ฟลอราเทลาปี ทำนายไพ่
การสะกดจิต และไสยศาสตร์ทุกชนิด
ประสบการณ์เริ่มต้นขึ้น
ชีวิตของมารีโนเริ่มหักเหในระหว่างที่เขาเดินทางไปเยี่ยมญาติของเขาที่บ้านเกิดในโคลัมเบีย
เที่ยงคืนก่อนวันคริสต์มาสปี 1997
ขณะที่เขากำลังขับรถไปยังบ้านของลุงซึ่งเขาจะพำนักหลับนอนอยู่ด้วยในคืนนั้น เขาถูกลักพาตัวโดยกลุ่มกบฏโคลัมเบียที่ชื่อ FARC (Revolutionary Arm Forces of Colombia) เพื่อเรียกค่าไถ่ เขาถูกนำตัวเข้าไปอยู่ในป่าเป็นเวลานานถึงหกเดือน
สิบห้าวันแรกของการลักพาตัว
เขาถูกทิ้งไว้ในถ้ำที่มีฝูงค้างคาวและแมลงหลากชนิด ระหว่างที่รอให้ผู้ก่อการร้ายกลับมานำตัวเขาไป ภายในถ้ำแห่งนั้น เขาก็ได้ตระหนักใจว่า เขาถูกผู้ก่อการร้ายพิพากษาให้ต้องรับความตาย
แต่ภายในถ้ำแห่งนั้นเขาได้รับประสบการณ์พิเศษกับพระเป็นเจ้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตลอดไป ห้าเดือนครึ่งต่อมา มารีโนถูกปล่อยตัวออกจากถ้ำอย่างน่าอัศจรรย์เมื่อผู้ก่อการร้ายได้รับเงินค่าไถ่แล้ว
(ผู้ก่อการร้ายต้องการฆ่าปิดปากเขามากกว่า)
และหลังจากถูกปล่อยตัว เขาได้กลับคืนสู่ความเชื่อคาทอลิก สิบแปดเดือนต่อมา
เขากลายเป็นมิชชั่นนารีเต็มตัวของพระศาสนจักรคาทอลิก เขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในอดีต ละทิ้งสิ่งของทุกอย่างที่เขาเป็นเจ้าของในโลกนี้ เมื่อออกจากถ้ำ เขาได้ไปสารภาพบาปต่อพระสงฆ์ฟรังซิสกัน ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้แนะนำฝ่ายวิญญาณของเขา คือ คุณพ่อ Fray Jose Maria de las
cinco llagas
ท่านเป็นพระสงฆ์อิตาเลียน
ผู้ก่อตั้งคณะสงฆ์ฟรังซิสกันรีนิววัลออเดอร์ในกรุงโคลัมเบีย มารีโนใช้เวลาสิบสี่เดือนในคาลิฟฟอร์เนียในการเรียนรู้การเป็นคาทอลิกอีกครั้ง
โดยไม่รู้ว่ามีภารกิจสำคัญกำลังรอเขาอยู่เบื้องหน้า
วันหนึ่งในระหว่างการเฉลิมฉลองมิสซาวันอาทิตย์ใบลาน
เขาได้รับประสบการณ์พิเศษอีกครั้งหนึ่งกับพระเยซูเจ้าผู้อยู่บนไม้กางเขน พระองค์ทรงแจ้งให้เขารู้ถึงภารกิจของเขา และเขาต้องให้คำตอบว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธภารกิจนี้
พระเยซูเจ้ามิได้ทรงบังคับให้เขาปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ ในไม่ช้า หลังจากสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ผ่านพ้นไป
มารีโนก็เริ่มต้นภารกิจด้วยการเป็นมิชชันนารีเต็มเวลาให้กับการบรรยายเรื่องราวประสบการณ์การกลับใจของเขา ภารกิจเริ่มต้นในปี 1999 และได้ดำเนินต่อมาทั่วโลก
ในการบรรยายประสบการณ์ของเขา
มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำสอนในหัวข้อต่างๆหลายเรื่อง มารีโนอธิบายเรื่องต่างๆเหล่านี้อย่างชัดเจน
ด้วยเทววิทยาแบบง่ายๆสำหรับประสบการณ์พิเศษของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเรียนเทววิทยาหรือเทวศาสตร์มาก่อนเลยก็ตาม เขาให้ความรู้ที่น่าประทับใจแก่ผู้เข้าฟัง เขาไม่เคยตระเตรียมการพูดก่อนทำการบรรยาย
นอกจากสวดภาวนาและอ่านหนังสือพระวาจาของพระเป็นเจ้าซึ่งเขาจะอ่านให้ผู้ฟังก่อนที่จะเริ่มต้นการบรรยาย
มารีโนมีภารกิจในหลายประเทศ และทุกภารกิจเกิดจากการได้รับเชิญให้ไปบรรยาย เมื่อมีที่หนึ่ง ที่อื่นๆก็ตามมา ไม่มีการรับเงินเพื่อการไปปรากฏตัว แต่เขาทำทุกสิ่งเพื่อพระคริสตเยซู และมอบความวางใจทั้งหมดในพระเจ้า
