ปี ค.ศ. 1846 ในสมัยที่รัชกาลที่ 4
ยังมิได้ขึ้นครองราชย์และทรงผนวชอยู่ที่วัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาสในปัจจุบันนี้ พระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ เป็นผู้ปกครองมิสซังสยามในเวลานั้น มีมิชชันนารีมาแพร่ธรรมในสยามประเทศประมาณ
21 องค์ การแพร่ธรรมได้ผลดีมาก จำนวนสัตบุรุษคริสตัง แทบทุกแห่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีการก่อตั้งกลุ่มคริสตังเพิ่มขึ้นหลายกลุ่มในบริเวณห่างไกลจากเมืองหลวง
นับเป็นยุคสมัยแห่งความเจริญของคริสตศาสนาในสยามเลยทีเดียว
การกำเนิดวัดคาทอลิกใหม่ๆแทบทุกแห่งในสยามประเทศ ส่วนมากมักจะเกิดจากการโยกย้ายหรืออพยพเพื่อหาที่ทำกินของคริสตังชาวจีน
ญวน หรือเขมร ที่ตำบลบางนกแขวก มีคริสตังอพยพมาจากตำบลสี่หมื่นเพื่อหักร้างถางพงหาที่ทำกินและพวกเขาได้สร้างวัดใหม่ขึ้น เรียกว่า "วัดศาลาแดง"
พวกเขาเรียกชื่อสถานที่นี้ว่า“บางนกแขวก” ซึ่งจะเป็นชื่อที่เรียกตำบล , คลอง และวัดมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
ต่อมาอาศัยการนำของคุณพ่อมาแร็ง เมื่อได้จัดเตรียมที่ดินเรียบร้อยแล้วก็ได้ย้ายวัดมาสร้างใหม่
โดยขยายให้ใหญ่โต ทั้งปรับปรุงให้งดงามกว่าเดิม และตั้งชื่อวัดว่า “วัดแม่พระบังเกิดบางนกแขวก” ตั้งอยู่ริมฝั่งคลองบางนกแขวก ( ต่อมา ปี ค.ศ.1890 คุณพ่อราบาร์แดล ได้เริ่มสร้างวัดบางนกแขวกหลังปัจจุบันเป็นตึกถาวร
การก่อสร้างกินเวลา 6 ปี และเสร็จเรียบร้อยเมื่อปี 1896 )
ในปี
ค.ศ.1863 คุณพ่อราบาร์แดล ได้มาอยู่ที่วัดบางนกแขวก ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีใจร้อนรนขยันขันแข็งต่องานแพร่ธรรมของวัดบางนกแขวก
คุณพ่อเอาใจใส่สอนคริสตชนให้มีความเชื่อจนมีคนกลับใจเป็นจำนวนมาก นอก จากวัดบางนกแขวกแล้วยังมีวัดดอนกระเบื้องและวัดเพชรบุรีที่คุณพ่อต้องเอาใจใส่ดูแลตลอดเวลา
ไม่ไกลจากบางนกแขวกมากนัก มีอำเภอเล็กๆชื่อ อำเภอวัดประดู่
เพราะเป็นสถานที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอครั้งแรก ซึ่งอยู่ริมคลองวัดประดู่ บริเวณหน้าวัดประดู่อ้อม
ต.จอมประทัด ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "อำเถอวัดเพลง" ซึ่งชื่อนี้มีที่มาจาก ประเพณีของชาววัดเพลง คือคนที่นี่ชอบเล่นเพลง ทั้งเพลงกล่อมเด็ก เพลงเรือ
เพลงปรบไก่ จนได้ชื่อของอำเภอว่า "วัดเพลง"
ว่ากันว่า แต่ก่อนถ้าล่องเรือในแม่น้ำแควอ้อมจะได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กเจื้อยแจ้วดังแว่วมา ในยามเย็นก็จะได้ยินเพลงพื้นบ้านดังมาจากใต้ถุนเรือน ประชากรในอำเภอวัดเพลงผสมผสานกันระหว่างชาวไทย
ชาวมอญ ชาวจีน ชาวกะเหรี่ยง
วันหนึ่งพระสงฆ์คณะมิสซังจากกรุงปารีสได้ยินว่าไม่ไกลจากวัดบางนกแขวกมากนักมีวัดพุทธอยู่วัดหนึ่งชื่อว่าวัดบางกล้วย จึงอยากเข้าชมวัดนี้สักครั้งหนึ่ง พระสงฆ์จึงนั่งเรือออกจากวัดบางนกแขวก ล่องไปทางใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร วัดบางกล้วยเป็นวัดพุทธและมีสมภารปาน เป็นเจ้าอาวาสจำพรรษาอยู่ ท่านสมภารเป็นคนเคร่งในศาสนา เมื่อท่านเห็นพระสงฆ์ฝรั่งต่างศาสนานั่งเรือมา จึงได้ไล่พระสงฆ์คณะมิสซังไปเสีย
