อิวานกา อิวานโกวิค เป็นเด็กหญิงคนแรกที่เห็นแม่พระเมื่อวันที่ 24
มิ.ย. 1981 เวลานี้เธอมีอายุ 48 ปี
อาศัยอยู่ใกล้กับหมู่บ้านเมดจูกอเรจ์
ต่อไปนี้เป็นคำพูดที่เธอพูดกับกลุ่มผู้แสวงบุญในปีเยาวชนในปีที่ผ่านมานี้
ดิฉันขอสวัสดีกับทุกคน จงสรรเสริญพระเยซูเจ้าและแม่พระ
ดิฉันยินดีมากที่มาอยู่ที่นี่กับพวกคุณในวันนี้และยินดียิ่งขึ้นที่พวกคุณพร้อมที่จะฟังสาส์นของแม่พระ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาดิฉันเฝ้าถามพระเป็นเจ้าว่า เหตุใดพระองค์จึงทรงเลือกดิฉัน?
ดิฉันรู้ว่าดิฉันได้รับพระหรรษทานที่ยิ่งใหญ่และในเวลาเดียวกัน ดิฉันก็รู้ว่าดิฉันมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ด้วย
ดิฉันยอมรับพระหรรษทานนี้ และสวดภาวนาตลอดเวลาขอพระเป็นเจ้าประทานความเข้มแข็งแก่ดิฉันที่จะทำภารกิจที่พระองค์มอบหมายแก่ดิฉันให้สำเร็จ
ดิฉันอาศัยอยู่กับครอบครัวในมอสตาร์ในเวลานั้น ตามปกติหลังจากโรงเรียนเลิก ดิฉันจะมาที่เมดจูกอเรจ์ ในวันที่ 24 มิ.ย. 1981 ดิฉันก็ทำเช่นนี้
ในวันที่แม่พระทรงประจักษ์มาครั้งแรก
เหมือนเช่นทุกวัน ในวันนั้นดิฉันกับมีรยานาเดินออกไปนอกหมู่บ้านและเรารอเพื่อนบางคนให้มากับเราอยู่ ดิฉันไม่รู้ว่ารอนานเท่าไร แต่เราเริ่มเหนื่อยแล้วและกำลังจะเดินกลับบ้าน
ขณะที่กำลังเดินตรงไปที่หมู่บ้าน
ดิฉันถูกแรงบางอย่างบังคับให้เดินไปที่เนินเขาและทันใดนั้นดิฉันก็เห็นแม่พระ ดิฉันพูดกับมีรยานาว่า “มีรยานา ฉันเห็นแม่พระบนเนินเขา” แต่มีรยานาพูดว่า “อย่าพูดโง่ๆอย่างนี้กับฉันนะ”
ดิฉันเดินตามมีรยานาซึ่งกำลังเดินกลับไปที่หมู่บ้าน แล้วเราก็พบกับมิลกา พี่สาวของมารีจา
มิลกาเห็นบางอย่างผิดปกติในตัวดิฉันจึงถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น ดิฉันบอกเธอให้ไปกับดิฉันและพูดว่า
ดิฉันเห็นแม่พระ
พวกเราได้กลับไปและเราทั้งสามคนก็ได้เห็นแม่พระ วิคก้ามากับพวกเราด้วยและต่อมาก็มีเด็กชายอีกสองคน คือพี่น้องอิวานทั้งสอง
ภาพประจักษ์กำลังเรียกพวกเราอยู่แต่ไม่มีใครกล้าปีนขึ้นไปที่เนินเขา
แม่พระทรงอยู่ห่างจากเราไปประมาณสี่หรือห้าร้อยเมตร
พระนางทรงเรียกพวกเราและพวกเรารู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่างมาก พวกเรามีความรู้สึกหลายอย่างในหัวใจแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้พระนาง
ในตอนเย็นเราบอกหลายคนว่าเราเห็นแม่พระ แต่ไม่มีใครเชื่อเราเลยและห้ามพวกเราไม่ให้พูดเรื่องนี้อีก
ค่ำคืนนั้นเป็นคืนอันแสนยาวนานที่สุดในชีวิตของดิฉัน ดิฉันอายุเพียง 15 ปีและถามตัวเองตลอดคืนว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น เวลาเดียวกันกับเมื่อวาน
