วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

เหตุใดพระองค์จึงยังไม่เสด็จมา?


อสย 9:1-6
“ประชากรที่เดินในความมืดแลเห็นความสว่างยิ่งใหญ่
บรรดาผู้อาศัยในแผ่นดินมืดมิด ความสว่างส่องแสงมาเหนือเขา”

เมื่อชาวอิสราเอลได้รับความทุกข์ยากลำบาก  จากการต้องตกเป็นเชลยของชาติอื่น  พวกเขาเฝ้ารอคอยให้พระผู้ไถ่เสด็จมาช่วยให้รอดพ้นจากการเป็นเชลยและทำให้ชนชาติอิสราเอลเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่  สำหรับพวกเราในปัจจุบันกำลังรอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน  และเราก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จมาเมื่อใด

มีคำถามว่าเหตุใดพระองค์จึงยังไม่เสด็จมา?  น.โทมัส อไควนัสพูดถึงการเสด็จมาของพระคริสต์ว่า  ทำไมพระองค์จึงไม่เสด็จมาทันทีหลังจากการตกต่ำของมนุษย์  นั่นคือในสมัยของอาดัมและเอวา ที่ได้ละเมิดคำสั่งของพระเป็นเจ้า?  ด้วยพระปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า  พระองค์ไม่เสด็จมาทันทีเมื่อมนุษย์ตกในบาป  ประการแรก เพราะพระเป็นเจ้าทรงรักมนุษย์ในสภาวะที่อยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ  ในจิตใจอิสระของมนุษย์  เพื่อที่มนุษย์จะได้ทราบถึงความเข้มแข็งของจิตใจของเขา  น.โทมัสได้พิจารณาไตร่ตรองเรื่องนี้และตอบคำถาม  ในหนังสือ Summa theologica ของท่าน  ท่านอธิบายอย่างยืดยาวในลักษณะของปุจฉา – วิสัจฉนา 

เป็นการเหมาะสมหรือไม่ที่พระผู้ไถ่จะเสด็จมาบังเกิดทันทีหลังจากการตกต่ำของมนุษยชาติ?

ประเด็นที่1  ดูเหมือนว่า ในความคิดของเรา  พระเป็นเจ้าน่าจะเสด็จมาไถ่บาปมนุษย์ตั้งแต่เวลาที่มนุษย์ได้ตกต่ำลงด้วยการทำบาปครั้งแรก   เหตุผลก็เพราะการที่พระผู้ไถ่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น เนื่องมาจากความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  ดังที่น.เปาโลกล่าวไว้ใน อฟ. 2:4-5 “แต่พระเป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา  ทรงแสดงความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา...เมื่อเราตายไปแล้วเพราะการล่วงละเมิด  พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เรากลับมีชีวิตกับพระคริสตเจ้า”  แต่ความรักไม่ชักช้าในการนำความช่วยเหลือไปให้เพื่อนที่กำลังทนทุกข์  ตามบทสุภาษิต 3:28 “ถ้าลูกมีสิ่งของที่เพื่อนบ้านขอ   อย่าพูดกับเขาว่า  กลับไปก่อนเถิด  พรุ่งนี้กลับมาแล้วฉันจะให้”  เพราะฉะนั้นพระเป็นเจ้าควรจะบังเกิดมาและไถ่กู้มนุษยชาติตั้งแต่จุดเริ่มต้น 

ประเด็นที่ 2  มีเขียนไว้ใน ทิโมที 1:15 ว่า “พระคริสตเยซูเสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอดพ้น”  และคนจำนวนมากจะรอดพ้น  ถ้าพระเป็นเจ้าจะทรงบังเกิดเมื่อจุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ  เพราะในหลายศตวรรษที่ผ่านมา  คนจำนวนมาก รวมทั้งคนที่ไม่รู้จักพระเป็นเจ้า ได้ตกในบาปของพวกเขา  เพราะฉะนั้นจึงน่าจะเป็นการเหมาะสมที่พระเป็นเจ้าจะทรงบังเกิดในจุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ

