วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อิวานกา อิวานโกวิค


อิวานกา อิวานโกวิค  เป็นเด็กหญิงคนแรกที่เห็นแม่พระเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 1981  เวลานี้เธอมีอายุ 48 ปี อาศัยอยู่ใกล้กับหมู่บ้านเมดจูกอเรจ์  ต่อไปนี้เป็นคำพูดที่เธอพูดกับกลุ่มผู้แสวงบุญในปีเยาวชนในปีที่ผ่านมานี้
ดิฉันขอสวัสดีกับทุกคน  จงสรรเสริญพระเยซูเจ้าและแม่พระ  ดิฉันยินดีมากที่มาอยู่ที่นี่กับพวกคุณในวันนี้และยินดียิ่งขึ้นที่พวกคุณพร้อมที่จะฟังสาส์นของแม่พระ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาดิฉันเฝ้าถามพระเป็นเจ้าว่า  เหตุใดพระองค์จึงทรงเลือกดิฉัน?  ดิฉันรู้ว่าดิฉันได้รับพระหรรษทานที่ยิ่งใหญ่และในเวลาเดียวกัน  ดิฉันก็รู้ว่าดิฉันมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ด้วย
ดิฉันยอมรับพระหรรษทานนี้  และสวดภาวนาตลอดเวลาขอพระเป็นเจ้าประทานความเข้มแข็งแก่ดิฉันที่จะทำภารกิจที่พระองค์มอบหมายแก่ดิฉันให้สำเร็จ
ดิฉันอาศัยอยู่กับครอบครัวในมอสตาร์ในเวลานั้น  ตามปกติหลังจากโรงเรียนเลิก  ดิฉันจะมาที่เมดจูกอเรจ์  ในวันที่ 24 มิ.ย. 1981 ดิฉันก็ทำเช่นนี้ ในวันที่แม่พระทรงประจักษ์มาครั้งแรก
เหมือนเช่นทุกวัน  ในวันนั้นดิฉันกับมีรยานาเดินออกไปนอกหมู่บ้านและเรารอเพื่อนบางคนให้มากับเราอยู่  ดิฉันไม่รู้ว่ารอนานเท่าไร  แต่เราเริ่มเหนื่อยแล้วและกำลังจะเดินกลับบ้าน
ขณะที่กำลังเดินตรงไปที่หมู่บ้าน  ดิฉันถูกแรงบางอย่างบังคับให้เดินไปที่เนินเขาและทันใดนั้นดิฉันก็เห็นแม่พระ  ดิฉันพูดกับมีรยานาว่า “มีรยานา  ฉันเห็นแม่พระบนเนินเขา” แต่มีรยานาพูดว่า “อย่าพูดโง่ๆอย่างนี้กับฉันนะ”
ดิฉันเดินตามมีรยานาซึ่งกำลังเดินกลับไปที่หมู่บ้าน  แล้วเราก็พบกับมิลกา  พี่สาวของมารีจา  มิลกาเห็นบางอย่างผิดปกติในตัวดิฉันจึงถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น  ดิฉันบอกเธอให้ไปกับดิฉันและพูดว่า ดิฉันเห็นแม่พระ  พวกเราได้กลับไปและเราทั้งสามคนก็ได้เห็นแม่พระ  วิคก้ามากับพวกเราด้วยและต่อมาก็มีเด็กชายอีกสองคน  คือพี่น้องอิวานทั้งสอง  ภาพประจักษ์กำลังเรียกพวกเราอยู่แต่ไม่มีใครกล้าปีนขึ้นไปที่เนินเขา
แม่พระทรงอยู่ห่างจากเราไปประมาณสี่หรือห้าร้อยเมตร  พระนางทรงเรียกพวกเราและพวกเรารู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่างมาก  พวกเรามีความรู้สึกหลายอย่างในหัวใจแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้พระนาง
