วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เกร็ดประวัติวัดคอนเซปชั่น


ชาวเขมร

ชาวบ้านเขมรสามเสนสำนักวัดคอนเซ็ปชั่นนี้ ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเฉพาะส่วนที่สำคัญที่ปรากฏเป็นหลักฐานคือ ครั้งรัชกาลที่ 1 มีพระราชประสงค์จะให้จัดซื้อปืนใหญ่จากต่างประเทศมาไว้ใช้ในราชการให้เพียงพอ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวโปรตุเกสในหมู่บ้านวัดคอนเซ็ปชัญสามเสนนี้ จัดการสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่เพราะที่ปืนใหญ่ที่ซื้อมาใหม่นั้น ต่างจากปืนใหญ่เก่าที่มีอยู่ จึงหาผู้สันทัดยิงปืนใหญ่ชนิดนี้ให้แม่นยำได้ยาก พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดให้มีการทดลองยิงที่ปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยา โดยใช้โอ่งขนาดใหญ่ลอยเป็นเป้า ไม่ปรากฏว่ามีใครยิงถูก

ต่อมามีเขมรผู้หนึ่ง ชื่อ แก้วเคยได้รับการสั่งสอนในการยินปืน ชนิดนี้มาจากชาวโปรตุเกส ได้ทำการยิงถวายให้ทอดพระเนตร นายแก้วยิงครั้งแรกถูกโอ่ง เป้านั้นแตกกระจาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ยังทรงแคลงพระราชหฤ ทัยว่า นายแก้วยิงถูกเป้าโดยบังเอิญหรือโดยแม่นยำกันแน่ จึงโปรดให้นายแก้วยิงอีกที นายแก้วก็ยิงถูกโอ่งเป้าอีกเป็นครั้งที่สอง ปรากฏชัดต่อพระเนตรว่านายแก้วเป็นผู้ยิงปืนแม่นจริง จึงทรงพระราชดำริตั้งกรมทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่ขึ้นกรมหนึ่ง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายแก้วเป็นที่พระยาวิเศษสงคราม รามภักดี จางวางกรมทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่ และเป็นหัวหน้าดูแลชาวหมู่บ้านคอนเซ็ปชัญด้วย ครั้นเมื่อพระยาวิเศษสงครามรามภักดี (แก้ว) ถึงแก่อนิจกรรม ก็ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงบุตรหลานให้ได้รับราชการสืบต่อกันมาเป็นลำดับ และทุกวันนี้ก็ยังมีเชื้อสายสกุลพระยาวิเศษสงครามภักดี (แก้ว) ปรากฏอยู่ (คือ สกุล วิเศษรัตน์และ วงศ์ภักดีนามสกุลทั้งสองนี้ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6)

กรมทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่นี้มีหน้าที่เก็บรักษาปืนใหญ่ ควบคุมปืนประจำป้อมและฝึกซ้อมการยิงเพื่อความชำนาญ ในเว ลาเสด็จพระราชดำเนินทรงชลมารคเกี่ยวกับการพระราชทานกฐินหลวงเป็นต้น ก็มีหน้าที่ความปืนหัวเรือพระที่นั่ง ในเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานดำเนินไปท้องถิ่น ก็มีหน้าที่เฝ้าพระบรมมหาราชวังโดยกวดขัน

มาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าให้ตั้งกรมทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่ขึ้นอีกครั้ง ให้ชื่อว่า กรมทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่หลังรับบรร จุคนที่อยู่บ้านญวนสามเสนเป็นพื้น ทรงพระกรุณาตั้งพระยาบันลือสิงหนาทเป็นจางวางส่วนกรมทหารฝรั่งแม่นปืนใหญ่กรมเก่าให้ชื่อว่า กรมทหาฝรั่งแม่นปืนใหญ่หน้าและโปรดให้พระยาวิเศษสงครามรามภักดี (แก้ว)เป็นจางวางอยู่ตามเดิม

