คุณพ่อกาเบรียล
เอมอร์ท Fr
Gabriele Amorth เป็นพระสงฆ์ผู้พิธีขับไล่ปีศาจแห่งกรุงโรม
ท่านเคยทำพิธีนับร้อยครั้งในหลายปีที่ผ่านมา ท่านเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีชื่อ An Exorcist Tells His Story
และ An Exorcist: More Stories. บทความข้างล่างนี้กล่าวถึง “อำนาจของซาตาน”
โดยนำมาจากหนังสือ An Exorcist Tells His Story (pages 25-36)
เพราะหัวข้อที่พ่อตั้งใจเขียนในหนังสือเล่มนี้ พ่อจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงคำถามที่น่าสนใจทางเทววิทยาได้
พ่อจะพูดแต่เพียงบางประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำพิธีขับไล่ปีศาจเท่านั้น พิธีขับไล่ปีศาจมีความเกี่ยวข้องกับเทววิทยาและพระคัมภีร์อย่างแนบแน่น ตัวอย่างเช่น Father Candido ผู้ที่พูดคุยกับปีศาจเป็นเวลาถึง 36 ปี ได้ให้ข้อสรุปที่ดีมากในเรื่องบางเรื่อง เช่น
เรื่องของ บาปของเทวดากบฏ ซึ่งนักเทววิทยาในอดีตไม่พูดถึง
โดยบอกเพียงว่า “เราไม่รู้”
พระเป็นเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นมาด้วยการออกแบบให้มีความสอดคล้องกัน เพราะฉะนั้น แม้แต่อะตอมเล็กๆก็มีอิทธิพลต่อทุกสิ่ง และเงามืดก็ฉายความมืดในทุกสิ่ง
เทววิทยาจะไม่หยุดยั้งในการทำความเข้าใจในโลกของเทวดา
เทววิทยาเกี่ยวกับพระคริสตเจ้าที่ไม่สนใจซาตานจะไม่ก้าวหน้าและจะไม่เข้าใจคุณค่าของการไถ่กู้ของพระองค์
เราจะพูดถึงพระคริสต์ต่อไป
พระองค์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ ในภาพของการเสด็จมา , สวรรค์ (เทวดา)
และโลก (มนุษย์)
จะเป็นที่น่าประหลาดใจถ้าจะพูดถึงแต่เพียงพระคริสตเจ้าเท่านั้น เพราะนั่นจะทำให้เราไม่สามารถเข้าใจถึงคำสอนและกิจการของพระองค์ทั้งหมดได้ และไม่อาจเข้าใจพระองค์ได้
พระคัมภีร์บอกกับเราเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า แต่ก็พูดถึงอาณาจักรของซาตานด้วย
พระคัมภีร์บอกเราเกี่ยวกับฤทธานุภาพของพระเป็นเจ้า องค์พระผู้สร้างและเจ้านายของสรรพสิ่งในจักรวาล แต่พระคัมภีร์ก็พูดถึงอำนาจของความมืด(ซาตาน)ด้วย
พระคัมภีร์พูดถึงบุตรของพระเจ้าและบุตรของซาตาน เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจกิจการการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้า ถ้าไม่สนใจกิจการแห่งการทำลายล้างของซาตาน
ในตอนแรก ซาตานถูกสร้างให้เป็นสิ่งสร้างที่สมบูรณ์แบบโดยพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า
มันได้รับอำนาจหน้าที่และอยู่ในระดับสูงสุดเหนือเทวดาอื่นๆ ดังนั้นมันจึงคิดว่ามันมีอำนาจเหนือสรรพสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นมาด้วย ซาตานพยายามที่จะเข้าใจการเนรมิตสร้างทุกอย่างของพระเป็นเจ้า แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะแผนการในการเนรมิตสร้างนั้นมีเป้าหมายมุ่งไปที่พระคริสตเจ้า จนกระทั่งพระคริสตเจ้าเสด็จมายังโลก
แผนการของพระเป็นเจ้าไม่สามารถเปิดเผยให้ทราบทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ซาตานจึงก่อการกบฏ มันต้องการมาเป็นอันดับหนึ่งในทุกสิ่ง เป็นศูนย์กลางของการเนรมิตสร้าง แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อการออกแบบในการสร้างของพระเป็นเจ้าก็ตาม
นี่คือเหตุผลที่ซาตานยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่องที่จะทำลายโลก (“โลกทั้งมวลอยู่ภายใต้อำนาจของความชั่วร้าย”
I ยน. 5: 19)
มันเริ่มต้นจากบิดามารดาเดิมของเราก่อน
มันพยายามทำให้มนุษย์เป็นทาสของมัน
ทำให้มนุษย์เชื่อฟังมันและไม่เชื่อฟังพระเป็นเจ้า มันประสพความสำเร็จกับ อาดัมและเอวา บิดามารดาเดิมของเรา และมันหวังที่ได้มนุษย์ทุกคนเป็นทาสของมันด้วย โดยอาศัยความช่วยเหลือจาก
“เทวดาหนึ่งในสามส่วน” ซึ่งกล่าวไว้ในพระธรรมวิวรณ์
คือเทวดากบฏที่ติดตามมันและต่อสู้กับพระเป็นเจ้า
พระเป็นเจ้าไม่ทรงยกเลิกการเนรมิตสร้างของพระองค์ เพราะฉะนั้น
ถึงแม้พวกมันจะแตกหักกับพระเป็นเจ้า ซาตานและพลพรรคของมันก็ยังคงมีอำนาจและฐานันดรของมัน
(คณะบัลลังก์, คณะหัวหน้า, คณะปกครอง , คณะอำนาจ. ฯลฯ)
ถึงแม้มันจะใช้อำนาจด้วยจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายก็ตาม น.
