วันสุดท้ายของประธานาธิบดี
กาเบรียล กราเซีย โมเรโน
โดย Marian T. Horvat, Ph.D.
โดย Marian T. Horvat, Ph.D.
ในการไปแสวงบุญที่ควิโต สิ่งหนึ่งที่ผมต้องการค้นหาคือเรื่องราวของ
กาเบรียล กราเซีย โมเรโน
“ประธานาธิบดีคาทอลิกที่แท้จริง”
ผู้ที่แม่พระทรงทำนายว่าท่านจะมาในศตวรรษที่ 19 และจะยกถวายประเทศเอกวาดอร์แด่ดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
ในเวลานั้นสาธารณรัฐที่ตั้งขึ้นมาได้ไม่นานมีพรรคลิเบอรัลฟรีเมซอนเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา
พรรคฟรีเมซอนพยายามขับไล่คณะเยซูอิตและเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างรุนแรง กราเซีย
โมเรโน ผู้เป็นนักการเมืองจากต่างพรรคได้เข้ามาสู่วงการการเมืองการปกครองในปี
1860 ระยะเวลา 15
ปีในสมัยการปกครองประเทศของเขา
โมเรโนได้ทำให้ประเทศเล็กๆแห่งนี้เป็นที่รักของพระเยซูเจ้าและแม่พระเป็นอย่างยิ่ง
– เป็นตัวอย่างของรัฐคาทอลิก
ในฐานะประมุขแห่งรัฐ
สิ่งแรกที่เขาทำก็คือมอบอำนาจอันชอบธรรมให้แก่พระศาสนจักรซึ่งพวกปฏิวัติได้ปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดความเกลียดชังในกลุ่มสังคมนิยมและพวกหัวรุนแรง พวกเขาเรียก โมเรโน
ว่านักเผด็จการเพราะเขาปฏิเสธที่จะเจรจากับพรรคปฏิวัติ พวกเขาต่อสู้กับโมเรโนอย่างเอาจริงเอาจัง แต่โมเรโนก็ตอบโต้กลับ เขามีคติพจน์ว่า
“เสรีภาพสำหรับทุกคนและสำหรับทุกสิ่ง
ต่อสู้กับความชั่วและผู้กระทำความชั่ว”
สิ่งหนึ่งที่เขาทำเป็นอันดับแรกๆก็คือทำสนธิสัญญาให้เสรีภาพแก่พระศาสนจักรในปี
1867
เขาจัดตั้งรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญภายใต้พระคริสตเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ในปี
1870 ประเทศเอกวาดอร์เป็นเพียงประเทศเดียวในบรรดาประเทศทั่วโลกที่ประท้วงการเข้ารุกรานรัฐของพระสันตปาปาและให้การสนับสนุนพระสันตปาปาผู้ถูกขังให้อยู่โดดเดี่ยว ในปี 1873
เขาได้ยกถวายประเทศเอกวาดอร์แด่ดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
ความโกรธแค้นของพวกสังคมนิยมและฟรีเมซอนที่ได้สูญเสียอำนาจของตนเมื่อ
โมเรโนได้เป็นประธานาธิบดี
ทำให้คนพวกนี้หาเรื่องใส่ความเขา
แต่ไม่สามารถทำให้ประชาชนเสื่อมความนิยมต่อผู้สัตย์ซื่อและมีคุณธรรมผู้นี้ ประชาชนกลับให้ชื่อโมเรโนว่า
“บิดาของปวงชน”
ภายใต้การปกครองของโมเรโน
โรงเรียนคาทอลิกและมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง , หนี้สินของประเทศหมดสิ้นไป ถนนและสาธารณูปโภคถูกสร้างขึ้นมา อาชญากรถูกจับขังคุกหรือโดนแขวนคอ และถนนหนทางก็ปลอดภัย
เมื่อโมเรโนได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัยในปี
1875 พวกเมซอนนิกจากสำนักงานใหญ่ที่เยอรมนี
ซึ่งนำโดยหัวหน้าใหญ่ที่ต่อต้านคาทอลิก นาย ออตโต วอน บิสมาร์ก (
Otto von Bismarck) ก็ออกคำสั่งให้สังหารโมเรโนให้จงได้ มีผู้มาเตือนโมเรโนในเรื่องนี้
แต่โมเรโนได้เขียนบันทึกไว้ในจดหมายถึงพระสันตะปาปาปีโอที่ 9 ว่า
“ดูเหมือนว่า โลหิตของกระผมอาจจะมีค่าพอที่จะหลั่งออกมาเพื่อประเทศและพระศาสนจักรคาทอลิก”
ตอนต้นเดือนสิงหาคม
1875 ได้มีการจัดเตรียมการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกเข้ามาอีกครั้ง มีเสียงร่ำลือที่กระจายไปทั่วควิโตว่า
แผนลอบสังหารประธานาธิบดีได้ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว วันที่ 5 ส.ค.