ในระหว่างรัชกาลที่ 3 นั้น ได้มีเหตุที่ไทยต้องรบกับญวนอยู่หลายปี พระยาวิเศษสงครามรามภักดี (แก้ว) ก็ได้ไปในราชการสงครามฉลองพระเดชาพระคุณจนสุดความสามารถ คราวนั้นปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า มีญวนคลององเจืองและญวนเมืองโจดก บรรดาที่นับถือศาสนาเดียวกับพระยาวิเศษสงครามรามภักดี (แก้ว) ขอสวามีภักดีเข้ามาอยู่ในประเทศสยาม พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ถัดบ้านเขมรไปทางเหนือ และพระยาวิเศษสงครามรามภักดี (แก้ว) กราบบังคมทูลขอญวนเหล่านั้นให้มาอยู่กับเขมร ครั้งต่อมาพระยาวิเศษสงครามรามภักดี (แก้ว) ถึงแก่อนิจกรรมลง ก็ทรงพระกรุณาโปรดตั้งนายจันทร์ผู้น้องเป็นพระยาวิเศษสงครามแทนที่ ภายหลังผู้คนในบ้านเขมรเกิดทบทวีมากขึ้น ที่อยู่แออัดไม่เพียงพอกันแล้ว พระยาวิเศษสงครามรามภักดี (จันทร์) จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานขยายเขตหมู่บ้านเขมรออกไปอีก ก็ได้รับพระมหา กรุณาธิคุณตามที่กราบบังคมทูลขอ เขตบ้านจึงขยายกว้างออก คือทิศเหนือวัดราชผาติการาม (วัดส้มเกลี้ยง) ทิศใต้จดวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ทิศตะวันออกติดถนนสามเสน ทิศตะวันตกจดแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนพวกญวนก็ขยับจากที่เดิมไปตั้งเคหะสถานทางด้านเหนือ

และต่อมาก็ได้สร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่ง คือวัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์หลังปัจจุบันนี้ขึ้น ซึ่งได้ทำการเสกเมื่อ ปี ค.ศ.1867
หน้าวัดคอนเซ็ปชั่นหันออกแม่น้ำเจ้าพระยา

พระรูปแม่พระประจำวัด

ต่อไปเราจะพูดถึงรูปปั้นแม่พระประจำวัดซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า"แม่พระไถ่ทาส"หรือที่ชาวบ้านเรีกกันเล่นๆอย่างติดปากว่า แม่พระตุ้งติ้ง หรือ แม่ระขนมจีนครับ



วัดคอนเซ็ปชั่นมีวัตถุอันล้ำค่าอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ชาวบ้านต่างเคารพบูชาและหวงแหนอย่างที่สุด วัตถุนั้นคือ รูปสลักพระรูปพระแม่เจ้าพระนางมหามารีอา พระรูปสลักนี้มีขนาดสูงประมาณ 100 เมตร แกะสลักด้วยฝีมือประณีตบรรจง และลงรักปิดทองสวยงามหาที่ติมิได้ การได้มาซึ่งพระรูปสลักนี้ มีเรื่องปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในพ ระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ว่า เมื่อ พ.ศ.2325 ซึ่งตรงกับ ค.ศ.1782 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ได้สร้างกรุงเทพมหานคร ได้เกิดการจลาจลขึ้นในเมืองเขมร เวลานั้นพระยายมราช(แบน) ได้ตั้งตัวเป็นที่ฟ้าทละหะปกครองกัมพูชา ในขณะเดียวกันได้มีขุนนางเขมรบางนายได้คบคิดกับพวกแขกจามเมืองตะโบงคะมุม ยกกองทัพเรือจะไปกำจัดพระยายมราช(แบน) พระยายมราช (แบน) เห็นว่าจะต่อต้านไม่ไหว จึงได้เกลี้ยกล่อมพวกเขมรที่นับถือศาสนาคริสตัง และอัญเชิญนักองเมน นักองอี นักองเภา ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ราชากษัตริย์เขมร และนักองเองราชบุตรของสมเด็จพระนารายณ์ราชา หลบเข้ามาเมืองไทย ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ซึ่งได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ทะนุบำรุงเจ้านายของเขมรไว้เยี่ยงพระราชโอรสและราชธิดาของพระองค์ ส่วนชาวเขมรที่เข้ามาด้วย 500 คนนั้น ได้โปรดเกล้าฯให้ชาวเขมร 500 คนมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญ ก็ด้วยทรงเห็นว่าในหมู่บ้านนี้มีชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นคริสตังอาศัยอยู่ก่ อนแล้วและชาวเขมรเหล่านั้นก็เป็นคริสตังเช่นเดียวกัน จึงเห็นควรให้อยู่ด้วยกัน เพื่อจะได้ถือปฏิบัติทางศาสนกิจร่วมกันต่อไป