พวกเราจึงกลับไปที่เนินเขาแห่งการประจักษ์อีกครั้ง ก่อนที่พวกเราจะเห็นแม่พระ พวกเรามองเห็นแสงสว่างสามครั้ง แล้วเราก็ได้เห็นพระนาง ดิฉันไม่อาจบรรยายช่วงเวลาขณะที่ดิฉันพบกับพระนาง เพราะเรารู้สึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ เรารู้สึกปลอดภัย มีความสุขมากในหัวใจของเรา
เมื่อดิฉันเข้าไปใกล้พระนางเราเห็นบุคคลที่สวยงามที่สุด พระนางดูมีอายุราว 19 หรือ 20 ปี ทรงสวมมงกุฎดวงดารา ผ้าคลุมศีรษะสีขาว อาภรณ์สีเทา
และพระนางทรงประทับยืนอยู่บนเมฆ พระนางทรงมีนัยน์ตาสีฟ้าที่สวยมากและพระเกศายาวสีดำ
ดิฉันรู้ว่านี่คือแม่พระ
เมื่อสองเดือนก่อนนี้แม่ของดิฉันเพิ่งเสียชีวิต และดิฉันรู้ในจิตใจว่านี่คือแม่พระ ดิฉันจึงถามพระนางว่า “พระมารดาคะ แม่ของหนูอยู่ที่ไหน?” และพระนางตรัสว่า “อย่ากังวลไปเลย ลูกรัก
แม่ของลูกอยู่กับแม่แล้ว”
แม่พระตรัสกับพวกเราว่า “อย่ากังวลเลย แม่จะสวดภาวนาพร้อมกับพวกลูกเสมอ แม่จะกลับมาที่นี่อีกในวันพรุ่งนี้
เรื่องนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นในวันที่สามประชาชนเริ่มติดตามพวกเราไปเพราะพวกเขาเห็นบางอย่างเกิดขึ้นในพวกเรา พวกเขาได้ให้น้ำเสกกับเราเพื่อไปประพรมภาพประจักษ์ เมื่อแม่พระเสด็จมา วิคก้าได้พรมน้ำเสกไปที่พระนางและพูดว่า “ถ้าท่านมาจากพระเป็นเจ้าขอให้อยู่ที่นี่ แต่ถ้าไม่ใช่ขอให้จากพวกเราไป” และแม่พระทรงยิ้มให้กับพวกเราและตรัสว่า “แม่คือพระมารดามารีย์ ราชินีแห่งสันติภาพ”
ในวันนั้นแม่พระทรงประทานสาส์นครั้งแรกแก่สาธารณชน ซึ่งเป็นสาส์นแห่งสันติภาพ แม่พระทรงขอให้เรากลับใจ อดอาหารและทำกิจใช้โทษบาป สวดภาวนาและไปสารภาพบาป ร่วมพิธีมิสซา
นี่เป็นใจความหลักของสาส์นของแม่พระแห่งเมดจูกอเรจ์
ตั้งแต่ 1981 ถึง 1985 ดิฉันได้รับการประจักษ์ทุกวัน ในช่วงเวลานั้น
แม่พระทรงเล่าอัตชีวประวัติของพระนางให้ดิฉันฟัง
ดิฉันได้บันทึกลงในสมุด
พระนางยังทรงตรัสถึงอนาคตของโลกและอนาคตของพระศาสนจักรด้วย เมื่อดิฉันได้รับอนุญาตจากพระนาง สิ่งเหล่านี้จะถูกตีพิมพ์ออกมา
วันที่ 7 พ.ค. 1985
ดิฉันได้รับการประจักษ์ทุกวัน เป็นครั้งสุดท้ายและวันนั้นเป็นวันที่แม่พระทรงประจักษ์ยาวนานที่สุดที่ดิฉันเคยได้รับ เพราะแม่พระทรงอยู่กับดิฉันหนึ่งชั่วโมง
ในวันนั้นแม่พระทรงประทานสาส์นความลับข้อที่สิบ
ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายแก่ดิฉัน
และทรงบอกว่าดิฉันจะไม่ได้รับการประจักษ์ทุกวันอีกต่อไป แต่แม่พระทรงสัญญาว่าจะทรงมาหาดิฉันปีละหนึ่งครั้งในวันที่
25 มิ.ย. ของทุกปี
ตั้งแต่ 1985
จนถึงทุกวันนี้ดิฉันได้รับการประจักษ์ทุกปีในวันที่ 25 มิ.ย.
