เราได้เห็นเหล่านายชุมพาบาลรวมกันอยู่ในทุ่งหญ้า
พวกเขาพากันสรรเสริญพระเป็นเจ้าและเดินทางไปยังเบ็ธเลเฮ็ม เมืองของกษัตริย์ดาวิด อันเป็นสถานที่ซึ่งเทวดาได้มาแจ้งข่าวให้พวกเขาทราบว่าเป็นสถานที่บังเกิดขององค์พระผู้ไถ่
พวกเขาเข้าไปยังถ้ำเลี้ยงสัตว์และนมัสการพระกุมารน้อย
ที่ประทับนอนอยู่ในรางหญ้าอันต่ำต้อย
พระนางมารีย์ทรงทอดพระเนตรเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น “แต่ทรงครุ่นคิดและเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในพระทัย”
ในวันที่พระเยซูเจ้าทรงอายุครบ
12 พรรษา บิดาและมารดาของพระองค์ทรงนำพระองค์ไปกรุงเยรูซาเล็มเหมือนดังเช่นทุกปี
และที่นั่น “บิดาและมารดารู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเรื่องราวของพระองค์ในพระวิหาร”
(ลก. 2:19,33)
น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรา
ถ้าหากเราจะร่วมอยู่ในความสงบเงียบของพระนางมารีย์
ดีกว่าที่จะพยายามหาเหตุผลและอธิบายทุกสิ่งเกี่ยวกับท่าทีของพระนาง
สิ่งอัศจรรย์ยิ่งใหญ่บังเกิดขึ้นกับพระนางมารีย์
นับตั้งแต่ที่อัครเทวดาคาเบรียลได้มาแจ้งให้พระนางทราบว่าพระนางจะเป็นผู้ให้กำเนิดองค์พระผู้ไถ่
การอยู่ในความสงบเงียบของพระนางมารีย์ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะตรัสเล่าให้ทุกคนรู้แล้วพระนางต้องฟังสิ่งที่พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์กันมิใช่หรือ? พระนางทรงรับองค์พระบุตร
พระเป็นเจ้าผู้สูงสุด ไว้ในครรภ์ของพระนาง
พระนางได้เห็นพระองค์ประสูติออกมาด้วยแสงสว่างดุจดังดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดออกมาจากกลุ่มเมฆ
เปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และพระนางรู้สึกอย่างไรในการปรากฏมาขององค์พระบุตร? นักบุญยอห์น บัพติส ขณะอยู่ในครรภ์ของนางอลิซาเบ็ธ
เพียงได้อยู่ใกล้ๆก็โลดเต้นยินดีในครรภ์ของมารดา แล้วพระนางมารีย์ พระมารดาเล่า
เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์พระบุตรถึงเพียงนี้
เมื่อองค์พระจิตทรงกระทำให้องค์พระบุตรถือกำเนิดในพระครรภ์ของพระนาง
พระนางยิ่งจะชื่นชมยินดีมากสักเพียงไร
ความสงบสันติสุขและความชื่นชมยินดีมากมายสักเพียงไรที่พระนางจะทรงรู้สึก?
