นักประวัติศาสตร์ประกาศว่า เขาได้พบจอกกาลิกษ์ศักดิ์สิทธิ์ของแท้
31 มี.ค. 2014
นักประวัติศาสตร์สเปนสองคนประกาศว่า พวกเขาได้ค้นพบจอกกาลิกษ์ศักดิ์สิทธิ์ Holy
Chalice ของแท้ซึ่งมีอายุเก่าแก่ 2000
ปีแล้ว
เป็นจอกกาลิกษ์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้ในงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย
มาการิต้า
ทอร์เรส Margarita
Torres
นักประวัติศาสตร์ยุคกลางและอาจารย์มหาวิทยาลัยลีออน León
University
และ โจเซ่ ออติสสา เดล ริโอ นักประวัติศาสตร์ศิลปะ
ได้ร่วมกันเขียนหนังสือซึ่งระบุว่าพวกเขาได้ทำวิจัยหลายปีซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปว่า จอกกาลิกษ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์
อยู่ในสถานที่รวบรวมเครื่องโถยุคกลาง และถูกจัดแสดงอยู่ในสเปนมานาน
1000 ปี (, Daily Mail reported)
สถานที่แห่งนั้นอยู่ในอาสนวิหารแห่งซานอีสิดอร์
Basilica of San
Isidoro
ในสเปนเครื่องโถนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ Infanta Dona Urraca เพราะราชินี Urraca ทรงเป็นเจ้าของ พระนางสิ้นพระชนม์เมื่อปี 1126
ในภาพ เจ้าหน้าที่พิพิทภัณฑ์สองคนและแขก
(ซ้าย) กำลังเฝ้ามองจอกกาลิกษ์ที่เรียกันว่า Infanta
Dona Urraca (ราชธิดาของกษัตริย์เฟอร์นันโด 1 กษัตริย์แห่งลิออน ปี 1037-1065 – ในพิพิทภัณฑ์ของอาสนวิหารซานอิสิดอร์ในกรุงลิออน
ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของสเปน (31 มี.ค.
2014)
ทอร์เรสและโจเซ่
มีทฤษฏีซึ่งได้เขียนไว้ในหนังสือที่ชื่อ “The
Kings of the Grail,” ทั้งสองกล่าวว่า
พวกเขามีหลักฐานจากหนังสือม้วนสองเล่มของอิยิปต์ที่สอดคล้องกับการประกาศของพวกเขา
ทั้งสองอธิบายว่า พวกเขาพบเอกสารอ้างอิงถึงจากกาลิกษ์ในมหาวิทยาลัยไคโร
Cairo’s
University of al-Azhar
ในตอนที่ทำวิจัยประวัติศาสตร์ว่าชาวอิสลามได้มาที่อาสนวิหารแห่งซานอิสิดอร์หรือไม่
เอกสารนั้นเขียนเป็นภาษาอาราบิก ชาวมุสลิมได้ขโมยจอกกาลิกษ์จากเยรูซาเล็มและได้มอบให้แก่คริสตชนที่อยู่ในอิยิปต์ ต่อมาจอกกาลิกษ์ได้ถูกถวายให้เป็นของขวัญแก่กษัตริย์เฟอร์นันโด
1 และมีอัญมณีประดับตกแต่งจอกกาลิกษ์
นักประวัติศาสตร์ทั้งสองไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้ว่า
จอกกาลิกษ์เคยถูกสัมผัสจากพระโอษฐ์ของพระคริสต์หรือไม่ และไม่อาจอธิบายเรื่องราวย้อนหลังไป 400 ปีของประวัติของจอกกาลิกษ์ พวกเขาได้ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์อายุของจอกกาลิกษ์ว่าอยู่ในระหว่างปี
200 ก่อนค.ศ. และ 100 ปี ในค.ศ.
ทอร์เรสให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์
Irish Times “มีเพียงกาลิกษ์เดียวที่ระบุว่าเป็นกาลิกษ์ของพระคริสต์ คือกาลิกษ์ที่ถูกส่งจากไคโรไปที่ลิออน และกาลิกษ์นี้ก็มีประวัติเช่นนั้น”
“นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญทีเดียว เพราะมันช่วยไขปัญหาใหญ่
เราเชื่อว่านี่จะเป็นการเริ่มต้นของการวิจัยที่น่าประหลาดใจ”
มีการรายงานการค้นพบของนักประวัติศาสตร์นี้เมื่อสัปดาห์ก่อน
จึงทำให้ทางโบสถ์ต้องเก็บจอกกาลิกษ์ออกจากการแสดง
จอกกาลิกษ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สนใจของประชาชน
มีหลายร้อยคนที่ประกาศว่าพวกเขาเป็นเจ้าของจอกกาลิกษ์ อย่างเช่น
กาลิกษ์แห่งวาเลนเซีย Valencia Chalice ซึ่งอยู่ในอาสนวิหาร Saint
Mary of Valencia ในสเปน
ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เชื่อว่าเป็นกาลิกษ์ของพระเยซูเจ้า
ถึงแม้นักประวัติศาสตร์ทั้งสองจะยืนยันอย่างหนักแน่นในสิ่งที่พวกเขาค้นพบ แต่ก็ยังมีความสงสัยในเรื่องความแท้จริงของจอกกาลิกษ์ใบนี้ เช่นเดียวกับใบอื่นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น