“โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังกัน และลูกจะรู้ว่า การกลับมาของเราอยู่ใกล้แล้ว เมื่อลูกได้ยินและได้เห็นสงครามศาสนาเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเราได้อยู่ในหนทางของเราแล้ว จงรู้เถิดว่า
เรากำลังจะมา
เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งสงครามเหล่านี้ได้”
พระศาสนจักรได้รับรองการประจักษ์ที่ราวันดาเมื่อ
29 มิ.ย. 2001 (เมื่อพระสังฆราช Augustin Misago of Gikongoro ได้พิมพ์คำประกาศ “คำตัดสิน”
จากวาติกัน)
เด็กชาย
เซกาตาชิยา เสียชีวิตในปี 1994 ในระหว่างที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์(ซึ่งถูกทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วในปี
1982) เขาเป็นหนึ่งในเด็ก 7 คนผู้ที่ได้รับการประจักษ์ แต่มีเด็กเพียงสามคนเท่านั้นที่ทางพระศาสนจักรรับรองอย่างเป็นทางการ
(ซึ่งเซกาตาชิยา ไม่รวมอยู่ในเด็กที่ได้รับการรับรอง แต่เด็กที่ยังไม่ได้รับการรับรอง
ยังอยู่ในขั้นตอนที่ระงับไว้ชั่วคราว)
พระสงฆ์ นักเทววิทยา
และพระสังฆราช ต่างก็รู้สึกประหลาดใจที่ เซกาตาชิยา
มีความรู้ในความเชื่อคาทอลิกอย่างรวดเร็ว
เขากลายเป็นคนถ่อมตน จริงใจ และไม่อาจอธิบายสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ได้ วันที่ 2 ก.ค. 1982 เซกาตาชิยาได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าตรัสเรียกชื่อของเขา ขณะที่เขากำลังเดินตรวจไร่ถั่วของบิดา พระองค์ประจักษ์แก่เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 30 ปี
มีผิวสีดำเล็กน้อย ไม่ดำเหมือนชาวราวันดา พระองค์ทรงสวมเสื้อทูนิค (เสื้อคลุมยาวถึงเข่า)
ตามแบบ
ชาวอัฟริกัน ซึ่งส่องแสงจ้าเส้นด้ายเป็นเงินและทอง
พระเยซูเจ้าตรัสแก่เซตากาชิยาว่า
“เวลาที่กำลังมาถึงนั้น เป็นเวลาที่พระเป็นเจ้าจะทรงใช้ในการทดสอบ
เป็นเวลาที่แต่ละคนจะต้องแบกกางเขนของตนเอง จงอย่ากลัว จงมีความเชื่อ เพราะคนที่ทำความดีจะไปสู่สวรรค์พร้อมกับเรา แต่คนที่ทำความชั่วจะพบกับไฟ เพราะฉะนั้นจงรีบกระทำความดีเถิด เพราะในวันหนึ่ง เจ้าซาตานจะปลาสนาการไปจากโลกนี้
และลูกจะไม่ถูกประจญล่อลวงอีกเลย แต่จงรีบเข้า
เพราะเวลาเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยแล้ว”
ในเวลานี้ เราได้รับรู้ถึงข่าวสารความรุนแรงที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากศาสนาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ฉนวนกาซา
อิสราเอล ปาเลสไตน์ อิรัก
ซีเรีย ไนจีเรีย ซูดาน ปากีสถาน อัฟกานิสถาน อัฟริกา และที่อื่นๆ
มีสงครามระหว่าง
ชาวฮินดูกับมุสลิมในปากีสถาน
ระหว่างชาวฮินดูกับคริสตชนในอินเดีย
และระหว่างมุสลิมกับคริสตชนในฟิลิปปินส์
เป็นต้น มีคริสตชนที่ถูกฆ่าตายเป็นมรณสักขีประมาณ
2000 – 8000 คนในแต่ละปีในประเทศต่างๆทั่วโลก
ซึ่งรวมแล้ว 36 ประเทศ พระสันตปาปาฟรังซิสทรงกล่าวว่า มีมากกว่าในยุคของอาณาจักรโรมัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
จรวดมิสไซล์ได้ถล่มอารามในซีเรีย
ในเวลาเดียวกันผู้ก่อการร้าย ISIS ในอิรักได้ขับไล่คริสตชนให้ออกจากเมือง
และบุกยึดอารามหลายแห่ง
เหตุการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงระบุถึงใช่หรือไม่?