มารีโนสังเกตเห็นความยากจนในพระสงฆ์ที่อยู่ในกลุ่มประเทศในลาตินอเมริกา อันได้แก่ โคลัมเบีย เอกัวดอร์ เปรู เวเนซูเอลา และปานามา
เขาพบว่าในพิธีมิสซาพระสงฆ์ต้องใช้จอกกาลิกษ์ที่ทำด้วยพลาสติก และเสื้อผ้าของพระสงฆ์ในการประกอบพิธีก็ดูไม่สมกับศักดิ์ศรี
มารีโนจึงเริ่มต้นขอรับบริจาคภาชนะสำหรับพระแท่นที่ไม่ได้ใช้แล้วจากสังฆมณฑลอื่นในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปที่ร่ำรวยกว่า รวมทั้งเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ในพิธีด้วย
สิ่งของเหล่านี้จะนำไปให้แก่สังฆมณฑลในประเทศที่ยากจนซึ่งยังไม่มีสิ่งจำเป็นเหล่านี้
แต่ก็ยังมีโบสถ์อีกนับร้อยที่ยังขาดแคลนสิ่งเหล่านี้และมารีโนเองก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือได้
มารีโนยังได้รับกระแสเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ การจัดตั้งกลุ่ม “แสวงบุญแห่งความรัก” The Pilgrims of Love ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้การดูแลทางด้านจิตใจให้แก่ชุมนุมชนที่ยากจน
อันได้แก่การประกาศพระวาจาจากพระวรสาร ไม่เพียงเท่านั้นทางกลุ่มยังช่วยจัดหาสิ่งจำเป็นฝ่ายร่างกายให้แก่พวกเขาด้วย
ทั้งอาหาร ยา การศึกษาและเครื่องนุ่งห่ม
มารีโนสามารถสร้างโบสถ์และวัดน้อยให้แก่ชุมนุมชนหลายแห่ง รวมทั้งโรงเรียนและสถานบริการสาธารณสุขพื้นฐาน ภารกิจเหล่านี้มีความเชื่อคาทอลิกเป็นจุดศูนย์กลาง
มารีโนจะอบรมสมาชิกให้รักษาวินัยตามคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างเคร่งครัด เขามีพระสังฆราชที่คอยให้คำแนะนำและสนับสนุนภารกิจของเขา
คือท่านมองซิเยอร์ โรเบอร์โต ออสปินา ซึ่งมาจากศูนย์อภิบาลของ น.เปโตร
ในกรุงโบโกตา
มารีโนพอใจในการสนับสนุนของพระศาสนจักรมาก
และเขาจะไม่ทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับพระศาสนจักรเลย
มารีโนรวบรวมสายประคำ เหรียญพระรูป บทสวดและวัตถุทางศาสนาทุกชิ้นไว้ใช้ในภารกิจของเขาต่อคนยากจน
มีคริสตชนจำนวนมากที่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้ที่เขาไม่ได้ใช้แล้วแก่คนที่ยากจนกว่า มารีโนจึงได้รับกล่องสายประคำ เหรียญ และวัตถุทางศาสนามากมายจากประเทศต่างๆ และเขาก็ได้มอบสิ่งเหล่านั้นแก่คาทอลิกที่ยากจนซึ่งไม่สามารถซื้อหาสิ่งเหล่านี้ได้
มารีโนได้รับคำแนะนำในระหว่างที่เขามีประสบการณ์พิเศษภายในถ้ำที่โคลัมเบีย
ได้แก่
-
สวดสายประคำทุกวัน
(บางครั้งมารีโนสวดสายประคำสี่สายตามบทรำพึงสี่ข้อ)
-
บทสวดต่อพระเยซูกุมารแห่งกรุงปาร์ก
(สวดทุกวัน)
-
บทสวดของนักบุญอัครเทวดามีคาแอล
-
บทสวดขับไล่ปีศาจของนักบุญแพทริก
-
อ่านพระคัมภีร์ทุกวันตามด้วยประวัตินักบุญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบุญนักปราชญ์ของพระศาสนจักร
-
พยายามพินิจรำพึงในความเงียบขณะที่อยู่เบื้องหน้าศีลมหาสนิท
ในการเฝ้าศีล
มารีโนให้ความสำคัญต่อการนมัสการศีลมหาสนิทเป็นอย่างมาก
เขาบรรยายบ่อยๆเกี่ยวกับการไปสารภาพบาปเพื่อรับศีลอภัยบาป
เพื่อที่จะมีวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์เบื้องพระพักตร์พระเยซูเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ชีวิตฝ่ายจิตของมารีโนได้ใกล้ชิดและมีความสัมพันธ์กับพระเยซูกุมารยิ่งวันยิ่งมากขึ้น และเขาไปเยี่ยมคริสตชนคาทอลิกทุกคนเพื่อแบ่งปันความศรัทธานี้
เขาแนะนำทุกคนให้รู้ถึงความสำคัญของการเจริญเติบโตฝ่ายจิต.
