น.ฟรังซิส เดอ ซาลส์
เป็นไปไม่ได้ที่ไม่มีจินตภาพและความเข้าใจในเวลาที่เราสวดภาวนา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยทำให้จิตใจของเราเกิดพลวัต บางคนกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องใช้จินตภาพเพื่อช่วยให้เราปรากฏอยู่เบื้องหน้าองค์พระผู้ไถ่ผู้ทรงถ่อมพระองค์
บางทีอาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่มีความก้าวหน้าในความสมบูรณ์พร้อมแล้ว แต่สำหรับพวกเราผู้ยังอยู่ในหุบเขา –
และเราปรารถนาจะไต่ขึ้นไป –
ข้าพเจ้าคิดว่าสมควรที่จะต้องใช้เครื่องมืออำนวยความสะดวกทุกอย่างที่หาได้ ซึ่งก็รวมทั้งจินตภาพด้วย อย่างไรก็ตาม
จินตภาพควรจะเป็นแบบง่ายๆในการใช้งาน
เหมือนกับเข็มที่นำเอาเส้นด้ายแห่งความรักและความละเอียดอ่อนเข้าไปในจิตใจ
นี่เป็นถนนสายสำคัญที่เราไม่ควรออกนอกเส้นทางจนกว่าแสงสว่างอันสดใสปรากฏขึ้นและจะทำให้เราเห็นเส้นทางแคบๆ
จินตภาพต้องไม่ทำให้จิตใจของเราสับสนหันเหออกจากเป้าหมายหลักของการสวดภาวนา แต่ต้องเรียบง่าย
สามารถทำให้เราอยู่ในหุบเขาที่ไม่ลึกมาก
สันติสุขของพระเจ้า
ให้เราคงอยู่ในสันติสุขและความเงียบสงบซึ่งพระเป็นเจ้าทรงประทานให้เรา น. เปาโลกล่าวว่า “สันติสุขของพระเจ้า ซึ่งอยู่เหนือความเข้าใจทั้งปวงของมนุษย์
จะช่วยให้หัวใจและจิตใจของท่านคงอยู่ในพระคริสตเยซู” (ฟล. 4:7) ท่านไม่เห็นหรือว่า
น.เปาโลกล่าวว่าสันติสุขของพระเจ้า “อยู่เหนือความเข้าใจทั้งปวงของมนุษย์”? นั่นเป็นการสอนท่านว่า ท่านไม่ควรยุ่งยากใจไปกับอารมณ์ความรู้สึก แต่ให้อยู่ในสันติสุขของพระเจ้ามากกว่า บัดนี้
สันติสุขของพระเจ้าเป็นสันติสุขที่พิสูจน์ถึงความละเอียดอ่อนของเราต่อพระเป็นเจ้าและเป็นเส้นทางที่พระเป็นเจ้าทรงแสดงแก่เรา
จงก้าวเดินไปอย่างมั่นคงในหนทางที่พระญาณเอื้ออาทรของพระเป็นเจ้าได้วางไว้ให้ท่าน อย่าหันไปมองทางซ้ายหรือทางขวา นี่เป็นหนทางแห่งความบริบูรณ์สำหรับท่าน ซึ่งก็คือความพึงพอใจแห่งจิตวิญญาณ –
ถึงแม้ว่ามันจะขาดรสชาติ –
ก็มีค่ายิ่งกว่าการปลอบประโลมใจซึ่งทำให้จิตใจยินดีเป็นร้อยเป็นพันเท่า ถ้าพระเป็นเจ้าประสงค์ให้ท่านได้รับความทุกข์ยากลำบากบ้าง ท่านต้องรับสิ่งนั้นจากพระหัตถ์ของพระองค์ –
พระหัตถ์ซึ่งท่านต้องยึดจับไว้
ท่านต้องไม่ละจากพระองค์ไปจนกว่าพระองค์จะนำท่านไปสู่ความบริบูรณ์ของท่าน
ท่านจะตระหนักว่าพระญาณเอื้ออาทรของพระเป็นเจ้าสัมฤทธิ์ผลต่อทุกสิ่งที่เป็นความตั้งใจของท่านเอง
ทรงทำให้ความตั้งใจของท่านสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์
สิ่งที่ท่านจำเป็นต้องมีก็เพียงแต่ความกล้าหาญซึ่งต้องเข้มแข็งและมั่นคงสักเล็กน้อย
บทความบางส่วนนำมาจากหนังสือของ
น.ฟรังซิส เดอ ซาล
การปรากฏของพระเป็นเจ้า
การคงอยู่ในการปรากฏของพระเป็นเจ้า
