วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไฟชำระ

เบนิโต  มุสโสลินี ไปอยู่ในไฟชำระก่อนที่จะได้เข้าสู่สวรรค์
เอ็ดวิจ  คาร์โบนี Edvige Calbini (1880-1952) สตรีผู้ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณที่รับเคราะห์แทนผู้อื่น
เอ็ดวิจได้เห็นภาพนิมิตประชาชนที่ได้ไปอยู่ในนรก  ในไฟชำระและมาร้องขอความช่วยเหลือจากเธอ  แล้ววิญญาณเหล่านั้นก็ได้ไปสู่สวรรค์
วิตาเลีย  เพื่อนของเอ็ดวิจเล่าว่า “มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอาคารเดียวกันกับเอ็ดวิจ  เขาไม่ยอมฟังคำแนะนำของเธอให้สำนึกผิดกลับใจ  เขาเป็นผู้ที่ไม่มีความเชื่อและวันหนึ่งเขาเสียชีวิตจากการถูกไฟฟ้าช็อตในที่ทำงาน  มีคนช่วยเหลือนำเขาไปโรงพยาบาล  เขายังมีชีวิตอยู่  แต่เขาปฏิเสธพระสงฆ์ที่มาโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ใกล้เสียชีวิต  เขาจึงไม่ได้รับศีกศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะเสียชีวิต
วันหนึ่งเอ็ดวิจเห็นชายหนุ่มคนนี้กำลังอยู่ในเปลวไฟ  เขาถูกสาปแช่งให้ตกนรก  ที่นั่นเขาแช่งด่าเอ็ดวิจและกล่าวหาเธอว่าไม่ได้สวดภาวนาสำหรับเขาให้มากเท่าที่ควร  พระเยซูเจ้าทรงปลอบใจเอ็ดวิจโดยทรงบอกเธอว่า พระองค์ทรงเมตตาต่อเขาโดยทรงส่งพระสงฆ์ไป  แต่เขาได้ปฏิเสธพระสงฆ์และปฏิเสธพระองค์
มีอีกกรณีหนึ่ง  เป็นผู้ชายที่ดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์  แต่เขาไม่เคยรับศีกศักดิ์สิทธิ์ใดๆเลย  พระเยซูเจ้าทรงบอกเอ็ดวิจให้เขียนจดหมายไปหาชายคนนี้และบอกเขาว่า  ถ้าเขาไม่เปลี่ยนวิถีชีวิต  เขาจะถูกลงโทษ  แต่ชายคนนี้ไม่ต้องการสำนึกผิดกลับใจและต่อมา  พระเยซูเจ้าทรงแจ้งให้เอ็ดวิจรู้ว่าเขาถูกสาปแช่งให้ตกนรกแล้ว
พระเยซูเจ้ายังทรงบอกให้เอ็ดวิจรู้เรื่องของทันตแพทย์คนหนึ่งที่อยู่ในซาดิเนีย  เขาได้ถูกสาปแช่ง  พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ลูกสาวของเรา  ทันตแพทย์ผู้นั้นได้ตายเมื่อไม่กี่เดือนมานี้  แต่เขาไม่ต้องการรับเราให้เป็นบิดาของเขา  และดังนั้นเราก็ไม่รับเขาเป็นลูกชายของเรา”
มีเรื่องหนึ่งซึ่งรู้จักกันดี  เป็นกรณีของพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2  ครั้งหนึ่งในที่ประชุมของมหาวิทยาลัยในกรุงโรม ท่านได้ปฏิเสธถึงการปรากฏอยู่จริงในศีลมหาสนิทของพระเยซูเจ้า  ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิต  เขาได้ปรากฏต่อเอ็ดวิจ  เพราะเธอเคยสวดภาวนาให้เขา