ในตอนเย็นเราบอกหลายคนว่าเราเห็นแม่พระ  แต่ไม่มีใครเชื่อเราเลยและห้ามพวกเราไม่ให้พูดเรื่องนี้อีก  ค่ำคืนนั้นเป็นคืนอันแสนยาวนานที่สุดในชีวิตของดิฉัน  ดิฉันอายุเพียง 15 ปีและถามตัวเองตลอดคืนว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น  เวลาเดียวกันกับเมื่อวาน  พวกเราจึงกลับไปที่เนินเขาแห่งการประจักษ์อีกครั้ง  ก่อนที่พวกเราจะเห็นแม่พระ  พวกเรามองเห็นแสงสว่างสามครั้ง  แล้วเราก็ได้เห็นพระนาง  ดิฉันไม่อาจบรรยายช่วงเวลาขณะที่ดิฉันพบกับพระนาง  เพราะเรารู้สึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่  เรารู้สึกปลอดภัย  มีความสุขมากในหัวใจของเรา
เมื่อดิฉันเข้าไปใกล้พระนางเราเห็นบุคคลที่สวยงามที่สุด  พระนางดูมีอายุราว 19 หรือ 20 ปี  ทรงสวมมงกุฎดวงดารา  ผ้าคลุมศีรษะสีขาว  อาภรณ์สีเทา  และพระนางทรงประทับยืนอยู่บนเมฆ  พระนางทรงมีนัยน์ตาสีฟ้าที่สวยมากและพระเกศายาวสีดำ
ดิฉันรู้ว่านี่คือแม่พระ  เมื่อสองเดือนก่อนนี้แม่ของดิฉันเพิ่งเสียชีวิต  และดิฉันรู้ในจิตใจว่านี่คือแม่พระ  ดิฉันจึงถามพระนางว่า “พระมารดาคะ  แม่ของหนูอยู่ที่ไหน?”  และพระนางตรัสว่า “อย่ากังวลไปเลย  ลูกรัก  แม่ของลูกอยู่กับแม่แล้ว”
แม่พระตรัสกับพวกเราว่า “อย่ากังวลเลย  แม่จะสวดภาวนาพร้อมกับพวกลูกเสมอ  แม่จะกลับมาที่นี่อีกในวันพรุ่งนี้
เรื่องนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นในวันที่สามประชาชนเริ่มติดตามพวกเราไปเพราะพวกเขาเห็นบางอย่างเกิดขึ้นในพวกเรา  พวกเขาได้ให้น้ำเสกกับเราเพื่อไปประพรมภาพประจักษ์  เมื่อแม่พระเสด็จมา  วิคก้าได้พรมน้ำเสกไปที่พระนางและพูดว่า “ถ้าท่านมาจากพระเป็นเจ้าขอให้อยู่ที่นี่  แต่ถ้าไม่ใช่ขอให้จากพวกเราไป”  และแม่พระทรงยิ้มให้กับพวกเราและตรัสว่า “แม่คือพระมารดามารีย์  ราชินีแห่งสันติภาพ”
ในวันนั้นแม่พระทรงประทานสาส์นครั้งแรกแก่สาธารณชน  ซึ่งเป็นสาส์นแห่งสันติภาพ  แม่พระทรงขอให้เรากลับใจ  อดอาหารและทำกิจใช้โทษบาป  สวดภาวนาและไปสารภาพบาป  ร่วมพิธีมิสซา  นี่เป็นใจความหลักของสาส์นของแม่พระแห่งเมดจูกอเรจ์
ตั้งแต่ 1981 ถึง 1985  ดิฉันได้รับการประจักษ์ทุกวัน  ในช่วงเวลานั้น แม่พระทรงเล่าอัตชีวประวัติของพระนางให้ดิฉันฟัง  ดิฉันได้บันทึกลงในสมุด  พระนางยังทรงตรัสถึงอนาคตของโลกและอนาคตของพระศาสนจักรด้วย  เมื่อดิฉันได้รับอนุญาตจากพระนาง  สิ่งเหล่านี้จะถูกตีพิมพ์ออกมา
