วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

An Exorcist Tells His Story 1/3


คุณพ่อกาเบรียล เอมอร์ท Fr Gabriele Amorth เป็นพระสงฆ์ผู้พิธีขับไล่ปีศาจแห่งกรุงโรม  ท่านเคยทำพิธีนับร้อยครั้งในหลายปีที่ผ่านมา  ท่านเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีชื่อ An Exorcist Tells His Story  และ An Exorcist: More Stories.  บทความข้างล่างนี้กล่าวถึง “อำนาจของซาตาน” โดยนำมาจากหนังสือ An Exorcist Tells His Story (pages 25-36)







เพราะหัวข้อที่พ่อตั้งใจเขียนในหนังสือเล่มนี้  พ่อจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงคำถามที่น่าสนใจทางเทววิทยาได้  พ่อจะพูดแต่เพียงบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำพิธีขับไล่ปีศาจเท่านั้น  พิธีขับไล่ปีศาจมีความเกี่ยวข้องกับเทววิทยาและพระคัมภีร์อย่างแนบแน่น  ตัวอย่างเช่น Father Candido  ผู้ที่พูดคุยกับปีศาจเป็นเวลาถึง 36 ปี  ได้ให้ข้อสรุปที่ดีมากในเรื่องบางเรื่อง เช่น เรื่องของ บาปของเทวดากบฏ  ซึ่งนักเทววิทยาในอดีตไม่พูดถึง โดยบอกเพียงว่า “เราไม่รู้”  พระเป็นเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นมาด้วยการออกแบบให้มีความสอดคล้องกัน  เพราะฉะนั้น แม้แต่อะตอมเล็กๆก็มีอิทธิพลต่อทุกสิ่ง  และเงามืดก็ฉายความมืดในทุกสิ่ง  เทววิทยาจะไม่หยุดยั้งในการทำความเข้าใจในโลกของเทวดา  เทววิทยาเกี่ยวกับพระคริสตเจ้าที่ไม่สนใจซาตานจะไม่ก้าวหน้าและจะไม่เข้าใจคุณค่าของการไถ่กู้ของพระองค์

เราจะพูดถึงพระคริสต์ต่อไป  พระองค์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล  ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์  ในภาพของการเสด็จมา , สวรรค์ (เทวดา) และโลก (มนุษย์)  จะเป็นที่น่าประหลาดใจถ้าจะพูดถึงแต่เพียงพระคริสตเจ้าเท่านั้น  เพราะนั่นจะทำให้เราไม่สามารถเข้าใจถึงคำสอนและกิจการของพระองค์ทั้งหมดได้  และไม่อาจเข้าใจพระองค์ได้  พระคัมภีร์บอกกับเราเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า  แต่ก็พูดถึงอาณาจักรของซาตานด้วย  พระคัมภีร์บอกเราเกี่ยวกับฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้า  องค์พระผู้สร้างและเจ้านายของสรรพสิ่งในจักรวาล  แต่พระคัมภีร์ก็พูดถึงอำนาจของความมืด(ซาตาน)ด้วย  พระคัมภีร์พูดถึงบุตรของพระเจ้าและบุตรของซาตาน  เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจกิจการการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้า  ถ้าไม่สนใจกิจการแห่งการทำลายล้างของซาตาน

ในตอนแรก ซาตานถูกสร้างให้เป็นสิ่งสร้างที่สมบูรณ์แบบโดยพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า  มันได้รับอำนาจหน้าที่และอยู่ในระดับสูงสุดเหนือเทวดาอื่นๆ  ดังนั้นมันจึงคิดว่ามันมีอำนาจเหนือสรรพสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นมาด้วย  ซาตานพยายามที่จะเข้าใจการเนรมิตสร้างทุกอย่างของพระเป็นเจ้า  แต่ก็ไม่สามารถทำได้  เพราะแผนการในการเนรมิตสร้างนั้นมีเป้าหมายมุ่งไปที่พระคริสตเจ้า  จนกระทั่งพระคริสตเจ้าเสด็จมายังโลก  แผนการของพระเป็นเจ้าไม่สามารถเปิดเผยให้ทราบทั้งหมด  ด้วยเหตุนี้ซาตานจึงก่อการกบฏ  มันต้องการมาเป็นอันดับหนึ่งในทุกสิ่ง  เป็นศูนย์กลางของการเนรมิตสร้าง  แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อการออกแบบในการสร้างของพระเป็นเจ้าก็ตาม  นี่คือเหตุผลที่ซาตานยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่องที่จะทำลายโลก (“โลกทั้งมวลอยู่ภายใต้อำนาจของความชั่วร้าย” I ยน. 5: 19)  มันเริ่มต้นจากบิดามารดาเดิมของเราก่อน  มันพยายามทำให้มนุษย์เป็นทาสของมัน  ทำให้มนุษย์เชื่อฟังมันและไม่เชื่อฟังพระเป็นเจ้า  มันประสพความสำเร็จกับ อาดัมและเอวา  บิดามารดาเดิมของเรา   และมันหวังที่ได้มนุษย์ทุกคนเป็นทาสของมันด้วย  โดยอาศัยความช่วยเหลือจาก “เทวดาหนึ่งในสามส่วน” ซึ่งกล่าวไว้ในพระธรรมวิวรณ์  คือเทวดากบฏที่ติดตามมันและต่อสู้กับพระเป็นเจ้า