ออกัสตินไม่ได้ลังเลใจเมื่อท่านกล่าวว่า
ถ้าพระเป็นเจ้าทรงประทานอิสระให้กับซาตานอย่างเต็มที่แล้ว
“จะไม่มีมนุษย์เหลืออยู่แม้แต่คนเดียว”
ดังนั้นซาตานจึงไม่สามารถฆ่าพวกเราได้
มันทำได้แต่เพียง “ทำให้เรากลายเป็นผู้ติดตามของมันในการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้า เหมือนกับที่มันเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้า”
ความจริงของการไถ่กู้เป็นดังนี้
พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อ “ทำลายผลงานของปีศาจ” (1ยน. 3:8)
เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของซาตาน
และเพื่อสถาปนาอาณาจักรของพระเป็นเจ้าขึ้นหลังจากทำลายการปกครองของซาตานลงแล้ว อย่างไรก็ตาม
ระยะเวลาระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสตเจ้าและปารูเซีย
(การเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์เพื่อพิพากษา)
ปีศาจพยายามล่อลวงมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้มาอยู่กับมัน
มันเป็นสงครามที่เดิมพันด้วยความสิ้นหวังของปีศาจที่รู้ดีว่ามันจะต้องพ่ายแพ้ มันรู้ว่า “เวลาของมันเหลือน้อยแล้ว” (วว. 12:12) เพราะฉะนั้น น.เปาโลจึงบอกเราว่า “เราไม่ได้กำลังต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่เป็นเนื้อหนังและเลือด แต่กำลังต่อสู้กับผู้เป็นใหญ่ ต่อสู้กับพลังอำนาจ ต่อสู้กับผู้ปกครองโลกแห่งความมืดมิด เรากำลังต่อสู้กับจิตแห่งความชั่วร้ายที่เคยอยู่ในสวรรค์”
(อฟ. 6:12)
พระคัมภีร์บอกเราว่า เทวดาและปีศาจ (พ่อต้องการบ่งบอกถึงซาตานโดยเฉพาะ)
เป็นสิ่งสร้างที่เป็นจิตวิญญาณซึ่งมีความชาญฉลาด มีอำเภอใจ
มีอิสรภาพ และมีจุดเริ่มต้น
นักเทววิทยาสมัยใหม่ที่บอกว่าซาตานเป็นภาพในจินตนาการของความชั่วร้ายนั้น เป็นความคิดที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง ความคิดนั้นเป็น heresy สิ่งที่ผิดต่อคำสอนอย่างแท้จริง เพราะมันพูดตรงข้ามกับพระคัมภีร์ ตรงข้ามกับปิตาจารย์
และตรงข้ามกับคำสอนของพระศาสนจักร
ความจริงในเรื่องของซาตานไม่เคยเป็นข้อสงสัยในอดีต เพราะฉะนั้น
ไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้
ตามข้อความจากสังคายนาลาเทรันครั้งที่สี่กล่าวว่า
“ซาตานและปีศาจทั้งหลายถูกสร้างให้เป็นสิ่งที่ดีโดยพระเป็นเจ้า
แต่พวกมันกลายเป็นความชั่วร้ายเพราะความผิดของพวกมันเอง” ผู้ที่ปฏิเสธความมีอยู่ของซาตาน ก็ปฏิเสธเรื่องบาปและไม่เข้าใจในกิจการของพระคริสตเจ้าด้วย
ให้เราทำความกระจ่างในเรื่องนี้เสียก่อน
พระเยซูเจ้าทรงมีชัยชนะต่อซาตานด้วยการพลีพระองค์เป็นยัญบูชา นอกจากนั้น
พระเยซูเจ้ายังทรงมีชัยชนะต่อซาตานก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ว่า
“ถ้าพระเป็นเจ้าทรงขับไล่ปีศาจให้ออกไปจากผู้ใด
อาณาจักรของพระเป็นเจ้าก็มาถึงผู้นั้น” (ลก. 11:20) พระเยซูเจ้าทรงอำนาจแข็งแกร่งกว่าซาตานและพระองค์ทรงมัดมันไว้
(มก. 3:27)