ประเด็นที่ 3 ผลงานของพระหรรษทานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผลงานของธรรมชาติ  แต่เมื่ออยู่ในธรรมชาติผลงานจะมีความสมบูรณ์มากกว่า  ดังที่ โบทีอุสกล่าวไว้ (De Consol. iii).  เพราะฉะนั้นผลงานการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้าน่าจะสมบูรณ์หากจะกระทำ ณ. จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ  ในผลงานการบังเกิดของพระผู้ไถ่  เราได้เห็นความสมบูรณ์ของพระหรรษทานด้วย  ตามที่ ยน. 1:14 กล่าวไว้ “พระวจนาตถ์ทรงรับเอาเนื้อหนัง”  และยังกล่าวอีกว่า “ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง”  เพราะฉะนั้นพระคริสตเจ้าจึงน่าจะมาบังเกิด ณ. จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ

ความคิดด้านตรงข้าม  มีเขียนไว้ใน กาลาเทีย 4:4 ว่า “แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้  พระเจ้าทรงส่งพระบุตรให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่ง  เกิดมาอยู่ใต้กฎบัญญัติ”  จากคำกล่าวที่ว่า “เวลาที่กำหนด  ซึ่งพระเป็นเจ้าพระบิดาทรงเป็นผู้กำหนดที่จะทรงส่งพระบุตร”  พระเป็นเจ้าทรงกำหนดทุกสิ่งด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงบังเกิดมาในเวลาที่เหมาะสม  และพระองค์ทรงพิจารณาว่า เป็นการไม่เหมาะสมที่พระเจ้าจะทรงบังเกิด ณ. จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ

ข้าพเจ้าขอตอบว่า  เนื่องจาก การลงมาบังเกิด ของพระผู้ไถ่เป็นหลักสำคัญของการกอบกู้มนุษยชาติจากบาปกำเนิด  จึงไม่เป็นการเหมาะสมที่พระเจ้าจะทรงบังเกิด ณ.จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติก่อนที่จะมีการทำบาป  เพราะยาจะถูกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยเท่านั้น  ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า (มท. 9:12-13)  “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ  คนเจ็บป่วยที่ต้องการ...เราไม่ได้มาหาคนชอบธรรม  แต่มาหาคนบาป”   

และพระเป็นเจ้าไม่สมควรที่จะเสด็จมาบังเกิดทันทีหลังจากมนุษย์ทำบาปด้วย 

เหตุผลประการแรก คือ  โดยลักษณะบาปของมนุษย์นั้นมาจากความหยิ่งจองหอง  ดังนั้นมนุษย์จึงควรได้รับการปลดปล่อยในลักษณะที่จะทำให้มนุษย์มีความถ่อมตนและตระหนักว่าเขาต้องการการไถ่กู้มากสักเพียงไร  ดังที่มีเขียนใน กาลาเทีย 3:19 ว่า “ธรรมบัญญัติได้รับการประกาศโดยทางทูตสวรรค์  อาศัยคนกลาง”   สรุปว่า “โดยพระปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า  บุตรแห่งมนุษย์ไม่สมควรจะลงมาบังเกิดทันทีหลังจากที่มนุษย์ตกในบาป  เพราะพระเป็นเจ้าทรงให้มนุษย์อยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ โดยมีจิตใจอิสระ  เพื่อที่เขาจะได้ทราบถึงความเข้มแข็งตามธรรมชาติของเขา  แต่เมื่อเขาผิดพลาดไปจากธรรมชาติที่ควรจะเป็น  ซึ่งมิใช่เป็นเพราะกฏบัญญัติ  แต่เป็นเพราะธรรมชาติของเขา  ส่งผลทำให้โรคร้ายมีพละกำลังเข้มแข็งมากขึ้น  เพื่อที่เขาจะได้ตระหนักถึงความไม่มั่นคงของจิตใจของเขาและเขาจะได้ร้องหานายแพทย์  และวิงวอนขอพระหรรษทาน”

เหตุผลประการที่สอง คือหลักของการก้าวหน้าในความดี  นั่นคือเราเริ่มต้นจากความไม่สมบูรณ์มาสู่ความสมบูรณ์  ดังนั้นอัครสาวกจึงกล่าวว่า (1 โครินทร์ 15:46-47) “สิ่งที่มาก่อนไม่ใช่กายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต  แต่เป็นกายตามธรรมชาติ  ภายหลังจึงเป็นกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต....มนุษย์คนแรกมาจากดิน  เป็นมนุษย์ดิน  มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์”