สมภารปาน ครั้นมาระลึกได้ว่าตนได้ไล่พวกที่สอนศาสนา ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรจึงรู้สึกไม่สบายใจ ท่านเคยไปที่วัดบางนกแขวกมาครั้งหนึ่งแล้ว ในตอนที่น้องสาวของท่านไม่สบายและท่านไปขอยาจากซิสเตอร์ที่วัดเพราะทราบข่าวว่าที่นี่มียาดี ต่อมาท่านจึงได้ข้ามแม่น้ำไปพบปะสนทนากับบรรดาคุณพ่อและเริ่มเข้าใจกัน
ที่สุดท่านมีความสนใจและสมัครเรียนเรื่องศาสนาคริสต์ ท่านเรียนเป็นเวลานานไม่น้อยกว่า
2-3 ปี จนเกิดความเลื่อมใสจึงปรารถนาจะรับศีลล้างบาป แต่การเปลี่ยนศาสนาของสมภารปานไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะท่านเป็นถึงเจ้าอาวาสอันเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน และยังเป็นลูกศิษย์ของเจ้าฟ้ามงกุฏ(รัชกาลที่ 4)
เพราะสมภารปานได้บวชเข้านิกายธรรมยุติ
อันเป็นนิกายที่เจ้าฟ้ามงกุฏเป็นผู้ก่อตั้งในขณะที่พระองค์ทรงผนวชอยู่
ท่านสมภารปานคงจะทราบอยู่บ้างแล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อท่านเขียนจดหมายไปถึงผู้ใหญ่เพื่อขอลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดบางกล้วยและขอลาสิกขาบท ท่านถูกเรียกตัวให้เข้าเมืองหลวงทันที และได้รับการตำหนิอย่างมากมาย ซึ่งท่านก็น้อมรับแต่ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นในความตั้งใจของท่าน
เรื่องนี้เป็นที่โจษจันเข้าไปถึงพระราชวัง ซึ่งขณะนั้นรัชกาลที่ 4 ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ในที่สุดเมื่อเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจสมภารปานได้ ทางผู้ใหญ่จึงประชุมกันและอนุญาติให้ท่านลาสิกขาบทได้
ท่านสมภารปานได้รับศีลล้างบาปจากคุณพ่อราบาร์แดล ที่วัดบางนกแขวก
ตรงกับวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ที่ 24 มีนาคม ค.ศ.1864 อายุ
67 ปี มีศาสนนามนักบุญเปาโลอัครสาวก เรียกชื่อใหม่ว่า เปาโลปาน โดยคุณพ่อราบาร์แดล เป็นทั้งผู้โปรดศีลล้างบาปและเป็น
พ่อทูนหัวเองด้วย เมื่อท่านสมภารปาน ได้รับศีลล้างบาปเป็นคริสตังแล้ว ท่านได้ไปชักชวนพี่น้องที่ตำบลบ้านห้วยหรือตำบลปากไก่
ปัจจุบัน ซึ่งเป็นบ้านเกิดเดิมของท่านให้หันมานับถือศาสนาคริสต์
และพากันมาหาที่ทำกินที่ตำบลวัดเพลงปัจจุบัน คุณพ่อราบาร์แดลจึงพบที่แพร่ธรรมที่วัดเพลงอีกแห่งหนึ่งโดยมีท่านสมภารปานเป็นผู้เบิกทาง
และนำคุณพ่อไปแพร่ธรรมที่วัดเพลงบ่อยๆ คุณพ่อได้แต่งตั้งให้สมภารปานรับหน้าที่ดูแลคริสตชนแทน
สมภารปานมีใจร้อนรนในการแพร่ธรรมมาก จำนวนคริสตชนจึงทวีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
ต่อจากเปาโล
ปาน ก็มีบรรดาสานุศิษย์ของท่านและพระภิกษุอีกหลายรูป (พระภิกษุ 2 รูป
และสามเณร 3 รูป) ได้รับศีลล้างบาปในเวลาต่อมา เปาโล ปาน
มีความตั้งใจที่จะบวชเป็นพระสงฆ์แต่ท่านชรามากแล้ว มีอายุถึง 72 ปี ท่านได้รับศีลบวชขั้นอาโกลีตุส
(ผู้ช่วยพระสงฆ์)จากพระสังฆราชดือปองด์ หลานชายคนหนึ่งของท่านได้บวชเป็นพระสงฆ์ในเวลาต่อมา
ชื่อคุณพ่อเกลเมนเต
พริ้ง
(ยอแซฟ พริ้ง)
ซึ่งหลานผู้นี้ได้ถูกส่งไปแพร่ธรรมในมิสซังอีสานที่อุบลฯ และใช้ชีวิตที่นั่นจวบจนมรณภาพ
เปาโล ปาน เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นในหมู่บ้านของท่าน
ซึ่งทุกวันนี้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง มีวัดที่สวยงาม มีชื่อเป็นทางการว่า “วัดพระคริสตหฤทัย” แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่าวัดเพลง