วิญญาณพระสงฆ์นี้บอกกับเธอว่าเวลานี้  เขาถูกสาปแช่งให้อยู่ในนรก  เพราะหนังสือที่เขาเขียนต่อต้านความเชื่อและเป็นต้นเหตุของการเยาะเย้ย  และเพื่อพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่เป็นมายาภาพของเอ็ดวิจ  พระสงฆ์ได้ยกหนังสือเล่มหนึ่งในห้องของเธอและแตะหนังสือ  หนังสือก็ถูกเผาไหม้จนหมด
เอ็ดวิจได้เขียนในไดอารี่ของเธอเกี่ยวกับไฟชำระเมื่อ ตุลาคม 1943ว่า “บางคนได้มาปรากฏต่อฉันและแตะฉันที่ข้อมือทำให้ไหม้เป็นรอย  ฉันไม่รู้จักเขา  เขาแต่งการเหมือนเป็นข้าราชการ  เขาพูดกับฉันว่า “ผมตายในระหว่างสงคราม  ผมอยากจะขอให้มีพิธีมิสซาที่ทำโดยท่าน มงซิเยอร์ วิตาลี  คุณและน้องสาวของคุณช่วยถวายมิสซานี้เพื่อผมด้วย”
หลังจากประกอบพิธีมิสซาตามความตั้งใจของเขาแล้ว  เขาได้มาปรากฏต่อเธออีกครั้งแวดล้อมด้วยแสงสว่างและพูดว่า “ผมได้ขึ้นสวรรค์แล้ว และผมจะสวดภาวนาเพื่อคุณทั้งสอง (เอ็ดวิจีและเปาลีนา)  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่าน มงซิเยอร์ วิตาลี  ผมเป็นชาวรัสเซีย  ผมชื่อ  เปาโล  วิสชิน  แม่ของผมสอนผมในเรื่องความเชื่อ  แต่เมื่อผมโตขึ้นผมได้หันเหออกนอกทางเพราะอิทธิพลที่ไม่ดี  ในวาระใกล้ตายผมได้สำนึกผิดและระลึกถึงคำสอนของแม่ในเวลาที่ผมเป็นเด็กได้”
เอ็ดวิจบันทึกในไดอารี่ “ขณะที่ฉันกำลังสวดภาวนาเบื้องหน้ากางเขน  มีคนหนึ่งปรากฏมาทันทีภายในเปลวไฟ ฉันได้ยินเสียงของเขาพูดว่า”
“ผมคือ เบนิโต  มุสโสลีนี  พระเยซูเจ้าทรงอนุญาติให้ผมมาหาคุณเพื่อขอให้คุณช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของผมในไฟชำระ  ผมขอวิงวอนคุณให้เมตตาช่วยผมด้วยการ สวดภาวนา, พลีกรรมและยอมรับความอับอายเพื่อผมเป็นเวลาสองปี  ถ้าหากพระสงฆ์วิญญาณารักษ์ของคุณอนุญาต  พระเมตตาของพระเป็นเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุด  แต่พระองค์ทรงเป็นองค์ความยุติธรรมด้วย  ไม่มีใครเข้าสู่สวรรค์ได้จนกว่าจะได้ชดใช้หนี้ต่อพระยุติธรรมศักดิ์สิทธิ์จนหมดเสียก่อน  ไฟชำระเป็นสถานที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสยิ่งนักสำหรับผมเพราะผมรีรอจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายจึงจะสำนึกผิดกลับใจ”
ในฤดูใบไม้ผลิปี 1951 พระเยซูเจ้าทรงบอกแก่ฉันหลังจากรับศีลมหาสนิทว่า “เช้าวันนี้ วิญญาณของเบนิโต  มุสโสลีนีได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว”
            มุสโสลีนี ตายเมื่อ 28 เม.ย. 1945
            -----------------------------------------
อีกครั้งหนึ่งเอ็ดวิจบันทึกว่า “ฉันฝันเห็นครูของฉันคนหนึ่งที่เสียชีวิตเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจากการถูกระเบิดที่ตกใส่  ฉันเห็นท่านในแสงสว่างเจิดจ้าสวยงามแต่ที่แขนของเธอมีรอยไหม้เล็กน้อย  ส่วนอื่นๆของร่างกายของท่านเป็นปกติและสวยงาม”  ท่านพูดว่า