พระเยซูเจ้ายังให้พระพรการรักษาโรคแก่มารีโนด้วย หลายครั้งมีคนที่ได้รับการรักษาให้หายจากความเจ็บป่วยในระหว่างที่เขาสวดภาวนาและวางมือของเขาบนตัวผู้ป่วย
มารีโนเองมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจและต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เวลานี้สุขภาพของเขายังดีอยู่และสามารถเดินทางได้ เขาได้เดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจใน 21
ประเทศทั่วโลก
มารีโนได้เขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ของเขาชื่อ "From Darkness into Light" และหนังสืออื่นๆอีกหลายเล่ม และผลิต CD , DVD
ที่ให้ความสว่างและหล่อเลี้ยงจิตใจ
และให้การท้าทายที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย
การบรรยายเทศน์สอนของเขามีพื้นฐานอยู่ที่พระวรสาร
พระคัมภีร์และธรรมเนียมอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นซึ่งมีอยู่อย่างเพียบพร้อมในพระศาสนจักรคาทอลิก
จาก
Spiriudaily.com
เมื่อทางเราได้เขียนเมล์สอบถามมารีโนเกี่ยวกับประสบการณ์บางอย่างที่เขาได้รับขณะที่อยู่ภายในถ้ำ มารีโนได้ตอบมาทางอีเมล์ดังนี้
“รอบตัวผมเต็มไปด้วยค้างคาวนับพันตัว พื้นถ้ำที่ผมตกลงไปเปียกชื้นและถูกปกคลุมด้วยขี้ค้างคาว แมลงนับพันตัวออกมาจากขี้ค้างคาวและคลานขึ้นมาบนเสื้อของผม พวกมันกัดผมตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้า การกัดแต่ละครั้งทำให้ผมได้รับความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน บางครั้งมันเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต บางครั้งทำให้ผิวหนังอักเสบ”
แต่ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้
–ซึ่งเขาคิดว่าเขากำลังจะตาย – มารีโนก็ได้รับประสบการณ์พิเศษ เขาได้เห็นชีวิตทั้งหมดของเขา เหมือนกับบางคนที่ได้รับประสบการณ์ใกล้ตาย นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับใจของเขา เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวออกจากถ้ำ เขาได้เล่าว่า
พระเยซูเจ้าทรงมาหาเขาในเสียงที่ไม่อาจพรรณนาได้
พระองค์แสดงให้เขาเห็นชีวิตทั้งหมดของเขาเป็นฉากๆในภาพนิมิต
มารีโนได้เล่าว่า
“ระหว่างที่ผมได้รับประสบการณ์พิเศษภายในถ้ำ ขณะที่อยู่ในความว่างเปล่า ผมถูกนำตัวไปวางไว้ในทะเลสาบและน้ำท่วมตัวผมถึงเอว
ผมเห็นหินก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้าผมและผมก็รู้ในทันทีว่า พระเยซูเจ้ากำลังปรากฏแก่ผม
– ตอนแรกผมได้ยินแต่เสียงของพระองค์เท่านั้น
แต่เวลานี้ผมรู้ว่าผมกำลังจะได้เห็นพระองค์ด้วย และผมก็รู้สึกตัวว่าผมไม่อาจมองพระองค์ได้ เนื่องมาจากสถานะในบาปหนักของผม”
“ในเวลานั้นเอง ผมได้รับรู้ถึงการปรากฏอยู่ของปีศาจชั่วร้ายนับพันๆซึ่งอยู่ในทะเลสาบที่ผมจมอยู่”
“ปีศาจแต่ละตัวมีความเชื่อมโยงกับบาปของผม ผมรู้จักมันแต่ละตัว ผมเคยเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมัน พวกมันคือบาปของผมในระยะเวลา 33 ปี”
“ผมเข้าใจทันทีถึงความร้ายแรงของการกระทำของผมที่เป็นการขัดสู้กับพระเป็นเจ้า