แต่ในวันสุดท้ายของประจักษ์ดิฉันได้รับพระหรรษทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
ไม่ใช่สำหรับดิฉันเท่านั้นแต่สำหรับทั้งโลกด้วย และเพราะมนุษย์สงสัยว่ามีชีวิตหน้าหลังความตายหรือไม่
ดิฉันได้มายืนอยู่เบื้องหน้าพวกคุณในวันนี้และฉันขอตอบคำถามนี้ว่า ถูกแล้ว
มีชีวิตหน้าภายหลังความตาย
เพราะโดยพระเมตตาของพระเป็นเจ้าและแม่พระ
ดิฉันได้รับพระหรรษทานอันยิ่งใหญ่ที่สุด
นั่นคือดิฉันได้เห็นแม่ของดิฉันในระหว่างการประจักษ์นี้ด้วย และแม่ของดิฉันพูดกับดิฉันว่า “ลูกที่รักของแม่ แม่ภูมิใจในลูกมาก”
เป็นเวลานาน 28
ปีที่แม่พระทรงบอกพวกเราว่าหนทางใดที่พวกเราต้องเดินไปในชีวิตของเรา พระนางทรงแสดงหนทางแก่เราและพวกเราต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเดินตามหนทางใด
แม่พระทรงประทานภารกิจที่แตกต่างกันให้แก่พวกเราแต่ละคนซึ่งเป็นผู้เห็นแม่พระ
ภารกิจของดิฉันคือการสวดภาวนาเพื่อครอบครัว
ดังนั้นทุกวันดิฉันจะสวดภาวนาเพื่อครอบครัวทุกครอบครัว
การประจักษ์ครั้งสุดท้ายที่ดิฉันได้รับในปีนี้คือวันที่
25 มิ.ย. และการประจักษ์ใช้เวลานาน
สิบนาที
แม่พระทรงตรัสกับดิฉันเกี่ยวกับความลับข้อที่สิบ
พระนางทรงแนะนำให้ทุกคนเป็นอัครสาวกแห่งสันติภาพและสวดภาวนาเพื่อสันติภาพ แม่พระทรงจบการประจักษ์ด้วยพระวาจาว่า “สันติภาพ สันติภาพ
สันติภาพ”
ขอพวกเราจงเตือนตัวเองในคำภาวนา ให้เราสวดภาวนาเพื่อกันและกัน แม่พระทรงปรารถนาให้พวกเราอยู่ในสันติภาพ ไม่ต้องหวาดกลัว และจงรู้ว่าพระนางทรงอยู่กับพวกเราตลอดเวลา
สุดท้ายนี้ เมื่อพวกคุณจากเมดจูกอเรจ์
ดิฉันอยากให้พวกคุณนำสันติภาพและความรักจากเมดจูกอเรจ์กลับไปที่บ้านและประเทศของพวกคุณด้วย ขอขอบคุณสำหรับทุกๆสิ่งค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น