กับการให้ตนเองอยู่ในการปรากฏของพระเป็นเจ้า เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน การให้ตนเองอยู่ในการปรากฏของพระเจ้า
เราต้องให้จิตใจของเราสละทิ้งทุกสิ่งที่เป็นของโลกและมุ่งใจไปที่พระองค์เท่านั้น หลังจากเราอยู่ในการปรากฏของพระองค์แล้ว
เราสามารถดำรงอยู่ในสถานะนั้นได้โดยอาศัยน้ำใจหรือสติปัญญาของเรา โดยเพ่งมองที่พระเป็นเจ้าโดยตรง หรือ
เพ่งมองสิ่งอื่นด้วยความรักต่อพระองค์
หรือไม่มองสิ่งใดเลยแต่ให้สนทนากับพระองค์
หรือไม่เพ่งมองพระองค์ ไม่สนทนากับพระองค์ แต่คงอยู่ในสถานะที่เป็นอยู่ซึ่งพระองค์ทรงจัดให้ เหมือนดังรูปปั้นที่อยู่เฉยๆไม่ขยับเขยื้อน และเมื่อกระทำกิจการง่ายๆเช่นนี้แล้ว
ก็ให้เชื่อมโยงความรู้สึกว่าเราเป็นของพระเป็นเจ้า
และพระองค์เป็นของเราทั้งหมด
แล้วนั้นให้เราขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระทัยดีของพระองค์
ช่างเป็นการสวดภาวนาที่ดีจริงๆ
ในการให้ตนเองอยู่ในการปรากฏของพระเป็นเจ้าด้วยวิธีนี้
โดยให้ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยและความพอพระทัยของพระองค์ มารีย์
มักดาเลนา ก็ทำเช่นเดียวกับรูปปั้น
เธอไม่ได้พูดหรือเพ่งมองพระเยซูเจ้า
และไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
แต่เธอ “นั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า และฟังที่พระองค์ตรัสสอน” (ลก. 10:39) เมื่อพระองค์ตรัส นางก็ตั้งใจฟัง เมื่อพระองค์หยุดตรัส นางก็หยุดฟัง
และเธอก็ยังคงนั่งอยู่ที่นั่น
เด็กน้อยอยู่ในอ้อมกอดของแม่
ขณะที่ทั้งสองหลับไปด้วยกัน อันเป็นสถานะที่ดีและน่าปรารถนา ถึงแม้ว่ามารดาจะไม่ได้พูดอะไรกับลูกของเธอ หรือลูกก็ไม่ได้พูดอะไรกับแม่ของตน
ช่างเป็นสุขสักเพียงไรเมื่อเราปรารถนาจะรักพระเป็นเจ้า ให้เรารักพระองค์เถิด
และให้เราสำนึกว่าเราได้ตอบแทนความรักของพระองค์น้อยเพียงใด จงตั้งใจเถิดว่าเราจะไม่ปรารถนาที่จะทำสิ่งใดเลย เว้นแต่เพื่อความรักของพระองค์
เราจะพูดได้ไหมว่าเรายังคงอยู่ในการปรากฏของพระเป็นเจ้าในขณะที่เราหลับอยู่? เพราะเราหลับภายใต้สายพระเนตรของพระองค์ ในความพอพระทัยของพระองค์ และโดยน้ำพระทัยของพระองค์
และพระองค์มาอยู่กับเราเหมือนรูปปั้นที่อยู่นิ่งเฉย เมื่อเราตื่นขึ้น เราก็พบว่าพระองค์ยังอยู่ที่นั่น ใกล้กับเรา
พระองค์และเราเป็นมิตรสนิทกัน
เราอยู่ในการปรากฏของพระองค์
มีเพียงตาของเราเท่านั้นที่ปิดอยู่
----------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ: บทความนี้นำมาจากหนังสือ
Roses Among Thorns
ของนักบุญ ฟรังซิส เดอ ซาล
ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก โดย สำนักพิมพ์ Sophia Institute Press.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น