ชาวเขมรที่อพยพมาคราวนั้น ได้อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าพระนางมารีอาดังกล่าวข้างต้นเข้ามาด้วย และได้ประดิษฐานพระรูปนั้นไว้ในวัดคอนเซ็ปชัญ เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของคนในหมู่บ้านนั้น คือชาวโปรตุเกสซึ่งมาอยู่ก่อน และชาวเขมรที่ได้มาอยู่ในภายหลังนี้ด้วย ทั้งสองพวกต่างอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียวด้วยความผาสุกตลอดมา

ต่อมาเหตุการณ์ในเมืองเขมรสงบราบคาบ ได้มีชาวเขมรที่อพยพหนีภัยเข้ามาพึ่งโพธิสม ภารบางหมู่เห็นว่าบ้านเมืองของตนสงบเรียบร้อยดีแล้ว จึงใคร่จะกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม ณ เมืองเขมร ในที่สุดได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อนุญาตให้ชาวเขมรที่ต้องการกลับ กลับคืนสู่ภูมิลำเนาของตนได้ตามความประสงค์และในการกลับคืนบ้านเกิดเมืองนอนของชาวเขมรเหล่านั้ น ก็ได้อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าลงเรือเพื่อนำกลับไปเมืองเขมรด้วย

ในตอนนี้ได้มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ขณะที่อัญเชิญพระรูปสลักพระแม่เจ้าไปนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น คือเรือที่อัญเชิ ญพระรูปพระแม่เจ้าไปนั้น เมื่อแจวออกไปไม่ไกลนัก เรือก็หยุดอยู่นิ่งกับที่ คนแจวพยายามแจวเท่าไรเรือก็ไม่ยอมเดินหน้า แม้จะเพิ่มคนแจวเข้าไปอีกเรือก็มิได้แล่นต่อไป เป็นเหตุให้เกิดความพิศวงมาก มีชาวเขมรบางคนสงสัยว่า อาจจะเป็นเพราะอำนาจปาฏิหาริย์ของพระรูปพระแม่เจ้า ที่มีพระประสงค์จะประทับอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญก็อาจเป็นได้ จึงได้ทดลองแจวเรือกลับมาทางวัดคอนเซ็ปชัญ คราวนี้เรือก็ยอมแล่นกลับโดยง่ายดาย แต่ครั้นทดลองแจวเรือกลับไปทางเก่าอีก เรือก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน ได้กระ ทำอยู่เช่นนี้หลายครั้งหลายหน ก็คงเป็นอยู่ในลักษณะเดิม ชาวเขมรที่จะกลับเมืองเขมรก็แน่ใจว่า พระแม่เจ้ามีพระประสงค์จะให้พระรูปสลักนี้ประทับอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญ จึงได้อัญเชิญพระรูปกลับมาประดิษฐานไว้ ณ วัดคอนเซ็ปชัญ แล้วพวกเขาก็เดินทางกลับเมืองเขมรโดยสวัสดิภาพ และพระรูปสลักรูปพระแม่เจ้าพระนางมหามารีอาก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดคอนเซ็ปชัญตราบเท่าทุกวันนี้

ที่มาของชื่อ แม่พระขนมจีน

แม่พระขนมจีน ก็ได้คำตอบถึงสาเหตุที่เรียกเช่นนี้ เป็นไปได้ว่า เมื่อฉลองแม่พระไถ่ทาส ประจำปี บรรดาลูกวัดสัตบุรุษที่อยู่ห่างไกล กลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้ง และแต่ละบ้านก็จะทำขนมจีน เลี้ยงฉลองกันในครอบครัว เกือบทุกครัวเรือน และเป็นเช่นนี้เสมอมา จึงเป็นสาเหตุให้เรียกว่า แม่พระขนมจีนตามการเรียกขานของสัตบุรุษจนปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันทั่วไป หรือบ้างว่า วัดติดอยู่ใกล้วัด มีเรือมาขายขนมจีน แล้วมีผู้หญิงลักษณะคล้ายกับแม่พระ มาขอซื้อขนมจีนแล้วหายไป ( ก็อาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่เชื่อต่อ ๆ กันมา )