เปาโล ปาน ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1873/2416 ซึ่งพิธีศพปลงศพทำที่อาสนวิหารแม่พระบังเกิด
บางนกแขวก ร่างของท่านฝังไว้ ณ สุสานวัดพระคริสตหฤทัยวัดเพลงแห่งนี้
ในปี 1879/2422 คุณพ่อการ์โลเปตี(บาทหลวงมิสชันนารีมิสซังต่างประเทศชาวฝรั่งเศส)
ได้เข้ามาดูแลกลุ่มคริสตชนบ้านเพลงแห่งนี้ และเห็นว่าโบสถ์พระหฤทัย เดิมที่เป็นโบสถ์ไม้ ได้ผุพังไปตามกาลเวลา ท่านจึงได้รื้อโบสถ์ไม้และสร้างโบสถ์หลังปัจจุบันตั้งแต่ปี 1880/2423 ซึ่งแล้วเสร็จในปี
1903/2446 คุณพ่อการ์โลเปตี ได้ถึงแก่กรรมในปี 1918/2461 ร่างของท่านถูกฝังไว้ ณ สุสานวัดพระคริสตหฤทัยวัดเพลงเช่นกัน
โบสถ์หลังใหม่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโกธิค
ลักษณะโครงสร้างเป็นแบบผนังรับน้ำหนัก
ถ่ายน้ำหนักลงสู่เสาเข็มไม้ ผนังก่ออิฐฉาบปูน
ลักษณะโดยรวมงดงามมาก
ภาพเขียนบนกำแพงหลังพระแท่นกลางวัดนี้
คุณพ่อวิตราโน ในสมัยที่เป็นสามเณรและได้มาอยู่ที่วัดเพลง ท่านเห็นว่าผนังกำแพงด้านหลังพระรูปบริเวณพระแท่นยังว่างเปล่าดูไม่สวยงาม ถ้ามีรูปภาพสีสวยๆอยู่จะทำให้ดูดีกว่า จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับคุณพ่อการ์โลเปตี และขออนุญาติวาดภาพที่ผนังกำแพง เพราะท่านมีฝีมือทางด้านวาดภาพระบายสึอยู่แล้ว เมื่อได้รับอนุญาติ ท่านจึงวาดระบายสีภาพบนผนังกำแพงเอาไว้ นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง คุณพ่อวิตราโนบรรจงวาดอย่างประณีตสวยสดงดงาม เป็นภาพที่เตือนถึงความหวังและความรอดนิรันดร์
ในดวงหทัยที่เปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตา ที่มีต่อผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า
และนี่เป็นบันทึกในปี
1884
ของพระคุณเจ้าหลุยส์ เวย์ พระสังฆราชมิสชันนารี คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส
ซึ่งเป็นประมุขมิสซังสยามในเวลานั้น ...... ที่เขียนบรรยายในเอกสารรายงานประจำปี ที่มิสซังกรุงสยามต้องเขียนรายงานต่อบ้านศูนย์กลางคณะที่ฝรั่งเศสทุกปี
และนี่เป็นความภูมิใจในความเชื่อที่คริสตังไทยแท้ แห่งวัดเพลงมีต่อศาสนาใหม่ที่พวกเขานับถือ
และต้องยกเครดิต ให้เปาโลปาน ผู้เป็นอาโกลีตุส (Acolytus = Acolyte ผู้ช่วยพิธีกรรม) แต่เสียดายที่เปาโล ปาน หรือสมภารปานแห่งวัดบางกล้วยในอดีต
อายุมากแล้ว และก็เสียชีวิตก่อนที่จะเป็นพระสงฆ์ ..... และนี่เป็นเรื่องเล่าของกลุ่มความเชื่อที่วัดเพลง
:- มีครอบครัวหนึ่งที่ได้รับศีลล้างบาปทั้งครอบครัว
ผู้ที่เป็นแม่ต้องสู้รบกับพ่อแม่ของตนที่ต้องการให้เธอทิ้งศาสนา ถึงขนาดวางแผนกล่าวโทษเธอต่อข้าหลวงประจำจังหวัด
แต่เธอก็ยังยึดมั่นในศาสนาอย่างไม่สั่นคลอน
แต่เหตุการณ์ที่ทดสอบความเชื่อของเธอคือ เธอป่วยเป็นอหิวาตกโรค เพื่อนบ้านของเธอ
รีบไปเชิญหมอผีเพื่อมาปรุงยา และทำพิธีทางไสยศาสตร์ เธอจึงไม่รับ แต่เธอยังมีความเชื่อเข้มแข็งและมีความไว้ใจอย่างเต็มที่กับแม่พระ
เธอหยิบสายประคำและเอาเหรียญแม่พระที่ห้อยคอ จุ่มลงไปในน้ำถ้วยหนึ่ง แล้วก็ดื่มน้ำในถ้วยนั้น
ความเชื่อของเธอไม่ทำให้เธอผิดหวัง ทันที่ที่เธอดื่มน้ำนั้น
เธอก็ลุกขึ้นและหายเป็นปรกติ เมื่อคนต่างศาสนาที่เห็นการอัศจรรย์นี้ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“แม่พระของพวกคริสตังนี้เป็นผู้ทรงอำนาจจริงๆ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น