พวกมันทั้งหมดมาปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเยซูเจ้า
มันคือการฟ้องร้องกล่าวหาของชีวิตที่อยู่ห่างไกลจากพระเป็นเจ้าและการกระทำทุกอย่างนั้นยังคงดำรงอยู่
– บาปทุกประการที่ผมทำ ยังคงอยู่
จิตทุกจิตที่เชื่อมโยงกับบาปเหล่านั้นยังเคลื่อนไหวอยู่ในตัวของผมและมีช่องว่างระหว่างหัวใจของผมกับวิญญาณ”
“ผมหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว”
“ผมถูกบดขยี้และผมรู้สึกถึงความชั่วร้าย ความมืดมิดแสนสาหัสอยู่เหนือผม – มันเหมือนเงาทมึนใหญ่ที่แผ่ปกคลุมชีวิตทั้งหมดของผม เหมือนผ้าห่มจากนรก”
“แต่เบื้องบนก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าทะเลสาบ อารักขเทวดาของผมปรากฏกายขึ้น ท่านสวมเสื้อคลุมยาวสีงาช้าง สีที่คล้ายกับใบหน้าของท่าน ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างของท่าน
“ผมรู้ทุกสิ่งที่ท่านพูด
(โดยที่ไม่ได้ยินเสียง)
มันเป็นความรู้อย่างสมบูรณ์
เทวดาพูดว่า “เจ้ากำลังยืนอยู่ในดินแดนแห่งบาปทุกประการของเจ้า
เจ้าดำเนินชีวิตในวิถีทางที่เป็นปฏิปักษ์กับพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าทุกประการ”
ท่านชี้ไปยังปีศาจที่อยู่รอบๆตัวของผมและดวงตาของท่านเหมือนคบเพลิง
“ผมสามารถมองเห็นการปรากฏอยู่ของท่านในทุกขณะระหว่างที่ผมมีชีวิตอยู่และการกระทำของท่านที่พยายามจะทำให้ผมต่อสู้กับชีวิตในบาปของผม”
“ผมยังมองเห็นการปรากฏของเทวดาองค์อื่นๆอีกมากมายด้วย
– คืออารักขเทวดาของญาติๆของผม หรือของคนที่ผมได้ทำร้าย ผมได้เห็นสงครามการสู้รบของจิตวิญญาณ ตลอดชีวิตของผม – การต่อสู้ของเหล่าทูตสวรรค์ของพระเป็นเจ้ากับเหล่าเทวดาตกสวรรค์
(ปีศาจ)
“ผมมีชีวิตอยู่กับพวกมันเป็นเวลานานโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลย”
“มันเป็นช่วงเวลาที่น่าเศร้ามาก
ที่ได้เห็นพระหรรษทานจำนวนมากที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ -- มันเจ็บปวดมาก”
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ มีการปลอบประโลมใจจากพระแม่มารีย์ ผู้ทรงปรากฏแก่มารีโน “ทรงเป็นสุภาพสตรีในวัยรุ่นที่สวยงามที่สุดและทรงอำนาจในความบริสุทธิ์และความถ่อมพระองค์อันหาที่เปรียบมิได้ จนทำให้ผมไม่อาจจ้องมองพระนางได้”
“ผมต้องหันไปมองทางอื่นที่น้ำในทะเลสาบ และผมมีประสบการณ์ในแบบเดียวกันกับอารักขเทวดาของผม ผมสามารถเข้าใจทุกสิ่งที่แม่พระตรัสกับผม ทั้งๆที่ไม่มีเสียงตรัส “พระนางตรัสกับผมว่า ลูกต้องวางใจในพระเยซูเจ้า พระเจ้าของลูก
ลูกต้องเปิดหัวใจให้พระองค์เข้าไป
และยอมรับความรักและการให้อภัยจากพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงรักลูก
พระองค์ทรงให้อภัยแก่ลูก”
เกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะยอมรับพระวาจาของพระแม่ ผมไม่ยอมรับการให้อภัยของพระเยซูเจ้า เพราะผมไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
“พระแม่ทรงแสดงให้ผมเห็น
เวลาที่ผมได้รับการอวยพรอันยิ่งใหญ่ในเวลาที่ผมเป็นเด็กเล็กๆ