ทรงแย่งมนุษย์มาจากมันและทำลายอาณาจักรของมันในวาระสุดท้าย (มก. 3:26) ในตอนแรกพระเยซูเจ้าทรงประทานอำนาจในการขับไล่ปีศาจแก่อัครสาวกของพระองค์ก่อน ต่อมาจึงทรงประทานอำนาจนี้แก่ศิษย์ 72 คน
และท้ายที่สุดพระองค์ประทานแก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์
ในหนังสือกิจการของอัครสาวก
ได้บอกกับเราว่าหลังจากที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมาแล้ว บรรดาอัครสาวกได้ขับไล่ปีศาจ และคริสตชนทุกคนก็ได้กระทำเช่นนี้ด้วยต่อจากอัครสาวก ปิตาจารย์ในยุคแรกของพระศาสนจักร อย่างเช่น
จัสตินและอิเรเนียส
ได้พูดอย่างชัดเจนเรื่องปีศาจและอำนาจในการขับไล่มัน ปิตาจารย์องค์อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เตอตูเรียนและโอริเจน ก็กล่าวไว้เช่นเดียวกัน คำพูดของท่านทั้งสี่ได้ปฏิเสธความคิดของนักเทววิทยาสมัยใหม่
ผู้ซึ่งไม่เชื่อเรื่องปีศาจและใม่สนใจเรื่องนี้เลย
สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ก็ยืนยันในเรื่องนี้อย่างหนักแน่นด้วย “การดิ้นรนในการต่อสู้ของอำนาจแห่งความมืดมิดเป็นตัวขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์
สงครามได้เริ่มต้นตั้งแต่จุดกำเนิดของโลก"”( Gaudium et Spes, no. 37)
“ถึงแม้พวกมันจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเป็นเจ้าให้อยู่ในสถานะของความศักดิ์สิทธิ์ ในวาระเริ่มอรุณรุ่งแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
มนุษย์ได้ใช้อิสรภาพในทางที่ผิด โดยการล่อลวงของความชั่วร้าย มนุษย์ทำให้ตนเองเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเป็นเจ้าและทำให้ต้องแยกออกจากพระองค์อย่างสิ้นเชิง ถึงแม้เขาจะรู้จักพระองค์ เขาก็ไม่ได้นมัสการพระองค์เป็นพระเจ้า แต่จิตใจของเขามืดมัวลงและไปรับใช้สิ่งสร้างแทนที่จะรับใช้องค์พระผู้สร้าง”
(no. 13). “พระองค์จึงทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา ให้อยู่ภายใต้เนื้อหนัง เพื่อที่โดยอาศัยพระบุตรของพระองค์ พระองค์จะได้นำมนุษย์ออกมาจากอำนาจของความมืดและของซาตาน”
(Ad Gentes, no. 3). ดังนี้ผู้ที่ปฏิเสธความมีอยู่และกิจการของซาตาน
จะสามารถเข้าใจความสำเร็จของพระคริสตเจ้าได้ละหรือ? พวกเขาจะเข้าใจคุณค่าแห่งการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่กู้มนุษยชาติของพระคริสตเจ้าได้หรือ?
สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 อาศัยพระคัมภีร์เป็นพื้นฐาน ได้ยืนยันว่า “โดยการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพ
พระคริสตเจ้าได้ปลดปล่อยพวกเราจากอำนาจของซาตาน” (Sacrosanctum
Concilium, no. 6). และ
“อาศัยการถูกตรึงกางเขนและการกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย
พระคริสต์ได้ทำลายความชั่วร้ายที่ยึดกุมจิตใจของมนุษย์” (Gaudium
et Spes, no. 2).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น