อสย 9:1-6…
“ประชากรที่เดินในความมืดแลเห็นความสว่างยิ่งใหญ่บรรดาผู้อาศัยในแผ่นดินมืดมิด ความสว่างส่องแสงมาเหนือเขา”
เมื่อชาวอิสราเอลได้รับความทุกข์ยากลำบาก จากการต้องตกเป็นเชลยของชาติอื่น
พวกเขาเฝ้ารอคอยให้พระผู้ไถ่เสด็จมาช่วยให้รอดพ้นจากการเป็นเชลยและทำให้ชนชาติอิสราเอลเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ สำหรับพวกเราในปัจจุบันกำลังรอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน และเราก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จมาเมื่อใด
มีคำถามว่าเหตุใดพระองค์จึงยังไม่เสด็จมา? น.โทมัส
อไควนัสพูดถึงการเสด็จมาของพระคริสต์ว่า
ทำไมพระองค์จึงไม่เสด็จมาทันทีหลังจากการตกต่ำของมนุษย์ นั่นคือในสมัยของอาดัมและเอวา
ที่ได้ละเมิดคำสั่งของพระเป็นเจ้า?
ด้วยพระปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า
พระองค์ไม่เสด็จมาทันทีเมื่อมนุษย์ตกในบาป
ประการแรก เพราะพระเป็นเจ้าทรงรักมนุษย์ในสภาวะที่อยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ ในจิตใจอิสระของมนุษย์
เพื่อที่มนุษย์จะได้ทราบถึงความเข้มแข็งของจิตใจของเขา
น.โทมัสได้พิจารณาไตร่ตรองเรื่องนี้และตอบคำถาม ในหนังสือ Summa theologica ของท่าน ท่านอธิบายอย่างยืดยาวในลักษณะของปุจฉา – วิสัจฉนา
เป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่พระผู้ไถ่จะเสด็จมาบังเกิดทันทีหลังจากการตกต่ำของมนุษยชาติ?
ประเด็นที่1 ดูเหมือนว่า
ในความคิดของเรา พระเป็นเจ้าน่าจะเสด็จมาไถ่บาปมนุษย์ตั้งแต่เวลาที่มนุษย์ได้ตกต่ำลงด้วยการทำบาปครั้งแรก เหตุผลก็เพราะการที่พระผู้ไถ่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น
เนื่องมาจากความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ดังที่น.เปาโลกล่าวไว้ใน อฟ. 2:4-5 “แต่พระเป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา
ทรงแสดงความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา...เมื่อเราตายไปแล้วเพราะการล่วงละเมิด พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เรากลับมีชีวิตกับพระคริสตเจ้า”
แต่ความรักไม่ชักช้าในการนำความช่วยเหลือไปให้เพื่อนที่กำลังทนทุกข์ ตามบทสุภาษิต 3:28 “ถ้าลูกมีสิ่งของที่เพื่อนบ้านขอ อย่าพูดกับเขาว่า กลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้กลับมาแล้วฉันจะให้” เพราะฉะนั้นพระเป็นเจ้าควรจะบังเกิดมาและไถ่กู้มนุษยชาติตั้งแต่จุดเริ่มต้น
ประเด็นที่ 2
มีเขียนไว้ใน ทิโมที 1:15 ว่า “พระคริสตเยซูเสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอดพ้น” และคนจำนวนมากจะรอดพ้น
ถ้าพระเป็นเจ้าจะทรงบังเกิดเมื่อจุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ เพราะในหลายศตวรรษที่ผ่านมา คนจำนวนมาก รวมทั้งคนที่ไม่รู้จักพระเป็นเจ้า
ได้ตกในบาปของพวกเขา
เพราะฉะนั้นจึงน่าจะเป็นการเหมาะสมที่พระเป็นเจ้าจะทรงบังเกิดในจุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ
ประเด็นที่ 3
ผลงานของพระหรรษทานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผลงานของธรรมชาติ แต่เมื่ออยู่ในธรรมชาติผลงานจะมีความสมบูรณ์มากกว่า ดังที่ โบทีอุสกล่าวไว้ (De Consol. iii). เพราะฉะนั้นผลงานการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้าน่าจะสมบูรณ์หากจะกระทำ
ณ. จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ ในผลงานการบังเกิดของพระผู้ไถ่ เราได้เห็นความสมบูรณ์ของพระหรรษทานด้วย ตามที่ ยน. 1:14 กล่าวไว้
“พระวจนาตถ์ทรงรับเอาเนื้อหนัง”
และยังกล่าวอีกว่า “ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง” เพราะฉะนั้นพระคริสตเจ้าจึงน่าจะมาบังเกิด ณ.
จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ
ความคิดด้านตรงข้าม
มีเขียนไว้ใน กาลาเทีย 4:4 ว่า “แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่ง เกิดมาอยู่ใต้กฎบัญญัติ” จากคำกล่าวที่ว่า “เวลาที่กำหนด
ซึ่งพระเป็นเจ้าพระบิดาทรงเป็นผู้กำหนดที่จะทรงส่งพระบุตร”
พระเป็นเจ้าทรงกำหนดทุกสิ่งด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงบังเกิดมาในเวลาที่เหมาะสม และพระองค์ทรงพิจารณาว่า เป็นการไม่เหมาะสมที่พระเจ้าจะทรงบังเกิด
ณ. จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ
ข้าพเจ้าขอตอบว่า เนื่องจาก การลงมาบังเกิด
ของพระผู้ไถ่เป็นหลักสำคัญของการกอบกู้มนุษยชาติจากบาปกำเนิด จึงไม่เป็นการเหมาะสมที่พระเจ้าจะทรงบังเกิด
ณ.จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติก่อนที่จะมีการทำบาป
เพราะยาจะถูกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยเท่านั้น
ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า (มท. 9:12-13)
“คนสบายดีไม่ต้องการหมอ
คนเจ็บป่วยที่ต้องการ...เราไม่ได้มาหาคนชอบธรรม แต่มาหาคนบาป”
และพระเป็นเจ้าไม่สมควรที่จะเสด็จมาบังเกิดทันทีหลังจากมนุษย์ทำบาปด้วย
เหตุผลประการแรก คือ
โดยลักษณะบาปของมนุษย์นั้นมาจากความหยิ่งจองหอง ดังนั้นมนุษย์จึงควรได้รับการปลดปล่อยในลักษณะที่จะทำให้มนุษย์มีความถ่อมตนและตระหนักว่าเขาต้องการการไถ่กู้มากสักเพียงไร ดังที่มีเขียนใน กาลาเทีย 3:19 ว่า
“ธรรมบัญญัติได้รับการประกาศโดยทางทูตสวรรค์
อาศัยคนกลาง” สรุปว่า
“โดยพระปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า
บุตรแห่งมนุษย์ไม่สมควรจะลงมาบังเกิดทันทีหลังจากที่มนุษย์ตกในบาป
เพราะพระเป็นเจ้าทรงให้มนุษย์อยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ โดยมีจิตใจอิสระ เพื่อที่เขาจะได้ทราบถึงความเข้มแข็งตามธรรมชาติของเขา
แต่เมื่อเขาผิดพลาดไปจากธรรมชาติที่ควรจะเป็น ซึ่งมิใช่เป็นเพราะกฏบัญญัติ แต่เป็นเพราะธรรมชาติของเขา ส่งผลทำให้โรคร้ายมีพละกำลังเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ตระหนักถึงความไม่มั่นคงของจิตใจของเขาและเขาจะได้ร้องหานายแพทย์ และวิงวอนขอพระหรรษทาน”
เหตุผลประการที่สอง
คือหลักของการก้าวหน้าในความดี
นั่นคือเราเริ่มต้นจากความไม่สมบูรณ์มาสู่ความสมบูรณ์ ดังนั้นอัครสาวกจึงกล่าวว่า (1 โครินทร์ 15:46-47)
“สิ่งที่มาก่อนไม่ใช่กายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต
แต่เป็นกายตามธรรมชาติ
ภายหลังจึงเป็นกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต....มนุษย์คนแรกมาจากดิน เป็นมนุษย์ดิน
มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์”
เหตุผลประการที่สาม
คือหลักของพระเกียรติแห่งการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระวจนาตถ์ ตามคำที่กล่าวใน กาลาเทีย 4: 4 ว่า”แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดมาถึง” สรุปว่า
“องค์พระตุลาการที่จะเสด็จมาทรงยิ่งใหญ่เพียงไร
จำนวนผู้ติดตามที่ติดตามพระองค์ก็ต้องมากมายมหาศาลเพียงนั้น”
เหตุผลประการที่สี่
เนื่องมาจากความเชื่อที่จะจืดจางลงตามระยะเวลา และความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลงในวาระสุดท้ายของโลก ดังที่ ลูกา 18:8 เขียนไว้ว่า “แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมา พระองค์จะทรงพบผู้ที่มีความเชื่อในโลกนี้หรือ?”