เวลานั้นเป็นช่วงเวลาสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเกิดเมืองนอนของผม ตอนนั้นผมเป็นคนเป่าทรัมเป็ตในโรงเรียนและผมได้เป่าทรัมเป็ตในขบวนแห่ของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
พระแม่ทรงแสดงให้ผมเห็นพระพรที่ผมได้รับในขณะที่ผมอยู่กับญาติที่เจ็บป่วย ตอนนั้นผมอายุเจ็ดขวบ –
เวลาที่ผมอยู่กับพี่น้องชายหญิงที่บ้านและเวลานั้นพวกเรายังบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
พวกเราถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างอันสวยงาม”
“และในทันใดนั้น พระนางทรงแสดงให้ผมเห็น เวลาที่ผมสูญเสียความไร้เดียงสา
และอันตรายที่ตามมา”
ภายในถ้ำ
ประสบการณ์ในอันตรายเหล่านั้นติดตัวมารีโนอย่างถาวรไม่จางหายแม้แต่เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวออกจากถ้ำแล้ว เขาได้รับความรู้ความเข้าใจจากพระเยซูเจ้า
เขารอบรู้ในทุกสิ่งตั้งแต่การตกต่ำของมนุษยชาติไปจนถึงสาเหตุที่ปีศาจและสมุนของมันโจมตีพวกเรา ทุกหน้าในหนังสือที่เขาเขียนเล่าประสบการณ์มีพลัง
“พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ผมเห็นว่า
ยุคสมัยของเราที่เป็นอยู่เวลานี้เลวร้ายยิ่งกว่าในสมัยของบาบิโลนและเมืองโซโดมและโกโมราห์
ทุกสิ่งได้ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อที่เราจะดำเนินชีวิตในโลกโดยไม่เกี่ยวข้องอย่างสิ้นเชิงกับพระบัญญัติสิบประการของพระเป็นเจ้า”
และสำหรับโลกนี้
มารีโนกล่าวว่าพระเยซูเจ้าทรงบอกกับเขาว่า
“มันจะเป็นโลกที่ปราศจากพระเจ้าและเป็นวัตถุนิยมมากยิ่งๆขึ้น”
“ศาสนาจะเป็นเพียงความสนใจส่วนบุคคลและไม่สามารถปฏิบัติในที่สาธารณะได้ เพราะจะถูกเฝ้ามองและควบคุมจากรัฐบาล” พระศาสนจักรที่แท้จริงจะเป็นเหมือนคริสต์ศาสนาในยุคแรกๆ
พระองค์ทรงบอกกับผมว่าการกลับใจของอิสราเอลจะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า “การกลับใจนั้นจะเกิดขึ้นในเวลากลางคืนตลอดทั้งคืน
และจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมากในหมู่ชาวยิว
หลายคนในพวกเขาจะฆ่ากันเองเมื่อการกลับใจเริ่มต้นขึ้น พระเยซูเจ้าทรงบอกว่ามันจะเป็นเหมือนการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน การกลับใจของชาวยิวก็จะเป็นเช่นนั้น และเวลานั้นก็อยู่ไม่ไกลนัก แต่ผมได้รู้บางอย่างเกี่ยวกับเวลาของพระเยซูเจ้า “มันไม่เหมือนกับเวลาของมนุษย์เลย”
เกี่ยวกับคริสตชน มารีโนกล่าวว่า
“หลายคนจะหลงออกจากความเชื่อภายในปีหน้า
พระเยซูเจ้ากำลังทำความสะอาดบ้านของพระองค์ สิ่งสกปรกจำนวนมากกำลังถูกกำจัดออกไป สิ่งที่ซ่อนเร้นปิดบังตนเองอยู่จะถูกนำมาอยู่ในแสงสว่าง
หลายคนจะสูญเสียความเชื่อของเขา
พระศาสนจักรของเราจะเล็กลง
แต่จะเป็นพระศาสนจักรของผู้มีความเชื่อที่แท้จริง ยุคสมัยที่เราต้องเผชิญจะเป็นสิ่งที่เกินจะทนทานได้ถ้าปราศจากความเชื่ออันมีจุดศูนย์กลางในความนบนอบเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์”มารีโน บรรยายที่นิวซีแลนด์
ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องดีๆ ค่ะ
ตอบลบ