วันที่ 7 พ.ค. 1985 ดิฉันได้รับการประจักษ์ทุกวัน  เป็นครั้งสุดท้ายและวันนั้นเป็นวันที่แม่พระทรงประจักษ์ยาวนานที่สุดที่ดิฉันเคยได้รับ  เพราะแม่พระทรงอยู่กับดิฉันหนึ่งชั่วโมง
ในวันนั้นแม่พระทรงประทานสาส์นความลับข้อที่สิบ ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายแก่ดิฉัน  และทรงบอกว่าดิฉันจะไม่ได้รับการประจักษ์ทุกวันอีกต่อไป  แต่แม่พระทรงสัญญาว่าจะทรงมาหาดิฉันปีละหนึ่งครั้งในวันที่ 25 มิ.ย. ของทุกปี
ตั้งแต่ 1985 จนถึงทุกวันนี้ดิฉันได้รับการประจักษ์ทุกปีในวันที่ 25 มิ.ย. แต่ในวันสุดท้ายของประจักษ์ดิฉันได้รับพระหรรษทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด  ไม่ใช่สำหรับดิฉันเท่านั้นแต่สำหรับทั้งโลกด้วย  และเพราะมนุษย์สงสัยว่ามีชีวิตหน้าหลังความตายหรือไม่  ดิฉันได้มายืนอยู่เบื้องหน้าพวกคุณในวันนี้และฉันขอตอบคำถามนี้ว่า  ถูกแล้ว  มีชีวิตหน้าภายหลังความตาย  เพราะโดยพระเมตตาของพระเป็นเจ้าและแม่พระ  ดิฉันได้รับพระหรรษทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด  นั่นคือดิฉันได้เห็นแม่ของดิฉันในระหว่างการประจักษ์นี้ด้วย  และแม่ของดิฉันพูดกับดิฉันว่า “ลูกที่รักของแม่  แม่ภูมิใจในลูกมาก”
เป็นเวลานาน 28 ปีที่แม่พระทรงบอกพวกเราว่าหนทางใดที่พวกเราต้องเดินไปในชีวิตของเรา  พระนางทรงแสดงหนทางแก่เราและพวกเราต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเดินตามหนทางใด
แม่พระทรงประทานภารกิจที่แตกต่างกันให้แก่พวกเราแต่ละคนซึ่งเป็นผู้เห็นแม่พระ  ภารกิจของดิฉันคือการสวดภาวนาเพื่อครอบครัว  ดังนั้นทุกวันดิฉันจะสวดภาวนาเพื่อครอบครัวทุกครอบครัว
การประจักษ์ครั้งสุดท้ายที่ดิฉันได้รับในปีนี้คือวันที่ 25 มิ.ย.  และการประจักษ์ใช้เวลานาน สิบนาที  แม่พระทรงตรัสกับดิฉันเกี่ยวกับความลับข้อที่สิบ  พระนางทรงแนะนำให้ทุกคนเป็นอัครสาวกแห่งสันติภาพและสวดภาวนาเพื่อสันติภาพ  แม่พระทรงจบการประจักษ์ด้วยพระวาจาว่า “สันติภาพ  สันติภาพ  สันติภาพ”
ขอพวกเราจงเตือนตัวเองในคำภาวนา  ให้เราสวดภาวนาเพื่อกันและกัน  แม่พระทรงปรารถนาให้พวกเราอยู่ในสันติภาพ  ไม่ต้องหวาดกลัว  และจงรู้ว่าพระนางทรงอยู่กับพวกเราตลอดเวลา
            สุดท้ายนี้  เมื่อพวกคุณจากเมดจูกอเรจ์  ดิฉันอยากให้พวกคุณนำสันติภาพและความรักจากเมดจูกอเรจ์กลับไปที่บ้านและประเทศของพวกคุณด้วย  ขอขอบคุณสำหรับทุกๆสิ่งค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น