“มองดูฉันสิ  ที่ฉันต้องการในตอนนี้คือมิสซาอีกหนึ่งมิสซาแล้วฉันก็จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ  ช่วยขอให้มงซิเยอร์ วิตาลี ประกอบพิธีมิสซาเพื่อฉันด้วยนะ”
แม่พระทรงบอกกับเอ็ดวิจว่า  ป้าของเธออยู่ในไฟชำระเพราะได้หลีกเลี่ยงการไปร่วมพิธีมิสซาหลายครั้งในวันอาทิตย์ซึ่งต้องบังคับ  ส่วนน้องชายของเธอ จิออจีโน ก็ได้มาปรากฏต่อเอ็ดวิจด้วยเช่นกัน  และเขาบอกเธอว่า เขากำลังอยู่ในไฟชำระและต้องอยู่เป็นเวลา 8 ปี  เขาวอนขอให้สวดภาวนาเพื่อเขา  แล้วมาจับมือของเอ็ดวิจขณะที่พูดว่าลาก่อน  ทิ้งรอยไหม้ไว้บนมือของเอ็ดวิจซึ่งคงอยู่จวบจนเธอเสียชีวิต
ในวันฉลองนักบุญทั้งหลาย  เอ็ดวิจมีความสุขมาก  เพราะมีวิญญาณมากมายเข้าแถวเพื่อขอบคุณเธอที่สวดภาวนาให้จนพวกเขาได้เข้าสู่สวรรค์
ในปี 1923 เพื่อนของเอ็ดวิจชื่อ เมอร์ซิเดส  แฟร์ซี่  เสียชีวิตขณะมีอายุ 28 ปีจากโรค วัณโรค TB  ไม่กี่วันหลังจากการตาย  เมอร์ซิเดส ได้ปรากฏมาในชุดสีขาวและบอกเอ็ดวิจว่า  เวลานี้เธอกำลังมีความสุขอยู่เบื้องพระพักตร์พระเป็นเจ้าและมีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งในสวรรค์ 
เดือนสิงหาคม 1941 เธอเขียนในไดอารี่ว่า พระเยซูเจ้าทรงให้เธอเห็นสวรรค์ พระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่ามาและดูสิ่งที่สวยงามเถิด
ฉันเดินผ่านเข้าไปในประตูที่สวยงามซึ่งมีทูตสวรรค์ที่สวยงามสององค์ยืนเฝ้าอยู่แต่ละด้าน ที่ประตูมีป้ายจารึกไว้ว่า ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์และไร้ยางอาย ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้แล้วทูตสวรรค์ก็นำฉันผ่านเข้าไป  ฉันมีความสุขมากเมื่อได้เข้าไป  นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของสวรรค์เท่านั้น ช่างสวยงามเหลือเกิน!  พืชพันธ์และดอกไม้นานาชนิดที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน  พื้นดินปกคลุมด้วยดอกไม้ที่เป็นมุกและอัญมณีมีค่ามากมาย  แล้วทูตสวรรค์ก็ทำสัญญาณไม่ให้ฉันเข้าไปไกลกว่านี้  ฉันได้เห็นพระสงฆ์ซาเลเซียนองค์หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ฉัน  ท่านถือกุญแจไว้ในมือ  แล้วท่านเปิดประตูที่มีป้ายเขียนไว้ว่า “สวนซาเลเซียน”  ข้างในนั้นมีพระสงฆ์และฆราวาสทุกอายุทุกวัย  เป็นสวนที่สวยงามมากประกอบด้วยพืชพันธ์ต่างๆและดอกไม้ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย  และทุกคนกำลังขับร้องเพลงประสานกันอย่างมีความสุข”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น