เหตุผลประการที่สาม  คือหลักของพระเกียรติแห่งการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระวจนาตถ์  ตามคำที่กล่าวใน กาลาเทีย 4: 4 ว่า”แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดมาถึง”  สรุปว่า “องค์พระตุลาการที่จะเสด็จมาทรงยิ่งใหญ่เพียงไร  จำนวนผู้ติดตามที่ติดตามพระองค์ก็ต้องมากมายมหาศาลเพียงนั้น”

เหตุผลประการที่สี่  เนื่องมาจากความเชื่อที่จะจืดจางลงตามระยะเวลา  และความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลงในวาระสุดท้ายของโลก  ดังที่ ลูกา 18:8 เขียนไว้ว่า “แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมา  พระองค์จะทรงพบผู้ที่มีความเชื่อในโลกนี้หรือ?”

คำตอบของประเด็นที่ 1  ความรัก ไม่ชักช้าในการนำความช่วยเหลือมาให้มิตรสหาย  แต่ก็ต้องคำนึงถึงสถานการณ์รอบด้านของบุคคลด้วย   ถ้าหากหมอให้ยาทันทีที่มีอาการป่วยไข้  มันจะไม่เกิดผลดี  และอาจเกิดผลเสียมากกว่า  ถ้าหากพระคริสตเจ้าเสด็จมาบังเกิด ณ. จุดเริ่มต้นหลังจากมนุษย์ทำบาป  ด้วยความเย่อหยิ่งของเขา  มนุษย์ก็จะไม่ตระหนักถึงภัยร้ายของโรคร้ายที่เกิดขึ้นกับเขาและความรุนแรงของมัน

คำตอบประเด็นที่ 2  น. ออกุสติน  ได้ให้อรรถธิบายว่า (De Sex Quest. Pagan., Ep. cii), saying (2) “พระคริสตเจ้าทรงปรารถนาที่จะปรากฏต่อมนุษย์และมอบพระวาจาสั่งสอนแก่พวกเขา  ในเวลาและสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาจะมีความเชื่อในพระองค์  และแม้แต่ในเวลาและสถานที่ที่กำหนดไว้แล้วนั้น  ก็ยังมีคนจำนวนมาก – แต่ไม่ใช่ทั้งหมด – ที่ไม่เชื่อในพระองค์  ถึงแม้พระองค์จะทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้วก็ตาม”  น.ออกุสตินยังกล่าวอีกว่า “เราจะกล่าวได้หรือว่า ชาวเมืองไทระและไซดอนไม่ได้เชื่อ  เมื่อเห็นอัศจรรย์เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา  เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงยืนยันว่า  พวกเขาจะถ่อมตนลงและทำกิจใช้โทษบาป ถ้าหากการอัศจรรย์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา”  ท่านอธิบายต่อไปว่า  “ด้วยเหตุนี้  อัครสาวกจึงกล่าวไว้ใน โรม 9:16 ว่า ทุกสิ่งจึงขึ้นกับพระเมตตาของพระเป็นเจ้า  ไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรืออุตสาหะของมนุษย์

ดังนั้นให้เรามีความเชื่อมั่นคงในพระเมตตาของพระองค์ พร้อมกับผู้ที่พระองค์ทรงไถ่กู้เป็นอิสระแล้ว  และเชื่อในความจริงของพระองค์  พร้อมกับผู้ที่พระองค์ทรงสาปแช่งเถิด”

คำตอบประเด็นที่ 3  ความสมบูรณ์มาหลังจากความไม่สมบูรณ์  ทั้งในกาลเวลาและในธรรมชาติ  ในสิ่งที่แตกต่างกันนี้ (เพราะสิ่งที่ทำให้สิ่งอื่นมีความสมบูรณ์  สิ่งนั้นต้องมีความสมบูรณ์ในตัวเองก่อน)  ความไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นในกาลเวลาและเป็นไปในธรรมชาติ  ความสมบูรณ์พร้อมนิรันดรของพระเป็นเจ้าทรงเป็นอยู่แล้วก่อนความไม่สมบูรณ์ของมนุษยชาติ  ดังนั้นมนุษยชาติจะขึ้นสู่ความสมบูรณ์ได้เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้าเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น