พระสงฆ์องค์หนึ่งขอร้องให้ผู้ช่วยของประธานาธิบดีไปเตือนเขาว่ามีการวางแผนที่จะสังหารเขาในวันรุ่งขึ้น
ท่านขอร้องประธานาธิบดีให้มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด.
โมเรโน
ตอบว่า “มาตรการเพียงอย่างเดียวสำหรับภาวการณ์เช่นนี้ก็คือ เตรียมตัวเองให้พร้อมที่จะไปปรากฏตัวเบื้องพระพักตร์พระเป็นเจ้า” และเขาก็ทำงานของเขาต่อไป.
เวลาบ่ายของวันที่
6 ส.ค. โมเรโนก็ถูกลอบสังหารด้วยมีดยาว (machete)
ตามด้วยการถูกยิงด้วยปืนรีวอร์เวอร์จากชายสามคน ที่ระเบียงทางเดินของวังประธานาธิบดี
โมเรโนถูกหามส่งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ไปยังอาสนวิหารและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ณ. แทบพระแท่นบูชาแม่พระมหาทุกข์
การบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญ
วันลอบสังหาร
กลุ่มแสวงบุญของเราได้รับความอนุเคราะห์จาก
ดร. ฟรานซิสโก ซาลาซาร์ อัลวาราโด
เป็นผู้บรรยายประวัติต่างๆ
ลุงทวดของ ดร.ฟรานซิสโก คือ นายพลฟรานซิสโก จาเวียร์ ซาลาซาร์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมในสมัยประธานาธิบดี
โมเรโน และเป็นมิตรสหายที่ไว้วางใจได้ของท่านประธานาธิบดี ดร. ฟรานซิสโก
ได้ศึกษาประวัติศาสตร์นี้อย่างละเอียด
วันลอบสังหาร
วันที่
6 ส.ค. 1875 วันศุกร์ต้นเดือน
ซึ่งระลึกถึงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ประธานาธิบดีโมเรโน
กระทำกิจวัตรตามปกติของท่าน ท่านเดินจากบ้านไปตามทางเดินของ
Santo Domingo Plaza (ดูรูป) เพื่อไปร่วมพิธีมิสซาเวลา 6.00 น
ณ.โบสถ์ซานโตโดมิงโก
ที่ข้างระเบียงสำหรับคุกเข่ารับศีล
มีป้ายเขียนไว้ว่า “ดร.กาเบรียล กราเซีย โมเรโน
ได้รับศีลมหาสนิทในวันศุกร์ต้นเดือน 6
ส.ค. 1875 ก่อนที่จะถูกลอบสังหาร”
ออกจากโบสถ์แล้วเขาเดินกลับบ้านและทานอาหารเช้ากับภรรยา
มาเรียนา เวลา 9.30 น. โดยปกติหลังจากทานอาหารเขาจะเดินไปยังวังประธานาธิบดี
แต่ในวันนั้นเขายังอยู่ที่บ้านเพื่อทำงานในการเตรียมร่างสุนทรพจน์ที่จะพูดในรัฐสภาวันที่
10 ส.ค.