พระเป็นเจ้าไม่ทรงยกเลิกการเนรมิตสร้างของพระองค์  เพราะฉะนั้น  ถึงแม้พวกมันจะแตกหักกับพระเป็นเจ้า ซาตานและพลพรรคของมันก็ยังคงมีอำนาจและฐานันดรของมัน (คณะบัลลังก์, คณะหัวหน้า, คณะปกครอง , คณะอำนาจ. ฯลฯ)  ถึงแม้มันจะใช้อำนาจด้วยจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายก็ตาม  น. ออกัสตินไม่ได้ลังเลใจเมื่อท่านกล่าวว่า  ถ้าพระเป็นเจ้าทรงประทานอิสระให้กับซาตานอย่างเต็มที่แล้ว “จะไม่มีมนุษย์เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว”  ดังนั้นซาตานจึงไม่สามารถฆ่าพวกเราได้  มันทำได้แต่เพียง “ทำให้เรากลายเป็นผู้ติดตามของมันในการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้า  เหมือนกับที่มันเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้า”

ความจริงของการไถ่กู้เป็นดังนี้  พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อ “ทำลายผลงานของปีศาจ” (1ยน. 3:8)  เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของซาตาน  และเพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระเป็นเจ้าขึ้นหลังจากทำลายการปกครองของซาตานลงแล้ว  อย่างไรก็ตาม  ระยะเวลาระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสตเจ้าและปารูเซีย (การเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์เพื่อพิพากษา)  ปีศาจพยายามล่อลวงมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้มาอยู่กับมัน  มันเป็นสงครามที่เดิมพันด้วยความสิ้นหวังของปีศาจที่รู้ดีว่ามันจะต้องพ่ายแพ้  มันรู้ว่า “เวลาของมันเหลือน้อยแล้ว” (วว. 12:12)  เพราะฉะนั้น  น.เปาโลจึงบอกเราว่า “เราไม่ได้กำลังต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่เป็นเนื้อหนังและเลือด  แต่กำลังต่อสู้กับผู้เป็นใหญ่  ต่อสู้กับพลังอำนาจ  ต่อสู้กับผู้ปกครองโลกแห่งความมืดมิด  เรากำลังต่อสู้กับจิตแห่งความชั่วร้ายที่เคยอยู่ในสวรรค์” (อฟ. 6:12)

พระคัมภีร์บอกเราว่า เทวดาและปีศาจ (พ่อต้องการบ่งบอกถึงซาตานโดยเฉพาะ)  เป็นสิ่งสร้างที่เป็นจิตวิญญาณซึ่งมีความชาญฉลาด  มีอำเภอใจ  มีอิสรภาพ  และมีจุดเริ่มต้น  นักเทววิทยาสมัยใหม่ที่บอกว่าซาตานเป็นภาพในจินตนาการของความชั่วร้ายนั้น  เป็นความคิดที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง  ความคิดนั้นเป็น heresy สิ่งที่ผิดต่อคำสอนอย่างแท้จริง  เพราะมันพูดตรงข้ามกับพระคัมภีร์  ตรงข้ามกับปิตาจารย์ และตรงข้ามกับคำสอนของพระศาสนจักร  ความจริงในเรื่องของซาตานไม่เคยเป็นข้อสงสัยในอดีต  เพราะฉะนั้น  ไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้  ตามข้อความจากสังคายนาลาเทรันครั้งที่สี่กล่าวว่า  “ซาตานและปีศาจทั้งหลายถูกสร้างให้เป็นสิ่งที่ดีโดยพระเป็นเจ้า  แต่พวกมันกลายเป็นความชั่วร้ายเพราะความผิดของพวกมันเอง”  ผู้ที่ปฏิเสธความมีอยู่ของซาตาน  ก็ปฏิเสธเรื่องบาปและไม่เข้าใจในกิจการของพระคริสตเจ้าด้วย