ส่วนที่มาของชื่อแม่พระตุ้งติ๊งนั้น ก็เพราะว่าสมัยก่อนแม่พระจะมีต่างหูครับ จึงเป็นที่มาของแม่พระตุ้งติ้ง


บุษบกของแม่พระและความสัมพันธ์ของพระสังฆราชเปอเลอกัวกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ารัชกาลที่ 4

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ารัชกาลที่ 4 ได้ทรงผนวช ณ.วัดราชาธิวาสนั้นพระองค์ได้มีโอกาสสนธนาธรรมกับพระสังฆราชเปอเลอกัวกันอยู่บ่อยๆ โดยมีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน โดยที่่ท่านเปอเลอกัวก็ได้สอนภาษาอังกฤษแก่รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 4 ก็ได้สอนความรู้ด้านภาษาไทยภาษาบาลีกับท่านเปอเลอกัว ซึ่งท่านก็ได้ศึกษาจนแตกฉาน ทั้งสองท่านนี้สนิทกันมากครับ เล่ากันว่ารัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานบุษบกนี้แก่แม่พระ ยังความปราบปลื้มปิติแก่คนในชุมชนแห่งนี้

และด้วยพระมหากรุราธิคุณหลังจากที่ท่านเปอเลอกัวถึงแก่มรณภาพที่โบสถ์อัสสัมชัญ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2405 อายุ 57 ปี ศพฝังอยู่ในโบสถ์คอนเซ็ปชัญ ได้มีขบวนแห่จากหน้าโบสถ์อัสสัมชัญไปยังหน้าโบสถ์คอนเซ็ปชั่น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ มีพระประสงค์ให้พิธีศพเป็นไปอย่างสง่างามที่สุด จึงพระราชทานเรือหลวงสองลำเพื่อนำขบวนโดยบรรทุกหีบศพ ขบวนแห่นั้นประกอบไปด้วยเรือดนตรี (ดนตรีไทยจากค่ายคริสตัง) เรือของคริสตัง ข้าราชการไทย และทูตต่างประเทศ อีกด้วย



 

ขบวนเรือแห่ศพได้เคลื่อนตัวออกจากที่เฝ้าแล่นตรงไปยังวัดคอนเซ็ปชัญ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส (พระองค์เจ้านพวงศ์) เชิญเครื่องขมาศพเสด็จแทนพระองค์ไปร่วมในพิธีฝังศพจนกระทั่งเสร็จสิ้นพิธีการซึ่งนับว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับชาวต่างชาติ ศพของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ถูกนำมาบรรจุไว้ในกำแพงโบสถ์ด้านทิศเหนือของพระแท่น โดยมีคำจารึกบอกเล่าประวัติของท่านพระสังฆราชไว้บนหินอ่อนด้วยภาษาละตินวันรุ่งขึ้นคณะมิสซังฝรั่งเศสได้นำจดหมายแสดงความขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งทูลเกล้าฯ ถวายแหวนตำแหน่งยศของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์สำหรับเป็นที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประทับพระราชหฤทัยในความกตัญญุตาและมีสัมมาคารวะของพวกบาทหลวงคาทอลิก จึงมีพระราชหัตถเลขาตอบรับแหวน ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๖๒ (พ.ศ. ๒๔๐๕) ความตอนหนึ่งกล่าวถึงสัมพันธภาพครั้งเก่าก่อนระหว่างพระองค์กับพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ว่า

ท่านที่เคารพ เราขอตอบรับหนังสือที่ท่านส่งถึงเราเมื่อวานนี้ เพื่อขอบใจในการที่เราได้มีส่วนช่วยเหลือการปลงศพพระสังฆราชที่เคารพยิ่ง ซึ่งเป็นมิตรที่ดีสนิทสนมและจริงใจของเราเป็นเวลายี่สิบแปดปี...


ที่มา   - เว็ปพันธ์ทิป  http://pantip.com/topic/30072704

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น