ในไนจีเรีย อินโดนีเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์
ปากีสถาน คริสตชนรวมทั้งพระสงฆ์และแม่ชีถูกลักพาตัวหรือฆ่าตาย โบสถ์ถูกทำลาย
ในส่วนฟากฝั่งตะวันตก ก็มี”มรณสักขี”
ซึ่งเกิดจากรัฐบาลสมัยใหม่ที่ได้ออกกฏหมายอนุญาติให้ทำแท้งและรับรองการแต่งงานของพวกเกย
ในอิรัก ที่เมืองโมซุล พระสังฆราชแห่งกรุงแบกแดด Jean
Benjamin Sleiman
ได้กล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่า “กลุ่มอิสลาม The invasion of the Islamic
State [Isis] ได้เฉือนประเทศออกเป็นชิ้นๆและก่อเหตุสะเทือนขวัญด้วยการฆ่า ทำลาย
กำจัดให้สิ้นซาก และนำกฎหมายอิสลาม (ซาเรีย)มาใช้อย่างเข้มงวด”
นี่คือเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า
"apocalyptic." เหตุการณ์ที่พระคัมภีร์ทำนายไว้เกี่ยวกับวันสิ้นโลก อย่างนั้นหรือ?
พระสังฆราชกล่าวต่อไปว่า
“เมื่อไฟลุกประทุขึ้น มันก็สายเกินไปที่จะควบคุมมันได้ มันจะแพร่กระจายไปทั่ว หลายปีมาแล้วที่ผมรู้สึกถึงพลังอำนาจที่ก่อเปลวไฟขึ้นมาในตะวันออกกลาง และมันควบคุมไม่ได้
มันจะลุกลามไปถึงยุโรปและทำให้เกิดสงครามโลกขึ้น”
เมื่อไม่นานมานี้
โบสถ์และหลุมฝังศพของประกาศกโยนาห์ก็ถูกทำลายโดยผู้ก่อการร้าย ISIS จากเรื่องราวในพระธรรมใหม่
เมื่อชาวฟาริสีขอเครื่องหมายจากพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสว่า “คนยุคนี้ต้องการเครื่องหมายจากสวรรค์ แต่พวกเขาจะไม่ได้รับเครื่องหมายอะไร ยกเว้นเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์”
พระเยซูเจ้าตรัสแก่ เซตากาชียาว่า “เป็นเพราะพวกเขารักโดยปราศจากความรัก พวกเขาเชื่อโดยปราศจากความเชื่อ”-- 7/28/14
[Resources:: The Boy Who Met
Jesus]
หมายเหตุจาก Crisis Magazine: “การล่มสลายของโมซุลเป็นเหตุการณ์น่าสลดใจสำหรับคริสตชน พวก ISIS ต้องการเข้าควบคุมประเทศอิรัก ในเดือนกรกฏาคม
พวกผู้ก่อการร้ายสั่งให้คริสตชนทุกคนเข้าไปในสุเหร่าและเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม หรือมิฉะนั้นก็ต้องเสียภาษีที่เรียกว่า 'dhimma' เพื่อไม่ต้องถูกฆ่า ผู้นำคริสตชนในอิรักคนหนึ่งรายงานว่า พวก ISIS
ทำเครื่องหมายตัวอักษร “N” ซึ่งหมายถึงนาซาราห์ อันเป็นคำในโกราน ที่ใช้เรียกคริสตชน ไว้ที่หน้าบ้านของคริสตชนทุกบ้าน
ผู้ก่อการร้ายทำให้คริสตชนต้องอพยพครั้งใหญ่ออกจากโมซุลไปยังเคอร์ดิชซึ่งเป็นเขตแดนที่ผู้ก่อการร้ายควบคุมอยู่ การอพยพนี้ทำให้เมืองโมซุลไร้คริสตชนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอิรัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น