คนร้ายที่จ้องโจมตีโมเรโนรู้สึกหัวเสียที่มีการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของเขา แต่ก็ยังคงรอคอยอยู่ที่บริเวณนั้น
เวลาบ่ายโมง
1.00 น โมเรโนไปยังวังประธานาธิบดี มีเพียงผู้ช่วยประจำตัว นาย มานูเอล ปาลลาเรส (Manuel
Pallares) ที่ตามไปด้วย
เขาหยุดที่ถนน Sucre Street ซึ่งใกล้กับโบสถ์ของคณะเยซูอิต
เป็นเวลาสั้นๆเพื่อทักทายกับลูกบุญธรรม
ซึ่งอยู่ในครอบครัว อัลคาซ่า
เขาหยุดสั้นๆอีกครั้งที่อาสนวิหารและเข้าไปในโบสถ์น้อยเพื่อเฝ้าศีลมหาสนิทที่ตั้งอยู่ เสร็จแล้วจึงไปยังวังประธานาธิบดีทันที
ผู้ปองร้ายเตรียมพร้อมแล้ว
ที่บันไดของวังเขาได้ทักทายกับคนหลายคน รวมทั้ง เฟาสติโน ราโย (Faustino Rayo) ผู้ซึ่งได้ใช้มีดที่เตรียมมาแทงโมเรโนอย่างโหดเหี้ยม ราโย มีความโกรธแค้นโมเรโน
เพราะพลาดรับตำแหน่งหนึ่งซึ่งจะทำให้เขาร่ำรวย แต่เพราะเขามีประวัติที่ไม่ซื่อสัตย์จึงพลาดตำแหน่ง ราโยจึงอาสารับทำงานอันโหดเหี้ยมนี้ เขาแสร้งทำเป็นมิตรกับประธานาธิบดี
โมเรโนที่บาดเจ็บจากการถูก ราโย แทงด้วยมีดมาเช็ตเต้ ตะเกียกตะกายไปตามทางด้านข้างของบันไดเพื่อไปยังระเบียงที่มีเสาตั้งเรียงรายอยู่หลายต้น
ในเวลานั้นยังไม่มีรั้วกั้นระหว่างเสาเหมือนในเวลานี้ รั้วนี้โมเรโนเป็นผู้สั่งจากปารีสเพื่อจะมาติดตั้งแต่ได้กระทำภายหลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว
โมเรโนมาถึงแผนกคลังที่อยู่ในวัง ราโยตามมาและใช้มีดแทงซ้ำ มีดแรกถูกหมวกของโมเรโน
ตกกระเด็นไปที่พื้น ราโยแทงซ้ำอีก มีผู้ร่วมงานตามราโยมาและใช้ปืนยิงโมเรโน แต่กระสุนเฉียดร่างไป
โมเรโนตอบราโยว่า
“Dios no muere!” “God does not die.พระเจ้าไม่มีวันตาย” นั่นคือคำพูดสุดท้ายของข้อความที่เขาเขียนบ่อยๆ
“ผมเป็นเพียงมนุษย์ที่สามารถถูกฆ่าให้ตายและเข้าแทนที่ได้ แต่พระเจ้าไม่มีวันตาย”
ผู้ร่วมสังหารอีกคนหนึ่ง
โรเบอร์โต แอนเดรียด ร้องออกมาว่า “ตายเสียเถอะ
เยซูอิต” ชื่อของคณะนักบวชที่ถูกกลุ่มต่อต้านพระสงฆ์ขับไล่ออกนอกประเทศ แต่เมื่อโมเรโนเป็นประธานาธิบดีแล้ว เขาได้เชิญให้คณะเยซูอิตกลับมายังบ้านของคณะดังเดิม.
โมเรโนพยายามแย่งปืนเพื่อป้องกันตัวเอง แต่บาดแผลทำให้เขาเจ็บปวด ราโยแทงด้วยมีดอีกครั้งหนึ่ง ฆาตกรโรเบอร์โต แอนเดรียด, มานูเอล คอร์เนโจ และอเบอราโด มอนคาลโย ยิงปืนมาที่โมเรโน แต่กระสุนเพียงแต่เฉียดร่างเท่านั้น
ราโยแทงครั้งสุดท้าย
ร่างของประธานาธิบดีร่วงหล่นลงจากระเบียงสูงประมาณ 10-12 ฟุต
ตกยังพื้นดิน
ปัจจุบันมีป้ายหินติดที่กำแพงเป็นเครื่องหมายบริเวณที่ร่างของโมเรโนตกลงมา ตามที่พยานได้ระบุไว้.
การยิงล้มเหลว
แขนของโมเรโนหัก แต่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาได้รับบาดแผลที่ยังไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ไม่มีใครที่ช่วยเหลือได้ บางคนสงสัยว่า
ผู้ติดตามประธานาธิบดี
นาย มานูเอล ปาลลาเรสไปอยู่ที่ไหน?
แทนที่เขาจะเข้ามาช่วยป้องกันขัดขวาง เขากลับวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือ ทำให้ประธานาธิบดีไม่มีทางสู้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนด้วยหรือไม่? ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่หลายคนยังคงสงสัยเสียงปืนทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณจัตุรัสและทหารที่ประจำอยู่ที่ พลาซ่า โดยมี นายพล ซาลาซาร เป็นผู้ประจำการในวันนั้น สตรีที่อยู่ในบ้านใกล้ๆวิ่งมาบริเวณที่ประธานาธิบดีตกลงมา ราโยและพรรคพวกรีบวิ่งลงมาเพื่อจัดการงานให้เสร็จ เขาผลักสตรีผู้นั้นออกไป และแทงประธานาธิบดี โมเรโนซ้ำด้วยมีดทำให้มีบาดแผลบริเวณกระโหลกศีรษะ มีการยิงปืนซ้ำอีกแต่กระสุนก็เฉียดร่างไปเช่นเคย.