ให้เราทำความกระจ่างในเรื่องนี้เสียก่อน  พระเยซูเจ้าทรงมีชัยชนะต่อซาตานด้วยการพลีพระองค์เป็นยัญบูชา  นอกจากนั้น  พระเยซูเจ้ายังทรงมีชัยชนะต่อซาตานก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์  ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ว่า “ถ้าพระเป็นเจ้าทรงขับไล่ปีศาจให้ออกไปจากผู้ใด  อาณาจักรของพระเป็นเจ้าก็มาถึงผู้นั้น” (ลก. 11:20)  พระเยซูเจ้าทรงอำนาจแข็งแกร่งกว่าซาตานและพระองค์ทรงมัดมันไว้ (มก. 3:27)  ทรงแย่งมนุษย์มาจากมันและทำลายอาณาจักรของมันในวาระสุดท้าย (มก. 3:26)  ในตอนแรกพระเยซูเจ้าทรงประทานอำนาจในการขับไล่ปีศาจแก่อัครสาวกของพระองค์ก่อน  ต่อมาจึงทรงประทานอำนาจนี้แก่ศิษย์ 72 คน  และท้ายที่สุดพระองค์ประทานแก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์

ในหนังสือกิจการของอัครสาวก  ได้บอกกับเราว่าหลังจากที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมาแล้ว  บรรดาอัครสาวกได้ขับไล่ปีศาจ  และคริสตชนทุกคนก็ได้กระทำเช่นนี้ด้วยต่อจากอัครสาวก  ปิตาจารย์ในยุคแรกของพระศาสนจักร  อย่างเช่น  จัสตินและอิเรเนียส  ได้พูดอย่างชัดเจนเรื่องปีศาจและอำนาจในการขับไล่มัน  ปิตาจารย์องค์อื่นๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เตอตูเรียนและโอริเจน  ก็กล่าวไว้เช่นเดียวกัน  คำพูดของท่านทั้งสี่ได้ปฏิเสธความคิดของนักเทววิทยาสมัยใหม่  ผู้ซึ่งไม่เชื่อเรื่องปีศาจและใม่สนใจเรื่องนี้เลย

สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ก็ยืนยันในเรื่องนี้อย่างหนักแน่นด้วย “การดิ้นรนในการต่อสู้ของอำนาจแห่งความมืดมิดเป็นตัวขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์  สงครามได้เริ่มต้นตั้งแต่จุดกำเนิดของโลก"”( Gaudium et Spes, no. 37) “ถึงแม้พวกมันจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเป็นเจ้าให้อยู่ในสถานะของความศักดิ์สิทธิ์  ในวาระเริ่มอรุณรุ่งแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  มนุษย์ได้ใช้อิสรภาพในทางที่ผิด  โดยการล่อลวงของความชั่วร้าย  มนุษย์ทำให้ตนเองเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้าและทำให้ต้องแยกออกจากพระองค์อย่างสิ้นเชิง  ถึงแม้เขาจะรู้จักพระองค์  เขาก็ไม่ได้นมัสการพระองค์เป็นพระเจ้า  แต่จิตใจของเขามืดมัวลงและไปรับใช้สิ่งสร้างแทนที่จะรับใช้องค์พระผู้สร้าง” (no. 13). “พระองค์จึงทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา  ให้อยู่ภายใต้เนื้อหนัง  เพื่อที่โดยอาศัยพระบุตรของพระองค์  พระองค์จะได้นำมนุษย์ออกมาจากอำนาจของความมืดและของซาตาน” (Ad Gentes, no. 3).  ดังนี้ผู้ที่ปฏิเสธความมีอยู่และกิจการของซาตาน  จะสามารถเข้าใจความสำเร็จของพระคริสตเจ้าได้ละหรือ?  พวกเขาจะเข้าใจคุณค่าแห่งการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่กู้มนุษยชาติของพระคริสตเจ้าได้หรือ? สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 อาศัยพระคัมภีร์เป็นพื้นฐาน  ได้ยืนยันว่า “โดยการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าได้ปลดปล่อยพวกเราจากอำนาจของซาตาน” (Sacrosanctum Concilium, no. 6). และ “อาศัยการถูกตรึงกางเขนและการกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย  พระคริสต์ได้ทำลายความชั่วร้ายที่ยึดกุมจิตใจของมนุษย์” (Gaudium et Spes, no. 2).

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น