คำตอบของประเด็นที่ 1 ความรัก
ไม่ชักช้าในการนำความช่วยเหลือมาให้มิตรสหาย
แต่ก็ต้องคำนึงถึงสถานการณ์รอบด้านของบุคคลด้วย ถ้าหากหมอให้ยาทันทีที่มีอาการป่วยไข้ มันจะไม่เกิดผลดี และอาจเกิดผลเสียมากกว่า ถ้าหากพระคริสตเจ้าเสด็จมาบังเกิด ณ.
จุดเริ่มต้นหลังจากมนุษย์ทำบาป
ด้วยความเย่อหยิ่งของเขา มนุษย์ก็จะไม่ตระหนักถึงภัยร้ายของโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับเขาและความรุนแรงของมัน
คำตอบประเด็นที่ 2 น. ออกุสติน ได้ให้อรรถธิบายว่า (De Sex Quest. Pagan., Ep. cii), saying (2) “พระคริสตเจ้าทรงปรารถนาที่จะปรากฏต่อมนุษย์และมอบพระวาจาสั่งสอนแก่พวกเขา ในเวลาและสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาจะมีความเชื่อในพระองค์ และแม้แต่ในเวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้แล้วนั้น ก็ยังมีคนจำนวนมาก – แต่ไม่ใช่ทั้งหมด –
ที่ไม่เชื่อในพระองค์
ถึงแม้พระองค์จะทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้วก็ตาม” น.ออกุสตินยังกล่าวอีกว่า “เราจะกล่าวได้หรือว่า
ชาวเมืองไทระและไซดอนไม่ได้เชื่อ
เมื่อเห็นอัศจรรย์เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา
เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงยืนยันว่า
พวกเขาจะถ่อมตนลงและทำกิจใช้โทษบาป ถ้าหากการอัศจรรย์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา” ท่านอธิบายต่อไปว่า “ด้วยเหตุนี้
อัครสาวกจึงกล่าวไว้ใน โรม 9:16 ว่า ‘ทุกสิ่งจึงขึ้นกับพระเมตตาของพระเป็นเจ้า ไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรืออุตสาหะของมนุษย์’
ดังนั้นให้เรามีความเชื่อมั่นคงในพระเมตตาของพระองค์
พร้อมกับผู้ที่พระองค์ทรงไถ่กู้เป็นอิสระแล้ว
และเชื่อในความจริงของพระองค์
พร้อมกับผู้ที่พระองค์ทรงสาปแช่งเถิด”
คำตอบประเด็นที่
3
ความสมบูรณ์มาหลังจากความไม่สมบูรณ์
ทั้งในกาลเวลาและในธรรมชาติ
ในสิ่งที่แตกต่างกันนี้ (เพราะสิ่งที่ทำให้สิ่งอื่นมีความสมบูรณ์ สิ่งนั้นต้องมีความสมบูรณ์ในตัวเองก่อน) ความไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นในกาลเวลาและเป็นไปในธรรมชาติ
ความสมบูรณ์พร้อมนิรันดรของพระเป็นเจ้าทรงเป็นอยู่แล้วก่อนความไม่สมบูรณ์ของมนุษยชาติ ดังนั้นมนุษยชาติจะขึ้นสู่ความสมบูรณ์ได้เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้าเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น