ฆาตกรตะโกนคำขวัญของมันว่า
“ทรราชต้องพินาศ” “เราเป็นอิสระแล้ว”
และมันก็วิ่งหลบหนีไป
นายพลซาลาซาร์ได้ยินเสียงปืนจึงสั่งทหารให้ไปที่จัตุรัส ทหารจับตัวราโยไว้ได้และนำไปที่กรมทหาร
ข่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
“ประธานาธิบดีถูกยิง” “ราโยเป็นฆาตกร” และในความสับสนมีเสียงตะโกนว่า
“ประหารเจ้าฆาตกรเสีย”
ทหารหนุ่มคนหนึ่งยิงปืนใส่ราโยที่กลางจัตุรัส ในกระเป๋าของราโยเต็มไปด้วยเงินเปรู
เงินของยูดาสที่จ่ายให้โดยกลุ่มเมซอนเพื่อที่เขาจะหนีออกจากเอกวาดอร์ไปเปรู ประชาชนลากร่างของเขาไปทิ้งที่ถนน
นายพลซาลาซาร์
มาถึงร่างของประธานาธิบดีและสั่งทหารแบกร่างของโมเรโนไปที่อาสนวิหาร
ร่างของประธานาธิบดีถูกวางไว้แทบพระรูปแม่พระมหาทุกข์ ซึ่งโมเรโนรักและศรัทธา พระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีผู้ตายถามประธานาธิบดีว่า
เขาจะให้อภัยศัตรูไหม
โมเรโนใช้ความพยายามลืมตาและพูดว่าเขาให้อภัยก่อนที่จะเสียชีวิต
บนหน้าอกของประธานาธิบดีมีกางเขนสวมอยู่
และมีสายจำพวกพระมหาทรมานและดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าสวมอยู่ มีเหรียญรูปพระสันตะปาปาปีโอที่ 9
คล้องอยู่ด้วย ในกระเป๋าของเขามีหนังสือ
“จำลองแบบพระคริสต์”
ในหน้าสุดท้ายที่เขาอ่านค้างไว้มีเส้นดินสอขีดที่ประโยค “พระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้ไถ่ของข้าพเจ้า
โปรดประทานความรักยิ่งใหญ่และความถ่อมพระองค์ของพระองค์แก่ข้าพเจ้า และโปรดสอนข้าพเจ้าว่าสิ่งใดควรกระทำในวันนี้เพื่อเป็นการรับใช้และเป็นพระเกียรติของพระองค์”
แผนการของกลุ่มปฏิวัติ
กลุ่มก่อการปฏิวัติหวังว่าการสังหารประธานาธิบดีโมเรโน จะเป็นการจุดประกายไฟปฏิวัติขึ้นในท่ามกลางประชาชน ซึ่งถูกปลุกปั่นจากกลุ่มเมซอนนิกในเรื่อง เสรีภาพ
ความเท่าเทียม และภราดรภาพ
ปฏิเสธพระศาสนจักรคาทอลิก
แต่แทนที่จะเป็นตามที่หวัง
ประชาชนพากันโศกเศร้าคร่ำครวญถึงประธานาธิบดี ให้สมญาท่านว่า บิดาและผู้ให้กำเนิดเอกวาดอร์ ประชาชนนับถือประธานาธิบดีโมเรโนเป็นมรณสักขีของพระศาสนจักร
แพทย์เย็บปิดแผลของประธานาธิบดี น่าประหลาดที่ไม่มีอวัยวะสำคัญที่เสียหายหรือแตกหัก
เขาแต่งกายร่างของท่านด้วยชุดเครื่องแบบเต็มยศให้ร่างของท่านอยู่ในท่านั่งบนเก้าอี้ในมุมหนึ่งของชั้นที่สองของลานอาสนวิหาร มีนายทหารห้านายยืนประจำการอยู่ข้างหลัง
ประชาชนเดินทางมาจากทุกสารทิศเพื่อแสดงความคารวะ
ศพของท่านถูกฝังไว้ในอาสนวิหาร แต่ก็ยังมีเรื่องรบกวน
แปดปีต่อมา เกิดการปฏิวัติในประเทศมีความวุ่นวาย
บรรดามิตรสหายและญาติในครอบครัวของโมเรโนกลัวว่า ศพของท่านอาจถูกเคลื่อนย้ายและไม่ได้รับการเคารพโดยพวกเสรีนิยม ดังนั้นในเวลาเที่ยงคืน
พวกเขาจึงขุดเอาศพของท่านขึ้นมาและนำไปไว้ในที่ซ่อนเร้น ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน จนกระทั้ง ดร. ซาลาซาร์ มาศึกษาเรื่องของโมเรโน
ในปี 1973 และเริ่มค้นหาจนพบศพของท่านประธานาธิบดี
____________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น