พระนางจะตรัสอะไรกับพระบุตรของพระนางหรือ? เปล่าเลย พระนางปล่อยให้ทุกคนเข้ามานมัสการสรรเสริญพระบุตรสุดที่รักของพระนาง
และคอยฟังสิ่งที่นายชุมพาบาลเหล่านั้นพูดกันถึงพระองค์
พระนางไม่ตรัสแม้แต่คำเดียวต่อบรรดานักปราชญ์จากบูรพาทิศที่เดินทางมาเพื่อนมัสการพระผู้ไถ่ของโลก
พระนางคอยฟังสิ่งที่ท่านซีเมออนกล่าวทำนายถึงพระบุตรและพระนางเองด้วย
พระนางตรัสแก่เพียงผู้เดียว คือนักบุญอลิซาเบ็ธ
ซึ่งได้สรรเสริญพระนางเมื่อเสด็จมาเยี่ยมเธอ นักบุญโยเซฟ
ได้กระทำเช่นเดียวกับพระนางมารีย์
คืออยู่ในความสงบเงียบและรักษาความลับของพระนางมารีย์
เมื่อท่านได้รับทราบจากเทวดาที่มาแจ้งในความฝันเกี่ยวกับพระนางมารีย์และยังได้รู้เห็นเหตุการณ์การบังเกิดที่อัศจรรย์ยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าในค่ำคืนนั้น
ทั้งสองท่านไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เห็นอยู่ทุกๆวันและไม่ได้หาผลประโยชน์อย่างใดจากเรื่องราวอัศจรรย์ทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นนี้
ด้วยความสุภาพถ่อมตนยิ่งนัก
พระนางมารีย์ทรงปล่อยให้คนอื่นคิดว่า
พระนางเป็นแต่มารดาธรรมดาคนหนึ่งเหมือนสตรีทั่วไปและองค์พระบุตรของพระนางเป็นเพียงบุตรที่เกิดขึ้นจากการแต่งงานธรรมดาเหมือนสามัญชนทั่วไป
ผลงานอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าที่ทรงกระทำในบรรดาสิ่งสร้างทั้งหลายของพระองค์ก็บังเกิดขึ้นและดำเนินไปในความสงบเงียบเช่นนี้
พระกิจการของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าคำพูดใดที่จะพรรณนาได้
แล้วพระนางมารีย์จะทรงตรัสอะไรได้เล่าให้เหมาะสมกับสิ่งที่พระนางทรงรู้สึก? ดังนั้น
ความลับของพระเป็นเจ้าจึงถูกปิดผนึกไว้ และจะถูกเปิดเผยก็โดยทางพระวาจาขององค์พระบุตรเท่านั้น
มนุษย์จะไม่ได้รับประโยชน์แต่อย่างไดถ้าพวกเขายังไม่รู้ความจริงและถ้าโลกยังควบคุมพวกเขาอยู่
อย่างไรก็ตาม
สิ่งสร้างของพระเป็นเจ้าก็ปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมในพระผู้เป็นเจ้าด้วย มนุษย์เอ๋ย
เจ้าเป็นอะไรเล่า ความเย่อหยิ่งของเจ้าเป็นเพียงความโง่เขลาและทำให้เจ้ากระทำสิ่งต่างๆอย่างไร้ประโยชน์
ความสำเร็จที่ได้ก็เป็นเพียงสิ่งไร้สาระ
โอ
มนุษย์เอ๋ย อีกนานเท่าไรที่เจ้ายังคงนิยมในคำพูดที่ไร้สาระ และแสวงหาแต่ความโกหก?”
(ภ.ษ. 4:2) สิ่งที่คนเราพูดโอ้อวดนั้นเป็นแต่สิ่งไร้สาระ
ความคิดเห็นของเขาที่เขาคิดว่ามีคุณค่านั้น หาใช่ความดีที่แท้จริงไม่
แต่ผู้ที่อยู่ในความสงบเงียบในพระเจ้าจะลิ้มรสความหวานชื่น “ จงสงบเงียบเถิด
และจงรู้ว่าเราคือพระเจ้า (ภ.ษ. 46:10)“จงลิ้มชิมและดูว่าพระเจ้านั้นประเสริฐ (ภ.ษ. 33:8)
ความรักนั้นสงบและนิ่งเงียบ มันพยายามอยู่ห่างไกลจากการสนทนาที่ไร้สาระของโลก
จงปิดปากไว้เถิด แต่เปิดใจไว้ เพื่อฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้า
จงหยุดรบกวนและทำให้ใจของตนไขว้เขว ผู้นิพนธ์สุภาษิต กล่าวว่า "จงสงบเงียบเถิด และจงรู้ว่าเราคือพระเจ้า” (ภ.ษ.
46:10) และกล่าวอีกว่า "จงลิ้มชิมและดูว่าพระเจ้านั้นประเสริฐ” จงลิ้มชิมและดูสิ่งที่พระเป็นเจ้าจะตรัสในใจของท่านเถิด Gustate
et videte, quoniam suavis est Dominus
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น