วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

จินตภาพในการสวดภาวนา


บทความต่อไปนี้นำมาจาก Catholic Exchange:
             น.ฟรังซิส  เดอ  ซาลส์
เป็นไปไม่ได้ที่ไม่มีจินตภาพและความเข้าใจในเวลาที่เราสวดภาวนา  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยทำให้จิตใจของเราเกิดพลวัต  บางคนกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องใช้จินตภาพเพื่อช่วยให้เราปรากฏอยู่เบื้องหน้าองค์พระผู้ไถ่ผู้ทรงถ่อมพระองค์  บางทีอาจไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่มีความก้าวหน้าในความสมบูรณ์พร้อมแล้ว  แต่สำหรับพวกเราผู้ยังอยู่ในหุบเขา – และเราปรารถนาจะไต่ขึ้นไป – ข้าพเจ้าคิดว่าสมควรที่จะต้องใช้เครื่องมืออำนวยความสะดวกทุกอย่างที่หาได้  ซึ่งก็รวมทั้งจินตภาพด้วย  อย่างไรก็ตาม จินตภาพควรจะเป็นแบบง่ายๆในการใช้งาน  เหมือนกับเข็มที่นำเอาเส้นด้ายแห่งความรักและความละเอียดอ่อนเข้าไปในจิตใจ  นี่เป็นถนนสายสำคัญที่เราไม่ควรออกนอกเส้นทางจนกว่าแสงสว่างอันสดใสปรากฏขึ้นและจะทำให้เราเห็นเส้นทางแคบๆ  จินตภาพต้องไม่ทำให้จิตใจของเราสับสนหันเหออกจากเป้าหมายหลักของการสวดภาวนา  แต่ต้องเรียบง่าย สามารถทำให้เราอยู่ในหุบเขาที่ไม่ลึกมาก
สันติสุขของพระเจ้า
ให้เราคงอยู่ในสันติสุขและความเงียบสงบซึ่งพระเป็นเจ้าทรงประทานให้เรา  น. เปาโลกล่าวว่า “สันติสุขของพระเจ้า  ซึ่งอยู่เหนือความเข้าใจทั้งปวงของมนุษย์  จะช่วยให้หัวใจและจิตใจของท่านคงอยู่ในพระคริสตเยซู” (ฟล. 4:7)  ท่านไม่เห็นหรือว่า น.เปาโลกล่าวว่าสันติสุขของพระเจ้า “อยู่เหนือความเข้าใจทั้งปวงของมนุษย์”?  นั่นเป็นการสอนท่านว่า  ท่านไม่ควรยุ่งยากใจไปกับอารมณ์ความรู้สึก  แต่ให้อยู่ในสันติสุขของพระเจ้ามากกว่า  บัดนี้  สันติสุขของพระเจ้าเป็นสันติสุขที่พิสูจน์ถึงความละเอียดอ่อนของเราต่อพระเป็นเจ้าและเป็นเส้นทางที่พระเป็นเจ้าทรงแสดงแก่เรา
จงก้าวเดินไปอย่างมั่นคงในหนทางที่พระญาณเอื้ออาทรของพระเป็นเจ้าได้วางไว้ให้ท่าน  อย่าหันไปมองทางซ้ายหรือทางขวา  นี่เป็นหนทางแห่งความบริบูรณ์สำหรับท่าน  ซึ่งก็คือความพึงพอใจแห่งจิตวิญญาณ – ถึงแม้ว่ามันจะขาดรสชาติ – ก็มีค่ายิ่งกว่าการปลอบประโลมใจซึ่งทำให้จิตใจยินดีเป็นร้อยเป็นพันเท่า  ถ้าพระเป็นเจ้าประสงค์ให้ท่านได้รับความทุกข์ยากลำบากบ้าง   ท่านต้องรับสิ่งนั้นจากพระหัตถ์ของพระองค์ – พระหัตถ์ซึ่งท่านต้องยึดจับไว้  ท่านต้องไม่ละจากพระองค์ไปจนกว่าพระองค์จะนำท่านไปสู่ความบริบูรณ์ของท่าน  ท่านจะตระหนักว่าพระญาณเอื้ออาทรของพระเป็นเจ้าสัมฤทธิ์ผลต่อทุกสิ่งที่เป็นความตั้งใจของท่านเอง  ทรงทำให้ความตั้งใจของท่านสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์  สิ่งที่ท่านจำเป็นต้องมีก็เพียงแต่ความกล้าหาญซึ่งต้องเข้มแข็งและมั่นคงสักเล็กน้อย


บทความบางส่วนนำมาจากหนังสือของ น.ฟรังซิส  เดอ  ซาล
 
การปรากฏของพระเป็นเจ้า
การคงอยู่ในการปรากฏของพระเป็นเจ้า  กับการให้ตนเองอยู่ในการปรากฏของพระเป็นเจ้า  เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน  การให้ตนเองอยู่ในการปรากฏของพระเจ้า  เราต้องให้จิตใจของเราสละทิ้งทุกสิ่งที่เป็นของโลกและมุ่งใจไปที่พระองค์เท่านั้น  หลังจากเราอยู่ในการปรากฏของพระองค์แล้ว  เราสามารถดำรงอยู่ในสถานะนั้นได้โดยอาศัยน้ำใจหรือสติปัญญาของเรา  โดยเพ่งมองที่พระเป็นเจ้าโดยตรง หรือ เพ่งมองสิ่งอื่นด้วยความรักต่อพระองค์  หรือไม่มองสิ่งใดเลยแต่ให้สนทนากับพระองค์  หรือไม่เพ่งมองพระองค์  ไม่สนทนากับพระองค์  แต่คงอยู่ในสถานะที่เป็นอยู่ซึ่งพระองค์ทรงจัดให้  เหมือนดังรูปปั้นที่อยู่เฉยๆไม่ขยับเขยื้อน  และเมื่อกระทำกิจการง่ายๆเช่นนี้แล้ว  ก็ให้เชื่อมโยงความรู้สึกว่าเราเป็นของพระเป็นเจ้า และพระองค์เป็นของเราทั้งหมด  แล้วนั้นให้เราขอบพระคุณพระองค์สำหรับพระทัยดีของพระองค์
ช่างเป็นการสวดภาวนาที่ดีจริงๆ  ในการให้ตนเองอยู่ในการปรากฏของพระเป็นเจ้าด้วยวิธีนี้  โดยให้ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยและความพอพระทัยของพระองค์  มารีย์  มักดาเลนา ก็ทำเช่นเดียวกับรูปปั้น  เธอไม่ได้พูดหรือเพ่งมองพระเยซูเจ้า  และไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด  แต่เธอ “นั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า  และฟังที่พระองค์ตรัสสอน” (ลก. 10:39)  เมื่อพระองค์ตรัส   นางก็ตั้งใจฟัง  เมื่อพระองค์หยุดตรัส  นางก็หยุดฟัง  และเธอก็ยังคงนั่งอยู่ที่นั่น  เด็กน้อยอยู่ในอ้อมกอดของแม่  ขณะที่ทั้งสองหลับไปด้วยกัน  อันเป็นสถานะที่ดีและน่าปรารถนา  ถึงแม้ว่ามารดาจะไม่ได้พูดอะไรกับลูกของเธอ  หรือลูกก็ไม่ได้พูดอะไรกับแม่ของตน
ช่างเป็นสุขสักเพียงไรเมื่อเราปรารถนาจะรักพระเป็นเจ้า  ให้เรารักพระองค์เถิด  และให้เราสำนึกว่าเราได้ตอบแทนความรักของพระองค์น้อยเพียงใด  จงตั้งใจเถิดว่าเราจะไม่ปรารถนาที่จะทำสิ่งใดเลย  เว้นแต่เพื่อความรักของพระองค์  เราจะพูดได้ไหมว่าเรายังคงอยู่ในการปรากฏของพระเป็นเจ้าในขณะที่เราหลับอยู่?  เพราะเราหลับภายใต้สายพระเนตรของพระองค์  ในความพอพระทัยของพระองค์  และโดยน้ำพระทัยของพระองค์  และพระองค์มาอยู่กับเราเหมือนรูปปั้นที่อยู่นิ่งเฉย  เมื่อเราตื่นขึ้น  เราก็พบว่าพระองค์ยังอยู่ที่นั่น  ใกล้กับเรา  พระองค์และเราเป็นมิตรสนิทกัน  เราอยู่ในการปรากฏของพระองค์  มีเพียงตาของเราเท่านั้นที่ปิดอยู่
----------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ: บทความนี้นำมาจากหนังสือ Roses Among Thorns  ของนักบุญ ฟรังซิส  เดอ  ซาล  ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก โดย สำนักพิมพ์ Sophia Institute Press.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น